บทที่ ๑
“ฝนมามืดขนาดนี้ เก็บของเหอะเจ๊ลี ขืนช้าได้เจ๊งบ๊งกันพอดี”
เจนภพแหงนมองท้องฟ้าเบื้องบน เมฆฝนดำทะมึนคล้อยตัวลงต่ำ มองเห็นได้ชัดแม้อยู่ในความมืดของราตรีกาล เสียงครืนๆ ดังแว่วให้ได้ยินเป็นระยะสลับกับแสงสว่างวาบแปลบปลาบอันเป็นสัญญาณว่าอีกไม่ช้าสายฝนคงกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาเช่นที่ผ่านมาตลอดอาทิตย์
“เจ๊งบ้าเจ๊งบออะไรกันเล่า ปากไม่เป็นมงคลอีกแล้วนะไอ้เจน” ปณาลีตวัดตาค้อนคนพูดตาแทบกลับก่อนจะลุกขึ้นเท้าเอวมองแล้วแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าบ้าง “จะเข้าหน้าหนาวแล้วยังขยันตกอะไรกันนักกันหนา คนค้าคนขายเดือดร้อนจะแย่แล้ว”
หญิงสาวถอนใจ เมฆฝนที่คล้อยต่ำลงทุกทีบังคับให้เธอและบรรดาพ่อค้าแม่ขายในตลาดนัดกลางคืนที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นนับร้อยชีวิตต้องเก็บสินค้าแฮนด์เมดอันเป็นคอนเซปต์หลักของตลาดแห่งนี้ ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า และเครื่องประดับต่างๆ ใส่กล่องอย่างเร่งรีบ เพราะหากรอจนพระพิรุณโปรยปราย ข้าวของประดามีเป็นได้เปียกจนเสียหายหมดแน่
“โอ๊ย...เจ๊จะเดือดร้อนอาไร้ ขายดีอย่างกับแจก หกโมงเย็นเปิดร้านปุ๊บ ผู้ชายต่อแถวปั๊บ หางแถวยาวไปถึงสุไหงโกลกโน่น แล้วโน่น...เห็นหรือเปล่าว่าแม่ค้าแถวนี้มองเจ๊กันตาเขียวทุกคน”
เจนภพบุ้ยใบ้ให้หญิงสาวมองไปยังแผงขายเสื้อผ้าที่อยู่ในเต็นท์ฝั่งตรงข้ามแล้วหัวเราะคิกคัก จริงอยู่ว่าตลาดนัดกลางใจเมืองแห่งนี้มีร้านขายสินค้าอินดี้ให้เลือกสรรนับร้อย แต่ร้านของปณาลีหรือเจ๊ลีของเขาเป็นร้านที่ขายดีติดอันดับต้นๆ ทีเดียว ไม่ใช่แค่เพราะเสื้อผ้าและเครื่องประดับของเธอโดดเด่นแปลกตาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะรูปโฉมงามหยดย้อยของแม่ค้าสาววัยยี่สิบปีผู้นี้อีกด้วย
ใช่...ปณาลีเป็นคนสวย...
สวยชนิดที่ลองใครได้เห็นเข้าครั้งหนึ่งต้องหันกลับมามองเหลียวหลังกันคอแทบหักเสียด้วย เธอมีดวงหน้าหวานหยาดเยิ้มปานน้ำผึ้ง ประดับด้วยดวงตาคมซึ้งสีน้ำตาลใสแจ๋วที่รับมาจากบิดาผู้เป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ เรือนผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มที่ยาวระบั้นเอวทำให้เธอดูคล้ายนางเงือกในเทพนิยาย ยิ่งเจ้าตัวใจกว้าง สวมเสื้อกล้ามตัวบางที่รัดรึงเน้นให้เห็นทรวงอกอวบอิ่มและสวมกางเกงยีนขาสั้นกุดอวดเรียวขาเล็กเพรียวและขาวจัดเหมือนไม่เคยต้องแดดเต็มตาเช่นนี้ด้วยแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมลูกค้าหนุ่มๆ หน้าเดิมๆ ถึงได้ขยันแวะเวียนมาซื้อเสื้อยืดสกรีนลายเก๋ไก๋ของเธอกันคนละตัวสองตัวแทบทุกคืน ต่อให้ซื้อซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ยังซื้อด้วยหวังว่าอาจโชคดีได้สานสัมพันธ์กับแม่ค้าคนงามได้สักวันหนึ่ง
โถ...ไอ้พวกหน้าโง่ ไม่รู้เสียแล้วว่าเจ๊ลีของเขาเขี้ยวลากดินขนาดไหน ขืนทำตัวเป็นพ่อบุญทุ่มไม่ดูตาม้าตาเรือเป็นได้หมดตัวจนไม่เหลือแม้แต่กางเกงชั้นในแน่!
คิดถึงตรงนี้เจนภพก็ก้มลงมองตนเองอย่างสังเวชใจ เขาอ่อนกว่าปณาลีสองปีแถมยังไม่ใช่คนรูปหล่อพ่อรวยมาจากไหน เป็นเพียงเด็กวัยรุ่นเชื้อสายจีนหน้าละอ่อน ขนาดพยายามตัดผมทรงอันเดอร์คัต ไถด้านหลังและด้านข้างจนเกรียนเหลือด้านบนไว้แต่งทรงตามสมัยนิยมรวมไปถึงเจาะหู ไว้เครานิดๆ เพื่อให้ดูมาดเข้มเหมือนหนุ่มใหญ่ แต่ดูอย่างไรก็ตลกเหมือนเด็กประถมริติดหนวดปลอมจนต้องโกนทิ้งเสียนี่ ครั้นทำใจกล้าหอบเงินเก็บทั้งหมดที่มีไปร้านสัก บอกช่างให้สักลายที่ทำให้ดูเหี้ยมหาญบนข้อมือขวาไล่ไปยังหัวไหล่เลียนแบบนักร้องชื่อดัง แต่เพียงแค่ช่างลงเข็มแรก เขาก็แหกปากร้องเหมือนหมูถูกเชือด สุดท้ายทนความเจ็บปวดไม่ไหว ช่างจึงถมสีบนลวดลายถึงเพียงแค่ข้อศอกของเขาเท่านั้น ทิ้งโครงร่างที่สักด้วยหมึกสีดำไว้บนเนื้อตัวเขามาจนทุกวันนี้ ร้ายไปกว่านั้นคือหลังจากสักรูปสิงโตคำรามครึ่งๆ กลางๆ บนแขนแล้ว เขาก็จับไข้หนักจนต้องนอนซมอยู่สามวันสามคืนกลายเป็นที่ล้อเลียนของจอมใจ พี่สาวตัวแสบผู้ประกาศเสียงดังฟังชัดว่าจะล้อเรื่องนี้ไปยันลูกหลานบวช เรื่องถูกจอมใจล้อเลียนนั้นเขาชินชาเสียแล้ว แต่ปัญหาคือพี่สาวจอมปากมากเป็นเพื่อนสนิทกับปณาลีน่ะสิ เธอจึงพลอยล้อเขาอีกคน อายฉิบ!
“โอ๊ย...ใจกว้างประหนึ่งแม่น้ำฮวงโห ลงทุนโชว์เนื้อตัวขาวจั๊วะให้ผู้ชายดูฟรีๆ ก็ต้องขายดีเป็นธรรมดา”
แม่ค้าที่กำลังง่วนกับการเก็บของอยู่ฝั่งตรงข้ามเงยหน้าขึ้นพูดลอยๆ โดยไม่เอ่ยชื่อ แต่ทำเอาคนฟังอย่างเจนภพโกรธขึ้นมาติดหมัด หันไปถลึงตาใส่คนพูดอย่างเอาเรื่อง
“จะเข้าหน้าหนาวแล้ว ไม่คิดจะเก็บปากไว้แตกหน้าหนาวบ้างเหรอพี่เดือน ทำไมช่างขยันแกว่งปากไปชนตีนคนอื่นอยู่เรื่อย”
“อ้าว ไอ้เด็กปากนรก จะเอาใช่ไหม” ดุจเดือนลุกขึ้นเท้าสะเอว ใบหน้ากลมแป้นบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ
“อย่างพี่น่ะ ผมไม่ ‘เอา’ หรอก ให้ฟรียังโกรธเลย”
“พอแล้วไอ้เจน ไปซื้อกาแฟที่ร้านป้าเพียรให้พี่ที บอกว่าเหมือนเดิม ใส่นมข้นเยอะๆ ส่วนเราอยากกินอะไรก็ซื้อเอาตามใจ”
ปณาลีควักธนบัตรใบละห้าร้อยบาทส่งให้หนุ่มรุ่นน้องเพื่อตัดรำคาญ สีหน้าของหญิงสาวนิ่งสนิทเหมือนไม่รู้สึกรู้สมกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินสักนิด เจนภพเสียอีกที่ดูจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนจนแทบเต้นเป็นเจ้าเข้า
“แต่เจ๊...”
“ไม่มีแต่” หญิงสาวขึงตาดุ “ถ้าเถียงกัน ทะเลาะกันแล้วได้เงิน พี่จะไม่ห้ามเลย นี่เถียงกันไปก็ไม่ได้อะไร เผลอๆ เกิดเลยเถิดลงไม้ลงมือกันขึ้นมาก็เป็นเรื่องต้องไปประกันตัวกันวุ่นวาย เสียเวลาทำมาหากินเปล่าๆ แถมเสียเงินอีก”
“แหม...หายใจเข้าออกเป็นเงินอย่างเดียวเลยนะ” เจนภพรับเงินมาอย่างเสียไม่ได้ เขาเม้มปากแน่นขณะหลุบตาลงมองธนบัตรสีม่วงในมือ “ตั้งแต่เปิดร้านมา ยายเจ๊อึ่งอ่างนั่นก็แขวะเราทุกวันจนผมจะทนไม่ไหวแล้วนะเจ๊”
“ก็อย่าไปสนใจสิ เรามาขายของนะ ไม่ได้มาเปิดบ่อนชนไก่ ถึงต้องชนกับใครต่อใครเขาไปเสียหมด” ปณาลีถอนใจอีกคำรบ เธอปรายตามอง ‘เจ๊อึ่งอ่าง’ ของเจนภพราวเสี้ยววินาทีก่อนจะลงมือเก็บเสื้อผ้าพับใส่ลังพลาสติกอย่างรวดเร็วและเป็นระเบียบ
ชายหนุ่มไม่ใช่คนเดียวที่เรียกดุจเดือนว่าเจ๊อึ่งอ่าง คนค้าคนขายในโซนเสื้อผ้าก็มักเรียกแม่ค้าร่างใหญ่ลับหลังเช่นนี้กันแทบทั้งนั้น หญิงสาวเคยได้ยินว่าดุจเดือนแก่กว่าเธอไม่มาก เพียงแต่มีผิวคล้ำและรูปร่างอวบอ้วนจึงดูแก่กว่าอายุจริงอยู่สักหน่อย
“อีกอย่างนะ ที่เขาพูดมันก็เป็นเรื่องจริงไม่ใช่หรือไง” ปณาลีหัวเราะแกนๆ
ในภาวะเศรษฐกิจซบเซาเช่นนี้ หากไม่คิดหาวิธีกระตุ้นยอดขายเสียบ้าง ร้านของเธอคงต้องปิดกิจการไปนานแล้ว แรกเริ่มเดิมทีที่ต้องสวมเสื้อผ้าเช่นนี้ก็รู้สึกกระดากไม่น้อย แต่เมื่อนึกว่าเงินที่ได้มาจะกลายเป็นค่าเล่าเรียนผิวหนังบนหน้าก็เริ่มหนาขึ้นมาในบัดดล พอสักเดือนสองเดือนให้หลังก็กลายเป็นว่าชินชาและเริ่มโต้ตอบกับคำเกี้ยวพาราสีของลูกค้าได้โดยไม่รู้สึกรู้สมใดๆ อีก ยิ่งจอมใจส่งเจนภพมาคอยนั่งเฝ้าระวังความปลอดภัยให้ทุกวันแบบนี้ด้วยแล้ว เธอก็พออุ่นใจได้บ้าง
“นี่ถ้าไม่เพราะลุงกับป้าเจ๊เอาเงินไปให้เจ๊ดาหวันผลาญจนหมด เจ๊ก็ไม่ต้องลำบากมาหาเงินเรียนสายตัวแทบขาดแบบนี้หรอก”
“เราเคยคุยกันแล้วนะว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก” ปณาลีเรียงเสื้อยืดจนเต็มลังพลาสติกใบแรกแล้วปิดฝาอย่างแน่นหนา “รีบไปซื้อกาแฟได้แล้ว เร็ว เดี๋ยวป้าเพียรเก็บร้าน พี่อดกินกันพอดี”
พูดจบหญิงสาวก็หันไปเก็บของต่อ ทิ้งให้ชายหนุ่มยืนทำท่าฮึดฮัดขัดใจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเดินปึงปังไปซื้อกาแฟเจ้าโปรดของเธอที่อยู่ห่างออกไปอีกสองล็อก จังหวะที่เขาเดินผ่านหน้าร้านของดุจเดือน เจ้าของร้านร่างอ้วนก็แบะปากใส่
“โถ...ไอ้หมามองเครื่องบิน เกาะผู้หญิงกินไปวันๆ”
“โถ...อีช้างสาร!” เจนภพตอกกลับอย่างเผ็ดร้อนโดยไม่รอช้า
“ไอ้เจน!” ปณาลีร้องเรียกเสียงดัง “ไปซื้อกาแฟ!”
แม้จะโกรธเพียงใด แต่เมื่อหันกลับไปเห็นสีหน้ากึ่งบึ้งกึ่งระอาใจของหญิงสาว เจนภพก็จำต้องยอมถอยโดยไม่มีทางเลือก ดุจเดือนพูดไล่หลังเขาไปอีกสองสามประโยค แต่เขาพยายามไม่ใส่ใจและเดินไปที่ร้านกาแฟตามคำสั่งของปณาลีแต่โดยดี
“เด็กจริงจริ๊ง” ปณาลีพึมพำพลางเก็บของมือเป็นระวิง กลิ่นชื้นของดินที่ลอยมาเตะจมูกเป็นการเตือนว่าอีกไม่ช้าสายฝนคงกระหน่ำลงมาชนิดไม่ลืมหูลืมตาเป็นแน่
ที่จริง...จะว่าเธอไม่รู้สึกใดๆ กับคำพูดของดุจเดือนก็ดูจะเป็นการหลอกตนเองอย่างน่าสมเพช แต่เมื่อเทียบกับคำพูดบาดหูของดารณีผู้เป็นป้าที่เธอต้องทนฟังอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแล้ว คำพูดของดุจเดือนถือว่าห่างชั้นกันมากนัก อย่างน้อยก็ไม่มีคำว่า ‘นังลูกฝรั่ง’ หรือ ‘นังกาฝาก’ ให้ปวดหัวใจนั่นละน่า
มือเรียวชะงักเมื่อหันไปเห็นเงาสะท้อนของตนในกระจกเงาสำหรับให้ลูกค้าส่องตอนลองเสื้อผ้า ผิวขาวจัดและเส้นผมสีอ่อนที่สืบทอดมาจากฝั่งบิดาทำให้เธอดูแปลกแยกจากคนรอบข้างอย่างเห็นได้ชัด แม้เธอไม่เคยรู้สึกว่ารูปลักษณ์ของตนเป็นปมด้อย แต่บางครั้งก็รู้สึกว่ามันชักนำภัยมาหาโดยไม่รู้ตัวอยู่บ่อยๆ เช่นกัน
‘ลี แกนี่ขาวดีจริงๆ นะ...’
เสียงกระซิบแหบโหยดังขึ้นในห้วงความคิด ปณาลีรู้สึกเหมือนกลิ่นแอลกอฮอล์จากลมหายใจที่สัมผัสในระยะประชิดคืนนั้นยังคงเหม็นติดจมูกอยู่ไม่หายและน่าขยะแขยงเป็นที่สุด เพียงแค่คิดว่าทันทีที่กลับบ้านจะต้องพบเจอกับเหตุการณ์ซ้ำเดิม หญิงสาวก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าสะพายไหมพรมใบเขื่องที่ประดิษฐ์เองแล้วต่อสายหาเพื่อนสนิททันที
“จอม คืนนี้ฉันไปนอนบ้านแกได้ไหม”
เพียงแค่คนปลายสายกดรับ ปณาลีก็กรอกเสียงลงไปโดยไม่เสียเวลาทักทาย ด้วยสนิทกันเสียจนเคยชินเสียแล้ว
“ถึงไม่ขอ ฉันก็จะชวนอยู่แล้ว ใครจะปล่อยให้กลับไปอยู่กับไอ้ลุงบ้ากามของแกกันเล่า” จอมใจตอบรับทันควัน “นี่ไอ้เจนก็โทร. มาหาเมื่อกี้ บอกให้ชวนแกกลับมาค้างที่บ้านด้วย นี่มันห่วงแกยิ่งกว่าฉันอีกนะ”
“โทร. ฟ้องเรื่องฉันใช้ให้ไปซื้อกาแฟละไม่ว่า” ปณาลีหัวเราะ รู้สึกอบอุ่นใจไม่น้อยที่ได้รู้ว่าตนเองไม่ได้เผชิญปัญหาล้านแปดบนโลกใบนี้เพียงลำพัง “แล้วนี่ถึงบ้านหรือยัง อยากกินบะหมี่หมูแดงรอบดึกไหม เดี๋ยวซื้อไปฝาก จะได้มีแรงท่องหนังสือ”
“ถึงบ้านตั้งแต่เย็นแล้ว ไม่ต้องซื้ออะไรมานะ คุณนายแม่ทำกับข้าวไว้เผื่อแกเยอะเลย ขืนแกซื้อบะหมี่มาได้โกรธตาย เสียศักดิ์ศรีคุณนายประไพหมด”
“เออ ฉันก็ลืมอยู่เรื่อยว่าบ้านแกเป็นร้านขายข้าวแกง” หยาดฝนเม็ดโตที่หล่นแปะลงมาบนหน้าผากเรียกให้หญิงสาวต้องเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าขมุกขมัวเบื้องบน “แค่นี้ก่อนนะจอม ฝนลงแล้ว ฉันต้องรีบเก็บของก่อน”
ปณาลีกดตัดสาย แล้วรีบกอบเครื่องประดับแฮนด์เมดทั้งหมดลงกล่องใส่เครื่องประดับในคราวเดียว จากนั้นจึงวางเทินขึ้นไปบนกล่องเสื้อผ้าอย่างคล่องแคล่ว...นึกแล้วก็ขำนัก ตอนสอบเข้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาวิชาศิลปะการออกแบบพัสตราภรณ์ได้ใหม่ๆ เธอใฝ่ฝันว่าสักวันจะเป็นดีไซเนอร์ชื่อดังให้ได้ ไม่นึกเลยว่าสุดท้ายก็ต้องดรอปเรียน ออกมาขายเสื้อผ้าแนวสตรีตเพื่อหาเงินเรียนต่อ ทั้งที่เหลืออีกปีเดียวก็จะเรียนจบแล้ว
แต่ชีวิตคนเราก็มักมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสมอไม่ใช่หรือ ดูอย่างเรื่องของเธอเป็นตัวอย่าง วันหนึ่งเคยมีพ่อแม่อยู่กันพร้อมหน้า จู่ๆ ก็ถูกทิ้งให้เผชิญโลกตามลำพังเสียนี่...
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองฟ้า รู้สึกสะท้อนอยู่ในอก บางทีก็อยากรู้เหลือเกินว่าสองคนที่อยู่บนนั้นคิดถึงลูกสาวคนนี้บ้างไหมหนอ...
“เอ๊ะ ทำไมมีกล่องแค่แปดกล่องแล้วกล่องเครื่องประดับไปไหน”
ปณาลีขมวดคิ้วขณะทยอยขนกล่องข้าวของขึ้นรถกระบะคันเก่าคร่ำคร่าที่พ่อของเจนภพกับจอมใจมีน้ำใจให้ยืมใช้เป็นครั้งคราว เธอจำได้แม่นว่ามีกล่องเสื้อผ้าทั้งหมดหกกล่อง กล่องสำหรับใส่อุปกรณ์กระจุกกระจิกรวมไปถึงไม้แขวนเสื้อสองกล่อง และมีกล่องขนาดรองลงมาหน่อยสำหรับใส่เครื่องประดับจำพวกต่างหู สร้อยคอและแหวนอีกหนึ่งกล่อง
“หือ?” เจนภพชะโงกหน้าไปมองด้านหลังรถกระบะแล้วทำท่าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก “อ๋อ...สงสัยลืมไว้ที่แผงแน่ๆ เลย เดี๋ยวผมลงไปเอาให้นะเจ๊”
“ไม่ต้องหรอก ขนกล่องพวกนี้ขึ้นรถไปเถอะ เดี๋ยวพี่ไปเอาเอง มันไม่ได้หนักอะไรนักหนา” หญิงสาวพูดจบก็ออกเดินโดยไม่รอคำตอบจากอีกฝ่าย
“เฮ้ย! เจ๊ ฝนลงแล้วนา เดี๋ยวได้เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำพอดี”
“พี่กระหม่อมหนาน่า หวัดไม่ถามหาแน่” ปณาลีพูดกลั้วหัวเราะ “ขนของให้เสร็จนะยะ อย่าอู้เด็ดขาด ไม่งั้นจะตัดค่าแรง”
“แค่โอวัลตินแก้วสองแก้วเรียกว่าค่าแรงได้ด้วยเหรอเจ๊”
หญิงสาวยักไหล่แล้วออกเดินโดยไม่สนใจเสียงบ่นไล่หลังของหนุ่มรุ่นน้องด้วยชินเสียแล้ว เธอหลุบตามองนาฬิกาข้อมือที่ชี้บอกเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้วเลือกเดินลงจากอาคารจอดรถทางบันไดหนีไฟแทนการใช้ลิฟต์โดยสาร ตามปกติแล้วในช่วงเวลานี้บรรดาพ่อค้าแม่ขายและผู้คนที่มาเดินเที่ยวตลาดนัดกลางคืนมักใช้บริการลิฟต์กันจนแน่นขนัด การใช้บันไดหนีไฟจึงรวดเร็วกว่าหลายเท่านัก
อาคารจอดรถยี่สิบชั้นของห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ที่เป็นเจ้าของตลาดกลางคืนยอดนิยมแห่งนี้ แม้ไม่สะดวกสบายสำหรับการขนข้าวของเท่าใดนักเพราะอยู่ห่างจากตลาดพอสมควร แต่อัตราค่าบริการจอดรถถือว่าค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับทำเลที่ตั้งใจกลางชุมชนอีกทั้งยังเปิดไฟสว่างไสวมียามรักษาความปลอดภัยคอยเดินตรวจตราอยู่เป็นระยะ ถึงกล้องวงจรปิดจะใช้งานไม่ได้จริง ก็ยังจัดว่าความปลอดภัยอยู่ในระดับดี...
กึก!
หญิงสาวชะงักฝีเท้าเมื่อปลายรองเท้าผ้าใบสีขาวเตะวัตถุบางอย่างบนขั้นพักบันไดชั้นหก เมื่อก้มลงมองดูก็เห็นว่าเป็นกุญแจและรีโมตรถยนต์ยี่ห้อหรู และห่างออกไปไม่ไกลมีเงาร่างหนึ่งนั่งพิงผนังอยู่ แม้ไฟสีส้มสลัวบนเพดานจะไม่สว่างนัก แต่ยังพอมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าชายคนนั้นอยู่ในลักษณาการอันแปลกประหลาดยิ่ง เขานั่งเหยียดขา ศีรษะค้อมลงต่ำในขณะที่แขนทั้งสองข้างตกลงข้างลำตัว ด้วยอารามตกใจ ปณาลีรีบปราดเข้าไปแตะไหล่เขาแล้วเขย่าเบาๆ
“คุณคะ นี่คุณเป็นอะไร...”
เสียงของหญิงสาวกลืนหายเข้าไปในลำคอแทบจะในบัดดล เมื่อสัมผัสได้ถึงของเหลวหนืดข้นบนฝ่ามือ
นี่มัน...เลือด!
ปณาลีแทบเป็นลมสิ้นสติ ยิ่งได้เห็นว่าที่มาของหยาดเลือดสีเข้มคล้ำทั้งหมดนั้นคือบาดแผลบนอกซ้ายของชายเคราะห์ร้ายด้วยแล้วเธอก็ผงะถอยกรูดไปชิดผนังอีกด้าน ดวงตาของเธอเต้นระริกอย่างตื่นตระหนกในขณะที่เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอนี้ยังตัวอุ่นอยู่ แต่แผงอกไม่ขยับขึ้นลงบ่งชัดว่าเขา...ไม่มีลมหายใจแล้ว! คิดถึงตรงนี้หญิงสาวก็กระโจนพรวดหวังจะวิ่งกลับขึ้นไปหาเจนภพที่รออยู่บนลานจอดรถชั้นแปด
“มันหายไปไหนแล้ว!”
เสียงตะโกนและเสียงย่ำฝีเท้าหนักๆ บนบันไดเหนือศีรษะทำให้ปณาลีต้องเปลี่ยนเป็นวิ่งลงไปชั้นล่างแทนด้วยความเร็วราวติดปีก หัวใจของเธอเต้นรัวจนแทบโลดออกมาจากอก เสียงที่ได้ยินอาจเป็นเสียงของกลุ่มคนที่สังหารชายคนเมื่อครู่และหากพวกมันเห็นเธอเข้าก็อาจถูกฆ่าปิดปากก็เป็นได้ ดังนั้นเธอจำเป็นต้องวิ่งให้สุดฝีเท้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามหยุดเป็นอันขาด
“ตามมันไป เร็ว!”
ปณาลีจำไม่ได้ว่าตนเองวิ่งลงมาถึงชั้นใต้ดินได้อย่างไร เธอตั้งความหวังว่าจะพบใครสักคนและขอความช่วยเหลือได้บ้าง แต่กลับต้องผิดหวังเมื่อเห็นว่าลานจอดรถนั้นโล่งเตียน ไม่มีรถแม้แต่คันเดียว แถมยามรักษาการณ์ตัวอ้วนที่ชอบนั่งหลับอยู่หลังเสาเป็นประจำก็หายไปเสียเฉยๆ ทำให้เธอจำใจต้องเลือกทางที่สองคือพุ่งตรงไปยังประตูทางออกที่อยู่ใกล้กับตลาดโต้รุ่งมากที่สุด อย่างน้อยก็เป็นแหล่งชุมชนมีผู้คนขวักไขว่ เธอน่าจะปลอดภัย...
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงปืนดังไล่มาจากด้านหลังทำเอาปณาลีสะดุ้งสุดตัวและเผลอกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจสุดขีด กระสุนที่พุ่งผ่านหน้าไปเจาะกับเสาคอนกรีตทางด้านซ้ายมือบังคับให้หญิงสาวต้องวิ่งไปอีกด้าน
“มันอยู่นั่น!”
“อย่า...อย่ายิง...ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย...”
ปณาลีพูดแทบไม่เป็นคำ เธอยกมือขึ้นกุมศีรษะในขณะที่ขาทั้งสองข้างสั่นจนไม่อาจขยับได้อีกต่อไป ดวงตาคู่งามเบิกกว้างเมื่อเห็นกลุ่มคนหน้าตาเหี้ยมเกรียมราวห้าคนวิ่งกรูกันลงมาจากบันไดหนีไฟ ในมือของพวกเขาถือปืนกวัดแกว่งไปมาประหนึ่งนักเลงโต
“นังเด็กนี่เป็นใคร ไอ้เวรที่ยิงเสี่ยไปไหนแล้ว”
“พวกเดียวกันหรือเปล่า!”
“ไม่...ไม่ใช่นะ...” หญิงสาวปฏิเสธละล่ำละลัก ปากกระบอกปืนที่เล็งมาทางเธอจากระยะไกลทำให้หญิงสาวตัวสั่นเกินกว่าจะควบคุมสติได้
ปัง!
กระสุนนัดหนึ่งพุ่งจากด้านหลังปณาลี แล้วเจาะเข้ากลางหน้าผากของชายที่ยืนอยู่ทางซ้ายมือล้มลงสิ้นใจในทันที หญิงสาวกรีดร้องเสียงหลง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอเห็นคนถูกยิงต่อหน้าต่อตาเช่นนี้
“มันอยู่นั่น!”
ปณาลีหูอื้อตาลาย รู้สึกเหมือนตนเองกำลังจะต้องตายในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า เมื่อเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ยังเหลือรอดอยู่หันปากกระบอกปืนมาทางเธออย่างพร้อมเพรียงกัน แต่ชั่วเสี้ยววินาทีที่คิดว่าชีวิตของตนกำลังจะจบลง สิ่งที่พวกเขาเรียกว่า ‘มัน’ ก็กระโจนขึ้นมาขวางหน้าเธอเอาไว้ด้วยความเร็วเหนือมนุษย์
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงปืนดังรัวติดๆ กันหลายนัดทำให้ปณาลีต้องหลับตาปี๋ จึงไม่เห็นว่ากระสุนเหล่านั้นพุ่งเข้าเจาะร่างใหญ่โตผิดมนุษย์มนาครบทุกนัด ทว่าเพียงครู่ก็ถูกดันออกมาทางบาดแผลและร่วงกราวลงสู่พื้นก่อนที่แผลจะสมานตัวอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงคราบเลือดสีแดงคล้ำที่ติดอยู่บนเสื้อยืดสีเขียวขี้ม้าของเขาเท่านั้น
“นี่...นี่มัน...มันไม่ใช่คน...มันเป็นปีศาจ!”
‘ปีศาจ’ ยังคงตีหน้านิ่งไร้ความรู้สึก มุมปากซ้ายกระตุกขึ้นนิดๆ มองดูเกือบคล้ายรอยยิ้มทว่าชืดชากว่ามาก เขายกปืนในมือขึ้นลั่นไกเข้ากลางแสกหน้าของชายอีกสองคนอย่างแม่นยำราวจับวาง ส่งผลให้คนที่เหลือตอบโต้ด้วยการรัวกระสุนใส่เขาอย่างบ้าคลั่ง
“มานี่!”
ชายหนุ่มปริศนาคว้าข้อมือของปณาลีเอาไว้แล้วกระชากให้ออกวิ่งไปยังประตูทางออก หญิงสาวมองแผ่นหลังกว้างที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความรู้สึกสับสนระคนหวาดกลัว รู้สึกประหนึ่งเซลล์สมองตายไปแล้วจนไม่ยอมสั่งการใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่ทำให้ระลึกว่าตนยังมีชีวิตอยู่ก็คือเส้นผมหยักศกยาวเคลียไหล่ของผู้ชายเจ้าของมือใหญ่โตที่กำอยู่รอบข้อมือของเธอเท่านั้น เส้นผมของเขาสะบัดไหวไปตามจังหวะการวิ่งราวเริงระบำ สีดำขลับดุจราตรีกาลนั้นกลมกลืนไปกับความมืดของทางเดินที่หลอดไฟติดๆ ดับๆ อย่างน่าประหลาด เธอมัวแต่มองมันโบกสะบัดจนแทบไม่ใส่ใจว่าสายฝนที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบนจะทำให้เปียกปอนเพียงไหน
เธอควร...หวาดกลัวที่สุดในชีวิตไม่ใช่หรือ
เธอควร...หวั่นใจว่าเขาจะลั่นไกปืนที่อยู่ในมืออีกข้างเข้ากลางแสกหน้าเธอเหมือนที่ทำกับผู้ชายกลุ่มเมื่อครู่สิ
แต่ไม่รู้ทำไม...เธอถึงรู้สึกว่าอยู่กับเขาแล้ว...เธอจะปลอดภัย...
ทุกความคิดสะดุดลงแต่เพียงเท่านั้นเมื่อชายหนุ่มกระชากแขนปณาลีเต็มแรงจนเธอต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด เขาพาเธอวิ่งออกจากประตูตรงไปยังตลาดโต้รุ่งในเขตชุมชนที่อยู่ห่างออกไปเกือบสองร้อยเมตรโดยไม่แม้แต่จะหอบหายใจสักนิด ที่จริง...ไม่มีแม้แต่เหงื่อให้เห็นสักหยดด้วยซ้ำ แต่ก่อนที่จะถึงตลาดเขากลับดึงเธอให้หลบเข้าไปในตรอกเล็กๆ ข้างตึกแถวแล้วใช้ร่างใหญ่โตของตนกำบังเธอเอาไว้
ปณาลีตัวสั่น รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังพลิกคว่ำคะมำหงาย กำแพงตึกที่แนบอยู่กับแผ่นหลังเย็นเฉียบจับขั้วหัวใจ แต่เนื้อตัวด้านหน้าที่สนิทแนบอยู่กับกายสูงใหญ่กลับร้อนระอุปานถูกนาบด้วยเหล็กเผาไฟ หญิงสาวรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มก่อนจะต้องตัวแข็งทื่อเมื่อพบว่าดวงตาคมกริบของเขาก็กำลังจับจ้องเธออยู่เช่นกัน ดวงตา...สีเขียวเข้มลึกเหมือนมรกตที่ทำให้หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะ
“คะ...คะ...คุณ...”
เอ่ยได้เพียงเท่านั้น เขาก็ตะปบมือลงบนริมฝีปากของเธอแล้วส่ายหน้าเป็นเชิงบอกไม่ให้พูด แสงไฟสลัวรางถูกสายฝนพรางเอาไว้บางส่วน แต่กระนั้นก็ยังพอมองเห็นสิ่งรอบกายรางๆ โดยเฉพาะ...เขา...ผู้ชายคนนี้สูงจนน่าตกใจ กล้ามเนื้อบนกายของเขาแข็งเกร็งประหนึ่งหลอมจากเหล็กกล้า โครงหน้าของเขาดูแปลกตา เห็นแวบแรกก็รู้ว่าไม่ใช่คนไทย แต่ก็ไม่เหมือนชาวตะวันตกด้วยเช่นกัน เขามีโหนกแก้มและคางสวยได้รูป ทว่าดูกร้าวกระด้างดุดันเกินกว่าจะเรียกว่าหนุ่มรูปงามตามขนบนิยมได้
“มันต้องไปทางนั้นแน่”
เสียงพูดและเสียงฝีเท้ากระทบพื้นถนนที่เฉอะแฉะเจิ่งนองไปด้วยน้ำฝนทำให้หญิงสาวต้องรีบหลับตาทันควัน ความกลัวระคนสับสนพุ่งเข้าเกาะกุมหัวใจอีกครั้ง ในสมองเต็มไปด้วยคำถามนับร้อยนับพันที่ผุดขึ้นมาไม่ขาดสาย
นี่คือ...เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงหรือเธอกำลังฝันอยู่กันหนอ...
เขาเป็นใคร แล้วบาดหมางอะไรกับคนพวกนั้นจนถึงกับต้องฆ่าแกงกันแบบนี้ด้วย...
“ปลอดภัยแล้ว”
เสียงทุ้มลึกดังขึ้นพร้อมๆ กับที่แรงกดจากฝ่ามือใหญ่บนริมฝีปากค่อยๆ คลายออก ปณาลีลืมตาขึ้นช้าๆ เพียงเพื่อจะพบว่าชายหนุ่มเจ้าของดวงตาคมกล้าดุจนัยน์ตาเหยี่ยวอันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนตอนที่เขาปรากฏกาย เหลือไว้เพียงกลิ่นคาวเลือดผสมกลิ่นบุหรี่อ่อนๆ ที่เป็นหลักฐานว่าเขามีตัวตนจริงๆ ไม่ได้เป็นเพียงจินตนาการเลื่อนเปื้อนของเธอ หญิงสาวรูดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างสิ้นเรี่ยวแรง เธอยกสองแขนขึ้นกอดตนเองเอาไว้แน่นเพื่อหยุดอาการสั่นสะท้านที่ไม่รู้ว่าเกิดจากความหวาดกลัวหรือจากเขาคนนั้นมากกว่ากัน
เขา...ผู้เป็นเหมือนวายุ สายลมอันไม่รู้ที่มา และไม่รู้ว่าจะพัดผ่านมาให้พบพานอีกหรือไม่...
ความคิดเห็น |
---|