2

บทที่ ๒


บทที่ ๒

 

สายมากแล้ว แต่ปณาลียังคงนอนลืมตาโพลงอยู่บนที่นอน เธอไม่แน่ใจนักว่าภาพที่ผุดขึ้นมาในสมองยามนี้เป็นความฝันเลื่อนเปื้อนหรือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกันแน่ รายละเอียดของทุกเหตุการณ์นั้นเลือนรางเหมือนเป็นภาพที่จมอยู่ในหมอกหนาทึบ สิ่งที่ติดตรึงแนบแน่นอยู่ในความทรงจำมีเพียง...ดวงตาสีเขียวดุจมรกตน้ำงาม และกลิ่นบุหรี่ผสมกลิ่นคาวเลือดอ่อนๆ เท่านั้น

“ตื่นแล้วเหรอลี”

ประตูห้องนอนเปิดออก พร้อมกับจอมใจ หญิงสาวร่างบางระหงในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเดินตรงมายืนข้างเตียง ใบหน้าพิมพ์เดียวกันกับเจนภพผู้เป็นน้องชายฉายชัดถึงความห่วงใยล้นปรี่ขณะก้มลงมองเพื่อนรัก เธอแตะหลังมือบนหน้าผากกลมมนของปณาลีอยู่ครู่หนึ่ง แล้วระบายลมหายใจยาวอย่างโล่งอก “ไข้ลดแล้วนี่ ดีจัง”

“ไข้? ฉันเป็นไข้เหรอ”

ปณาลีกะพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ ดวงตาของเธอเลื่อนลอยคล้ายยังจมอยู่ในห้วงฝัน ศีรษะของเธอหนักอึ้งเกินกว่าจะประมวลผลใดๆ ได้

“ก็เออน่ะสิ ตากฝนจนเปียกม่อล่อกม่อแล่กเป็นลูกหมาตกน้ำขนาดนั้น จะไม่เป็นไข้ได้ยังไงกันเล่า” จอมใจส่ายหน้าอย่างระอาใจ “เมื่อคืนไอ้เจนวิ่งพล่านตามหาแกจนถึงตีสาม นี่ถ้าแกไม่เดินตุปัดตุเป๋กลับมาบ้าน ไอ้เจนมันคงไปร้องไห้คร่ำครวญแจ้งความที่สถานีตำรวจแล้ว”

“บ้านแก? นี่ฉันอยู่บ้านแกเหรอจอม”

ปณาลีกวาดตามองไปรอบๆ ตัวก็เห็นว่าตนเองอยู่ในห้องนอนของจอมใจจริงๆ เสียด้วย...เธอกับจอมใจเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆ วิ่งนอกออกในบ้านของกันและกันจนทะลุปรุโปร่ง ยิ่งช่วงหลังเธอมาอาศัยค้างอ้างแรมที่นี่บ่อยๆ จึงจำรายละเอียดในห้องนอนบนชั้นสามของตึกแถวหน้าตลาดได้อย่างแม่นยำ

“ไอ้บ๊อง ก็บ้านฉันน่ะสิ พูดแปลกๆ” จอมใจระบายลมหายใจยาวพลางทิ้งตัวลงนั่งบนขอบฟูกข้างหญิงสาว “ถามจริงๆ เถอะ เกิดอะไรขึ้นกับแกกันแน่ ไอ้เจนบอกว่าจู่ๆ แกก็หายตัวไปเสียเฉยๆ ติดต่อก็ไม่ได้ รู้ไหมว่าเมื่อคืนมีเหตุยิงกันในลานจอดรถนั่นละ ไอ้เจนมันกลัวแทบบ้าว่าแกจะถูกลูกหลง”

ตอนที่เห็นเพื่อนสาวเดินโผเผมาหยุดยืนที่ถนนหน้าบ้านแล้วล้มลงหมดสติ จอมใจก็ร้องตะโกนเสียงดังให้บิดากับมารดามาช่วยกันอุ้มปณาลีเข้าไปในบ้าน ดีเท่าใดแล้วที่เธอมองลงมาจากหน้าต่างชั้นบนแล้วเห็นเข้าพอดี ไม่อย่างนั้นแม่เพื่อนคนสวยได้ถูกรถทับจนบี้แบนติดถนนแน่ๆ

“ฉัน...” ที่จริงปณาลีจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากลับมาที่บ้านของจอมใจได้อย่างไร “เดี๋ยวนะ...แกบอกว่า...ยิงกัน...ยิงกันงั้นเหรอ”

หญิงสาวยันตัวขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล สับสนจนแทบจับต้นชนปลายไม่ถูก ดวงตาคมซึ้งเต้นระริกเมื่อจู่ๆ ภาพอันเลือนรางในห้วงความคิดเริ่มชัดขึ้นทีละน้อย...ภาพการต่อสู้นองเลือดท่ามกลางเสียงกระสุนและเสียงตะโกนโหวกเหวกฟังแทบไม่ได้ศัพท์

“อื้อ” จอมใจขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าทางแปลกๆ ของเพื่อน “เป็นข่าวใหญ่น่าดูเชียวละ เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ชื่อดังพาอีหนูไปดูหนังรอบดึก แล้วถูกคู่อริยิงตายคาบันไดหนีไฟ พวกลูกน้องที่ตามอารักขาก็เลยเปิดฉากไล่ยิงอีกฝ่ายกลางลานจอดรถชั้นใต้ดินเลยนะ ตายกันหลายศพอยู่ จนป่านนี้ตำรวจยังระบุไม่ได้เลยว่าคนที่ตายเป็นฝ่ายไหนบ้าง”

ภาพชายเคราะห์ร้ายที่นั่งพิงผนังบันไดหนีไฟนั้นผุดขึ้นมาในสมองของปณาลีอีกครา

‘มานี่!’

เสียงทุ้มลึกที่ดังขึ้นในโสตประสาทเรียกให้ปณาลีต้องยกข้อมือของตนขึ้นมอง ก่อนจะตัวสั่นเทาขึ้นมาอย่างสุดจะห้ามได้ ผิวรอบๆ นั้นขึ้นรอยช้ำเป็นจ้ำ เห็นได้ชัดว่าถูกใครบางคนบีบแน่นอย่างไม่ปรานี...ใครบางคนที่มีมือใหญ่โตเสียจนน่าตกใจ

นี่หมายความว่า...เหตุการณ์ทั้งหมด...เป็นเรื่องจริง!

“ลี แกเป็นอะไรไป อย่านิ่งแบบนี้สิ ฉันกลัวนะ” จอมใจรวบมืออันสั่นระริกของหญิงสาวไว้แน่นอย่างพยายามเรียกสติ ดวงตาหลุบลงมองรอยช้ำบนข้อมือของอีกฝ่ายอย่างเป็นกังวล “มีใคร...รังแกหรือทำร้ายแกอีกหรือเปล่า หรือว่าไอ้ธำรงลุงแกมันเมาเลยตามมาหาเรื่องแกที่ร้านอีก”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเห็นรอยฟกช้ำหรือบาดแผลตามร่างกายของเพื่อน สมัยเรียนชั้นประถม ปณาลีมักไปโรงเรียนพร้อมรอยช้ำใหม่ๆ ไม่ซ้ำที่แทบทุกวัน จนครูประจำชั้นต้องเรียกผู้ปกครองมาพบเพื่อสอบถาม เรียกมาครั้งหนึ่งรอยช้ำก็จะหายไปราวสัปดาห์ก่อนจะเพิ่มใหม่อีก ทุกคนจึงพอเดาได้ว่าน่าจะเป็นฝีมือคนในครอบครัวนั่นเอง และเมื่อขึ้นชื่อว่าเรื่องในครอบครัวก็ไม่มีครูคนไหนกล้ายื่นมือเข้าไปยุ่งวุ่นวายมากจนเกินงาม ปณาลีจึงมีชีวิตในวัยเด็กแบบครึ่งคนครึ่งกะท้อน ถูกทุบจนน่วมไปทั้งตัว เดชะบุญว่าพ่อกับแม่ของจอมใจขู่ธำรงและดารณี ลุงกับป้าของหญิงสาวว่าหากไม่ลดละเลิกพฤติกรรมทำร้ายร่างกายหลานสาว จะไปแจ้งความจับเสียเลย สองคนนั้นจึงยอมรามือบ้าง

“ปละ...เปล่า...” ปณาลีส่ายศีรษะ ดวงหน้าซีดเผือดราวกระดาษ “ฉัน...ฉันเห็นเรื่องเมื่อคืน...”

“เรื่องเมื่อคืน?”

“ก็...ก็เรื่องที่คนยิงกันไง” หญิงสาวเอ่ยเสียงแหบแห้ง “ฉัน...ฉันอยู่ในเหตุการณ์ด้วย...”

“หา...” จอมใจเบิกตากว้าง “อย่าล้อเล่นน่าลี มันไม่ตลกนะ!”

“ไม่ได้ล้อเล่น ฉันเห็นจริงๆ แล้วฉัน...ก็คิดว่าฉัน...เห็นหน้าคนร้ายด้วย...” ปณาลีตัวสั่น เธอบีบมือเพื่อนแน่นเข้า “นี่ฉัน...ฉันควรทำยังไงดี ฉันควรไปหาตำรวจไหม ไปบอกเขาว่าฉันรู้เห็นอะไรบ้าง”

“นี่แกจะบอกว่าแกเห็นว่าใครยิงเสี่ยคนนั้นตายงั้นเหรอ”

จอมใจย่อฉายาเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์เหลือแค่เสี่ยเพื่อให้พูดสะดวกปากขึ้น

“ไม่...ตอนที่ฉันเจอเขา...เขาก็...ตายแล้ว...” ปณาลีส่ายหน้าช้าๆ ดวงตาฉายแววครุ่นคิดระคนหวาดกลัว “แต่ฉันเห็นเหตุการณ์ที่คนยิงสู้กันนะ...ตำรวจอาจต้องการพยาน...”

“อย่าแม้แต่จะคิดเชียวแม่พลเมืองดี แกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสี่ยนั่นมีเรื่องบาดหมางกับใครถึงถูกยิงระยะเผาขนขนาดนั้น ถ้าแกออกตัวเป็นพยานรู้เห็นแล้วถูกคนที่มีเรื่องกับเสี่ยคนนั้นสั่งเก็บจะทำยังไง”

“แต่...แต่มันมีคนตายนะแก ฉัน...ฉันไม่ควรนิ่งดูดายหรือเปล่า...” ปณาลีพูดอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง ยอมรับว่าเมื่อคิดตามที่จอมใจพูดแล้ว ใจหนึ่งก็เริ่มกลัวขึ้นมาบ้างเหมือนกัน ส่วนอีกใจ...ก็ไพล่นึกไปถึงดวงตาสีเขียวของชายหนุ่มผู้มีพระคุณในความทรงจำ ถ้าเธอปริปากพูด...เขาจะพลอยเดือดร้อนไปด้วยหรือเปล่า...

“ทำอย่างกับตอนนี้ชีวิตแกยังมีเรื่องวุ่นวายไม่พออย่างนั้นละ รอดตายมาได้นี่ก็ถือว่าบุญมากแล้ว ไม่ต้องหาเรื่องใส่ตัวเลยนะไอ้ลี อยู่เฉยๆ ให้ตำรวจสืบหาคนร้ายกันเองดีกว่า ตำรวจไทยถ้าคิดจะทำงานทำการกันจริงๆ จังๆ ละก็ เก่งไม่แพ้ชาติไหนในโลกนั่นละ”

จอมใจขึงตาดุ ปณาลีที่เธอรู้จักมาเกือบตลอดชีวิตเป็นคนรักความถูกต้อง ไม่ชอบเห็นใครถูกรังแก จึงชอบยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือจนตนเองต้องเดือดร้อนอยู่บ่อยครั้ง แต่กลับไม่ค่อยกล้ายืนหยัดสู้ยามถูกญาติพี่น้องของตนรังแกเสียนี่ ขัดใจชะมัด!

“ฉันไม่ได้รอดมาเอง...มีคนช่วยฉันเอาไว้ต่างหาก...” ปณาลีพึมพำเสียงแผ่ว เธอแตะปลายนิ้วบนริมฝีปากอย่างลืมตัว น่าแปลกที่เธอรู้สึกเหมือนสัมผัสจากฝ่ามือแข็งกระด้างของเขาคนนั้นยังคงประทับอยู่ไม่เลือนหาย...สัมผัสที่ทิ้งไอร้อนระอุไว้เหมือนถูกนาบด้วยถ่านร้อนจัด

‘ปลอดภัยแล้ว...’

เสียงของเขาดังแว่วอยู่ในสมอง เธอไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงช่วยเธอเอาไว้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมจึงรู้สึกไว้ใจเขาและเชื่อว่าตนจะปลอดภัยตามที่เขาบอก

“มีคนช่วย? ใคร?” จอมใจทำตาโต รีบขยับเข้าไปใกล้ปณาลีอย่างกระตือรือร้น “นี่แกมีพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยด้วยเหรอเนี่ย”

“ฉัน...ฉันไม่รู้จักเขาหรอก” ปณาลีส่ายศีรษะเนือยๆ พิษไข้ที่ยังหลงเหลืออยู่ทำให้เธอรู้สึกปวดขมับตุบๆ “แล้ว...ฉันก็ไม่รู้จะเรียกเขาว่าเจ้าชายขี่ม้าขาวได้หรือเปล่า เพราะ...เขาเองก็...มีปืนด้วยเหมือนกัน...”

“หา! มีปืน!”

“อือ...” หญิงสาวพยักหน้า เตรียมใจไว้แล้วว่าเพื่อนสาวจะต้องโวยวายเสียงดังสนั่นหวั่นไหวเช่นนี้ “เขา...เอ่อ...ยิง...ยิงคนอีกกลุ่มแล้วช่วยฉันเอาไว้”

“หา!” ครั้งนี้จอมใจร้องเสียงแหลมกว่าเดิม “งั้น...ที่...ที่แกบอกว่าเห็นหน้าคนร้ายนี่หมายถึงคนที่ช่วยแกงั้นเหรอ โอย ตายๆๆ!”

“ฉัน...ก็ไม่แน่ใจอีกนั่นละว่าจะเรียกเขาว่าคนร้ายได้หรือเปล่า ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนฉันตั้งตัวไม่ทัน รู้แค่...เขาคงไม่ใช่ฝ่ายเดียวกันกับพวกที่ยิงใส่ฉันแน่...”

ปณาลีหลุบตาลง ภาพเหตุการณ์อันสับสนวุ่นวายผุดขึ้นมาในห้วงความคิดเป็นระยะ

“เดี๋ยวนะ...” จอมใจทำท่าเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ “แกบอกว่าแกเห็นหน้าคนร้าย แล้ว...แล้วพวกนั้นเห็นหน้าแกหรือเปล่าลี”

“ก็คงเห็น ฉันยังเห็นหน้าพวกเขาเลยนี่” หญิงสาวเข้าใจความนัยของสิ่งที่เพื่อนพูดในทันที

“โอ๊ย! ฉันอยากจะบ้าตาย ถ้าพวกมันตามมาเก็บแกจะทำยังไงกันดีล่ะเนี่ย”

“ฉันคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอกมั้ง”

ปณาลีหัวเราะเสียงแห้ง ในขณะที่คนฟังกลอกตามองเพดานแล้วทำหน้าเหมือนโลกจะถล่ม

“แล้วแกเคยโชคดีเหมือนชาวบ้านชาวช่องด้วยหรือไงยะ” จอมใจอยากทึ้งผมตนเองแก้เครียดยิ่งนัก “ฉันขอใช้สิทธิ์ความเป็นเพื่อนห้ามแกไปขายของที่ร้านสักพัก อย่างน้อยก็จนกว่าตำรวจจะจับพวกคนร้ายได้”

“ทำอย่างนั้นได้ที่ไหนกันเล่า แกก็รู้นี่ว่ากว่าฉันจะรวบรวมเงินมาเปิดร้านได้ เลือดตาแทบกระเด็น ถ้าฉันหยุดขายไปเฉยๆ จะหาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าเช่าร้าน”

“ก็เอาเงินที่ยายดาหวันไง เก็บค่าลิขสิทธิ์เสียเลย ไหนๆ ก็ขโมยงานออกแบบของแกไปหากินจนได้ดิบได้ดี ได้ทำงานกับบริษัทใหญ่โตแล้วนี่”

“แกกับเจนนี่สมกับเป็นพี่น้องกันจริงๆ ทำไมถึงชอบพูดเรื่องพี่หวันกันนักนะ เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว อย่าพูดถึงมันอีกเลยจะดีกว่า” ปณาลีถอนใจ มือเรียวขยุ้มผ้าห่มบนตักแน่นเข้าโดยไม่รู้ตัว “อีกอย่างนะ เราก็ไม่มีหลักฐานอะไรไปปรักปรำพี่หวันว่าเขาขโมยแบบจากสมุดสเก็ตช์ของฉันเสียหน่อย คิดๆ ดูแล้ว ที่มันคล้ายกันก็อาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ได้”

“เหมือนอย่างกับถ่ายสำเนาเอกสารขนาดนั้นเรียกว่าคล้ายไม่ได้หรอกย่ะ ลอกแกมาทั้งดุ้นชัดๆ” จอมใจทำหน้าเบ้ “ฉันเห็นแกสเก็ตช์แบบเสื้อพวกนั้นส่งอาจารย์กับตา ยายพี่หวันของแกกลับมาจากอิตาลีหลังจากนั้นตั้งหลายเดือน คิดๆ แล้วก็แค้นใจจริงๆ ไปเรียนออกแบบเสื้อผ้าที่อิตาลีก็ใช้เงินของแก กลับมาก็ยังขโมยแบบเสื้อแกไปประกวดจนได้งานได้การทำ หน้าด้านกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว”

“พี่หวันมีงานมีการทำก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ จะได้ไม่ต้องมาเอาเงินฉันอีก”

ปณาลีไม่ค่อยชอบเอ่ยถึงญาติผู้พี่ของตนเท่าใดนัก ที่จริงเธอมีญาติเหลือให้เอ่ยถึงเพียงแค่ลุงกับป้าและดาหวันเท่านั้น แต่บางครั้งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสมควรนับญาติกับคนพวกนั้นดีหรือไม่ ก็พวกเขาไม่เคยคิดว่าเธอเป็นลูกหลานเลยไม่ใช่หรือ

“พูดอย่างกับเหลือเงินให้ยายคนหัวสูงนั่นถลุงอีกอย่างนั้นละ ถ้าไม่เพราะยายนั่นเอาเงินที่พ่อกับแม่แกเก็บหอมรอมริบไว้เป็นทุนการศึกษาของแกไปผลาญจนหมด แกก็คงไม่ต้องดรอปเรียนกลางคันแล้วมานั่งหาเงินเรียนต่องกๆ อย่างนี้หรอก”

บิดาและมารดาผู้ล่วงลับของปณาลีมาจากตระกูลของผู้ดีมีเงินทั้งคู่ แม้จะไม่ได้ร่ำรวยชนิดมีเงินถุงเงินถังเป็นร้อยล้านพันล้าน แต่ก็มีเงินเก็บก้อนโตไว้ให้ลูกสาวเรียนจนจบโดยไม่ต้องหยิบยืมหรือขอทุนการศึกษาใดๆ จนจบระดับปริญญาเอกได้สบายๆ หากไม่เพราะเสียชีวิตไปเพราะอุบัติเหตุอันไม่คาดฝัน ชีวิตของปณาลีคงไม่ต้องระหกระเหินไปอยู่กับลุงกับป้าใจยักษ์ผู้ซึ่งเมื่อธุรกิจอันเฟื่องฟูของตนล่มสลายก็ใช้สิทธิ์ความเป็นผู้ปกครองเข้าถลุงเงินของหลานแท้ๆ จนไม่เหลือแม้แต่แดงเดียวเช่นนี้

ที่น่าเจ็บใจที่สุดคือ...ลุงกับป้าของปณาลีใช้เงินทุนการศึกษาของปณาลีโดยไม่บอกเจ้าของแม้แต่คำเดียว อ้างแต่เรื่องความกตัญญู บุญคุณต้องทดแทน แต่มีหนี้ดันไม่ชำระเสียนี่ จอมใจยังจำวันที่ปณาลีร้องไห้เหมือนฟ้าถล่มดินทลายได้ติดตา จู่ๆ ก็เหมือนถูกบังคับให้ต้องเลิกเรียนทั้งที่มีความสามารถระดับแถวหน้าของคณะแท้ๆ

“ก็เพราะแบบนี้ฉันถึงหยุดขายของไม่ได้ไง”

ปณาลีฝืนยิ้ม ใช่ว่าเธอไม่รู้สึกขมขื่นใจเรื่องที่ต้องดรอปเรียนเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเทอมทั้งที่กำลังจะเรียนจบอยู่แล้ว เพียงแต่การฟูมฟายและร้องไห้คร่ำครวญไม่ช่วยแก้ปัญหาใดๆ ทางเลือกเดียวที่มีคือพุ่งเข้าชนปัญหาและหาทางแก้ไขอย่างมีสติที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ฉันไม่ได้บอกให้หยุดขายของ แต่ให้ไอ้เจนกับไอ้ก้องไปขายแทนจะดีกว่า ส่วนแกก็นับเงินแล้วก็นั่งทำชุดเพิ่มไป ไม่ต้องไปโผล่หน้าแถวนั้นสักพักจะดีที่สุด”

จอมใจระบายลมหายใจยาวแทบหมดปอด สงสารเพื่อนจับใจ หากเธอมีเงินถุงเงินถังคงพอช่วยเหลือเรื่องการเงินได้บ้าง แต่เธอก็เป็นเพียงลูกสาวร้านขายข้าวแกงเล็กๆ ไม่ได้ร่ำรวยอะไร จึงหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ได้เพียงเท่านี้

“ไอ้เจนกับไอ้ก้องน่ะตัวไล่ลูกค้าเลยนะ ถ้าให้สองคนนั้นไปขาย รับรองว่าลูกค้าประจำหายหมดพอดี แกก็น่าจะรู้ว่าเวลาสองคนนั้นอยู่ด้วยกันทำร้านฉันวุ่นวายแค่ไหน”

แค่เจนภพมายืนทำหน้าบึ้งเฝ้าร้านคนเดียว ลูกค้ายังไม่ค่อยอยากเข้า หากมีเพื่อนสนิทของเขาที่ชอบตีหน้ามึนไม่รับแขกไปเสริมทัพอีกคน ดูท่าเธอคงต้องม้วนเสื่อปิดร้านเป็นการถาวรแน่

ก้องหล้าเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของแม่ค้าขายพวงมาลัยเจ้าใหญ่ของปากคลองตลาด แม้จะเป็นคนหัวช้า เรียนไม่เก่งและชอบเที่ยวเตร่ไม่เป็นโล้เป็นพายเท่าใดนัก แต่เขาก็นับเป็นคนจิตใจดี ช่างเป็นห่วงเป็นใยคนรอบข้างอยู่เสมอ ทว่าข้อเสียข้อใหญ่ของเขาก็คือ ‘ปาก’ ก้องหล้านั้นปากคอเราะรายตะเภาเดียวกันกับเจนภพนั่นละ ฉะนั้นยามที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันทีไร เป็นได้เปิดศึกฉะกับดุจเดือนที่เปิดร้านอยู่ฝั่งตรงข้ามจนลูกค้าพากันไม่กล้าเข้ามาซื้อสินค้าทุกครั้งไป

“แหม...แกไม่ไปขายเองพวกลูกค้าหนุ่มๆ ก็ไม่ไปซื้อหรอกย่ะ แต่ลูกค้าสาวๆ ที่เป็นทาร์เกตของเสื้อผ้าแกจะมารุมทึ้งกันตรึม”

“รุมทึ้งพ่อค้าน่ะสิ” หญิงสาวยิ้มแห้ง

เจนภพเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดี ก้องหล้าเองก็เช่นกัน ถึงจะสูงชะลูดและชอบไว้ผมยาวฟูฟ่องล่องลอยตามแบบนักร้องมาดเซอร์ในดวงใจ แต่หนุ่มเชื้อสายจีนผู้นี้ก็มีใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูไม่แพ้เพื่อนรักเลยสักนิด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่สาวๆ จะพากันชม้ายชายตาให้พวกเขาอยู่เสมอ

‘ทึ้งให้ตาย ไอ้เจนมันก็ไม่สนร้อก...’

จอมใจส่ายหน้าอย่างระอาใจ ทำไมเธอจะดูไม่ออกว่าน้องชายตัวดีรู้สึกอย่างไรกับเพื่อนสนิทของเธอ และยังรู้อีกด้วยว่าเป็นไปไม่ได้ ปณาลีไม่มีทางรู้สึกอะไรกับไอ้ตัวแสบมากไปกว่าเป็นเพียงน้องชายคนหนึ่งแน่ๆ

“จะยังไงก็ช่าง แกห้ามไปขายของเด็ดขาด ฉันไม่อยากให้แกต้องเสี่ยงอันตรายมากไปกว่านี้ ฉะนั้นโทร. ไปบอกไอ้เจนเลยว่าเย็นนี้ให้ไอ้ก้องมาขับรถเอาของไปเปิดร้านให้ มันออกไปหาไอ้ก้องพอดีจะได้ไม่ต้องเสียเงินโทร. หลายรอบ”

จอมใจคิดสะระตะแล้วจึงตัดสินใจเองเสร็จสรรพ แม้เจนภพจะขับรถกระบะได้อย่างคล่องแคล่ว แต่เขาก็ยังไม่มีใบขับขี่ จึงจำเป็นต้องให้ก้องหล้าที่อายุมากกว่าหนึ่งปีและสอบใบขับขี่ผ่านแล้วนั่งไปเป็นเพื่อนด้วยเป็นการดีที่สุด

“แต่...”

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ตอนนี้แกยังไม่สร่างไข้ดี ยังไงก็ไปขายของไม่ได้อยู่แล้ว” หญิงสาวจอมห้าวหาญประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ทำเสียงเข้ม พลางลุกไปหยิบกระเป๋าย่ามที่วางกองอยู่มุมห้องมาส่งให้ปณาลี “โทร. ไปหาไอ้เจนเลย ป่านนี้มันคงอยากได้ยินเสียงแกเต็มแก่แล้ว”

“ไอ้จอมเผด็จการ” หญิงสาวเอ่ยพลางยิ้มจืดเจื่อน ควานมือลงไปในกระเป๋าที่ยังคงเปียกชื้นน้ำฝนอยู่ แม้จะแสร้งทำปากร้ายเปลี่ยนชื่อจริงให้เพื่อนคล้ายหงุดหงิดเต็มทน แต่หัวใจกลับอบอุ่นที่อย่างน้อยยังมีคนคอยห่วงใยตนอยู่เสมอ “เอ๊ะ...”

เรียวคิ้วโก่งงามขมวดเข้าหากัน เมื่อมือสัมผัสเข้ากับวัตถุเย็นเฉียบบางอย่างที่หนาและหนักเกินกว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือโกโรโกโสที่ใช้อยู่เป็นประจำได้

“มีอะไรเหรอลี” จอมใจเอ่ยถาม ก่อนจะต้องอ้าปากค้างทันทีที่เห็นวัตถุสีดำทะมึนที่ปณาลีดึงออกมาจากย่าม “นั่น...นั่นมัน...”

ปืน!

 

เลือกสิ คาสรา เจ้าอยากได้แหวนวงไหน”

ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมองกล่องไม้เก่าคร่ำคร่าที่ถูกยื่นมาเบื้องหน้า เขากะพริบตาปริบๆ อย่างงุนงงอยู่ครู่ใหญ่

คาสรา...คือชื่อของเขาอย่างนั้นหรือ...

คุ้น...เหมือนเคยมีคนเรียกเขาเช่นนั้นมาก่อน ทว่าเนิ่นนานเสียจนแทบจำไม่ได้แล้ว

“ถ้าเจ้ายังไม่เลือก เช่นนั้นก็ให้เควานเลือกก่อนดีหรือไม่”

มือขาวซีดประคองกล่องไม้แล้วยื่นไปหาใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างเขา ชายหนุ่มผู้นั้นมีสีผิวอ่อนกว่าเขาราวหนึ่งเฉด ซ้ำยังมีรูปร่างเพรียวกว่าเล็กน้อยจึงดูสูงศักดิ์ประหนึ่งปราชญ์ผู้ทรงภูมิ ดูมือคู่นั้นปะไรเล่า งามดุจมือของสตรีในขณะที่มือของเขากลับหยาบกร้านประสาคนที่จับแต่ดาบและธนูมาตั้งแต่จำความได้

เดี๋ยวก่อน...จำความได้อะไรกัน เขามีความทรงจำใดหลงเหลืออยู่ในกะโหลกหนาๆ นี้ด้วยหรือ...

“ให้พี่เลือกก่อนเถอะ”

ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าเควานเหลือบตามองเขาครู่หนึ่ง แม้จะเป็นเพียงครู่สั้นๆ แต่เขากลับเห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวกำลังส่งสัญญาณมาให้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ ‘มาก’ และควรล่าถอยโดยเร็วที่สุด

ไอ้หนุ่มหน้าหวานคนนี้เป็นน้องชายของเรา? ไม่...เราไม่มีน้องชาย...

“เลือก?”

เขาหลุบตามองแหวนหลายวงที่เรียงรายอยู่ในกล่องไม้ รูปทรงของแหวนเหล่านั้นแปลกตาและดูล้ำค่าอย่างยิ่ง ทว่ามีกลิ่นอายชวนขนลุกลอยอวลอยู่โดยรอบ อัญมณีหลากสีสันบนตัวเรือนคล้ายกำลังแผ่รัศมีแห่งความชั่วร้ายออกมาอย่างแรงกล้า แต่ไม่รู้ทำไมจึงดึงดูดใจเขาจนเกินต้านทานไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวงที่ขึ้นรูปและแกะสลักเป็นมือสีทองสุกปลั่งกำลังประคองอัญมณีสีแดงแก่ก่ำดุจหยาดโลหิตที่ติดปลายคมดาบยามเขาออกรบ

“ชอบใช่ไหมเล่า”

คนพูดเค้นเสียงแหบต่ำลอดไรฟันเรียกให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมอง บุรุษผู้นี้พูดจาประหลาดนัก นอกจากสำเนียงจะแปร่งหูแล้ว ยังเค้นเสียงพร้อมพ่นลมลอดไรฟันฟังคล้ายเสียงงูขู่ฟ่อๆ ใบหน้าหรือก็ซีดขาวไร้สีเลือดเหมือนซากศพ แม้จะยังคงเห็นเค้าโครงของความหล่อเหลาแต่หนหลังอยู่บ้าง แต่รอยช้ำสีม่วงจางๆ ที่กระจายอยู่บนผิวหน้าได้ทอนความน่ามองลงไปกว่าครึ่ง เจ้าตัวเองก็คงรู้ดีจึงได้คลุมผ้าปิดหน้าปิดตามิดชิดเช่นนี้

“ข้าไม่นิยมเครื่องประดับ”

เขาหักใจตอบออกไปทั้งที่ยังจับจ้องแหวนวงเดิมไม่วางตา

“รู้ไหม บางครั้งเครื่องประดับก็เลือกเจ้าของนะ” ริมฝีปากที่แตกระแหงจนเป็นขุยแย้มออกเป็นรอยยิ้มกว้าง “และดูเหมือนแหวนวงนี้ได้เลือกเจ้าแล้ว”

“เลือกข้า?”

เรียวคิ้วเข้มขมวดนิดๆ อย่างคลางแคลงใจ เกือบขำ แต่ไม่ขำ เมื่อเห็นดวงตาสีเข้มลึกเหมือนหลุมดำของอีกฝ่าย

“ไม่เชื่อหรือ? ไม่เชื่อก็ลองแตะดูสิ แล้วจะรู้ว่าจริงหรือไม่”

มือซีดขาวยื่นกล่องไม้มายังเบื้องหน้าเขาอีกครั้ง ประกายวาววามของอัญมณีที่ส่องเข้าตานั้นช่างยั่วยวนเสียจนเขาอดเอื้อมมือไปสัมผัสไม่ได้ น่าแปลก...ที่พื้นผิวของหินสูงค่าซึ่งควรจะเย็นเฉียบกลับร้อนจัดราวถูกเผาด้วยเพลิงกาฬ!

“พี่!”

เควานรีบกระชากมือผู้เป็นพี่ ทว่า...ช้าเกินไป จู่ๆ เปลวเพลิงสีน้ำเงินอันไม่รู้ที่มาก็ลุกพึ่บและลามจากปลายนิ้วขึ้นสู่ท่อนแขนของเขาอย่างรวดเร็ว

“อ๊าก!”

เขาร้องโหยหวนขณะที่ถูกเพลิงร้อนระอุแผดเผาจนล้มกลิ้งทุรนทุรายไปบนผืนทราย ความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนอันมากมายมหาศาลนั้นยังไม่อาจเทียบเท่ากับความรู้สึกตื่นกลัวที่เพิ่งรู้สึกเป็นครั้งแรกในชีวิตได้ ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นไฟสีน้ำเงินกลืนกินเนื้อหนังของเขาในชั่วพริบตาจนเหลือแต่โครงกระดูกขาวโพลน!

ไม่! ไม่! ไม่!

 

ไม่!”

ชายหนุ่มตะโกนก้องก่อนจะลุกพรวดขึ้นนั่งหายใจหอบ รีบก้มมองสองมืออันสั่นเทา ดวงตาสีมรกตเต้นระริกในความมืด แม้จะเห็นชัดกับตาว่ามือของตนอยู่ในสภาพปกติดี แต่ก็ยังลองขยับไปมาเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นอยู่ในขณะนี้ไม่ใช่เพียงภาพลวงตา ราวห้านาทีเศษกว่าเขาจะทำใจเชื่อได้ว่าตนได้หลุดพ้นจากฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนมายาวนาน...ทว่านานเท่าใดเขาก็จำไม่ได้เสียแล้ว เหมือนที่เขาจำเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับตนเองไม่ได้เลยสักอย่างเดียวนั่นละ

ชื่อ...อายุ...เชื้อชาติ...ไม่รู้ ‘ที่มา’ และไม่แน่ใจ ‘ที่ไป’ ต่อจากนี้เลยด้วยซ้ำ...

“คาสรา...”

เขาเปล่งเสียงแหบต่ำแบบคนเพิ่งตื่นนอนออกมาสั้นๆ รู้สึกคุ้นเคยกับชื่อที่ถูกเรียกขานในความฝันนั้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ความรู้สึกโหยหาระคนโกรธเกรี้ยวเอ่อล้นขึ้นมาจนแน่นอกเมื่อในหูแว่วเสียงเพรียกอีกชื่อหนึ่งตามมา

เควาน...

เขากัดกรามแน่นอย่างพยายามข่มอารมณ์ ไม่รู้ทำไมจึงรู้สึกเคืองแค้นทุกครั้งที่ได้ยินชื่อนี้ ทั้งที่ในความฝันเจ้าตัวก็เป็นคนร้องห้ามไม่ให้เขาสัมผัสแหวนวงนั้น

ไอ้หมอนั่นเป็นน้องชายของเขาจริงๆ หรือ...

ไม่ว่าจะขบคิดอย่างหนักเพียงใด เขาก็นึกไม่ออกเลยว่าก่อนหน้านี้ตนมีชีวิตแบบใดบ้าง แม้จะมีภาพฝันแปลกประหลาดเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ ทว่าเขากลับไม่อาจรู้ได้ว่าสถานที่ที่เห็นในความฝันอันเลื่อนเปื้อนนั้นอยู่ที่ใด และไม่รู้ด้วยว่าจะตามหาคนที่อยู่ร่วมในห้วงนิทราได้จากที่ไหน

ครืด...

โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างหมอนเต้นเร่า ไฟสีฟ้าจากหน้าจอส่องสว่างท่ามกลางความมืด เขาเหลือบมองชื่อที่อยู่บนหน้าจอครู่หนึ่งก่อนจะถอดเสื้อยืดที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อกาฬออกจากร่างกำยำโยนลงบนพื้น จากนั้นจึงกดรับสายอย่างเสียไม่ได้

“ได้ข่าวว่า ‘เก็บกวาดขยะ’ ไม่เรียบร้อยอย่างนั้นเหรอ 666”

เสียงปลายสายเอ่ยเข้าประเด็นโดยไม่รอให้เขาทักทาย ด้วยรู้ดีว่าเขาไม่เคยรักษามารยาท

“ผมเก็บกวาดตามสมควรไปแล้วคุณพ่อ”

แม้ประโยคจะห้วนสั้น แต่น้ำเสียงของเขาแสดงความนอบน้อมอย่างที่สุด

“ตามสมควรของแกยังไม่ดีพอสำหรับพ่อ ไอ้ลูกชาย” ปลายสายหัวเราะเสียงเย็น “ไร้ร่องรอยแล้วก็ควรไร้พยานด้วยสิ”

“ผ่านมาเกือบอาทิตย์แล้ว เรื่องก็ยังเงียบดีอยู่นี่”

เขาไม่ได้เอ่ยออกมาตรงๆ แต่คนที่อยู่อีกด้านของโทรศัพท์รับรู้ได้ทันทีว่าเป็นคำปฏิเสธกลายๆ

“พยานสวยมากหรือไง ถึงตัดใจเก็บกวาดไม่ลง”

“คงมีคนรายงานคุณพ่อหมดแล้ว ผมคงไม่ต้องอธิบายอะไรอีก”

สีหน้าของเขานิ่งสนิทพอๆ กับน้ำเสียง ทว่าดวงตาวาวโรจน์อย่างขุ่นเคือง รู้ดีว่าใครเป็นคนคาบข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นไปฟ้องนายเหนือหัว...ไอ้เด่นหล้า!

“แกคิดว่าพ่อโทร. มาหาแกตอนตีสามเพื่อจับผิดแกงั้นเหรอ 666”

เสียงของคนที่ถูกเรียกขานว่าคุณพ่อกดลงต่ำนิดๆ คล้ายไม่พอใจ

“ผมไม่กล้าคิดแบบนั้นแน่”

เขารู้ว่าคุณพ่อมีบุญคุณกับตนเองมากเพียงใด ทว่าเด็กคนนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ควรต้องมาจบชีวิตลงเพียงเพราะจับพลัดจับผลูมาอยู่ในเหตุการณ์นองเลือดคืนนั้นเลย

“แกน่าจะรู้ว่าพ่อหวังดีกับแกเสมอ” ปลายสายผ่อนเสียงนุ่มนวลลงนิดหนึ่งยามจับกระแสแห่งความขุ่นเคืองจากคู่สนทนาได้ “เด็กคนนั้นเห็นหน้าแกหรือเปล่า 666”

“มันมืด...คิดว่าน่าจะเห็นไม่ชัด”

เป็นครั้งแรกในรอบสามสิบปีที่เขาโกหก ‘คุณพ่อ’ ผู้มีพระคุณใหญ่หลวง แต่เมื่อนึกถึงดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เต้นระริกด้วยความหวาดกลัวของสาวน้อยคนนั้น เขาก็หักใจเปิดช่องให้อีกฝ่ายทำร้ายเธอไม่ลง นับเป็นครั้งแรกในชีวิตอีกเช่นกันที่เขา...ใจอ่อน...

“มืด? ไอ้เด่นเห็นหน้าเด็กคนนั้นชัดจนบรรยายได้เป็นฉากๆ แล้วมีหรือที่จะมองไม่เห็นหน้าแก” เสียงหัวเราะติดจะเยาะหยันนิดๆ ทำให้คนฟังรู้สึกคันมือยุบยิบอยากจะกดวางสายขึ้นมาเสียเฉยๆ “เอาเถอะ ถ้าแกยืนยันว่าเจ้าหล่อนไม่เห็น ฉันก็จะไม่ก้าวก่าย แต่ถ้ามีเรื่องวุ่นวายตามมา แกต้องรับผิดชอบนะ 666”

“ผมรู้” ชายหนุ่มลอบระบายลมหายใจยาวอย่างอึดอัดใจที่ต้องปิดบังบางเรื่องไว้เป็นความลับ

“รู้ให้มันจริงเถอะ”

“ผมบอกว่ารู้-ก็-คือ-รู้”

เขาเน้นทีละคำช้าๆ ชัดๆ จนคนฟังอดแค่นหัวเราะอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นักไม่ได้

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ รู้ก็ดีแล้ว อย่าให้มีเรื่องเดือดร้อนมาถึงพ่อก็แล้วกัน เข้าใจไหม”

“ผมคอยจับตาดูอยู่ รับรองว่าไม่มีเรื่องเดือดร้อนไปถึงคุณพ่อแน่”

พูดจบเขาก็กดตัดสายทันทีเช่นทุกครั้งที่จบบทสนทนาระหว่างกัน เขายกมือคลึงท้ายทอยอย่างอ่อนล้า คิ้วเข้มขมวดนิดๆ ยามปลายนิ้วชี้สัมผัสกับรอยประทับปูดนูนที่ซ่อนอยู่ใต้ไรผม...ที่จริงน่าจะเรียกว่ารอยแผลเป็นเสียมากกว่า เขาจำไม่ได้ว่าไอ้รอยนูนคล้ายถูกนาบด้วยเหล็กร้อนๆ นี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ตอนที่เขาลืมตาตื่นขึ้นเมื่อห้าสิบปีก่อนมันก็อยู่บนศีรษะเส็งเคร็งของเขาอยู่แล้ว รอยนั้นเป็นตัวเลขอารบิกสามตัวเรียงกันเป็นแถว หมายเลข...666...อันเป็นที่มาของชื่อที่คนรอบตัวใช้เรียกขานเขา

จะว่าไป...คนรอบตัวเขาที่ว่าก็มีแค่คุณพ่อ ไอ้สารเลวเด่นหล้า และเจ๊จง เพียงสามคนเท่านั้นนั่นละ...

สามคน...ที่ต่อให้ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายล่วงหน้าไปก่อนเขาอีกร้อยชาติ เขาก็ยังไม่มีโอกาสได้แก่ตัวหรือตายตามพวกนั้นไปได้...

ชายหนุ่มปิดเปลือกตาลงช้าๆ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองเป็น ‘ตัวอะไร’ กันแน่ วินาทีที่ได้สติจากนิทราอันยาวนาน เขาก็อยู่ในประเทศที่มีแสงแดดแผดจ้าแห่งนี้แล้ว ก้าวแรกในการดำรงชีวิตของเขาเป็นไปอย่างยากลำบากด้วยไม่เข้าใจทั้งภาษาและวัฒนธรรม ก่อนที่ ‘คุณพ่อคนแรก’ จะยื่นมือให้ความช่วยเหลือและชุบเลี้ยงจนอยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ ดังนั้นเขาจึงสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อคนในตระกูลนั้นยิ่งชีพ จนแม้ถูกส่งต่อให้ ‘คุณพ่อคนที่สอง’ แล้วคำสัตย์สาบานนั้นก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ตลอดระยะเวลาห้าหกปีมานี้ คุณพ่อคนใหม่เริ่มสั่งงานถี่จนเขาเริ่มตั้งคำถามกับตนเองบ่อยครั้งว่านี่เขา...กำลังทำอะไรอยู่

ในตอนนั้นเองที่ภาพดวงตาใสแจ๋วเหมือนตากวางลอยเข้ามาในห้วงความคิด ใส...กระจ่างและดึงดูดสายตาแม้จะฉายชัดถึงความหวาดกลัวระคนตื่นตระหนก ดวงตาที่สะท้อนภาพปีศาจร้ายเช่นเขาเอาไว้อย่างน่าอดสูใจ...ชายหนุ่มถอนใจอีกคำรบก่อนจะลืมตาขึ้น มองฝ่าความมืดไปยังซองปืนอันว่างเปล่าที่แขวนอยู่ริมหน้าต่าง

เขาภาวนาให้แม่สาวน้อยคนนั้นปิดปากให้สนิท มิเช่นนั้นละก็เขาคงต้องลงมือเก็บกวาดทั้งที่ไม่อยากทำ!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น