บทที่ ๑๐
“หมดเวลาครับ”
เสียงของมัทธีอัสดึงปณาลีออกจากห้วงภวังค์แห่งความคิด เธอเงยหน้าขึ้นจากกระดาษเพียงเพื่อจะพบว่ามือไม้ของตนเองเปรอะเปื้อนคราบสีจากหมึกของปากกาโคปิกเต็มไปหมดตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้...ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เธอมักปล่อยใจให้จมดิ่งไปในกระแสธารเวลาสเก็ตช์ภาพต่างๆ อยู่เสมอ เพราะนี่เป็นวิธีเดียวที่ช่วยให้เธอหลุดพ้นจากความโหดร้ายที่พบเจอจากครอบครัวของลุงกับป้าใจโหดได้ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอตั้งใจว่าจะไม่หนีอีกต่อไป และจะใช้การสเก็ตช์ภาพนี้เพื่อตนเองอย่างแท้จริง
เธอจะไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างของดาหวันหรือใครอีกต่อไปแล้ว!
“มิสดาหวันครับ หมดเวลาแล้ว”
ประธานหนุ่มของเครือดรากอสกระแอมเบาๆ เป็นเชิงเตือน ดาหวันจึงยอมวางปากกาลงอย่างเสียไม่ได้ สีหน้าและแววตาของเธอไม่สู้ดีนักยามก้มลงมองผลงานตรงหน้า เสื้อฮูดดีที่เธอร่างแบบไว้นั้นเรียบมาก เรียบ...จนเหมือนไม่มีอะไรนอกจากดอกกุหลาบแดงบนอกข้างซ้ายบนตำแหน่งของหัวใจเพียงดอกเดียว มีเส้นสายสีแดงตรงชายเสื้ออีกนิดหน่อยเท่านั้น เธอรู้ดีว่าเป็นการออกแบบที่แม้แต่เด็กประถมก็ยังทำได้ และมัทธีอัสน่าจะไม่พอใจแน่
ลินดาหันไปสบตาเจ้านายก่อนจะเดินไปหยิบแบบสเก็ตช์ของทั้งปณาลีและดาหวันมาส่งให้เขา ใบหน้าของเธอเรียบเฉยจนไทยมุงที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่เดาไม่ออกว่าเลขานุการจอมเฮี้ยบประจำตัวของท่านประธานคิดอย่างไรกับภาพสเก็ตช์ที่อยู่ในมือกันแน่
มัทธีอัสรับกระดาษมาจากหญิงสาวแล้วกวาดตามองเร็วๆ ครู่หนึ่ง ดวงตาสีฟ้าทอประกายประหลาดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
“คุณแพนครับ” มัทธีอัสวางกระดาษเรียงบนโต๊ะ ก่อนจะผายมือเป็นเชิงเชื้อเชิญหัวหน้าทีมดีไซเนอร์ให้มาดูผลงานทั้งหมดด้วยกัน “ผมอยากรู้ว่าคุณคิดยังไงกับภาพสเก็ตช์พวกนี้บ้าง”
ปานเทพเดินตรงไปยืนมองภาพสเก็ตช์บนโต๊ะอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายเหมือนไม่เชื่อสายตาตนเอง
“ลายเส้น...เหมือนกันมาก...”
แต่กลับให้ความรู้สึกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ยิ่งวางเทียบข้างๆ กันแบบนี้ยิ่งเห็นได้ชัดว่าใครเหนือกว่าและคนนั้นไม่ใช่ดาหวันแน่ งานของเธอแข็งทื่อไร้ชีวิตชีวาและปราศจากความคิดสร้างสรรค์อย่างที่ควรเป็น ในขณะที่ลายเส้นของปณาลีหนักแน่นแสดงถึงความมั่นใจและเปี่ยมพลังอย่างน่าทึ่ง หญิงสาวร่างแบบเสื้อฮูดดีแขนยาวขึ้นเพียงแบบเดียว แต่มีรายละเอียดสวยงามเกินกว่าจะเรียกว่าเป็นเพียงแบบร่าง ตัวเสื้อเป็นสีขาวออฟไวต์ มองจากด้านหน้าอาจดูเรียบๆ ทว่าทางด้านหลังมีก้านกุหลาบสีเขียวสดหยัดต้นกางใบสะพรั่งและล้อมด้วยเถาวัลย์หนามดูอ่อนช้อย ช่วงรอยต่อระหว่างเสื้อกับฮู้ดมีกลีบเลี้ยงรองรับดอกกุหลาบสีแดงสดที่เบ่งบานอยู่เต็มพื้นที่ของฮูดคลุมศีรษะ ไม่สิ...ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ส่วนที่เป็นฮูดนั้นถูกออกแบบให้ตัดเย็บเป็นกลีบซ้อนกันจนเป็นกุหลาบวาเลนไทน์ดอกโตอย่างเก๋ไก๋ ในหน้ากระดาษเดียวกันนั้นมีตัวอักษรเขียนกำกับเรื่องวัสดุที่ใช้และแบบของกลีบดอกไม้อย่างเป็นระเบียบ อีกทั้งยังระบุว่ามีเสื้ออีกสองสีด้วยกันคือสีดำและสีแดง ซึ่งกุหลาบบนสีแดงนั้นเป็นกุหลาบดำอันหมายถึงรักอมตะ
มองเท่านี้ก็รู้แล้วว่าใครจะชนะ
ปานเทพหันไปมองดาหวันที่นั่งหน้าซีดอยู่ด้วยความรู้สึกทั้งโกรธและผิดหวัง เขาไม่ได้โกรธเรื่องที่เธอออกแบบได้แย่เสียยิ่งกว่าเด็กอนุบาลหัดวาดเขียน แต่โกรธเพราะเขาจำได้ดีว่าผลงานที่ดาหวันใช้สมัครเข้าทำงานที่ลีลาใช้แพตเทิร์นเดียวกันนี้ ทั้งการจัดวางและนำเสนอ จะต่างกันก็เพียงลายมือที่กำกับอยู่บนภาพเท่านั้นเอง คนเราต่อให้ตื่นเต้นหรือกดดันอย่างไรก็ไม่น่าลืมวิธีการทำงานของตนเองได้...เว้นแต่มันไม่ใช่สไตล์ของตนเองแต่แรก
เขาเพิ่งเข้าใจจุดประสงค์ของมัทธีอัส ณ ตอนนั้นเอง ทายาทตระกูลดรากอสไม่ได้ต้องการให้หญิงสาวทั้งสองคนแข่งขันออกแบบไร้สาระนี้แต่แรกแล้ว ทว่าต้องการพิสูจน์ให้ทุกคนที่อยู่ในแผนกเห็นกันชัดๆ จะจะตาว่าใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายโกหกโดยไม่จำเป็นต้องสืบสาวราวเรื่องให้มากความ
ผลงานที่เห็น ได้พูดแทนเจ้าของทั้งหมดแล้ว...
“ผมคงต้องขอให้ทุกคนออกจากห้องไปก่อนนะครับ เว้นคุณแพน มิสดาหวัน แล้วก็มิสปณาลี ผมมีเรื่องจะคุยด้วยสั้นๆ สักสิบนาที”
แม้เขาไม่ได้เอ่ยชื่อของลินดา แต่เลขานุการสาวก็รู้ดีว่าตนต้องอยู่ในห้องด้วยจึงยืนนิ่งอยู่กับที่ระหว่างที่รอให้พนักงานทุกคนเดินออกจากห้องไปจนหมด
“คุณมีอะไรจะพูดไหมครับ มิสดาหวัน”
มัทธีอัสเอนกายพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ ทว่าดวงตากลับฉายแววแข็งกร้าวอย่างไม่ปิดบัง
“ท่านประธานคะ ฉัน...รู้นะคะว่าฉันทำได้ไม่ดีนัก มันกดดันมากจนฉันคิดอะไรไม่ออกเลย ถ้า...ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากจะขอโอกาสอีกสักครั้งได้ไหมคะ”
ดาหวันพูดอึกๆ อักๆ สำเนียงภาษาอังกฤษของเธอดีกว่าปณาลีมาก แต่คำพูดกลับฟังดูไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด มัทธีอัสเหยียดยิ้ม เขาหันไปหาลินดาที่ส่งแฟ้มให้ทันทีอย่างรู้ใจเจ้านาย
“ผมให้โอกาสคนเสมอนั่นละครับ มิสดาหวัน และตอนนี้ผมก็กำลังจะให้โอกาสคุณอธิบายอีกทีว่าเสื้อตัวนี้คุณได้แรงบันดาลใจมาจากไหน”
ชายหนุ่มกางแฟ้มแล้วดันไปเบื้องหน้าดีไซเนอร์สาว ภาพของเสื้อยืดสีดำและลวดลายเรขาคณิตสวยงามที่ปรากฏต่อสายตาทำเอาดาหวันนิ่งอึ้งไป นี่เป็นภาพสเก็ตช์ของเธอเอง ภาพ...เธอลอกเลียนแบบมาจากสมุดออกแบบของนังปณาลี เธอลอกมาแต่รูปแบบ ไม่เคยรู้เลยว่านังเด็กคนนี้มีแรงบันดาลใจมาจากไหน โอ๊ย อยากจะบ้าตาย!
“เอ่อ เสื้อตัวนี้...” ดาหวันหันไปสบตาปานเทพที่ยืนกอดอกมองเธออย่างเย็นชา แล้วกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น “อิตาลีค่ะ ฉันเคยบอกในห้องประชุมแล้วว่าได้แรงบันดาลใจมาจากท้องฟ้าตอนกลางคืนในอิตาลีสมัยที่ไปเรียนที่นั่น”
ใช่...เธอจำได้รางๆ ว่าเคยพูดออกไปแบบนั้นตอนอยู่ในห้องประชุม ตอนนั้นเธอพูดอะไรเพื่อเอาตัวรอดไปบ้างก็ไม่รู้ รู้แต่พูดเยอะแยะมากมายและโน้มน้าวทุกคนได้อยู่หมัด จนกระทั่งปานเทพยังเอ่ยปากชื่นชมเลยว่าไอเดียดีที่เปลี่ยนรูปแบบของดวงดาวบนท้องฟ้ามาเป็นรูปทรงเรขาคณิต และใช้สีทองตัดขอบโดยรอบแสดงถึงแสงเปล่งประกายสุกสกาว
“มันไม่ใช่แสงดาว แต่เป็นรูปทรงเรขาคณิตที่ได้แรงบันดาลใจมาจากรูป ‘จูบ’ ของ กุสตาฟ คลิมต์ ต่างหาก”
ปณาลีที่นั่งเงียบอยู่นานพูดสวนทันควัน เธอจ้องหน้าญาติผู้พี่เขม็ง ก่อนจะหยิบสมุดสเก็ตช์ออกมาจากย่ามสะพาย เธอพลิกเปิดไปยังหน้าที่ต้องการอย่างรวดเร็วเพราะจำได้ขึ้นใจว่าตนเองวาดภาพใดไว้บนหน้าไหนบ้าง ปลายนิ้วเรียวชี้ไปที่ภาพทางด้านขวามือที่พรินต์มาจากคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นภาพ ‘จูบ’ ที่เธอกล่าวอ้างถึง
มัทธีอัสรู้จักภาพนี้เป็นอย่างดี ด้วยเคยไปดูของจริงที่พิพิธภัณฑ์เบลเวเดเรอ ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรียมาแล้วหลายครั้ง ภาพจูบถือเป็นหนึ่งในภาพวาดของกุสตาฟ คลิมต์ที่โด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ภาพนั้นเป็นภาพวาดสีน้ำมันปิดทองขนาดใหญ่ มีสองหนุ่มสาวกำลังตระกองกอดกันอยู่ในทุ่งดอกไม้ในลักษณาการคุกเข่าแล้วหันหน้าเข้าหากัน ฝ่ายหญิงหลับตาพริ้ม โอนอ่อนยอมจำนนให้ฝ่ายชายประคองศีรษะเพื่อก้มประทับจุมพิต
“อย่ามาพูดมั่วๆ แก...เอ่อ...เธอรู้จักด้วยเหรอว่ากุสตาฟ คลิมต์เป็นใคร”
ดาหวันลืมตัวเรียกปณาลีด้วยสรรพนามหยาบคายตามความเคยชินก่อนจะรีบเปลี่ยนแทบไม่ทัน
“ดูจากภาพก็น่าจะรู้แล้วว่าฉันรู้จักหรือไม่รู้จัก” ปณาลียกภาพขึ้นให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามดู “ฉันดึงรูปทรงเรขาคณิตบนเสื้อของกุสตาฟ คลิมต์กับคู่รักออกมาเรียงใหม่ตามแบบของตัวเอง ทั้งสี่เหลี่ยม วงกลมซ้อนกัน ส่วนลายก้นหอยกับลายคลื่นฉันเอามาไว้ตรงด้านล่างเพราะอยากให้เป็นตัวแทนของคลื่นอารมณ์ที่กำลังเคลื่อนไหว และใช้สีทองล้อมรอบรูปทรงเรขาคณิตพวกนี้เพราะภาพต้นฉบับของคลิมต์เป็นภาพปิดทอง”
คำอธิบายฉาดฉานรวดเดียวจบพร้อมหลักฐานเป็นภาพประกอบชัดเจนทำเอาทั้งดาหวันและปานเทพนิ่งอึ้งพูดไม่ออก ดาหวันอึ้งเพราะรู้ว่าตนจนมุมแล้ว ส่วนปานเทพนิ่งเพราะตระหนักว่าตนกำลังเข้าข้างคนผิด
“มะ...ไม่ใช่นะคะ ฉันได้แรงบันดาลใจมาจากท้องฟ้าที่อิตาลีจริงๆ นะคะ ท่านประธาน”
ดาหวันยังพยายามเถียงข้างๆ คูๆ เธอหันไปหาหัวหน้าทีมดีไซเนอร์เพื่อขอแรงสนับสนุน แต่พบเพียงสายตาเย็นชาแกมโกรธเกรี้ยวมองตอบกลับมา
“คุณมีภาพหลักฐานชัดเจนแบบนี้ไหมล่ะครับ” มัทธีอัสกอดอกพลางเดาะลิ้นในปากไปมา “ถ้าคุณมีก็งัดออกมาสู้กันเลย แล้วคุณก็ควรจะตอบผมให้ได้ด้วยว่าทำไมมิสปณาลีถึงได้มีเสื้อตัวนี้วางขายที่ร้านแล้ว ในขณะที่คุณเพิ่งเสนอดีไซน์นี้ในที่ประชุมเมื่อไม่นานมานี้”
“เรื่องนั้น...” ดาหวันอึกอัก เริ่มมองเห็นว่าหายนะกำลังรออยู่เบื้องหน้า และทั้งหมดนี้ก็เพราะนังปณาลีคนเดียว! “ปณาลีขโมยแบบดีไซน์ของฉันต่างหากล่ะคะ ฉัน...ฉันเป็นฝ่ายเสียหายนะคะ”
“แบรนด์ลีลาของเราต่างหากที่เป็นฝ่ายเสียหาย” น้ำเสียงของมัทธีอัสราบเรียบทว่าคุกคามอย่างยิ่ง “แล้วเท่าที่ผมดูเมื่อครู่ ผมไม่คิดว่ามิสปณาลีจะเป็นฝ่ายลอกเลียนแบบดีไซน์ของคุณด้วย ทุกคนก็คงเห็นแล้ว”
“ฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าปณาลีพูดอะไรกับท่านประธานบ้าง แต่เด็กคนนี้โกหกพกลมเก่งมาแต่ไหนแต่ไร สร้างความเดือดร้อนให้ฉันกับครอบครัวมาไม่รู้เท่าไหร่ ล่าสุดก็ใจแตกหนีตามผู้ชายไป ทำเอาพวกเราต้องอับอายขายหน้า...”
“ผมไม่สนใจเรื่องส่วนตัวระหว่างคุณทั้งสองคนหรอกนะครับ มิสดาหวัน ผมสนใจแต่เฉพาะเรื่องที่กระทบกับงานของบริษัทผมเท่านั้น”
ประธานหนุ่มตัดบททันควันด้วยน้ำเสียงห้วน อย่างไม่คิดปิดบังความไม่พอใจอีกต่อไป...ดาหวันขาดวุฒิภาวะอย่างชัดเจน ในขณะที่ปณาลีพยายามกัดฟันข่มอารมณ์ไว้อย่างสุดความสามารถ ดวงตาของเธอลุกวาบด้วยแรงโทสะ ทว่ายังคงยืนนิ่งฟังอีกฝ่ายสาดโคลนใส่ได้อย่างน่าทึ่ง
“และตอนนี้ผมก็คิดว่าเห็นมามากพอที่จะตัดสินเบื้องต้นได้ว่าอะไรเป็นอะไร ดูท่าทางเราต้องเป็นฝ่ายชดใช้ค่าเสียหายให้มิสปณาลีเสียแล้วกระมัง”
“เจ้านายคะ ฉันคิดว่าเราไม่ควรด่วนตัดสินจนกว่าจะมีหลักฐานครบนะคะ” ลินดารีบเอ่ยขึ้นเป็นเชิงเตือน หากมัทธีอัสยอมรับว่าพนักงานของตนลอกเลียนแบบผลงานของคนอื่นออกไปโต้งๆ รับรองว่าได้ถูกฟ้องจนเป็นข่าวฉาวโฉ่แน่
“ฉันไม่ต้องการค่าชดเชยอะไรทั้งสิ้นค่ะ แค่ได้โอกาสพิสูจน์ตัวเองฉันก็พอใจแล้ว” ปณาลีเก็บเครื่องเขียนลงกระเป๋าผ้าตามเดิมแล้วรูดซิปปิด “ต่อจากนี้ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างไป อย่ามายุ่งเกี่ยวกันอีกก็พอ”
ขณะพูดประโยคหลัง หญิงสาวปรายตามองไปทางดาหวันที่นั่งหน้าซีดด้วยความรู้สึกหดหู่ใจอยู่ลึกๆ จริงอยู่ว่าเธอไม่หลงเหลือความรู้สึกผูกพันใดๆ กับญาติผู้พี่และครอบครัวอีกแล้ว แต่อดเศร้าไม่ได้ที่ต้องมาห้ำหั่นกันเองเช่นนี้
เธอไม่มีทางเลือกจริงๆ หากไม่ลุกขึ้นมาสู้ เธอก็ต้องเป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่ร่ำไป...
“ไม่ได้ ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องชดเชยให้คุณ อย่างน้อยก็ให้ผมจ่ายเงินค่าแบบดีไซน์ของคุณ ทั้งแบบที่คุณเพิ่งวาดไปและชิ้นอื่นๆ ที่พนักงานของผมละเมิดลิขสิทธิ์ของคุณทั้งหมด คุณบอกมาได้เลยว่ามีชิ้นไหนบ้างที่เป็นของคุณ ผมจะจัดการให้”
“เจ้านายคะ!”
ทั้งปานเทพและลินดาอุทานเสียงดังพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย แต่นอกจากมัทธีอัสจะโบกมือเป็นเชิงห้ามไม่ให้พูดอะไรแล้วยังหันไปหาดาหวันแล้วพูดด้วยเสียงห้วนสั้น
“คุณเก็บข้าวของของคุณได้เลยนะมิสดาหวัน ผมคงร่วมงานกับคุณต่อไปไม่ได้แล้ว”
“หา...นี่...นี่ฉันถูกไล่ออกเหรอคะ!” ดาหวันตัวสั่นด้วยความโกรธ เธอตวัดตามองปณาลีด้วยแววตาเกรี้ยวกราด “ท่านประธานจะไล่ฉันออกแค่เพราะคำพูดไม่กี่คำของเด็กคนนี้เหรอคะ นี่มัน...บ้าชัดๆ!”
“คุณคิดว่าผมหูเบาขนาดนั้นเชียวเหรอมิสดาหวัน ที่จริงเมื่อครู่ผมให้โอกาสคุณพิสูจน์ตัวเองพร้อมๆ กับมิสปณาลีแล้วนะ เพราะผมยังเชื่อมั่นในตัวคุณอยู่ ผมน่ะถือหางคุณมากกว่ามิสปณาลีด้วยซ้ำ แต่คุณก็ทำให้ผมผิดหวังเอง แถมรูปสเก็ตช์ไร้ความคิดสร้างสรรค์ของคุณยังกลายเป็นหลักฐานชั้นดีว่าแบบดีไซน์ที่คุณเคยนำเสนอไม่ใช่ของคุณเลย”
ลินดาฟังเจ้านายหนุ่มพูดแล้วลอบเบ้ปาก...แหม ทำเป็นพูดว่าตนเองยุติธรรม ความจริงก็คือเขาถือหางข้างปณาลีแต่แรกแล้วต่างหากเล่า!
“ฉันก็อธิบายไปแล้วไงคะว่าเด็กคนนี้ขโมยแบบดีไซน์ของฉันไปหมด แล้วก็เที่ยวไปโกหกใครต่อใครว่าเป็นผลงานของตัวเอง”
“เลิกพูดได้แล้วดาหวัน หลักฐานมันเห็นอยู่คาตา ถ้าเธอเป็นคนออกแบบจริง ทำไมงานของเธอถึงไม่มีรีเฟอเรนซ์ประกอบเหมือนงานของเด็กคนนี้เลยล่ะ บอกตรงๆ นะ ฉันผิดหวังในตัวเธอจริงๆ”
ตอนที่มัทธีอัสส่งแฟ้มงานของปณาลีให้ปานเทพดู เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าหญิงสาวทำงานได้เป็นระบบมาก แม้จะมีความเป็นศิลปินสูง แต่กลับมีรายละเอียดและที่มาที่ไปของชิ้นงานประกอบอย่างครบถ้วนในแบบที่ดาหวันไม่มี ข้างดาหวันมีเพียงภาพสเก็ตช์สวยงามและคอนเซปต์สวยหรูที่ส่วนมากพูดนำเสนอปากเปล่าด้วยคำพูดชวนเคลิบเคลิ้ม เธอเป็นคนพูดจาน่าฟัง ชักชวนให้คนคล้อยตามเก่ง แถมยังมีโพรไฟล์ดี จบมาจากสถาบันมีชื่อเสียงในอิตาลี จึงไม่เคยมีใครคาดคิดว่าคนอย่างเธอจะลอกเลียนผลงานของผู้อื่นอย่างหน้าด้านๆ เช่นนี้
“แค่ฉันสเก็ตช์แบบให้ดูแค่นี้คุณก็เชื่อฉันแล้วเหรอคะ มิสเตอร์ดรากอส ถ้ายังไงรอให้คุณมีหลักฐานครบถ้วนกว่านี้แล้วค่อยตัดสินอีกทีจะดีกว่าไหม”
แม้ลึกๆ ในใจจะเจ็บแค้นดาหวันอยู่มาก แต่ปณาลีก็อยากจะชนะอีกฝ่ายอย่างขาวสะอาดไร้คำติฉินนินทาตามหลังมามากกว่า งัดหลักฐานมาฟาดหน้ากันซึ่งๆ หน้าม้วนเดียวจบจะได้ไม่ต้องกลับมาพบหน้ากันอีกเป็นดีที่สุด
“ผมคือคนที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดในบริษัทนี้ ผมว่ายังไง ทุกคนก็ต้องว่าตามนั้น” มัทธีอัสยักไหล่ตีหน้าตาย เขาเป็นเจ้าของบริษัท เป็นคนจ่ายเงินจ้างพนักงาน ไม่เชื่อเขาแล้วจะเชื่อใครกันเล่า “อีกอย่าง ผมไม่ได้โง่นะหนูน้อย แค่เห็นแบบร่างของคุณเมื่อครู่ผมก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ผมเลือกดีไซน์ที่มิสดาหวันส่งเข้ามาตอนคัดเลือกดีไซเนอร์เพราะผมเห็นความมีชีวิตชีวาสดใหม่ของงานเหมือนที่เห็นจากภาพสเก็ตช์ของคุณในวันนี้ แต่ไม่เห็นจากภาพสเก็ตช์ของมิสดาหวันเลย แล้วพอคุณอธิบายถึงรีเฟอเรนซ์ที่มาของดีไซน์ได้เป็นฉากๆ ไม่ตะกุกตะกักเลยสักนิด ผมก็ยิ่งแน่ใจว่าคิดไม่ผิด นี่ยังไม่พูดถึงภาพสเก็ตช์ในแฟ้มของคุณที่มีรีเฟอเรนซ์ประกอบครบถ้วนนะ”
“อ้อ แสดงว่าคุณรู้ตั้งแต่ตอนที่ฉันยื่นแฟ้มให้คุณดูแล้ว แต่ก็ยังให้ฉันเสียเวลามานั่งหัวหมุนอยู่ตรงนี้เพื่อความบันเทิงส่วนตัวของคุณว่าอย่างนั้นเถอะ” รอยยิ้มของชายหนุ่มแทนคำตอบทุกอย่างที่ปณาลีอยากรู้ เธอระบายลมหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่ายแกมหงุดหงิด แล้วคว้ากระเป๋าย่ามขึ้นสะพาย “เอาเถอะ ไม่ต้องตอบก็ได้ค่ะ ฉันไม่อยากรู้แล้ว เป็นอันว่าจบเรื่อง จะไม่มีคนจากลีลาตามไปตอแยขู่จะฟ้องร้องหรือจะแจ้งความจับฉันอีกใช่ไหมคะ”
“ไม่มีแน่นอน ผมรับรองได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีค่ะ ฉันจะได้ขอตัวกลับเสียที” ณ เวลานี้เธอไม่สนใจอีกแล้วว่าชะตากรรมของดาหวันหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรอีกต่อไป รู้เพียงอยากจะไปให้พ้นจากที่นี่เต็มแก่แล้ว
“เดี๋ยวสิครับ” มัทธีอัสขยับตัวมาขวางหน้าหญิงสาวเอาไว้ “มิสปณาลี คุณเป็นคนชนะ ไม่คิดจะขอรางวัลสักหน่อยเหรอ”
“ฉันไม่อยากได้รางวัลอะไรจากคุณทั้งนั้น ขอแค่อย่ามายุ่งกับฉันอีกก็พอค่ะ”
ปณาลีเบี่ยงตัวหลบหมายจะเดินไปอีกทาง แต่เขาก็ยังตามมาขวางเอาไว้อีกจนเธอต้องเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“แล้วถ้าผมเสนอให้คุณมาทำงานกับผมล่ะ คุณจะสนใจไหม”
“ไม่ค่ะ”
ปณาลีตอบกลับโดยไม่หยุดคิดแม้แต่วินาทีเดียว ทำเอาปานเทพกับลินดาอ้าปากค้าง คนระดับ มัทธีอัส ดรากอส เชิญเข้าทำงานด้วยตนเองเชียวนะ แต่แม่เด็กคนนี้กล้าปฏิเสธหน้าตาเฉย ยโสเกินไปแล้ว!
“รู้บ้างหรือเปล่าว่ามีแต่คนอยากมาทำงานที่ลีลานี่จนแทบจะฆ่ากันตายเลยนะ!”
ปานเทพพูดแทรกขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว ส่วนดาหวันได้แต่ยืนตัวสั่น ทั้งโกรธทั้งอับอาย เธอข่มใจอย่างมากที่จะไม่พุ่งเข้าไปหักคอปณาลีให้สมแค้นอย่างที่เคยทำมาตลอด ด้วยยังต้องสร้างภาพต่อหน้ามัทธีอัสและผู้คนรอบตัวอยู่
“หนูทราบค่ะว่าใครๆ ก็อยากทำงานที่นี่ หนูเองก็อยากนะคะ แต่หนูไม่คิดว่าตนเองมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะทำงานที่นี่” ปณาลีพูดเป็นภาษาไทยและเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวทำให้สีหน้าแข็งกร้าวของคนฟังอ่อนลง “หนู...ดรอปเรียนเอาไว้ อย่างน้อยหนูก็ควรจะเรียนให้จบแล้วมาสมัครงานตามระบบเหมือนคนอื่นๆ ไม่ใช่เข้ามาแย่งที่นั่งคนอื่นด้วยวิธีแบบนี้”
“ลินดา เธอพูดว่าอะไร” มัทธีอัสสะกิดเลขานุการส่วนตัวยิกๆ ให้รีบแปลให้ฟังคร่าวๆ
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็มาฝึกงานกับผมสิ ถือว่าเป็นการเรียนรู้งานไปด้วยในตัว ผมให้เงินคุณเป็นค่ามาฝึกงานด้วยก็ได้”
ทุกคนที่อยู่ที่นั่นมองหน้ากันอย่างตกตะลึง นี่ มัทธีอัส ดรากอส กำลังตื๊อแม่เด็กกะโปโลคนนี้ให้มาทำงานด้วยถึงขนาดยอมเสนอเงินจ้างเชียวนะ!
“ฉัน...”
“โอ พลีส อย่าเพิ่งเซย์โน ไปคิดทบทวนให้ดีก่อน” มัทธีอัสชิงเอ่ยก่อนที่หญิงสาวจะปฏิเสธ “อย่างที่คุณแพนบอกนั่นละ การได้ร่วมงานกับลีลาเป็นใบเบิกทางชั้นดี ใครๆ ก็อยากได้รับโอกาสนี้ทั้งนั้น จดหมายรับรองจากผมจะทำให้คุณไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ร้อยเท่า”
จดหมายรับรองจาก มัทธีอัส ดรากอส!
ลินดาลอบมองใบหน้าหวานปานน้ำผึ้งของปณาลีอย่างพินิจพิเคราะห์ แน่ละว่าสาวน้อยคนนี้สวยมาก แต่ไม่น่าเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เจ้านายของเธอยื่นข้อเสนอแสนงามขนาดนี้ให้หญิงสาว แม่เด็กคนนี้จะรู้บ้างหรือเปล่าว่าการได้ประทับตรารับรองความสามารถจากเจ้าของเครือธุรกิจระดับดรากอสมีค่าเสียยิ่งกว่าอะไร มันคือตั๋วทองที่จะพาเธอไปได้ทุกที่ในวงการแฟชั่น ผู้คนในอุตสาหกรรมนี้จะพากันสนใจทุกดีไซน์ของเธอ พร้อมจ้องหาโอกาสในการดึงตัวเธอไปทำงานด้วย เพราะเธอคือคนแรกที่ มัทธีอัส ดรากอส ยอมรับ!
“คุณเป็นนักธุรกิจระดับนี้ ฉันไม่คิดว่าคุณจะยื่นข้อเสนอให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนหรอกนะคะ” ปณาลีถอนใจ เธอเองก็เป็นคนค้าขายระดับหน้าเลือด ทำไมจะไม่รู้ว่าการลงทุนทุกอย่างย่อมต้องหวังกำไรหรือไม่อย่างน้อยก็ต้องคุ้มทุน มัทธีอัสก็คงไม่ต่างกับเธอมากนักหรอกน่า
“แน่นอนว่ามีเงื่อนไข” มัทธีอัสยิ้ม...แหม ฉลาดแฮะ “ต่อจากนี้ดีไซน์ในอนาคตที่คุณทำกับเราจะถือเป็นลิขสิทธิ์ของบริษัททั้งหมด และคุณจะได้รับค่าตอบแทนอย่างยุติธรรมด้วยเพื่อชดเชยให้แก่เรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา”
“ฉันบอกคุณแล้วว่าไม่ต้องการค่าชดเชยอะไรทั้งนั้น” แววตาของหญิงสาวหนักแน่นพอๆ กับคำพูด “ฉันไม่ได้โง่ขนาดดูไม่ออกหรอกนะคะว่าคุณกำลังหาทางปิดปากฉันไม่ให้พูดเรื่องที่คนของคุณขโมยแบบดีไซน์ของฉันไป แล้วฉันก็รู้ด้วยว่าไม่มีปัญญาหาเงินไปฟ้องร้องกับคุณที่ศาลแน่ คุณเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ ส่วนฉันเป็นแค่คนตัวเล็กๆ สายป่านไม่ยาวพอที่จะสู้คดียืดเยื้อยาวนานหรอกค่ะ ให้มันจบกันแค่นี้ดีกว่า”
“คุณนี่มองโลกในแง่ร้ายเสียจริง ผมไม่ใช่คนเลวร้ายขนาดนั้นหรอกน่า”
ลินดาฟังคำพูดของเจ้านายแล้วลอบกลอกตา...เลวร้ายกว่าที่ตาเห็นละไม่ว่า ใครๆ ก็รู้ทั้งนั้นว่าเขาร้ายกาจเพียงไหน!
“จะยังไงก็ช่างเถอะค่ะ ฉันขอจบทุกเรื่องแค่นี้ดีกว่า ขอบคุณที่ให้โอกาสฉันได้แก้ต่างพิสูจน์ความจริงวันนี้นะคะ มิสเตอร์ดรากอส”
ปณาลีค้อมศีรษะให้ชายหนุ่มกับลินดา ก่อนจะหันกลับไปไหว้ปานเทพที่รับไหว้อย่างเก้ๆ กังๆ จากนั้นจึงหันหลังเดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจสายตาของบรรดาไทยมุงที่มองตามเธอไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นทั้งสิ้น เธอตอบไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เพิ่งจบไปหมาดๆ
ภูมิใจ? เสียใจ? หรือเสียดายโอกาส?
จะว่าไปก็...เสียดายอยู่นิดๆ แฮะ...
หญิงสาวถอนใจ แต่เมื่อนึกถึงสายตาแสดงความชิงชังของดาหวันและสายตาเคลือบแคลงของคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้อง เธอคงไม่มีความสุขที่ต้องไปทำงานในบรรยากาศชวนอึดอัดแบบนั้นเป็นอันขาด ที่สำคัญคือเธอไม่คิดว่าญาติผู้พี่ของเธอจะยอมจบเรื่องง่ายๆ เพียงเท่านี้แน่ สิ่งที่เธอควรทำที่สุดตอนนี้คือคิดหาวิธีตั้งรับเจ้าหล่อนและคนในครอบครัวต่างหาก คนพวกนั้นไม่เคยปล่อยให้เธอมีชีวิตสงบสุขได้นานนักหรอก
“ไง”
คำทักทายสั้นๆ ดึงปณาลีออกจากภวังค์ความคิดอันสับสนวุ่นวาย เธอเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงที่หย่อนสะโพกกึ่งยืนกึ่งนั่งอยู่กับมอเตอร์ไซค์ด้วยสีหน้าประหลาดใจ มือหนาข้างหนึ่งคีบบุหรี่ไว้ ส่วนอีกมือเท้าอยู่กับเบาะหนัง บนพื้นรอบรองเท้าผ้าใบเก่าคร่ำคร่าของเขามีก้นกรองบุหรี่ตกอยู่เกือบสิบมวน
ดูเหมือน...เขายืนรออยู่นานแล้ว...
“ทำไมมารอตรงนี้ ไม่ไปรอที่ร้านกาแฟคะ แดดแรงจะตาย”
ปณาลีรีบสาวเท้าตรงเข้าไปหาคนตัวโตเป็นยักษ์ปักหลั่นอย่างรวดเร็ว เส้นผมที่รวบเป็นมวยต่ำนั้นเปียกชื้น ตามกรอบหน้ามีเม็ดเหงื่อผุดพราว เสื้อบริเวณหน้าอกเปียกจนเป็นวง เธอรู้ว่าเขาขี้ร้อนแค่ไหน ไม่อย่างนั้นจะเปิดเครื่องปรับอากาศทิ้งไว้เกือบทั้งวันทั้งคืนจนเย็นเฉียบทำไมกันเล่า แต่เขาก็ยังอุตส่าห์ยืนรอเธออยู่ตรงนี้
“คนเยอะ รำคาญ” วายุตอบห้วนสั้นเช่นทุกครา แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจของหญิงสาวจึงรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แฝงอยู่ในถ้อยคำไม่รื่นหูเหล่านั้นอย่างชัดเจน “แล้วเป็นไง ต้องให้ฉันดักยิงกบาลมันไหม”
“มะ...ไม่ต้องค่ะ จบเรื่องแล้ว ไม่มีปัญหาแล้ว”
ปณาลีพูดรัวเป็นข้าวตอกแตก วายุระบายควันสีเทาออกทางจมูก ดวงตาสีเขียวเข้มหรี่มองเธออย่างคาดคั้นอยู่นิดๆ
“แน่ใจนะ”
“แน่ใจค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าเร็วๆ “ไม่มีปัญหาแล้ว พวกเขารับปากแล้วว่าจะไม่มาวุ่นวายกับฉันอีก ไม่มีการฟ้องร้องแล้วด้วย”
ที่จริง...เธอไม่แน่ใจนักว่ามัทธีอัสจะรักษาสัญญาหรือไม่ ตามหลักการแล้ว เธอควรให้เขาออกเอกสารสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อเขาใจป้ำยอมให้เธอพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองต่อหน้าผู้คนมากมายและยอมรับว่าคนของตนลอกเลียนแบบผลงานของเธอ ฉะนั้นเธอก็ควรลองเสี่ยงเชื่อใจเขาดูสักครั้ง
“งั้นก็ดี” วายุอัดควันเข้าปอดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะทิ้งก้นกรองลงกับพื้นแล้วใช้เท้าขยี้จนดับมอด “กลับกันเถอะ หิวแล้ว”
ชายหนุ่มหยิบหมวกกันน็อกมาสวมให้หญิงสาวลวกๆ ทุกอากัปกิริยาล้วนแล้วแต่แข็งกระด้าง ปราศจากความอ่อนโยน แต่กลับทำให้เธอรู้สึกเต็มตื้นอยู่ในอกเมื่อรับรู้ได้ถึงความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ จากเขา
“คุณอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมคะ ฉันอยากทำเลี้ยงฉลอง จริงสิ คุณชอบกินเผ็ดนี่นา” ปณาลีพยายามนึกว่าในตู้เย็นมีของสดอะไรอยู่บ้าง ขาดเหลืออะไรจะได้แวะซื้อกลางทาง
“บะหมี่โกเฮง”
เขาตอบสั้นๆ แล้วสวมหมวกกันน็อกให้ตนเองจากนั้นจึงตวัดขาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์รอให้หญิงสาวขึ้นมาซ้อนท้าย
“บะหมี่โกเฮง?” ปณาลีเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ “คุณชอบบะหมี่ของโกขนาดนั้นเชียวเหรอคะ”
รู้อยู่หรอกว่าน้ำซุปของโกเฮงยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน แต่ไม่คิดว่าวายุจะติดใจในรสชาติขนาดนั้น
“ก็อร่อยดี” เขาดันชีลด์ลงมาปิดหน้าแล้วสตาร์ตเครื่อง “เรียกไอ้เด็กสองตัวนั่นมากินด้วยกันสิ จะได้บอกข่าวทีเดียว”
“หมายถึงเจนกับก้องเหรอคะ” หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ รู้สึกเหมือนหูฝาดไป คนไม่สังคมโลกอย่างเขาน่ะหรือจะออกปากให้ชวนคนอื่นมาร่วมโต๊ะอาหารด้วย
“แล้วมีเด็กเวรคนอื่นๆ อีกหรือไง” เมื่อโดนย้อนถาม คนขี้หงุดหงิดก็เริ่มทำเสียงจึ๊กจั๊กอยู่ในลำคออย่างไม่สบอารมณ์นัก “แล้วยืนบื้ออะไรอยู่ ไปกันได้แล้ว ฉันหิว”
“ให้ฉันโทร. บอกสองคนนั้นก่อนสิคะ”
“ขึ้นรถ”
เสียงของชายหนุ่มเข้มขึ้นจนคนที่กำลังควานหาโทรศัพท์มือถือในย่ามต้องล้มเลิกความตั้งใจแล้วเปลี่ยนเป็นกระโดดขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์อย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะแยกเขี้ยวใส่ เธอโอบวงแขนรอบเอวสอบเพรียวของอีกฝ่ายไว้หลวมๆ ไออุ่นจากกายแกร่งทำให้เธอรู้สึกขัดเขินไม่น้อย
“เกาะแน่นๆ ฉันขับเร็ว” วายุคว้ามือทั้งสองข้างของหญิงสาวให้รัดรอบเอวของเขาแน่นเข้า ริมฝีปากที่ซ่อนอยู่ภายใต้หมวกกันน็อกยกแย้มขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ โดยไม่รู้ตัว “ยังอีก ตกลงไปตายฉันไม่รู้ด้วยนะ”
เขาบิดคันเร่งเบิลเครื่องเสียงดังจนปณาลีต้องรีบโผเข้ากอดเขาไว้แน่น ด้วยรู้ฤทธิ์การขับรถฉวัดเฉวียนเสี่ยงตายของเขาเป็นอย่างดี แม้จะหลับตาปี๋ แต่เธอมั่นใจว่าได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วๆ ลอยลมมาจากคนเบื้องหน้าแน่ๆ
นี่เขาหัวเราะจริงๆ ใช่ไหม ไม่ใช่กำลังส่งเสียงคำรามแน่นะ...
ทุกความคิดสะดุดลงทันทีที่มอเตอร์ไซค์พุ่งทะยานไปเบื้องหน้า ปณาลีกอดเอวของสารถีหนุ่มแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ขณะที่เสียงเครื่องยนต์และสายลมรอบทิศที่พุ่งมาปะทะกายกลบเสียงหัวใจที่เต้นแรงเพราะความสับสนที่ก่อตัวขึ้นช้าๆ ไปสิ้น จนเหมือนมีเพียงเธอกับเขาอยู่กันเพียงลำพังในโลกใบนี้
“ดูเหมือนแฟนของมิสปณาลีจะขี้หวงน่าดูนะคะ”
ลินดามองตามมอเตอร์ไซค์ที่เพิ่งเลี้ยวออกถนนใหญ่ไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “รปภ. บอกว่าเขามารออยู่ตรงนั้นตั้งแต่บ่ายสองแล้ว”
แถมยังไม่ขยับไปไหนเลยด้วย...คนบ้าอะไรยืนตากแดดรอแฟนเป็นชั่วโมง พิลึกเสียจริง
“แฟนสวยก็ต้องหวงเป็นธรรมดา”
หวงมากเสียด้วย เขายังเคยเกือบถูกไอ้หมอนั่นตะบันหน้ามาแล้ว
มัทธีอัสยักไหล่ ดวงตาของเขายังคงมองผ่านกระจกไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้าแล้วกอดอก ปลายนิ้วชี้เคาะบนต้นแขนคล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
“ลินดา ผมอยากรู้เรื่องแฟนของมิสปณาลี ส่งคนไปสืบมาให้หน่อยสิ”
“ไม่ดีมั้งคะ เจ้าตัวเพิ่งประกาศอยู่หยกๆ ว่าไม่อยากให้เจ้านายไปข้องเกี่ยวอะไรด้วยอีก” ลินดาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยอย่างเหนื่อยหน่าย “เอาเวลาไปเคลียร์เรื่องมิสดาหวันให้จบก่อนเถอะค่ะ ข้อเสนอที่เจ้านายยื่นให้เธอเมื่อครู่มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยสักนิด”
“เป็นไปได้สิ คนอย่างมิสดาหวันทำได้ทุกอย่างเพื่อรักษาหน้าอยู่แล้ว ไม่เชื่อก็คอยดู”
มัทธีอัสหันกลับมามองเลขานุการส่วนตัวด้วยรอยยิ้มหวานฉ่ำ ทว่าชวนให้คนมองขนหัวลุกพิกล
“ถามจริงๆ เถอะค่ะ เจ้านายอยากได้ตัวมิสปณาลีมาทำงานด้วย หรือแค่อยากเอาชนะเธอกันแน่”
“แน่นอนว่าต้องเป็นอย่างแรก” ประธานหนุ่มหัวเราะ “คุณก็รู้ว่าผมปิดดีลได้ทุกเรื่อง ไม่เคยพลาดสักครั้ง เรื่องนี้ก็เหมือนกัน”
“แค่นั้นจริงๆ หรือมีอะไรมากกว่านั้นกันแน่คะเจ้านาย” หญิงสาวมองลึกเข้าไปในดวงตาของมัทธีอัสทั้งที่รู้ดีว่าคงไม่มีวันได้คำตอบที่แท้จริงจากปากเขาแน่
“อืม...” ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นนึกอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้ามากกว่านั้นก็คงเป็นห่วงว่ามิสปณาลีจะโพนทะนาเรื่องที่คนของเราลอกเลียนแบบผลงานเธอกระมัง ตราบใดที่ยังหาทางปิดปากเธอไม่ได้ ผมก็คงต้องตามตอแยเธอไปเรื่อยๆ จนกว่าจะปิดดีลได้”
“เรื่องแค่นั้นเอง ส่งทนายไปคุยสิคะ ไม่เห็นต้องวุ่นวายอะไรเลย ฉันโทร. หาทนายมือหนึ่งของเราให้เดี๋ยวนี้เลยยังได้”
และไม่จำเป็นต้องไปวุ่นวายกับแฟนหนุ่มของเจ้าหล่อนด้วย!
“คุณก็รู้ว่าผมชอบเรียนรู้เป้าหมายอย่างละเอียดก่อนจะลงมือ ทั้งจุดอ่อน จุดแข็ง และมีอะไรที่จะใช้ต่อรองได้บ้าง”
“ให้มันแค่นั้นจริงๆ เถอะค่ะ ท่านคอสตาสรู้เข้าต้องไม่ชอบใจแน่”
แม้จะยังไม่แน่ใจ แต่ลินดาพอมองออกว่าตอนนี้มัทธีอัสสนใจสาวน้อยคนนั้นมากกว่าผลงานของเธอเสียแล้ว
“พ่อก็ไม่เคยชอบใจกับเรื่องทุกเรื่องที่ผมทำอยู่แล้ว แต่สุดท้ายเมื่อมันประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ พ่อก็ต้องยอมรับอยู่ดี”
นั่นเป็นเรื่องจริงที่ลินดาไม่อาจปฏิเสธได้ ส่วนใหญ่คอสตาสกับมัทธีอัสมักมีความคิดเห็นไม่ค่อยลงรอยกันเท่าใดนัก ดรากอสคนพ่อเป็นคนหัวเก่าชอบทำอะไรตามแบบแผน ส่วนดรากอสคนลูกเป็นพวกหัวก้าวหน้า มีความคิดความอ่านไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านชาวช่องจนเกือบเรียกได้ว่านอกคอก สิ่งเดียวที่เหมือนกันก็คือหัวดื้อและไม่เคยยอมลงให้กันเลยสักครั้ง แม้จะเป็นพ่อลูกที่รักกันมาก แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้คอยแต่ทุ่มเถียงกันอยู่เสมอ ทำเหมือนไม่ตีกันแล้วจะจุกอกตายอย่างนั้นละ
“ฉันมีลางสังหรณ์ว่าเจ้านายกำลังหาเรื่องใส่ตัวยังไงก็ไม่รู้” ลินดาถอนใจ
“คงงั้นมั้ง” มัทธีอัสอมยิ้ม “ทำตามที่ผมสั่ง ลินดา หาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นมาให้ผม และผมหมายถึงทุกเรื่อง อย่างละเอียดด้วย”
ความคิดเห็น |
---|