บทที่ ๙
“น้องหวัน เห็นนางแบบที่เจ้านายเรียกมาแคสต์เป็นการส่วนตัวหรือยัง”
อัจจิมาเอ่ยถามหญิงสาวที่กำลังยืนทาลิปสติกอยู่หน้ากระจกห้องน้ำด้วยท่าทางพร้อมเปิดประเด็นพูดคุยอย่างเต็มที่
“นางแบบ?” ดาหวันเม้มริมฝีปากเพื่อเกลี่ยสีลิปสติกสีแดงก่ำให้เสมอกัน “ไม่เห็นรู้เรื่องเลยค่ะพี่จีจี้ วันนี้มีแคสติงนางแบบด้วยเหรอคะ”
หญิงสาวพูดอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก ในขณะที่อีกฝ่ายยื่นใบหน้าขาวจั๊วะเหมือนไข่ปอกเข้ามาใกล้แล้วลดเสียงลงพร้อมๆ กับมองซ้ายมองขวาเพื่อดูลาดเลาไปด้วยในตัว
“ตายแล้ว นี่ไม่รู้เลยเหรอจ๊ะ เขาเมาท์กันให้แซ่ดทั้งบริษัท ท่านประธานถึงขนาดลงไปรับที่หน้าบริษัทด้วยตัวเองเลยนะ”
“ลงไปรับ? ท่านประธานเนี่ยนะคะ?”
ดาหวันหันกลับมามองหน้าคนพูดอย่างประหลาดใจ ใครๆ ก็รู้ทั้งนั้นว่า มัทธีอัส ดรากอส นั้นพบตัวยากเพียงไหน จริงอยู่ว่าเขาไม่ใช่คนถือเนื้อถือตัวนักหนา แต่เขามักสั่งงานต่างๆ ผ่านเลขานุการส่วนตัว ไม่ลงมาคลุกคลีสนิทสนมกับพนักงานหรือคนอื่นง่ายๆ อีกทั้งยังอยู่ในไทยครั้งละไม่เกินสามเดือน ดังนั้นคิวงานต่างๆ ส่วนมากจึงแน่นเอี้ยดจนแทบไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวด้วยซ้ำแล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปวุ่นวายกับสาวๆ กันเล่า
“ก็ใช่น่ะสิ พวกเด็กๆ ประชาสัมพันธ์ที่ล็อบบีเห็นกันเต็มสองตาเลย เขาว่าสวยด้วย น่าจะเป็นพวกลูกครึ่ง ตอนนี้เห็นว่ากินข้าวกลางวันอยู่ในห้องรับรองพิเศษกับท่านประธานกันสองต่อสองอยู่นะ ป่านนี้ไม่รู้ว่าแคสติงส่วนตัวกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว อู๊ย พูดแล้วก็ขนลุกนะคะคุณน้องขา”
อัจจิมากระซิบกระซาบแล้วตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะคิกคัก เรื่องคาวๆ ของเจ้านายถือเป็นอาหารอันโอชะของเหล่าพนักงานขาเมาท์อยู่แล้ว
“แหม คงไม่ใช่แบบนั้นมั้งคะ เจ้านายของพวกเราไม่เคยมีข่าวเรื่องเจ้าชู้เสียหน่อย”
ดาหวันหมั่นไส้หญิงสาวผู้โชคดีที่อัจจิมากำลังพูดถึงอยู่นี้ขึ้นมาตงิดๆ เธอทำงานที่ลีลามาเกือบครึ่งปี อย่าว่าแต่จะรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันเลย จะพูดคุยกับท่านประธานรูปงามเป็นการส่วนตัวยังไม่เคยสักครั้ง
“ต๊าย น้อยไปสิจ๊ะน้องหวัน เมื่อก่อนนี่มีข่าวว่าควงพวกนางแบบดาราไม่ซ้ำหน้าเลยละ แต่แล้วจู่ๆ ก็เงียบไปเสียเฉยๆ พี่ก็นึกว่าถอดเขี้ยวเล็บแล้วเสียอีก ที่ไหนได้...ก็ยังเหมือนเดิม”
อัจจิมายังจำเรื่องซุบซิบที่พนักงานรุ่นเก่าๆ เคยพูดกันได้ แม้จะไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่เธอก็พร้อมเชื่อไว้ก่อน ผู้ชายเจ้าเสน่ห์ระดับมัทธีอัสมีหรือที่ข้างกายจะขาดผู้หญิงไปได้ อย่างน้อยก็น่าจะมีมูลอยู่บ้างละน่า
“จริงเหรอคะ ดูยังไงท่านประธานก็ไม่เหมือนคนเจ้าชู้เลย” ดาหวันยังไม่ปักใจเชื่อสิ่งที่อัจจิมาเล่ามาอยู่ดี “ดูเป็นคนบ้างานมากกว่าด้วยซ้ำ”
“แหม บ้างานก็บ้าผู้หญิงได้จ้า คุณน้อง”
“อะแฮ่ม!” ปานเทพหัวหน้าทีมดีไซเนอร์ส่งเสียงกระแอมขณะเดินเข้ามาในห้องน้ำ “นินทาเจ้านายก็เอาให้มันแต่พอเหมาะพอควรนะยะ เสียงดังออกไปข้างนอกโน่นเลย ถ้าคุณลินดาได้ยินเข้ารับรองว่าหล่อนโดนกินหัวแน่ นังจีจี้”
“อุ๊ย พี่แพนขา นี่มันห้องน้ำผู้หญิงนะคะ” อัจจิมาหน้าเสีย ไม่นึกว่าหัวหน้าจะมาได้ยินสิ่งที่ตนพูดเข้าจังๆ เช่นนี้เลย
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง! ทำอย่างกับไม่เคยเห็นไปได้ หล่อนเคยมายืนแต่งหน้าตรงนี้ข้างๆ ฉันด้วยซ้ำ!” เขาเป็นชายหนุ่มตัวสูงเพรียวผู้รักเสื้อผ้าแนวสตรีตสีสันสดใสเป็นชีวิตจิตใจแถมยังแต่งหน้าได้สวยเนี้ยบกว่าผู้หญิงเสียอีก “เลิกเมาท์นินทาชาวบ้านแล้วรีบกลับไปที่ห้องทำงานกันเดี๋ยวนี้เลย เจ้านายเรียกฝ่ายเราเข้าประชุมด่วน”
“ประชุมเหรอคะ” ดาหวันรู้สึกเหมือนหูฝาดไป “ประชุมกับท่านประธานด้วย?”
“โอ้โห แบบนี้ต้องมีเรื่องใหญ่แน่ๆ เลยใช่ไหมคะพี่แพน”
อัจจิมาทำตาวาวในขณะที่คนฟังส่ายหน้าอย่างระอาใจ
“ฉันก็ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร แต่ก็คงสำคัญอยู่ละ ไม่อย่างนั้นคุณลินดาคงไม่โทร. มาสั่งให้อยู่ประชุมกันทั้งทีมแบบนี้หรอก”
สีหน้าและท่าทางของปานเทพยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าเจ้านายตั้งใจเรียกทุกคนประชุมด้วยเรื่องใด ดาหวันจึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจแล้วเดินตามหัวหน้ากลับไปยังห้องทำงานพร้อมกับอัจจิมา ก่อนจะชะงักฝีเท้าเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของมัทธีอัสยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้อง โดยมีลินดายืนทำหน้านิ่งเช่นทุกครั้งอยู่ทางด้านขวา และทางด้านซ้ายมีร่างโปร่งบางของใครอีกคนยืนอยู่...คนที่เธอรู้จักเป็นอย่างดี
นังปณาลี!
มันมาทำอะไรที่นี่!
“เอาละ ทุกคนมากันครบแล้วนะครับ” รอยยิ้มกว้างของมัทธีอัสส่งไปไม่ถึงดวงตา ทำเอาพนักงานในแผนกพากันรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวพิกลด้วยรู้ดีว่าสายตาชนิดนี้ของเจ้านายหมายถึงจะ ‘มีเรื่อง’ แน่แล้ว “ก่อนอื่นผมขอแนะนำให้คุณรู้จักมิสปณาลี เจ้าของแบรนด์ลี”
“ลี? ลีที่ลอกเลียนแบบเสื้อผ้าของเราน่ะเหรอคะ!”
อัจจิมาเบิกตากว้าง เธอหันไปมองสำรวจหญิงสาวแปลกหน้าด้วยแววตาประหลาดใจแกมด้วยความสงสัย ในขณะที่พนักงานคนอื่นๆ พากันจ้องมองสาวสวยเป็นตาเดียว บ้างก็ป้องปากพูดซุบซิบกันอย่างออกรส บ้างก็เริ่มชักสีหน้าแสดงความดูแคลนชนิดออกนอกหน้า
“นั่นถือเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงนะครับ และผมคิดว่าเราควรให้มิสปณาลีมีโอกาสได้แก้ต่างให้ตัวเองด้วยก็เลยเชิญเธอมาพิสูจน์หลักฐานกันในวันนี้”
รอยยิ้มของมัทธีอัสยังคงประดับอยู่บนใบหน้าไม่เปลี่ยน แต่กลับยิ่งทำให้ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นรู้สึกกดดันอย่างประหลาด
“พิ...พิสูจน์หลักฐาน?”
ดาหวันครางเสียงแห้ง ในสมองเต็มไปด้วยความสับสนระคนหวาดหวั่น เธอเริ่มสังหรณ์ใจแปลกๆ แล้วว่าความเดือดร้อนกำลังจะมาเยือน
“เดี๋ยวก่อนนะคะเจ้านาย ทำไมต้องพิสูจน์ด้วย ในเมื่อหลักฐานก็เห็นกันชัดเจนแล้วว่าแบรนด์ลีอะไรนี่ละเมิดลิขสิทธิ์เราชัดๆ” ปานเทพปรายตามองปณาลีอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เขาเป็นหัวหน้าทีมดีไซเนอร์ เมื่อผลงานของทีมถูกละเมิด เขาย่อมต้องเป็นคนที่เดือดเนื้อร้อนใจที่สุด ทุกคนในลีลารู้ดีว่าเขาเป็นคนรักลูกน้องและพวกพ้องอย่างที่สุด จึงมักออกตัวปกป้องทีมงานของตนอยู่เสมอไม่ว่าถูกหรือผิด “พวกเราคือฝ่ายเสียหายนะคะ ไม่ใช่แบรนด์เสื้อผ้ากะโหลกกะลานี่เสียหน่อย”
ปณาลีหน้าตึง เธอพยายามข่มอารมณ์กรุ่นโกรธเอาไว้อย่างสุดความสามารถ หญิงสาวรู้แต่แรกแล้วว่าคนที่ตนต้องต่อสู้ด้วยไม่ได้มีเพียงดาหวันเท่านั้น แต่เป็นแบรนด์ลีลาและทุกคนที่ทำงานภายใต้แบรนด์นี้ ฉะนั้นเธอจะยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มต้นไม่ได้เป็นอันขาด!
“ตอนแรกผมก็คิดแบบคุณนี่ละคุณแพน จนได้เห็นหลักฐานจากทางฝั่งของมิสปณาลี ซึ่งน่าสนใจทีเดียว ผมเลยคิดว่าทุกคนน่าจะได้รับรู้พร้อมๆ กับเปิดโอกาสให้มิสปณาลีได้พิสูจน์ความจริงด้วยเสียเลย เพื่อความยุติธรรม” มัทธีอัสยังคงหัวเราะเสียงต่ำในลำคออย่างใจเย็นขณะรับแฟ้มจากลินดามาส่งให้ปานเทพดู “ดูจากดีไซน์ทั้งหมดนี้แล้ว คุณคิดยังไงบ้างครับคุณแพน”
“ดีไซน์พวกนี้...” ปานเทพรับแฟ้มจากเจ้านายหนุ่มมาเปิดดูอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ก่อนจะนิ่งอึ้งไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปิดมาจนถึงหน้าสุดท้ายแล้วเห็นแบบร่างที่คุ้นตาเป็นอย่างมาก “เอ๊ะ...ดีไซน์นี้เป็นดีไซน์ล่าสุด ที่...ที่พวกเราเพิ่งเสนอเข้าที่ประชุมเมื่อไม่นานมานี้ แล้วก็ยัง...”
“ถูกแล้วครับ ยังไม่ได้ออกวางขาย” มัทธีอัสพยักหน้าแล้วหันไปหาดาหวันที่ยืนหน้าซีดเผือดอยู่ด้านหลังหัวหน้าทีมดีไซเนอร์ “แบบดีไซน์เสื้อตัวนี้ดูคุ้นๆ บ้างไหมครับมิสดาหวัน”
ชายหนุ่มดึงแฟ้มกลับมาจากปานเทพแล้วหันให้ทุกคนที่อยู่ในห้องนั้นดูแบบเสื้อที่วางเลย์เอาต์อยู่เคียงข้างรูปถ่ายเสื้อที่ได้รับการตัดเย็บและพิมพ์ลายเสร็จเรียบร้อยแล้ว เสียงพูดคุยซุบซิบที่เบาหวิวในคราแรกเริ่มดังขึ้นทุกทีจนเป็นเสียงหึ่งๆ คล้ายผึ้งงาน
“นั่น...นั่นเป็นดีไซน์ของฉันเองค่ะ ฉันเป็นคนออกแบบไว้นานแล้ว ส่วนเด็กคนนี้เป็นคนลอกเลียนแบบไป”
เสียงของดาหวันสั่นสะท้านจนผู้ฟังรู้สึกได้ แม้ว่าเธอจะเชิดหน้าขึ้นสูงและวาดท่ามาดมั่นเพียงใด ก็ไม่อาจซ่อนความหวาดหวั่นที่ฉายชัดอยู่ในแววตาได้
“งั้นเหรอครับ” เจ้านายรูปงามเลิกคิ้วซ้ายขึ้นนิดๆ อย่างยียวน “อา...จริงสิ หลายคนคงยังไม่ทราบว่ามิสปณาลีกับมิสดาหวันเป็นญาติกัน และอาศัยอยู่บ้านเดียวกันใช่ไหมครับ”
สิ้นคำพูดของชายหนุ่ม เสียงฮือฮาของทุกคนก็ดังขึ้นอีก คราวนี้ปานเทพหันไปมองหน้าลูกน้องด้วยแววตายากที่จะบอกถึงความรู้สึก...เคลือบแคลง แต่ยังไม่ปักใจ...
“เคยอยู่บ้านเดียวกันเฉยๆ ค่ะ ตอนนี้ไม่ได้อยู่แล้ว” ดาหวันรีบพูดเร็วๆ “แฟนกุ๊ยของเด็กคนนี้ทำร้ายร่างกายคุณพ่อของฉันจนต้องเข้าโรงพยาบาลนานเป็นอาทิตย์ พวกเราก็เลยตัดขาดกันไปแล้ว ตอนนี้ถือว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”
“ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันยกเว้นแบบดีไซน์ใช่ไหมล่ะครับ”
คำพูดสวนนิ่มๆ ของมัทธีอัสทำเอาดาหวันนิ่งอึ้ง พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“ผมไม่สนใจหรอกนะว่าเรื่องส่วนตัวของพวกคุณเป็นแบบไหน ผมสนใจแค่หลักฐานที่เห็น และหลักฐานพวกนี้ก็บอกชัดว่าคุณคนใดคนหนึ่งโกหกผม”
“ฉันไม่ได้โกหกนะคะเจ้านาย”
ดาหวันร้อนใจจนยืนแทบไม่ติด เธอตวัดตามองปณาลีอย่างโกรธเกรี้ยว ในขณะที่คนอื่นๆ เริ่มสับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ผมก็ไม่ได้บอกว่าคุณโกหกนี่ครับมิสดาหวัน ผมแค่บอกว่าระหว่างคุณกับมิสปณาลีต้องมีใครคนใดคนหนึ่งโกหกก็เท่านั้น” มัทธีอัสเดาะลิ้นไปมา “แบบเสื้อรูปสุดท้ายที่ทุกคนเห็นตอนนี้ ออกวางขายก่อนหน้าที่คุณจะส่งแบบดีไซน์เดียวกันนี้มาให้ทางเราเป็นเดือน ไม่ทราบว่าคุณมีคำอธิบายไหมครับ”
“เรื่องนั้น...” สายตาของผู้คนรอบข้างกดดันจนเธอสับสนไปหมด สมองที่เคยประมวลผลได้อย่างฉับไวกลับมึนตื้อจนคิดอะไรไม่ออก “ก็อย่างที่ฉันบอกนั่นละค่ะว่า...ออกแบบไว้นานแล้ว เด็กคนนี้คงเห็นข้าแล้วขโมยดีไซน์จากสมุดสเก็ตช์ของฉัน ฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าเด็กคนนี้โกหกอะไรให้ท่านประธานฟังบ้าง แต่ฉันบอกได้เลยว่าไม่เป็นความจริงแน่ ฉะนั้นอย่าฟังความข้างเดียวนะคะ”
หน็อย...ใครกันแน่ที่เป็นขี้ขโมย!
ปณาลีฟังสิ่งที่ดาหวันพูดแล้วอยากจะตะโกนให้ดังลั่นไปสามโลก เธอต่างหากที่เป็นฝ่ายเสียหายและต้องเดือดร้อนเพราะลูกพี่ลูกน้องที่ชอบปั้นน้ำเป็นตัวคนนี้...เธอต่างหากที่ถูกรังแกจนแทบไม่มีที่ยืนในสังคม!
“คุณโชคดีแล้วที่มีเจ้านายหูหนักอย่างผม แล้วผมก็เป็นคนใจกว้างมากพอที่จะรับฟังความทั้งสองฝ่ายเสียด้วย”
คำพูดสรรเสริญเยินยอตนเอง ทำเอาทั้งลินดาและปณาลีลอบกลอกตามองเพดานโดยไม่ได้นัดหมาย
“ผมคิดว่าเรื่องนี้เราตกลงกันโดยสันติวิธีได้โดยไม่จำเป็นต้องขึ้นโรงขึ้นศาลให้ยุ่งยาก อย่างน้อยก็จนกว่าจะรู้ว่าใครเป็นฝ่ายผิดค่อยมาว่ากันอีกทีว่าจะจัดการยังไง”
“แล้ววิธีที่ว่าของเจ้านายคืออะไรคะ”
ปานเทพโพล่งออกไปอย่างอดรนทนไม่อยู่ ใครๆ ก็รู้ทั้งนั้นว่าดาหวันคือดีไซเนอร์คนโปรดของมัทธีอัส แน่ละว่าเขาไม่ได้ชื่นชอบเธอในแบบชู้สาว แต่ชื่นชมเธอจากผลงาน เขาถูกใจการออกแบบของเธอมาก จึงเลือกเธอจากผู้สมัครนับร้อยให้เข้ามาทำงานกับลีลาตั้งแต่เห็นแบบร่างที่เธอส่งเข้ามาโดยไม่รู้จักหน้าค่าตาของเธอเสียด้วยซ้ำไป และในชั่วเวลาไม่กี่เดือน ดาหวันก็กลายเป็นดีไซเนอร์ดาวรุ่งดวงใหม่ของลีลาดังที่เจ้านายหนุ่มคาดการณ์ไว้จริงๆ การออกแบบของเธอเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร แม้จะขาดๆ เกินๆ บ้าง แต่ก็สดใหม่และน่าจับตามองอย่างที่สุด ปานเทพเองก็รู้สึกชื่นชอบงานของเธอมากเช่นกัน ถึงขนาดเอ่ยปากว่าพร้อมผลักดันดาหวันสุดตัวทีเดียว
“ง่ายมาก” มัทธีอัสหัวเราะเสียงต่ำอยู่ในลำคอ ดวงตาเป็นประกายวิบวับขณะหันกลับไปมองปณาลีอย่างท้าทาย “ผมจะให้คุณออกแบบเสื้อผ้าแข่งกันต่อหน้าผมตอนนี้เลย จะได้รู้ชัดกันไปเลยว่าใครกันแน่ที่โกหก”
“หา!”
ดาหวันอุทานเสียงดัง ในขณะที่ปณาลียืนมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยท่าทางสงบนิ่งผิดจากความคาดหมายของลินดา...ในตอนแรกเลขานุการสาวคิดว่าปณาลีจะตกใจจนหน้าซีดเสียอีก ที่ไหนได้...คนที่หน้าเผือดสีจนเหมือนจะเป็นลมล้มทั้งยืนกลับเป็นญาติผู้พี่ของเจ้าหล่อนเสียนี่...ดูท่าการเล่นสนุกของเจ้านายครั้งนี้อาจทำให้คดีพลิกก็เป็นได้
“คุณมีปัญหาอะไรเหรอครับมิสดาหวัน อย่าบอกนะว่าคนมีฝีมือระดับคุณไม่พร้อม” มัทธีอัสหรี่ตามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างจงใจจับพิรุธ เมื่อเห็นว่าเธอหลบตาก็หัวเราะเสียงต่ำอยู่ในลำคอ “ผมรู้ว่ามันอาจกะทันหันไปสักหน่อย แต่คุณมีชั่วโมงบินสูงกว่ามิสปณาลีตั้งเยอะ ถือว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบด้วยซ้ำ ผมควรต้องถามมิสปณาลีมากกว่าว่ามีปัญหาหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ” ปณาลีจ้องชายหนุ่มเขม็ง เธอเพิ่งรู้จุดประสงค์ที่เขาเชิญเธอมาที่รังปีศาจแห่งนี้ในวินาทีนั้นเอง แท้จริงแล้วเขาไม่ได้ต้องการจะเจรจาด้วยสันติวิธีหรือรับประทานมื้อเที่ยงร่วมกันเพื่อพูดคุยหาทางประนีประนอมแต่อย่างใด เขาแค่อยากฉีกหน้าเธอต่อหน้าลูกน้องเท่านั้นละ หน็อย...คิดว่าเธอจะยอมให้ข่มกันง่ายๆ อย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ! เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เธอไม่มีวันยอมแพ้ง่ายๆ แน่! “ฉันไม่มีปัญหาอะไรค่ะ ฉันมาที่เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองอยู่แล้ว”
“แหม...ช่างกล้าพูดนะหล่อน”
อัจจิมาพูดด้วยเสียงที่ไม่เบานัก ทุกคนในห้องจึงได้ยินกันหมด แม้มัทธีอัสจะฟังภาษาไทยไม่ออก แต่พออ่านกิริยาท่าทางของเหล่าพนักงานในแผนกนี้ออก
“ว่ายังไงคุณแพน คุณคิดว่าวิธีนี้ยุติธรรมดีไหม”
มัทธีอัสหันไปถามหัวหน้าแผนกดีไซน์ที่ยืนทำหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก หลังจากเห็นแบบที่ปณาลีนำมาแสดงเป็นหลักฐานไปเต็มๆ ตา แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่อาจปักใจเชื่อสิ่งที่เห็นได้เต็มร้อย อย่างที่ดาหวันบอกนั่นละว่าแม่เด็กปณาลีคนนี้อยู่บ้านเดียวกับเธอ ฉะนั้นอาจเป็นไปได้ว่าผลงานของเธออาจถูกปณาลีขโมยไปเป็นของตนเอง ถึงแม้ลายเส้นที่เห็นอยู่ในสมุดสเก็ตช์นี้จะสวยงามคมชัดกว่าของดาหวันมากก็เถอะ
“ไม่รู้สิคะเจ้านาย มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคนตั้งโจทย์ยุติธรรมหรือเปล่า อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยค่ะ เมื่อครู่เจ้านายกินข้าวกลางวันกับเด็กคนนี้อยู่ตั้งนานสองนาน อาจมีข้อครหาได้นะคะว่าเจ้านายแอบบอกโจทย์ให้เขาฟังก่อนแข่งหรือเปล่า”
ปานเทพอดแขวะปณาลีกับเจ้านายหนุ่มไม่ได้จริงๆ ถึงไม่อยากยอมรับนัก แต่ปณาลีเป็นสาวน้อยที่สวยสะดุดตามาก และมัทธีอัสก็ดูเหมือนปฏิบัติต่อเธอเป็นพิเศษจนกลายเป็นประเด็นซุบซิบของพนักงานที่พบเห็น ดังนั้นย่อมหนีไม่พ้นคำครหาเรื่องความลำเอียงแน่
“อือฮึ ที่คุณพูดมาผมก็คิดอยู่เหมือนกัน” มัทธีอัสเดาะลิ้น “ผมก็เลยจะให้คุณแพนเป็นคนตั้งโจทย์ให้สุภาพสตรีสองคนนี้ออกแบบแข่งกันในระยะเวลาสั้นๆ แทนผมดีไหมครับ จะได้ยุติธรรมอย่างที่คุณแพนต้องการ”
ท้ายประโยคทุกคนพอฟังออกว่าเจ้านายหนุ่มจงใจเหน็บเบาๆ
ปานเทพเชิดหน้าขึ้นสูงแสร้งทำเป็นหูทวนลม แน่ละว่า เขาออกตัวเข้าข้างลูกน้องเสมอ แต่เป็นที่รู้กันดีว่าเขาไม่ใช่คนลำเอียงชนิดไม่ลืมหูลืมตา หากถามว่าใครยุติธรรมที่สุดในแผนกนี้ก็ต้องตอบว่าตัวเขาเองนี่ละ
“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ เจ้านาย” ปานเทพปรายตามองปณาลีนิดหนึ่งแล้วทำเสียงฮึดฮัดอยู่ในลำคอ “เพื่อไม่ให้ใครมองว่าลำเอียง แพนขอเอาโพรเจกต์ของวาเลนไทน์ต้นปีหน้าที่ยังไม่มีใครในออฟฟิศนี้รู้เรื่องขึ้นมาเป็นหัวข้อแข่งขันก็แล้วกัน”
“โพร...โพรเจกต์วาเลนไทน์?”
ดาหวันรู้ตัวว่าใบหน้าของตนคงแทบไม่มีสีเลือดอยู่แล้ว ยังโชคดีที่มีเครื่องสำอางแต่งแต้มอยู่ มิเช่นนั้นคงซีดจนแทบดูไม่ได้ ฝ่ามือเริ่มชื้นเหงื่อจนรู้สึกได้...ที่ผ่านมาเธอแทบไม่เคยตั้งต้นร่างแบบเองเลยสักครั้ง ส่วนใหญ่แล้วเพียงแค่นำภาพร่างของปณาลีมาปรับนู่นนิด แก้ไขนี่หน่อยให้ดูแตกต่างก่อนนำเสนอหัวหน้าเท่านั้น ยิ่งครั้งหลังๆ เมื่อได้รับคำชมมากเข้า เธอจึงเสนอดีไซน์ของปณาลีทั้งดุ้นโดยไม่ได้แตะต้องใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้ได้รับคำชมโดยที่ไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อย เรียกได้ว่าตลอดระยะเวลาการทำงานเธอแทบไม่เคยใช้สมองหรือความรู้งูๆ ปลาๆ ที่ร่ำเรียนมาไม่ครบหลักสูตรของตนเองเลยสักนิด
“ใช่ โพรเจกต์วาเลนไทน์” ปานเทพพยักหน้ารับพลางส่งแฟ้มคืนให้ลินดาแทนที่จะเป็นเจ้านายหนุ่ม “เป็นโพรเจกต์ที่เจ้านายเคยเกริ่นเอาไว้ว่าจะแบ่งทีมของพวกเราออกเป็นสองทีม ทีมแรกให้ออกแบบเสื้อผ้าธีมรับปีใหม่ให้ฮิปๆ ส่วนอีกทีมให้ออกแบบธีมวันวาเลนไทน์ ที่จะเน้นไปทางกลุ่มลูกค้าผู้หญิงวัยรุ่นกับวัยเพิ่งเริ่มทำงานมากขึ้น ซึ่งดูจากแนวทางแล้วก็เหมาะกับสไตล์ของเธอดีนะหวัน”
สิ่งที่ได้ฟัง ยิ่งทำให้ดาหวันหน้าซีดลงไปอีกหลายเฉด หากบอกว่าเหมาะกับสไตล์ของเธอ ย่อมหมายถึงเข้าทางนังปณาลีพอดีเลยน่ะสิ!
“เนื่องจากเรามีเวลาไม่มาก คงต้องจำกัดให้ออกแบบแค่ ๑-๓ ชุด ในช่วงเวลา ๒ ชั่วโมง คุณแพนคงต้องเลือกแล้วละว่าจะให้ออกแบบอะไรในคอนเซปต์วาเลนไทน์ กระโปรง กางเกง เดรส หรือรองเท้า เลือกมาอย่างเดียวก็พอ”
มัทธีอัสขยับนาฬิกาข้อมือเรือนหรูไปมาแล้วคลี่ยิ้มหวาน ดาหวัน อัจจิมาและปานเทพอ้าปากค้าง
“สองชั่วโมง! เจ้านายคะ เวลาน้อยขนาดนั้น...”
“พอดีผมมีนัดตอนห้าโมงเย็น ทุกอย่างคงต้องเริ่มเดี๋ยวนี้แล้วละครับคุณแพน”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วซ้ายขึ้นนิดๆ อย่างยียวนพร้อมกับหันไปทางปณาลีที่ยืนเม้มปากแน่น เธอมั่นใจว่าเขาจงใจสร้างสถานการณ์กดดันเพื่อให้เธอเครียดแน่ๆ คิดว่าเธอจะยอมแพ้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ!
“ถ้าเจ้านายว่าอย่างนั้น...” ปานเทพหันไปสบตากับลูกน้องสาวที่ยืนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างเข้าใจความรู้สึก สองชั่วโมงนี่อย่าว่าแต่ออกแบบเลย แค่รวบรวมความคิดให้ตรงคอนเซปต์ยังยาก ปกติแล้วดีไซเนอร์มืออาชีพยังต้องใช้เวลาออกแบบกันเป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือนด้วยซ้ำ! “แพนขอเลือกให้ออกแบบเสื้อฮูดดีกับคอนเซปต์กุหลาบวาเลนไทน์ก็แล้วกันค่ะ”
“โอเค ผมชอบนะ เอาตามนั้น ส่วนกระดาษกับเครื่องเขียนผมให้ลินดาเตรียมไว้ให้แล้วที่โต๊ะประชุมงานของแผนก ถ้าพวกคุณพร้อมแล้วก็เชิญได้เลย”
มัทธีอัสผายมือไปยังโต๊ะประชุมสีขาวตัวยาวที่อยู่ด้านในสุดของห้อง ที่หัวโต๊ะทั้งสองด้านมีกระดาษและอุปกรณ์เครื่องเขียนสำหรับออกแบบวางเรียงอยู่อย่างครบครันและเป็นระเบียบเรียบร้อย ปณาลีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินตรงไปนั่งที่หัวโต๊ะด้านที่ชิดผนังก่อนเป็นคนแรกเพราะเธอไม่ชอบให้ใครมายืนจ้องมองเวลาทำงานจากทางด้านหลังจากนั้นจึงหยิบกระเป๋าผ้าใส่เครื่องเขียนส่วนตัวจากย่ามขึ้นมาวางตรงหน้าเพื่อตั้งสติ ในขณะที่ดาหวันเดินตัวแข็งทื่อมานั่งอีกด้านด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก จริงอยู่ว่าฝีมือขีดๆ เขียนๆ ของเธอไม่เลวนัก แต่ที่ผ่านก็ใช้วิธีดัดแปลงผลงานของคนอื่นมาตลอด แทบไม่เคยคิดสร้างสรรค์เองเลย แล้วนี่ให้มาออกแบบต่อหน้าเจ้าของบริษัทกับคนทั้งแผนกในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ เธอจะทำได้อย่างไรกันเล่า!
“เริ่มได้แล้วครับ”
มัทธีอัสทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างหญิงสาวทั้งสองด้วยท่าทางสบายๆ ดวงตาของเขาทอประกายสนุกสนานเสียจนปณาลีอดแยกเขี้ยวใส่ด้วยความหงุดหงิดไม่ได้ หากไม่ติดว่าต้องทำงานแข่งกับเวลา เธอคงกระโจนเข้าไปข่วนหน้าเขาแล้ว หน็อย...สนุกนักใช่ไหม คนบ้า!
“พี่แพนขา จีจี้ว่ามันไม่เมกเซนส์เลย ทำไมต้องให้น้องหวันมาออกแบบแข่งกับเด็กคนนั้นด้วย แล้วระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้ไม่มีใครเขาทำกันหรอกนะคะ งานมันจะออกมาดีได้ยังไง” อัจจิมากระซิบเสียงเบา นึกเห็นใจสาวรุ่นน้องที่ยังคงนั่งนิ่งมองกระดาษเบื้องหน้าอยู่เหมือนกัน แต่จนปัญญาจะช่วย หากเป็นเธอเจอเข้ากับสถานการณ์เช่นนี้ก็คงต้องนั่งอึ้งแบบเดียวกันนี่ละ
การออกแบบเสื้อผ้านั้นนอกจากจะต้องเข้าใจคอนเซปต์ของงานเป็นอย่างดีแล้ว ยังต้องดูเรื่องของโทนสีประจำเทศกาลหรือสีที่ประกาศให้เป็นสีประจำปีนั้นๆ อีกด้วย แล้วไหนจะต้องคำนึงถึงเทรนด์เสื้อผ้าที่กำลังมาอีก ไม่ใช่เรื่องที่จะมาขีดๆ เขียนๆ กันในระยะเวลาเพียงสองชั่วโมงแล้วเสร็จเสียเมื่อไหร่กัน แล้วไหนจะต้องออกแบบเผื่อเลือกไว้หลายๆ แบบเพื่อนำเสนอในที่ประชุมอีก และแน่นอนว่าหัวหน้าดีไซเนอร์อย่างปานเทพที่คุมงานทั้งหมดจะต้องมาตรวจงานเพื่อปรับแก้ว่าชิ้นใดผลิตได้จริง รวมไปถึงต้องคำนึงถึงเรื่องของเนื้อผ้าและของประดับตกแต่งเพื่อกำหนดราคา เรียกได้ว่ารายละเอียดปลีกย่อยมากมายมหาศาลจริงๆ
“พี่ก็ไม่เข้าใจเจ้านายเหมือนกันว่าคิดจะทำอะไรกันแน่”
ปานเทพส่ายหน้า ในขณะที่ลินดาอมยิ้ม...เจ้านายของเธอไม่ได้สนใจผลแพ้ชนะหรือผลงานที่จะออกมาด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่ต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่างก็เท่านั้น คนร้ายกาจอย่างมัทธีอัสคิดวางแผนไว้เป็นอย่างดีหมดนั่นละ!
ในขณะที่ทุกคนพากันคิดไปต่างๆ นานา ปณาลีก็เริ่มร่างแบบคร่าวๆ บนกระดาษอย่างคล่องแคล่วและรวดเร็วจนคนที่จับตามองเธออยู่พากันทึ่งไปตามๆ กัน แม้จะมองไม่ออกว่าเจ้าตัวกำลังร่างภาพอะไรอยู่ แต่ความมั่นใจและท่าทางสงบนิ่งอย่างคนที่ควบคุมสติได้ดีของเธอข่มฝ่ายตรงข้ามให้ดูด้อยกว่าอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ดาหวันเป็นดีไซเนอร์มืออาชีพ ประสบการณ์การทำงานย่อมมากกว่าเด็กกะโปโลที่ยังเรียนไม่จบอย่างปณาลีอยู่มาก ทว่า...ท่าทางของเธอกลับเงอะงะอย่างน่าขันราวกับชั่วโมงบินเป็นศูนย์เสียนี่
“คุณจะไม่ใช้อุปกรณ์ที่ผมจัดหาไว้ให้เสียหน่อยเหรอครับ มิสปณาลี” มัทธีอัสรับแก้วกาแฟจากแม่บ้านประจำออฟฟิศมาจิบอย่างสบายอารมณ์
“ไม่ละค่ะ ฉันชอบใช้ของตัวเองมากกว่า ถนัดมือดี”
ปณาลีตอบเป็นภาษาอังกฤษชัดถ้อยชัดคำโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยซ้ำ ปลายนิ้วที่จับปากกาของเธอขยับพลิ้วไหวราวมีชีวิตขณะส่งผ่านจินตนาการลงบนกระดาษ สมาธิของเธอดีเยี่ยมจนมัทธีอัสอดชื่นชมไม่ได้ มองจากระยะไกล เขายังดูไม่ออกว่าเธอกำลังร่างสเก็ตช์แบบใดอยู่ แต่ดูจากการใช้สีสันแล้วนับว่าน่าสนใจไม่น้อย
สิ่งที่น่าทึ่งอีกอย่างเกี่ยวกับสาวน้อยคนนี้คือ เธอพาตัวเองจมดิ่งลงไปในห้วงความคิดและตัดขาดจากสิ่งรบกวนภายนอกได้แทบจะในทันที ซึ่งถ้าไม่ใช่คนที่มีโลกส่วนตัวสูงมากก็ต้องเคยชินกับการออกแบบสร้างผลงานมาไม่น้อยถึงนิ่งได้ขนาดนี้ ส่วนอีกคนกลับวาดแล้วเลิก ขยำกระดาษทิ้งแผ่นแล้วแผ่นเล่าเหมือนไม่อาจรับมือกับความกดดันและตั้งสมาธิทำงานได้เลยทั้งที่ควรจะเป็นมืออาชีพแท้ๆ
แต่ก็นั่นละ...ยังไม่หมดเวลา เขาไม่ควรตัดสินจนกว่าจะได้เห็นทุกสิ่งที่อยากเห็นทั้งหมดเสียก่อน...
ความคิดเห็น |
---|