บทที่ ๔
ปณาลีลืมตาตื่นขึ้นมาตอนช่วงสายของอีกวัน พบว่าตนเองถูกทิ้งให้นอนอยู่บนฟูกเพียงลำพัง เธอใช้แขนยันกายขึ้นนั่งอย่างงุนงง จากนั้นจึงกวาดตามองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าของห้องหน้าโหด
เธอจำได้อย่างแม่นยำว่าเมื่อคืนหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เธอก็ซุกตัวนั่งคู้เข่าร้องไห้อยู่ที่หน้าตู้เสื้อผ้านานเท่าใดก็จำไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็มานอนอยู่บนเตียงนี้แล้ว
ปณาลี...
กายสาวสั่นสะท้านยามรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าถูกอ้อมแขนของใครสักคนโอบกระชับเธอไว้แน่นแล้วยกขึ้นจนลอยหวือ หรือว่าจะเป็นเขาที่อุ้มเธอมานอนตรงนี้? แต่ไม่น่าเป็นไปได้ เขาไม่แม้แต่จะสนใจฟังชื่อเธอเสียด้วยซ้ำไป
โครก...
เสียงท้องร้องโครกครากดังลั่น ดึงปณาลีออกจากทุกความคิดอันสับสนวุ่นวายและหัวเราะเสียงแห้ง น่าขันนักที่ต่อให้อยู่ในภาวะตึงเครียดถึงเพียงนี้แล้ว กระเพาะของเธอยังร้องประท้วงไม่ดูกาลเทศะอีก แต่ก็ไม่น่าแปลกใจนักหรอก ไม่มีอาหารตกถึงท้องเธอมาตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นแล้วนี่ ไม่หิวสิประหลาด คิดถึงตรงนี้หญิงสาวก็ตบแก้มตนเองแรงๆ เพื่อเรียกสติอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ
“เอาวะ ไอ้ลี หาอะไรกินให้อิ่มท้องก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”
ปณาลีพูดพึมพำขณะตลบผ้าห่มออกไปให้พ้นกาย แล้วเหวี่ยงเท้าแตะพื้นปูกระเบื้องเย็นเฉียบ เสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังหึ่งๆ อยู่เหนือศีรษะทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เมื่อคืนในห้องนี้เงียบสงัดชนิดที่หากมีเข็มสักเล่มตกก็คงได้ยินอย่างชัดเจนเสียด้วยซ้ำไป ไม่รู้สักนิดว่ามีเครื่องปรับอากาศด้วย แถมยังมีตั้งหลายเครื่องและเปิดทิ้งไว้ทุกเครื่องจนเธอรู้สึกเหมือนจะไข้กลับขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น
ดูเหมือน...เขาจะเพิ่งเปิดสินะ แปลกจัง ขี้ร้อนมากหรือไงถึงได้เปิดมันเสียทุกเครื่องแบบนี้
หญิงสาวมองสำรวจไปรอบๆ พลางสืบเท้าไปเบื้องหน้าช้าๆ แสงสว่างยามเช้าส่องให้เห็นชัดเจนว่าห้องนี้น่าจะขาดการดูแลมานานมากแล้วจึงมีฝุ่นจับอยู่ตามบริเวณต่างๆ ค่อนข้างหนา ที่มุมห้องมีโต๊ะทรงกลมและเก้าอี้ล้มกลิ้งอยู่ แถมยังมีหยากไย่เกาะ บ่งชัดว่าน่าจะถูกทิ้งไว้แบบนั้นมานานมากแล้ว การที่ผนังถูกทุบทิ้งอย่างไม่เรียบร้อยนัก ทิ้งเศษอิฐหินปูนทรายไว้ตามพื้นทำให้เธอรู้สึกเหมือนตนเองยืนอยู่กลางซากปรักหักพังในยุคสงครามกลางเมืองอย่างไรอย่างนั้น เมื่อเดินไปที่สุดมุมห้องอีกด้านจึงเห็นว่ามีเคาน์เตอร์ครัว อ่างล้างจาน และตู้เย็นขนาดใหญ่ตั้งอยู่ น่าแปลกที่เทียบกับในบรรดาข้าวของทุกสิ่งในห้องแล้ว ตู้เย็นเครื่องนี้ดูใหม่และสะอาดที่สุดคล้ายกับเพิ่งซื้อมาได้ไม่นานนัก
ปณาลีเดินตรงไปเปิดตู้เย็นด้วยความรู้สึกหิวโหย แต่แล้วก็ต้องนิ่งอึ้งเมื่อเห็นว่าในตู้อัดแน่นไปด้วยขวดน้ำหวานสีแดงนับสิบขวด เจลลีสตรอว์เบอร์รีหนึ่งโหล และมีแซนด์วิชจากร้านสะดวกซื้อเหน็บไว้ที่ฝาตู้เย็นหนึ่งชิ้น
ผู้ชายคนนั้นคิดว่าตัวเองเป็นกุมารทองหรือไง ถึงดำรงชีพอยู่ได้ด้วยน้ำแดงเนี่ย!
เธอหยิบแซนด์วิชมาดูวันหมดอายุก่อนจะแกะใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ เมื่อเห็นว่ายังกินได้อยู่ พร้อมกับเปิดลิ้นชักในตู้เย็นเพื่อดูว่ามีอะไรพอกินได้อีกบ้าง แต่กลับพบว่าไม่มีอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นของสดจำพวกเนื้อสัตว์ ไข่หรือผัก กระทั่งน้ำเปล่ายังไม่มีเสียด้วยซ้ำไป เธออดสงสัยไม่ได้ว่าชายหนุ่มคนนี้ใช้ชีวิตแบบไหนกันหนอในห้องเก่าๆ ทรุดโทรมเหนือร้านเช่าหนังที่ทำท่าจะเจ๊งมิเจ๊งแหล่แบบนี้...ห้องอันว่างเปล่า รกร้าง เต็มไปด้วยฝุ่นและความเงียบเหงา แต่อย่างน้อย...เขาก็เป็นอิสระมากกว่าเธอไม่รู้กี่ร้อยเท่าละน่า
มือขวาส่งแซนด์วิชทูน่าคำสุดท้ายเข้าปาก ส่วนอีกมือเอื้อมไปเปิดช่องแช่แข็งก่อนที่ปณาลีจะยืนนิ่งอึ้งเหมือนถูกสาป เธอดันบานประตูนั้นให้ปิดลงอีกครั้งอย่างรวดเร็วจากนั้นจึงนับหนึ่งถึงร้อยในใจด้วยความเร็วปานจรวดแล้วค่อยๆ เปิดช่องแช่แข็งเป็นครั้งที่สอง ที่จริง...ผู้ชายที่ยิงคนตายเป็นผักปลาแบบนั้น...หากในตู้เย็นจะมีมือ หัวคน หรืออวัยวะที่ตัดมาจากเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และคงน่าตกใจน้อยกว่านี้ด้วย...ดวงตาคมหวานเต้นระริกยามกวาดมองไปยังธนบัตรสีเทาปึกโตที่ถูกมัดรวมกันแล้วม้วนเป็นหลอดกลมขนาดเท่าหลอดด้ายไซซ์ใหญ่วางเรียงจนแน่นเต็มช่องแช่แข็งชนิดไม่มีช่องว่างเลยสักนิด กระทั่งที่ฝาตู้เย็นยังมีเงินเรียงอยู่จนเต็มไปหมด
ต้องเสียสติแค่ไหนถึงได้เอาเงินมาเก็บไว้ในตู้เย็นเนี่ย!
หญิงสาวหยิบเงินที่ถูกแช่จนแข็งโป๊กปึกหนึ่งออกมาดู มันถูกห่อด้วยพลาสติกถนอมอาหารอย่างแน่นหนา แต่ความเย็นก็ทำให้พลาสติกนั้นกรอบเสียจนแค่แกะเบาๆ ก็หลุดติดมือมาอย่างง่ายดาย และความชื้นที่แทรกผ่านเข้าไปก็ทำให้เนื้อกระดาษเปียกนิดๆ เธอค่อยๆ คลี่ม้วนธนบัตรออกอย่างระมัดระวังแล้วเริ่มนับ
หนึ่งหมื่นบาท...
ปณาลีเม้มริมฝีปากแน่นขณะหยิบธนบัตรม้วนต่อไปออกมานับอีกครั้งก็ได้จำนวนเดิม เธอทำซ้ำอีกสี่ห้าครั้งจนแน่ใจว่าทุกม้วนน่าจะเป็นเงินจำนวนหนึ่งหมื่นบาทเท่ากัน แล้วเริ่มหยิบที่เหลือออกมาวางเรียงบนเคาน์เตอร์พร้อมกับนับไปด้วย หัวใจของเธอเต้นรัวเมื่อท้ายที่สุดแล้วนับได้จำนวนมากถึง...หนึ่งล้านบาท!
เกิดมาก็เพิ่งเคยจับเงินจำนวนมากขนาดนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต...
วูบหนึ่ง...ความคิดฝ่ายชั่วร้ายก็กระซิบบอกให้เธอหยิบเงินพวกนี้ใส่กระเป๋าแล้วรีบหนีไปให้เร็วที่สุด มันมีตั้งร้อยม้วน หากหายไปสี่ห้าม้วนเขาคงจับไม่ได้หรอก แค่เอาปึกนอกเรียงปิดช่องโหว่ไว้ก็ไม่มีใครรู้แล้ว เงินจำนวนนี้น่าจะเป็นทุนรอนให้เธอตั้งหลักได้ หากเอาไปจ่ายค่าเล่าเรียน...
ไม่ได้...เราทำอย่างนั้นไม่ได้...
หญิงสาวส่ายศีรษะแล้วเรียงเงินที่ยังอยู่ในห่อพลาสติกเก็บกลับเข้าไปตามเดิมอย่างรวดเร็ว พร้อมกับสลัดความคิดในด้านมืดทิ้งไป เธอโกรธที่ถูกลุงกับป้าขโมยเงินค่าเล่าเรียนที่พ่อกับแม่สั่งสมไว้ให้ไปใช้จนหมด โกรธ...ที่ดาหวันขโมยแบบสเก็ตช์ของเธอไปใช้ ดังนั้นเธอก็ไม่ควรขโมยอะไรจากคนอื่นเช่นกัน
‘ไม่ชอบให้ใครทำเรื่องไม่ดีอะไรกับเรา ก็ไม่ควรทำเรื่องนั้นกับคนอื่นเขานะลูก...’
คำสอนของบิดามารดายังคงย้ำเตือนใจอยู่เสมอ ธำรง ดารณี และดาหวันอาจทำเรื่องเลวร้ายกับเธอสารพัดสารพัน แต่ใช่ว่าเธอต้องลดตัวลงไปโต้ตอบด้วยความเลวร้ายเทียมกันไม่ใช่หรือ การเอาคืนที่สาสมสำหรับเธอที่สุดก็คือยืนหยัดบนสองขาของตนเองให้ได้ และทำตามความฝันให้จงได้เพื่อลบคำสบประมาทและปรามาสที่พวกเขาเคยตราหน้าเธอเอาไว้
ปณาลีมองเงินที่ถูกคลี่ออกจากห่อแล้วถอนใจ เธอมองไปรอบๆ เคาน์เตอร์เพื่อหาพลาสติกถนอมอาหารมาห่อเงินไว้ตามเดิม แต่ไม่พบจึงก้มๆ เงยๆ เปิดตู้ใต้อ่างล้างจานและตู้แขวนผนังบริเวณเคาน์เตอร์ หาไปเรื่อยๆ มีแต่พวกกระทะและ ถ้วยชามรามไหยี่ห้อดังวางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบคล้ายไม่เคยถูกนำมาใช้ เธอจำต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปเดินดูที่อื่นทั้งในห้องน้ำที่สะอาดเรียบร้อยผิดคาดและในห้องเก็บของที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้ากองโตวางสุมอยู่ ซึ่งข้างๆ นั้นมีธนบัตรย่อยใบละห้าร้อยบาทบ้าง หนึ่งร้อยบาทบ้าง ไปจนถึงธนบัตรใบละยี่สิบบาทถูกขยำไว้เป็นก้อนๆ เกลื่อนห้องไปหมด
“เขาต้องบ้าแน่ๆ”
หญิงสาวเข้าใจเดี๋ยวนั้นเองว่าทำไมเขาถึงได้มีเสื้อผ้าที่ห่อด้วยพลาสติกเต็มตู้เสื้อผ้าไปหมด ก็เขาเล่นถอดทิ้งกองไว้ไม่ซัก แล้วใช้แต่ของในห่อนี่ ดูจากเสื้อยืดปริมาณมหาศาลขนาดนี้ เขาน่าจะไม่ได้ทำความสะอาดเสื้อผ้ามานานหลายเดือนแล้วกระมัง...เธอเดินไปหยิบเงินที่ถูกขยำทิ้งไว้ขึ้นมาคลี่ดูประสาคนงก เขาช่างเป็นคนที่ใช้เงินทิ้งๆ ขว้างๆ ชนิดความหมายตรงตามตัวเปี๊ยบ โยนทิ้งไว้เต็มห้องไปหมด
เธอตัดสินใจทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิบนพื้น แล้วเริ่มนับเงินอีกครั้งเหมือนถูกผีแม่ค้าเข้าสิง โดยแยกธนบัตรตามประเภทอย่างเป็นระเบียบ เธอพบว่าใต้กองเสื้อผ้ายังมีเหรียญห้าบาทและสิบบาทอีกเป็นจำนวนมาก หลังจากใช้เวลาอีกราวครึ่งชั่วโมง เธอก็นับเงินได้ทั้งหมดสามหมื่นบาทถ้วน
ให้ตายเถอะ...ไม่มีคนสติดีที่ไหนโยนเงินสามหมื่นบาททิ้งไว้กับพื้นแบบนี้แน่
เป็นอีกครั้งที่ความคิดชั่วร้ายในสมองเริ่มทำงาน เงินพวกนี้เขาโยนทิ้งราวไม่เห็นค่า แต่เธอเห็นนี่ ถ้าเธอจะหยิบไปใช้ เขาก็คงไม่สนใจหรอกน่า...มือเรียวเอื้อมไปคว้าปึกธนบัตรใบละห้าร้อยขึ้นมาถือไว้ครู่หนึ่งก่อนจะวางลงตามเดิม
ไม่ได้...นี่มันเงินของคนอื่น ไม่ใช่ของเธอเสียหน่อย ต่อให้เขาโปรยทิ้งไว้ทั่วห้อง เธอก็ไม่มีสิทธิ์หยิบมาใช้ตามใจชอบโดยที่เจ้าตัวไม่เอ่ยปากอนุญาต
ปณาลีระบายลมหายใจยาว จะว่าเธอโง่ก็ได้ ถึงจะไม่ใช่คนดีอะไรนักหนา แต่ก็ขโมยของของผู้มีพระคุณไม่ลงหรอกโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเขาช่วยเธอมาแล้วถึงสองครั้งสองครา จะเต็มใจหรือไม่เขาก็ปกป้องเธออย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน สิ่งที่เธอควรทำที่สุดตอนนี้คือตอบแทนบุญคุณเขาต่างหาก เมื่อคิดได้ดังนี้หญิงสาวก็รวบรวมเรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดลุกขึ้นยืน และกอบเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้นห้องเก็บของออกไปด้านนอก นับเป็นโชคที่เมื่อเดินหาอุปกรณ์ซักล้างไปทั่วห้องแล้วพบว่ามีเครื่องซักผ้าอยู่หนึ่งเครื่องไม่ห่างจากบริเวณเคาน์เตอร์ครัวนัก ด้านนอกมีฝุ่นเกาะอยู่บ้าง แต่ตัวถังด้านในสะอาดสะอ้านบอกชัดว่าไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน
ถ้าดูจากปริมาณเสื้อผ้าที่เขากองทิ้งไว้ก็ไม่น่าแปลกใจนักหรอก...
เมื่อเดินหาผงซักฟอกและน้ำยาปรับผ้านุ่มอยู่นานก็ไม่พบ ปณาลีจึงตัดสินใจหยิบธนบัตรชื้นๆ ที่วางผึ่งอยู่บนเคาน์เตอร์แล้วเดินออกจากห้อง ตั้งใจว่าจะไปร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ เพื่อซื้ออุปกรณ์ซักผ้าและทำความสะอาดเพิ่มเติม รวมไปถึงอาหารการกินด้วย...นึกๆ แล้วก็สงสารเขาอยู่เหมือนกัน อยู่ในสภาพแวดล้อมอึมครึมเหมือนแดนสนธยาเพียงลำพัง ขาดคนดูแล เธอไม่มีกำลังทรัพย์ แต่มีกำลังกาย หากการลงแรงเล็กๆ น้อยๆ จะตอบแทนเขาได้บ้าง เธอก็ยินดี
“จะไปแล้วเหรอ”
เสียงพูดดังขึ้นมาจากด้านหลังเคาน์เตอร์ ปณาลีที่เพิ่งเดินผ่านประตูที่ติดป้ายว่า ‘เฉพาะพนักงาน’ ออกมาชะงักครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไปหาต้นเสียง จงกลณีนั่งอยู่ที่เดิมในมุมมืด เพียงแต่ครั้งนี้คนที่แต่งตัวเหมือนหลุดออกมาจากภาพยนตร์เรื่องครูไหวใจร้ายเวอร์ชันอิมพอร์ตเสื้อผ้ามาจากจาไมกาไม่ได้เล่นโทรศัพท์มือถือ ดวงตาคมกริบใต้กรอบแว่นตาทรงแหลมมองมาอย่างสำรวจตรวจตราแกมสงสัยใคร่รู้อย่างไม่ปิดบัง
“ยังค่ะ” ปณาลีกระพุ่มมือไหว้อีกฝ่ายอย่างเก้ๆ กังๆ เธอรู้ว่าคงถูกมองไม่ดีนักที่มานอนค้างอ้างแรมในห้องของผู้ชายแปลกหน้า ทั้งที่เป็นสาวเป็นนางแท้ๆ “คือ...ข้างบนไม่มีผงซักฟอก ฉันก็เลยจะออกไปซื้อน่ะค่ะ”
“ผงซักฟอก? นี่เธอจะซักผ้าเหรอ” จงกลณีขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“ฉันเห็นเขามีเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซักเยอะน่ะค่ะ ก็เลยจะซักให้ จริงสิ บนดาดฟ้ามีราวตากผ้าใช่ไหมคะ” เธอเห็นว่ามีบันไดขึ้นไปด้านบน ส่วนใหญ่แล้วอาคารพาณิชย์เก่าๆ แบบนี้ก็น่าจะมีดาดฟ้าไว้สำหรับตากผ้าทั้งนั้นไม่ใช่หรือ
“มีนะ แต่ไม่มีใครใช้หรอก” จงกลณีกอดอกแล้วมองสาวน้อยตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์มากกว่าเดิม “เธอนี่น่าสนใจดีนะแม่หนู”
ปกติแล้วไม่มีใครกล้าแตะข้าวของส่วนตัวของ 666 หรอก รายนั้นไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายเสียด้วย เดี๋ยวได้ดูเรื่องสนุกแน่
“น่าสนใจเหรอคะ” เรียวคิ้วโก่งงามเลิกขึ้นนิดๆ อย่างประหลาดใจ
“ก็...ลองเขาพาเธอมาที่นี่ เธอก็คงน่าสนใจมากอยู่ละ” จงกลณีมองหญิงสาวขึ้นๆ ลงๆ ในแบบที่ทำให้คนถูกมองรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก “จะไปก็ไปเถอะ ร้านสะดวกซื้ออยู่ปากซอยนี่เอง”
พูดจบเจ้าตัวก็ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือต่อเหมือนสิ้นความสนใจในตัวปณาลีไปเสียแล้ว หญิงสาวได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เธอตั้งท่าจะเดินหันหลังจากไป แต่แล้วก็นึกอะไรได้จึงก้าวเท้ากลับมายืนเกาะเคาน์เตอร์อีกครั้ง
“ขอถามอะไรอย่างหนึ่งได้ไหมคะ” ปณาลีเอ่ยไม่เต็มเสียงนัก “คือ...เขาชื่ออะไรเหรอคะ”
“เขาไหน” จงกลณีถามโดยไม่เงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือ “นี่อย่าบอกนะว่าเดินตามผู้ชายต้อยๆ หายขึ้นห้องไปทั้งคืนทั้งที่ไม่รู้ชื่อเขาน่ะฮึ”
“มัน...มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะคะ ฉันกับเขาไม่ได้ทำเรื่องแบบนั้นกันเลย เขา...เขาช่วยฉันเอาไว้ต่างหาก...”
ดวงหน้าเล็กเรียวร้อนวูบวาบ ทั้งโกรธทั้งอายที่ถูกมองในแง่ลบ แต่เมื่อลองคิดในมุมกลับกัน จะให้เห็นเป็นอื่นใดไปได้เล่า ก็เธอเดินตามผู้ชายคนนั้นขึ้นไปนอนค้างอ้างแรมบนห้องนอนของเขาจริงๆ นี่ เป็นใครก็ต้องคิดแบบนี้ทั้งนั้นละ
“ฉันไม่สนหรอกนะว่าเธอกับเขาจะทำอะไรกัน มันไม่ใช่เรื่องของฉัน” จงกลณีพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “แล้วเธอจะเรียกเขาว่าอะไรก็เรียกเถอะ เขาไม่แคร์หรอก”
“คะ? ไม่แคร์?” ปณาลีทำหน้างง ชื่อของเขาเป็นความลับนักหรือไงถึงบอกไม่ได้ “หมายความว่ายังไงคะ”
“หมายความตามนั้นทุกคำ เธอจะเรียกเขาว่ายังไงก็ได้ ถ้าเขาอารมณ์ดีก็หัน อารมณ์ไม่ดีก็ไม่หัน แต่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยหันหรอกเพราะอารมณ์บูดทั้งวันนั่นละ”
“นี่เรากำลังพูดถึงคนอยู่ใช่ไหมคะ ไม่ใช่ลูกแมว”
หญิงสาวรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เธอคิดว่าผู้ชายคนนั้นประหลาดแล้ว แต่คนที่เขาเรียกว่าเจ๊จงนี่สิประหลาดกว่าเสียอีก
“โอ๊ย น่ารักไปมั้ง คนอย่างเขาน่ะเป็นได้อย่างเดียวเท่านั้นละจ้ะ สิงโต แล้วก็เป็นสิงโตที่ดุมากด้วย อย่าเผลอเอามือไปแหย่เข้าล่ะ โดนกัดมือขาดแน่”
สิงโตงั้นเหรอ...
ปณาลียืนเหม่ออยู่หน้าเตาไฟฟ้า แต่มือที่ถือตะหลิวยังคงขยับผัดกะเพราได้โดยอัตโนมัติ กลิ่นของพริก กระเทียมและใบกะเพราผสมเนื้อหมูสับลอยอวลอยู่ในอากาศชวนให้น้ำลายสอไม่น้อย แต่หญิงสาวกลับรู้สึกเหมือนถูกคำพูดพิลึกพิลั่นของจงกลณีรบกวนจนหมดความอยากอาหารไปเสียเฉยๆ
“ทำไมถึงยังอยู่อีก ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้พักได้คืนเดียว แล้วต้องไป”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นพร้อมๆ กับที่ร่างสูงใหญ่ปานยักษ์ปักหลั่นเดินสาวเท้าเข้ามาด้านในห้อง บรรยากาศปลอดโปร่งพลันหนักอึ้งจากรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากกายเขา
“แล้วนั่นทำอะไร”
กลิ่นอาหารหอมๆ ลอยมาเตะจมูกยังไม่กระตุ้นความรู้สึกหิวโหยได้เท่ากับคนที่ยืนตรงหน้าสักนิด ปณาลีสวมเสื้อผ้าตัวโคร่งของเขาอยู่ เสื้อยืดหลวมโพรกตัดเย็บจากผ้าเนื้อนิ่มแนบไปกับเรือนกายอิ่มเต็มด้วยวัยสาวอวดสัดส่วนโค้งเว้าให้เห็นชัดเจน เธอรวบเรือนผมขมวดไว้เป็นมวยสูงลวกๆ เผยให้เห็นต้นคอระหงขาวผ่องและลาดไหล่บอบบางชวนมองแบบเดียวกับครั้งแรกที่เขาเห็นเธอที่ตลาดนั่น
ภาพของหญิงสาวค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาในห้วงความคิดดังดอกไม้ที่กำลังคลี่แย้มกลีบช้าๆ ดวงตาของเธอหวานปนเศร้าราวแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ แต่กลับมีรอยยิ้มสวยที่สุดที่เขาเคยเห็นมา เป็นส่วนผสมที่ทั้งขัดแย้งทว่าลงตัวอย่างน่าประหลาด และดึงดูดสายตาเขาไว้เสียอยู่หมัด และทำให้เขาต้องวนเวียนกลับไปที่ตลาดแห่งนั้นทุกคืนติดกันเป็นอาทิตย์เพียงเพื่อลอบมองดวงหน้างดงามดุจพระอาทิตย์เที่ยงคืนของเธออย่างเงียบเชียบจากมุมมืด
ไม่นึกเลย...ว่าท้ายที่สุดแล้วจะได้นอนมองดวงอาทิตย์ดวงนี้ใกล้ๆ มาแล้วทั้งคืน และเป็นคืนแรกในรอบหลายปีที่เขาไม่ได้ฝันร้าย...
“ฉันทำผัดกะเพราไข่ดาวค่ะ คือ...ฉันกินแซนด์วิชของคุณไปก็เลยทำอาหารมาใช้” ปณาลียิ้มไม่ออกเมื่อเห็นเขายืนกอดอกขณะปรายตามองเงินที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ “ต้องขอโทษที่ฉันถือวิสาสะหยิบเงินไปซื้อของนะคะ ฉันมีเงินติดตัวอยู่นิดหน่อย ไม่พอซื้อของสด ผงซักฟอกกับพวกอุปกรณ์ทำความสะอาด ก็เลย...”
หญิงสาวพูดตะกุกตะกัก การที่ได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มเต็มตาใต้แสงตะวันเช่นนี้พาให้เธอรู้สึกตื่นเต้นระคนหวาดหวั่นจนทำอะไรไม่ถูก เขารวบผมหยักศกเป็นหางม้าสั้นๆ ทำให้เห็นโครงหน้าคมเข้มดุจรูปสลักนักรบชัดเจนขึ้น ดวงตาสีเขียวเข้มยามต้องแสงแดดดูสีอ่อนลงนิดหน่อยและมีประกายสีทองจางๆ พาดผ่านอย่างน่าพิศวง และเธอก็ดันใจเต้นเพราะดวงตาคู่นี้
ผงซักฟอก? อุปกรณ์ทำความสะอาด?
เขากวาดตามองไปรอบๆ ก็เห็นว่าข้าวของที่วางระเกะระกะอยู่บนพื้นถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ พื้นที่เคยเต็มไปด้วยฝุ่นหนาเตอะก็ได้รับการกวาดถูจนสะอาดเอี่ยมอ่อง...หลายปีแล้วที่เขาไม่เคยเห็นเลยว่าพื้นกระเบื้องใต้ฝุ่นหนาพวกนี้เป็นสีขาวมันวับ แถมยังเย็นสบายเท้าแบบนี้
“อ้อ...นั่นเอง”
“ฉัน...ฉันซักผ้าให้คุณด้วยค่ะ ฉันแค่อยากตอบแทนที่คุณช่วยฉันไว้ คุณ...คุณคงไม่โกรธฉันใช่ไหมคะ”
เขาพูดน้อยมากจนปณาลีทำตัวไม่ถูก จึงต้องรีบเสหันไปปิดเตาไฟฟ้าแล้วตักอาหารใส่จานที่วางไว้ข้างๆ แทน ปกติเธออ่านสีหน้าคนเก่ง แต่เขานิ่งมากเสียจนเธอมองไม่ออกว่ากำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่
“ซักผ้า?”
เรียวคิ้วเข้มข้างหนึ่งเลิกขึ้นนิดๆ อย่างประหลาดใจ หญิงสาวเพิ่งเห็นในตอนนั้นเองว่าปลายหางคิ้วข้างซ้ายของเขามีรอยแผลเป็นพาดผ่านอยู่จางๆ เช่นเดียวกับบนจมูก น่าแปลกนักที่รอยแผลเหล่านั้นไม่ได้ทำลายความงดงามของเครื่องหน้าไปแม้แต่นิด ตรงกันข้าม กลับทำให้เขาดูสง่างามน่าเกรงขามมากขึ้นไปอีก
“ค่ะ ฉันซักแล้วตากไว้บนดาดฟ้าหมดแล้ว ผ้าปูที่นอนเมื่อคืนก็ด้วย มันชื้นๆ ฉันกลัวจะเหม็นอับแล้วคืนนี้คุณจะนอนไม่สบาย เครื่องซักผ้าคุณทันสมัยมากเลยนะคะ เป็นระบบดิจิทัลด้วย ใช้ง่ายมาก ซักแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว”
ปณาลีอธิบายยาวเหยียดพลางเลื่อนจานข้าวราดผัดกะเพราไข่ดาวไปตรงหน้าเขา จานชามและเครื่องครัวทุกอย่างในอะพาร์ตเมนต์โกโรโกโสห้องนี้ใหม่เอี่ยมชนิดไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน เมื่อนำมาเช็ดล้างทำความสะอาดนิดหน่อยก็ดูสวยงาม แม้เรียบง่ายเป็นของสีพื้นๆ ไม่มีลวดลายอะไร แต่ก็เหมาะกับบุคลิกของเจ้าของเป็นอย่างดี
“อือ”
เธอพูดน้ำไหลไฟดับ แต่เขาตอบกลับมาเพียงเท่านั้น บรรยากาศรอบตัวจึงพลันเงียบงันเสียจนน่าอึดอัด ยังดีที่เขายอมรับอาหารจากเธอแล้วเริ่มตักกินโดยไม่แสดงท่าทีรังเกียจรังงอน ก่อนจะนิ่งไปครู่หนึ่ง รสชาติเผ็ดร้อนของพริกที่ไม่ได้ลิ้มลองมานานกระตุ้นความทรงจำครั้งเก่าให้ฟื้นคืนชีวิตอยู่ในห้วงความคิด...ครั้งที่เขานั่งข้างกองไฟ ดื่มกิน สรวลเสเฮฮากับพวกพ้อง และ...ครอบครัว...
‘คาสรา...กินอีกสิลูก แม่ทำไว้เยอะแยะ...’
“เป็นอะไรไปคะ หรือว่าเผ็ดเกินไป”
ปณาลีหน้าเสีย เธอรีบเดินไปหยิบขวดน้ำแดงจากตู้เย็นอย่างร้อนรน เมื่อตอนก่อนออกไปซื้อของ เธอถามจงกลณีแล้วว่าเขาชอบกินอะไร กินเผ็ดได้ไหม มีอะไรที่ไม่ชอบหรือเปล่า เจ้าตัวทำหน้าเหนื่อยหน่ายแล้วตอบกลับมาว่า ‘จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ เขากินได้ทั้งนั้นนั่นละ ต่อให้เป็นดินก็กิน’ เธอถึงได้เลือกทำอาหารที่ง่าย ใช้เวลาน้อย และเธอถนัดที่สุดอย่างผัดกะเพรานี่ละ
“เปล่า” เขาส่ายหน้า ไม่รับขวดน้ำหวานจากมือของหญิงสาว แล้วพยายามสลัดความทรงจำอันไม่รู้ที่มานั้นทิ้งไป “กินได้ อร่อยดี”
น่าประหลาดนักที่คำชมเรียบๆ ไร้อารมณ์ของเขาทำให้หัวใจของคนฟังพองโตจนคับอก ยิ่งเห็นว่าเขากวาดอาหารบนจานลงท้องจนหมดในเวลาอันรวดเร็วเธอก็รู้สึกโล่งอกขึ้นเป็นกอง
“กินอีกไหมคะ ฉันตักให้”
“แล้วเธอไม่กินเหรอ”
แม้ปากจะเอ่ยถาม แต่มือกลับยื่นจานให้ปณาลีแต่โดยดี...อาหารของเธอทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไม่เคยได้สัมผัสมานานจนแทบลืมไปสิ้นแล้ว เมื่อก่อนก็เคยมีคนทำอาหารรสชาติเผ็ดร้อนแบบนี้ให้เขา แต่ว่าใครกันเล่า...ทำไมเขานึกไม่ออก...
“ฉันทำไปชิมไปจนอิ่มแล้วค่ะ”
ปณาลียิ้มกว้าง เธอกุลีกุจอตักอาหารให้เขาเป็นจานที่สอง เธอไม่รู้หรอกว่าเขาจะกินอีกหรือไม่ แต่จากประสบการณ์ที่คลุกคลีอยู่กับเจนภพและก้องหล้าที่กินจุยิ่งกว่ายัดทะนานมาหลายปี ทำให้เธอชินกับการทำให้อาหารเผื่อไว้เสมอ
“เธอไม่กลัวฉันเหรอ”
ชายหนุ่มรับจานอาหารจากหญิงสาวมาถือไว้อีกครั้ง ดวงตาสีเขียวมองเธอนิ่งอย่างรอคอยคำตอบ
“ถ้าให้ตอบตามตรงก็กลัวค่ะ”
ภาพคนตายที่เคยเห็นต่อหน้าต่อตาในคืนนั้นยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ ทว่า...ที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือคนกลุ่มนั้นตั้งท่าจะทำร้ายเธอทั้งที่ไม่ได้มีความแค้นใดๆ ต่อกัน หากไม่ได้ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงนี้ช่วยเอาไว้แล้วละก็ เธอคงตายไปแล้ว
“แล้วทำไมถึงยังอยู่ ไม่กลับไปเล่า” เขาตักข้าวเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ แต่ดวงตายังคงจับจ้องเธอเช่นเดิม “เธอก็เคยเห็นแล้วว่าฉันทำอะไรได้บ้างไม่ใช่เหรอ”
“คุณ...ช่วยฉันเอาไว้ ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่สองครั้งนะคะ ถ้าคุณจะทำร้ายหรือ...หรือฆ่าฉัน คุณคงทำแต่แรกแล้ว”
“ไม่คิดว่าฉันอาจจะทำตอนนี้บ้างเหรอ”
มุมปากของเขายกขึ้นจนมองดูเกือบคล้ายรอยยิ้ม ทว่าแข็งกระด้างชนิดที่ทำให้ขนอ่อนบนหลังคอของปณาลีตั้งชัน
“ก็...ถ้าฉันจะดวงกุดขนาดนั้น ก็คงต้องยอมรับชะตากรรมละมั้งคะ ที่พูดนี่ไม่ได้อยากตายนะคะ แต่ทำยังไงได้”
เธอพบแต่เรื่องร้ายมาตลอดชีวิต หากเบื้องบนกำหนดมาว่าให้เธอหมดลมหายใจแต่เพียงเท่านี้ จะให้ฝืนลิขิตอย่างไรได้
“เธอนี่ตลกนะ แปลกดี” ปากบอกว่าตลก แต่สีหน้าแววตาของเขากลับไม่แสดงให้เห็นว่ารู้สึกเช่นนั้นเลยสักนิด “เธอไม่ได้แจ้งตำรวจเรื่องคืนนั้น ถามได้ไหมว่าทำไม”
“ก็...คืนนั้นคุณช่วยฉันเอาไว้ ถ้าฉันแจ้งตำรวจ คุณก็เดือดร้อนสิคะ”
หลังเกิดเรื่องในคืนนั้น เธอพยายามบอกตนเองว่าที่ไม่กล้าไปแจ้งความกับตำรวจเป็นเพราะกลัวว่าจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนร้ายเนื่องจากมีอาวุธสังหารอยู่ในครอบครอง แถมยังอยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูเหมือนเธอมีเอี่ยวแน่ๆ แต่ลึกๆ แล้วเธอรู้ดีว่าตนเองหมายความตามที่พูดไปนั่นละ...เธอกลัวว่าเขาจะเดือดร้อน
“อิ่มแล้ว”
เขาวางจานเปล่าลงบนเคาน์เตอร์ในเวลาอันรวดเร็วเสียจนปณาลีอดรู้สึกทึ่งไม่ได้ เธอเผลอคิดอะไรเพลินๆ เดี๋ยวเดียว พ่อคุณสวาปามเสียเกลี้ยงชนิดไม่เหลือแม้แต่เม็ดข้าวหรือพริกติดจานไว้เลยสักนิด
“มีอะไรจะพูดก็ว่ามา”
“คะ?”
“ถ้าไม่มีอะไรจะพูด คงไม่มายืนอ้อยส้อยอยู่แบบนี้หรอกมั้ง”
หือ? เขาเลือกใช้คำโบราณเหมือนตาแก่ไม่มีผิด
“ที่จริง...” ปณาลีนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะช้อนตาขึ้นมองเขาด้วยแววตากลัวๆ กล้าๆ “ฉันก็มีเรื่องอยากจะขอร้องคุณ คือ...ฉันก็รู้นะคะว่าที่คุณช่วยฉันเอาไว้ก็เป็นบุญคุณมากแล้ว แต่...ในเมื่อคุณช่วยฉันแล้วก็น่าจะช่วยให้สุดทาง...”
“อ้อ...ได้คืบจะเอาศอกว่าอย่างนั้นเถอะ”
เขาเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ แต่ไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจแต่อย่างใด หญิงสาวจึงพอใจชื้นขึ้นบ้าง
“คุณก็พูดเสียฉันไปต่อไม่เป็นเลย” ปณาลีหัวเราะเสียงแห้งอย่างที่ฟังคล้ายเสียงร้องไห้มากกว่า เขาเป็นคนพูดน้อย ใช้ศัพท์แสงแบบคนแก่ แต่ท่าทางจะปากร้ายเอาเรื่อง “คือพูดตรงๆ เลยก็แล้วกัน ตอนนี้ฉัน...ยังไม่มีที่ไป ขออยู่ที่นี่สักสองสามวันก่อนได้ไหม ถ้าหาห้องเช่าได้แล้วจะรีบไปทันที แล้วจะไม่มารบกวนคุณอีก”
เธอรู้ว่าสิ่งที่ตนพูดอยู่นี้เป็นเรื่องที่บ้าเสียยิ่งกว่าการตามเขามานอนค้างอ้างแรมที่นี่เสียอีก เขาเป็นคนแปลกหน้าร้อยเปอร์เซ็นต์ แถมยังต้องนับว่าเป็นบุคคลอันตรายอย่างที่สุด แต่เพราะเขาอันตรายระดับนี้นี่ละ เธอถึงจำเป็นต้องออกปากขอพึ่งพาเขา
“ไม่มีที่ไป?”
ดวงตาสีเขียวอ่อนแสงลงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เขาเข้าใจความหมายของสิ่งที่เธอต้องการสื่อในทันที
“ลุงฉัน...คนที่คุณซัดจนเละเมื่อคืน ฉันไม่รู้ว่าอาการเขาเป็นยังไงบ้าง ตายหรือเปล่าก็ไม่รู้ ป่านนี้ป้ากับลูกพี่ลูกพี่ลูกน้องของฉันอาจจะไปแจ้งความแล้วก็ได้”
เธอรู้จักดารณีกับดาหวันดี ป่านนี้คงได้โพนทะนาไปทั่วทุกช่องทางจนคนรู้ไปค่อนประเทศแล้วว่าเธอทำร้ายร่างกายธำรงเพื่อชิงทรัพย์
“แล้วไง เธอเป็นผู้เสียหาย จะกลัวอะไร ก็บอกตำรวจไปตามความจริงสิ”
“ตำรวจไม่เคยช่วยอะไรฉันได้ ฉันบอกไปไม่รู้กี่หนแล้วก็ยังเหมือนเดิม ดีไม่ดีจะเชื่อป้ามากกว่าฉันอีก” ปณาลีเม้มริมฝีปาก เธอไม่จำเป็นต้องเล่ารายละเอียดน่าอัปยศระหว่างเธอกับคนพวกนั้นให้คนนอกรู้มากไปกว่านี้ “ป้าฉันต้องไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แน่ ถ้าฉันไปขออาศัยบ้านเพื่อน พวกเขาก็อาจจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
“กลัวเพื่อนเดือดร้อน แต่ไม่กลัวฉันเดือดร้อน ช่างดีเสียจริง” เขาแค่นหัวเราะ “ถ้าเขาแจ้งความเธอ ก็เท่ากับต้องแจ้งความฉันด้วยจริงไหม ฉันเป็นคนอัดไอ้แก่นั่นนะ อย่าลืมสิ”
“ก็จริงอยู่หรอกค่ะ แต่...ฉันมีความรู้สึกว่า...เขาไม่น่าจะกล้าเล่นงานคุณหรอก”
ก็น่ากลัวเสียขนาดนี้ ใครจะกล้าแตะเขากันเล่า ถ้าได้เขาคุ้มกะลาหัวชั่วคราว เธอก็น่าจะเอาตัวรอดจากลุงกับป้าได้ไม่ยาก
“ฉันไม่ขอรบกวนนานหรอกค่ะ ขอแค่ตั้งหลักได้เท่านั้น แล้วฉันจะไปทันที ขอร้องละนะคะ ช่วยฉันด้วย นึกเสียว่าเห็นแก่ลูกนกลูกกาก็ได้” เธอเลือกใช้สำนวนเก่าแบบที่เขาใช้เผื่อว่าจะสะกิดต่อมความเมตตาของเขาได้บ้าง แต่เมื่อเห็นเขามองกลับมาด้วยดวงตาคมกริบเสียยิ่งกว่ามีดก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองอาจคิดผิด และเธออาจกำลังล้ำเส้นมากเกินไปก็ได้
“ช่วยเธอแล้วฉันจะได้อะไร”
“ได้บุญไงคะ” หญิงสาวตอบอย่างรวดเร็วประสาแม่ค้าหัวไวที่ต้องรบรากับลูกค้าหนุ่มๆ ที่ชอบมาติดพันเป็นประจำ “ช่วยฉันคุณก็ได้บุญ ดีจะตายไป”
“เธอก็เห็นแล้วว่าฉันยิงคน แล้วคิดว่าฉันจะสนใจเรื่องบุญบาปหรือไง พูดไม่คิด”
คำตอบที่เพิ่งได้ยินทำเอาเธอหน้าม้าน เออ...ก็จริงแฮะ
“สามวัน มากสุดไม่เกินหนึ่งอาทิตย์” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งสนิทหลังจากเงียบไปพักใหญ่ “ฉันให้เธออยู่ได้แค่นั้น”
“จริงเหรอคะ!”
ดวงตาคู่งามฉายแววตื่นเต้นยินดีเสียจนอีกฝ่ายเผลอมองค้าง ทั้งรอยยิ้มและประกายพริบพราวดังมีดาวนับล้านดวงบรรจุไว้ภายในสะกดให้เขาไม่อาจละสายตาไปได้ เขาต้องพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะตีหน้าเคร่งขรึมเพื่อซ่อนความรู้สึกไว้
“มีข้อแม้คือเธอต้องทำอาหารสามมื้อนะ” เขาพูดต่อด้วยสีหน้าท่าทางที่เป็นปกติที่สุด “ต้องใช้เงินเท่าไหร่ก็หยิบไป ส่วนเรื่องที่หลับที่นอน เดี๋ยวจะให้เจ๊จงจัดการให้”
ดวงตาคมกล้ามองไปยังพื้นที่ว่างเปล่าฝั่งตรงข้ามกับเตียงของตนเองคล้ายกำลังกำหนดจุดวางเตียงของหญิงสาวไว้คร่าวๆ ในใจ
“ฉันทำได้ค่ะ” ด้วยอารามดีใจ ปณาลีจึงปราดเข้าไปเขย่าแขนของชายหนุ่มอย่างลืมตัว “ฉันจะทำสุดฝีมือเลย ขอบคุณมากนะคะ”
“อย่าดีใจไปนักเลย ฉันไม่ได้สงสารเห็นใจอะไรเธอนักหรอก แค่อยากจับตาดูว่าเธอจะไม่พูดเรื่องของฉันจริงๆ ก็เท่านั้น” เขากระตุกแขนหนีประหนึ่งมือเธอเป็นถ่านร้อนๆ
“เห็นแบบนี้ ฉันก็เป็นคนรักษาคำพูดนะคะ ฉันจะไม่พูดเรื่องคุณให้ใครฟังแน่ แล้ว...แล้วฉันก็ยังไม่อยากตายด้วย”
“นี่ขนาดไม่อยากตาย ยังพูดเป็นต่อยหอย” ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างระอาใจ “เอาเป็นว่าตกลงตามนี้ มีอะไรอีกไหม”
“จะว่ามี...ก็มีค่ะ” ปณาลีพูดเสียงเบา “คือ...ฉันมีของสำคัญต้องกลับไปเอาที่บ้านหลังนั้น...แต่...”
“ไม่กล้าไปคนเดียว” เขาต่อประโยคให้เสร็จสรรพ เริ่มรู้สึกเหนื่อยนิดๆ ที่ต้องพูดเยอะที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมาในชั่วระยะเวลาเพียงไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงดี “ไหนว่ากลัวตำรวจจับ แล้วจะกลับไปทำไมอีก ถ้าจะเอาพวกเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว ก็เอาเงินตรงนั้นไปซื้อสิ ฉันอนุญาต”
ปณาลีเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ เป็นอีกครั้งที่เขาทำเหมือนเงินตรามากมายมหาศาลที่มีอยู่ไม่มีความหมาย ดูเหมือนเขาไม่โกรธที่เธอหยิบเงินไปซื้อข้าวของโดยไม่ขออนุญาตเขาด้วยซ้ำ
“มันไม่ใช่ของใช้ส่วนตัวหรอกค่ะ ฉันอยู่ไม่นาน คงไม่ต้องใช้อะไรมากนัก ไม่อยากรบกวนคุณมากไปกว่านี้” หญิงสาวหลุบตา “คือ...ฉันอยากจะกลับไปเอาสมุดสเก็ตช์กับรูปถ่ายของพ่อกับแม่ พวกท่านเสียไปนานแล้ว ฉันมีแค่รูปพวกนั้นเป็นของดูต่างหน้าพวกท่าน ไม่รู้ว่าป่านนี้ป้าของฉันโกรธจนฉีกทิ้งไปหมดหรือยัง”
นั่นเป็นเรื่องที่ปณาลีกังวลอย่างที่สุด เธอรู้จักคนร้ายกาจอย่างดารณีดี และรู้ด้วยว่าป้าใจยักษ์ผู้นี้ไม่เคยลังเลที่จะพรากทุกสิ่งที่มีค่าไปจากเธอ ยิ่งเห็นเธอต้องเจ็บปวดก็ยิ่งสะใจ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอจึงต้องทำตัวแข็งกร้าว ไม่แสดงความอ่อนแอให้เห็น และปกปิดจุดอ่อนเอาไว้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายหาจุดเจ็บของเธอพบและใช้มันทำร้ายเธอได้อีก มีเพียงรูปถ่ายพวกนั้นที่เธอเก็บซ่อนไว้อย่างทะนุถนอมเพราะมันล้ำค่าเกินกว่าจะทำใจสูญเสียมันไปได้
“ก็ไปเอาสิ” ชายหนุ่มมองดวงหน้าหมองหม่นของเธอ แล้วล้วงกุญแจมอเตอร์ไซค์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง “เดี๋ยวนี้เลยเป็นไง”
เขาไม่ชอบกระแสแห่งความหม่นเศร้าที่โอบล้อมเธอเลย เธอเหมาะกับรอยยิ้มสดใสแบบเมื่อครู่มากกว่า
“จริงๆ นะคะ” ดวงหน้างดงามสว่างวาบขึ้นในแบบที่เขาอยากเห็น
“ทำไมถึงชอบถามย้ำนักว่าจริงไหม ฉันก็เพิ่งพูดไปหยกๆ แท้ๆ”
ความหงุดหงิดที่เจืออยู่ในน้ำเสียงของเขาทำให้หญิงสาวต้องรีบยกมือยกไม้ขึ้นเป็นเชิงปฏิเสธทันควัน
“ไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นแค่คำพูดติดปากเวลาที่ฉันดีใจน่ะค่ะ ไม่ได้มีความหมายไปในทางลบหรอกนะคะ”
“ดี” เขาพยักหน้า “ถ้างั้นก็ไปกันได้แล้ว”
“เอ่อ...”
“อะไรอีกหือ” เขาหันกลับมามองปณาลีด้วยสีหน้าหงุดหงิดเต็มแก่จนเธอต้องย่นคอ
“คุณชื่ออะไรคะ” หญิงสาวยิ้มแหย “คือ...ฉันยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย แต่ถ้าคุณไม่อยากบอก แล้วมีชื่ออื่นให้ฉันเรียกไหมคะ เราต้องอยู่ด้วยกันอีกหลายวัน ให้เรียกแต่คุณๆ มันแปลกๆ น่ะค่ะ”
“อยากเรียกอะไรก็เรียก ฉันไม่สน” คำตอบของเขาไม่ต่างจากที่จงกลณีพูดไว้นัก “ถ้ามันยุ่งยากนักก็ตั้งขึ้นมาสักชื่อก็ได้จะได้จบปัญหา”
คาสรา...เขาเกือบเอ่ยชื่อนั้นออกไป แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงยั้งปากไว้เสียเฉยๆ
“ว่าแต่ฉันแปลก คุณก็แปลกเหมือนกันนั่นละค่ะ” ปณาลีระบายลมหายใจยาว คนบ้าอะไรไม่ยอมบอกชื่อตัวเอง “ถ้าคุณไม่อยากบอกว่าชื่ออะไร ฉันก็จะตั้งตามที่คุณบอกแทนก็แล้วกัน”
“ก็ตามใจ” เขายักไหล่ไม่ยี่หระ แต่หูกลับเงี่ยฟังว่าหญิงสาวจะเรียกเขาว่าอะไร
“งั้น...ฉันจะเรียกคุณว่าวายุ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่างสูงใหญ่ ภาพในคืนที่พบกันเป็นครั้งแรกท่ามกลางความวุ่นวายยังคงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ เขารวดเร็ว ว่องไว มีพลังทำลายล้างดุจสายลมในคืนที่พายุโหมกระหน่ำ ชื่อนี้จึงเหมาะสมกับเขาอย่างที่สุด “ฉันเรียกคุณด้วยชื่อนี้ได้ใช่ไหมคะ”
“จะเรียกอะไรก็เรียก รำคาญจริง”
ปากบอกว่ารำคาญ แต่หัวใจกลับจารึกชื่อที่ได้ยินไว้สนิทแน่น...ชื่อที่ทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวา และลืมเลือนชื่อคาสราที่เคยได้ยินในฝันไปในบัดดล ชื่อที่ต่อจากนี้ไปจะกลายเป็นชื่อของเขา...วายุ...
ความคิดเห็น |
---|