5

บทที่ ๕


บทที่ ๕

 

นังลี! แกยังกล้าโผล่หน้ามาที่นี่อีกเหรอ!”

เพียงแค่ปณาลีถอดหมวกกันน็อกออก เสียงเกรี้ยวกราดก็ลอยแหวกอากาศพุ่งตรงมาหาเธอราวใบมีดคมกริบ ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น หญิงสาวพยายามสลัดความหวาดหวั่นในดวงตาทิ้งไปเช่นทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับ ‘ปีศาจร้าย’

“ไม่ได้อยากมานักหรอก แค่กลับมาเอาของ”

ปณาลีพูดเสียงห้วน ดวงตามองตรงไปยังหญิงวัยราวห้าสิบปีเศษที่ยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่ด้านหน้ารั้ว รูปร่างท้วมนิดๆ และผิวพรรณขาวผ่องทำให้เจ้าตัวดูอ่อนกว่าวัยราวสองสามปี ทว่าเรือนผมที่ย้อมจนดำสนิทจากน้ำยาราคาถูกจนเป็นสีด้านจึงดูหลอกตาและพลอยลดทอนความงามน่ามองของใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างประณีตไปอย่างน่าเสียดาย

“นังเด็กสารเลว ทำเรื่องชั่วไว้ขนาดนั้นแล้ว ยังจะหน้าด้านมาเอาของอะไรอีก!” ดารณีจงใจตะโกนเสียงดังเพื่อให้เพื่อนบ้านในแถบนั้นได้ยินกันถ้วนทั่ว “หวัน! โทร. เรียกตำรวจเดี๋ยวนี้เลยลูก บอกตำรวจว่านังหัวขโมยที่ทำร้ายร่างกายพ่อเรามันโผล่หัวออกมาแล้ว”

คนที่ดารณีเรียกว่า ‘ลูก’ นั้นยืนอยู่บนชานบ้าน เธอเป็นหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งและบอบบางตามสมัยนิยม เธอมีผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียนรับกับผมยาวสลวยที่ย้อมเป็นสีน้ำตาลช็อกโกแลตอย่างประณีต อีกทั้งยังสวมใส่เสื้อผ้าดูมีราคากว่าผู้เป็นมารดามากเสียจนหากไม่เห็นว่ามีโครงหน้าละม้ายคล้ายกันอยู่บ้างก็คงไม่คิดว่าเป็นแม่ลูกกันเป็นแน่

“แหม ไม่ได้มาคนเดียวซะด้วย ไปหิ้วมาจากดงเด็กแว้นแถวไหนล่ะ”

ดาหวันแบะปากขณะกวาดดวงตายาวเรียวมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหลังปณาลีอย่างดูแคลน ผู้ชายต่างชาติคนนี้ดูหล่อดีอยู่หรอก แต่แต่งเนื้อแต่งตัวไม่มีรสนิยมเอาเสียเลย สวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนเก่าๆ เหมือนพวกฝรั่งขี้ครอกตามตรอกข้าวสาร แถมยังขี่มอเตอร์ไซค์ตากแดดตากลมจนผิวคล้ำอีกต่างหาก ต่อให้หน้าตาดีเหมือนหลุดออกมาจากแค็ตตาล็อกถ่ายแบบเพียงไหน แต่ถ้าดูโลว์คลาสแบบนี้ คนอย่างดาหวันไม่มีวันลดตัวลงไปเสวนาด้วยเป็นอันขาด!

“ก็ดงเดียวกับที่พี่หวันชอบไปหิ้วผู้ชายบ่อยๆ ก่อนจะไปชุบตัวที่อิตาลีนั่นละ”

ปณาลีย้อนเข้าให้อย่างเผ็ดร้อนทำเอาอีกฝ่ายหน้าม้าน ยิ่งหันไปเห็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงโผล่หน้ามาดูเหตุการณ์กันสลอนแล้ว เธอก็ยิ่งรู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อน มีสองเรื่องที่เธอไม่อยากให้ใครรู้ หนึ่งคือเรื่องของบรรดาผู้ชายในอดีต และสองคือเรื่อง ‘ชุบตัว’ ที่เธอไม่อยากให้คนขุดคุ้ย

“เอ๊ะ! นังนี่ กล้าดียังไงถึงมาเหมาว่าลูกฉันจะทำเรื่องต่ำๆ เหมือนแกด้วย!”

ดารณีปรี่จะเข้าไปหาหลานชัง แต่ต้องชะงักเมื่อคนตัวใหญ่ผิดมนุษย์มนาก้าวมาขวางเอาไว้เสียก่อน ดวงตาของเขาเย็นชาเสียจนคนถูกมองสะท้านเยือก มือหนาเลิกชายเสื้อยืดขึ้นเผยให้เห็นปืนกระบอกโตเหน็บอยู่ที่ขอบกางเกงด้านหน้า

“วายุ อย่า” ปณาลีรีบดึงชายเสื้อยืดของเขาลง ด้วยกลัวว่าหากชาวบ้านแถวนี้เห็นเข้าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เธอต้องการมารับของที่เป็นของตนอย่างแท้จริงแล้วกลับไปให้เร็วที่สุด

“นังลี! นี่...นี่แก...แกพากุ๊ยข้างถนนมาขู่พวกเราเหรอ!” ดารณีพูดปากคอสั่นก่อนจะกระโดดแผล็วกลับไปยืนหลบอยู่ด้านหลังลูกสาวสุดที่รักที่ตื่นตะลึงกับสิ่งที่เพิ่งเห็นไม่แพ้กัน “โทร. เรียกตำรวจเดี๋ยวนี้เลยหวัน บะ...บอกให้ตำรวจมาลากคอพวกมันสองคนไปเข้าคุกเดี๋ยวนี้!”

“ก็เอาสิ ถ้าอยากลองตายดูสักครั้งก็เชิญเลย แต่รู้ใช่ไหมว่าคนเราตายได้ครั้งเดียว”

วายุเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางกอดอก สีหน้าสงบนิ่งทว่าดูคุกคามอย่างยิ่งของเขาช่วยเสริมให้คำขู่ดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก

ปณาลีได้ทีรีบพูดต่อ “ฉันแค่มาเอาของของฉัน แล้วก็จะไป อย่าให้ต้องใช้ความรุนแรงเลย”

หากมาคนเดียว เธอคงไม่กล้าพูดจาใหญ่โตเช่นนี้เป็นแน่ แต่เมื่อมีชายหนุ่มอยู่ด้วย ความรู้สึกหวาดกลัวยามต้องเผชิญหน้ากับ ‘ปีศาจร้าย’ ก็ทุเลาเบาบางลงอย่างน่าอัศจรรย์

“กล้าพูดนะนังลี บ้านนี้ไม่มีอะไรที่เป็นของแกทั้งนั้น บ้านก็บ้านฉัน ข้าวของทุกอย่างในบ้านก็ของฉัน หรือว่าแกลืมบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่ราดหัวแกไปแล้ว หา! นังเด็กเนรคุณ!”

เสียงกรีดร้องของดารณีเรียกความสนใจจากผู้คนในแถบนั้นมากขึ้นไปอีก แต่ปณาลีไม่ใส่ใจ เธอเชิดหน้าขึ้นแล้วเลิกเส้นผมขึ้นให้เห็นรอยแผลเป็นเล็กๆ บนศีรษะใกล้กับกกหูซึ่งหากไม่สังเกตให้ดีจะไม่รู้เลยว่าเป็นบริเวณที่ผมไม่ขึ้น

“ใครจะไปลืมข้าวแกงแดงร้อนที่ป้าราดหัวฉันได้ลงกันเล่า แผลยังอยู่ให้เห็นคาตาทุกครั้งที่ฉันหวีผมนั่นละ”

น้ำเสียงของหญิงสาวแข็งกร้าวขณะระเบิดความอัดอั้นที่กักเก็บไว้ยาวนานออกมาอย่างสุดกลั้น เธอจะลืมได้อย่างไรกันเล่าว่าในวันเกิดครบรอบสิบสองปีของเธอ ดารณีมอบของขวัญให้เป็นแกงจืดเต้าหู้ร้อนจัดราดรดศีรษะเพียงเพราะเธอทำน้ำหกเปื้อนนิตยสารบันเทิงไร้สาระที่เจ้าตัวหยิบติดมือมาจากร้านทำผมในตลาด มิหนำซ้ำยังถูกไม้เรียวฟาดกระหน่ำจนเนื้อตัวลายไปหมด

‘นังเด็กเลว! มือห่างตีนห่างนักนะ! แกมันน่าจะตายๆ ตามพ่อแม่ของแกไปซะ!’

‘ป้าจ๋า หนูเจ็บ อย่าทำหนู! หนูกลัวแล้ว!’

เสียงจากอดีตยังคงดังหลอกหลอนเธออยู่บ้างเป็นบางครั้ง ทว่าไม่อาจทำลายเกราะที่เธอสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตนเองได้ ตรงกันข้าม มันกลับทำให้เธอเข้มแข็งและเป็นแรงผลักดันให้เธอดิ้นรนทุกหนทางเพื่อหลุดพ้นไปจากขุมนรกนี้ และเมื่อใดได้หลุดออกไปแล้ว จะไม่มีวันกลับมาเหยียบที่นี่อีกเป็นขาด!

“นั่นแกคิดว่าแกจะไปไหน!” ดารณีตวาดแว้ดเมื่อเห็นปณาลีก้าวขาฉับๆ ผ่านหน้าตนเองขึ้นไปบนบ้าน แต่ไม่กล้าขยับตัวเมื่อเห็นว่าคนตัวโตผิดมนุษย์มนายืนคุมเชิงอยู่ไม่ห่าง

“ก็ไปเอาของที่เป็นของฉันจริงๆ ไง แล้วไม่ต้องห่วงนะว่าฉันจะหยิบอะไรที่ไม่ใช่ของฉันติดไม้ติดมือมาด้วย เพราะฉันไม่ใช่แมวขโมย”

หญิงสาวปรายตามองไปทางดาหวันนิดหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน สภาพของห้องรับแขกยังคงเละเทะไม่ต่างจากเมื่อวานเท่าใดนัก แม้จะมีการเก็บกวาดเศษกระจกและโต๊ะไม้ที่พังยับเยินออกไปแล้ว แต่พื้นและผนังด้านในเต็มไปด้วยรอยแตกร้าวมากมายที่ดูแล้วน่าจะต้องใช้เงินในการซ่อมแซมมากโข

“แกว่าใครเป็นแมวขโมย นังลี”

ดาหวันเดินกระทืบเท้าตามมาติดๆ ใบหน้าสวยเฉี่ยวถมึงทึงอย่างเอาเรื่อง อารมณ์กรุ่นโกรธที่กำลังปะทุในอกทำให้เธอไม่สนใจเสียงทัดทานของดารณีที่ดังอยู่ด้านนอก

ปณาลีหันกลับมามองอีกฝ่ายนิดหนึ่งแล้วเบือนหน้าหนี “ใครชอบขโมยของของคนอื่นก็คนนั้นนั่นละ”

หญิงสาวรีบก้าวขึ้นบันไดทีละสองขั้นอย่างคล่องแคล่วตามความเคยชิน แต่ไหนแต่ไรมาเธอก็ต้องวิ่งหนีทุกคนในบ้านไปหาที่ซ่อนด้วยความเร็วระดับนี้อยู่แล้ว หากหลบไม่ทันหรือไม่เร็วพอ เธอก็มักจะถูกจิกผมจนหน้าหงายและทุบตีจนน่วมเสมอ แต่วันนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอก็ไม่กลัวเพราะมีเขาอยู่...เธอมียักษ์ใหญ่เป็นยันต์กันผีนี่ ไม่มีใครกล้าทำอะไรเธอแน่

“แกแขวะฉันเหรอ!”

เสียงกรีดร้องดังไล่หลังมาทำให้ปณาลีต้องเร่งฝีเท้าตรงไปยังห้องนอนของตนเองโดยเร็วที่สุด ด้วยรู้ดีว่าอีกเดี๋ยวเจ้าของเสียงคงปรี่ตามมาแน่ น่าขันนักที่ประตูห้องนอนของเธอยังคงถูกเปิดทิ้งไว้เหมือนไม่มีใครแยแสตั้งแต่เมื่อวาน ข้าวของที่ตกหล่นเกลื่อนกลาดก็ยังอยู่ที่เดิม เว้นแต่ซิปของเป้บรรจุข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของเธอเท่านั้นที่ถูกเปิดออก และมีการรื้อข้าวของด้านในบางส่วนออกมากองอยู่บนพื้น หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าอะไรหายไป

“ฉันถาม ทำไมถึงไม่ตอบ!” ดาหวันเดินตามเข้ามาในห้อง “นี่ฉันกำลังพูดกับแกอยู่นะนังลี!”

“ฉันได้ยินแล้ว หูไม่ได้หนวก” ปณาลีกวาดสมบัติเก็บใส่กระเป๋าเป้ลวกๆ แล้วรูดซิปปิด “แล้วฉันก็ไม่ได้แขวะด้วยแค่พูดเรื่องจริง”

ร่างเพรียวระหงลุกขึ้นยืนแล้วหันกลับไปมองญาติผู้พี่ด้วยสายตาแข็งกร้าว ดาหวันมองตอบด้วยแววตาแข็งกระด้างไม่แพ้กัน...สมัยยังเด็ก ปณาลีตัวเล็กกว่าเธอมากจึงง่ายต่อการข่มเหงรังแก แต่เมื่อโตขึ้นกลับกลายเป็นว่านังเด็กคนนี้ดันสูงกว่าเธอเสียนี่ แถมรูปร่างหน้าตายังสวยเด่นอย่างน่าริษยาที่สุด!

“นั่นแกจะทำอะไร!”

ดาหวันเบิกตากว้างเมื่อเห็นปณาลีเดินจ้ำพรวดผ่านหน้าเธอตรงไปยังห้องนอนของเธอที่อยู่อีกฝั่ง เธอรีบวิ่งตามมาแต่ไม่ทัน ครู่เดียวประตูห้องถูกผลักเปิดออกพร้อมกับที่ปณาลีก้าวเข้าไปด้านในเสียแล้ว

“ฉันบอกแล้วว่าวันนี้ฉันมาเอาของของฉัน” หญิงสาวล้วงมือเข้าไปใต้ฟูกแล้วดึงสมุดสเก็ตช์ออกมาถือไว้ ในขณะที่ดาหวันยืนหน้าทำหน้าไม่ถูก “ถ้าไม่อยากให้ใครเรียกว่าแมวขโมยก็อย่าเที่ยวหยิบของคนอื่นหน้าตาเฉยแบบนี้อีก”

ปณาลีชูสมุดขึ้นแล้วจ้องหน้าดาหวันเขม็ง ให้ตายเถอะ ญาติผู้พี่ของเธอไม่เคยทำตัวให้ฉลาดขึ้นเลย เวลาขโมยของอะไรไปจากเธอ ก็ชอบซ่อนไว้ใต้ที่นอนอย่างโง่ๆ แบบนี้ทุกทีสิน่า

“แกอย่าคิดว่าตัวเองวิเศษนักหนาเลย ฝีมือแกมันก็ธรรมดา ไม่เห็นมีอะไรโดดเด่นตรงไหน” ญาติผู้พี่เหยียดยิ้มหยัน

“งั้นเหรอ” ปณาลีเชิดหน้าขึ้นแล้วยิ้มขื่น “แปลกนะที่ฉันคิดว่าตัวเองฝีมือดีพอตัวเชียวละ ไม่อย่างนั้นจะทำให้คนที่ไปชุบตัวที่อิตาลีเข้าทำงานบริษัทดังทั้งที่ไม่ได้จบอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้ยังไงกันเล่า จริงไหม”

“นังลี!”

ดาหวันเงื้อมือขึ้นสุดแขนหมายจะฟาดใส่ดวงหน้าหวานจัดของญาติผู้น้อง แต่ต้องชะงักเมื่อเจ้าตัวกำหมัดขึ้นตั้งรับทันควัน เมื่อก่อนการจะทุบหรือทึ้งปณาลีไม่ใช่เรื่องยากเย็นแต่อย่างใด ทว่า...สองสามปีให้หลังมานี้ หญิงสาวเติบโตขึ้นมาก ไม่ใช่เด็กน้อยขี้กลัวที่ยอมให้กดหัวง่ายๆ อีกต่อไป

“เสร็จธุระหรือยัง”

เสียงเยือกเย็นที่แฝงกระแสคุกคามดังขึ้นที่หน้าประตู ร่างของชายหนุ่มปรากฏขึ้นด้านหลังของดาหวันทำเอาเธอสะดุ้งเฮือก ไอร้อนที่แผ่ซ่านออกมาจากกายเขาทำเอาเธอขนลุกเกรียวต้องกระโจนหนีไปอีกทางโดยอัตโนมัติ ยิ่งหันมาเห็นดวงตาแข็งกร้าวของเขาด้วยแล้ว เธอก็เข่าอ่อนแทบยืนไม่อยู่ ผู้ชายคนนี้น่ากลัวจริงๆ ขนาดไม่เห็นหน้า มายืนข้างหลังเฉยๆ ยังทำเอาขวัญผวาได้

“เสร็จธุระแล้ว”

ปณาลีปรายตามองดาหวันแวบหนึ่งก่อนจะเดินตรงไปหาวายุ ในมือกำสมุดสเก็ตช์ไว้แน่น...ที่จริงเธอไม่อยากได้สมุดเล่มนี้คืนนักหนาหรอก เพียงแต่ไม่อยากถูกคนหน้าหนาอย่างดาหวันขโมยอะไรไปจากชีวิตของเธออีก

“แกเอากลับไปก็เท่านั้นละ ฉันจำรูปในนั้นได้หมดแล้ว”

ดาหวันตะโกนไล่หลังปณาลีขณะกำลังเดินลงบันไดไปพร้อมกับชายหนุ่ม เธอหัวเราะเสียงขื่นแล้วหันไปจ้องหน้าญาติผู้พี่เขม็ง

“ก็จำไว้น่ะดีแล้ว ฉันถือว่าให้ทาน ในหัวกลวงๆ ของพี่จะได้มีอะไรอยู่บ้าง ฉันสเก็ตช์เอาใหม่ก็ได้ แล้วมันก็จะดีกว่าที่พี่ขโมยของฉันไปร้อยเท่าด้วย”

“นังลี!” ดาหวันเต้นเร่าๆ “คิดว่าตัวเองวิเศษมาจากไหนกัน แกมันก็แค่นังเด็กใจแตก เที่ยวเก็บเสื้อผ้าหนีตามผู้ชายอย่างหน้าด้านๆ อีกเดี๋ยวก็ท้องไม่มีพ่อ คอยดูเถอะ แกต้องคลานซมซานกลับมาเหมือนหมา!”

“ต่อให้ต้องตายฉันก็จะไม่กลับมาตกนรกที่นี่อีก” ปณาลีเค้นเสียงลอดไรฟัน เธอพยายามข่มอารมณ์ไม่หันกลับไปโต้เถียงใดๆ กับดาหวันอีก “ฉันยอมเป็นหมาข้างถนนดีกว่าต้องทนอยู่กับคนอย่างพวกพี่”

หญิงสาวเหวี่ยงเป้ขึ้นสะพายหลังขณะก้าวออกจากรั้วบ้านไปยืนอยู่ข้างๆ มอเตอร์ไซค์คันโตของชายหนุ่ม เนื้อตัวของเธอสั่นนิดๆ ขณะมองกลับไปยังบ้านที่ครั้งหนึ่งเธอเคยคิดว่าจะเป็นที่พึ่งพิงไปจนตลอดชีวิต ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำอันเลวร้าย ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ทุกคนผลัดกันทิ้งรอยแผลฉกาจฉกรรจ์ไว้ในหัวใจของเธอและทำให้เธอทุกข์ทรมานอย่างที่สุด

“คิดดีแล้วแน่นะ”

วายุเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าปณาลี ดวงหน้าของเธอซีดขาวอย่างน่าสงสาร ทว่าดวงตาทอประกายแน่วแน่ เธอหันไปมองดารณีกับดาหวันที่ยืนส่งสายตาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อมาให้ด้วยดวงตาสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้า

“ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่อยู่ที่นี่ไม่ไหวแล้ว คุณก็น่าจะเห็น”

“งั้นก็ไม่ต้องอยู่” เขาตอบเสียงเรียบแล้วหยิบหมวกกันน็อกส่งให้หญิงสาว “ในเมื่อเลือกแล้วก็ไปเถอะ”

ปณาลีพยักหน้าขณะมองวายุสวมหมวกกันน็อกอย่างรวดเร็ว เธอไม่แน่ใจนักว่าทางที่เธอเลือกเดินนี้จะเป็นการก้าวเดินไปสู่ชีวิตใหม่ หรือเป็นทางเดินลงสู่นรกขุมที่ลึกกว่ากันแน่ แต่ไม่ว่าจะเป็นนรกขุมใด หากไม่มีสามคนพ่อแม่ลูกครอบครัวนี้อยู่ด้วย ที่นั่นย่อมถือเป็นสวรรค์สำหรับเธอแน่

เมื่อคิดได้ดังนั้น หญิงสาวจึงสวมหมวกกันน็อกแล้วกระโดดขึ้นนั่งท้ายมอเตอร์ไซค์ มืออันสั่นเทาด้วยความหวาดหวั่นค่อยๆ เอื้อมไปเกาะเอวสอบเพรียวของวายุเอาไว้ นิ้วเรียวขยุ้มเสื้อยืดของเขาไว้แน่นประหนึ่งเป็นที่พึ่งพาเดียวที่มี ไออุ่นจากกายแกร่งค่อยๆ แทรกซึมผ่านผิวกายมาทีละน้อยและช่วยบรรเทาความหวาดหวั่นให้เบาบางลงบ้าง

ในเมื่อเลือกแล้วก็ต้องไปให้สุดทาง ไม่ว่าผลของมันจะเป็นอย่างไรก็ต้องยอมรับให้ได้

 

แกจะบ้าเหรอ ไอ้ลี!”

เสียงตะโกนของจอมใจที่ดังลอดลำโพงออกมาทำเอาคนที่กำลังเก็บผ้าอยู่บนดาดฟ้าถึงกับต้องดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหูแล้วทำหน้าปั้นยาก

“ไม่ต้องเสียงดังขนาดนั้นก็ได้จอม” ปณาลีหัวเราะเสียงแห้ง “ฉันไม่เป็นไรหรอก ปลอดภัยดี เขาไม่ได้ทำอะไรฉัน”

“ยังไม่ได้ทำละไม่ว่า!” จอมใจกรีดร้อง นึกอยากจะแหวกหน้าจอโทรศัพท์ไปบีบคอเพื่อนสาวเสียเดี๋ยวนั้น “แกมันบ้าเกินเยียวยาแล้ว คิดอะไรอยู่ หา! หายไปนอนค้างอ้างแรมอยู่กับผู้ชายแปลกหน้าทั้งคืนเนี่ยนะ!”

“แล้วมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ด้วยเหรอ”

ปณาลีเล่าให้จอมใจฟังคร่าวๆ ว่าเธอถูกธำรงทำร้าย โชคดีที่ได้วายุมาช่วยเอาไว้โดยที่ข้ามรายละเอียดเรื่องที่เขาเป็นเจ้าของปืนที่อาจใช้สังหารคนในข่าวไปด้วยกลัวว่าเพื่อนรักจะไปแจ้งความจนเรื่องราวบานปลายใหญ่โต เธอรู้...ว่าเขาอาจเป็นฆาตกรในข่าวจริงๆ ก็ได้ แต่เขาช่วยเธอไว้หลายครั้งหลายหนและเป็นที่พึ่งเดียวที่เธอมี เธอจะยอมให้เขาต้องเดือดร้อนได้อย่างไรกันเล่า

“มีสิ ก็มาบ้านฉันไง! ฉันเป็นเพื่อนแกนะลี เดือดร้อนอะไรก็ควรจะมาหาฉัน ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้”

“แกยังโดนป้ากับพี่หวันอาละวาดใส่ไม่พอหรือไง”

หญิงสาวพ่นลมหายใจแรงๆ ขณะหย่อนเสื้อยืดที่แห้งแล้วลงในตะกร้าพลาสติก เมื่อคืนนี้แบตเตอรี่โทรศัพท์ของเธอหมดเกลี้ยงจนเครื่องดับไป เธอจึงแอบเสียบสายชาร์จทิ้งไว้บนเครื่องซักผ้า เพราะดูเหมือนจะเป็นที่เดียวที่มีเต้ารับที่ใช้งานได้โดยไม่เป็นเป้าสายตาของเจ้าของห้อง กว่าจะมีโอกาสได้พูดคุยกับเพื่อนรักก็ปาเข้าไปเกือบเย็นแล้ว

“ก็ได้แค่อาละวาดเป็นหมาบ้าละน่า ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้นหรอก เจอพ่อกับแม่ฉันเงื้ออีโต้ใส่ก็เผ่นแผล็วหนีกลับบ้านกันไปทั้งแม่ทั้งลูก”

จอมใจแสร้งทำเป็นหัวเราะเยาะหยันยามพูดถึงดารณีกับดาหวัน สองคนนั้นบุกมาอาละวาดถึงร้านอาหารของพ่อกับแม่ของเธอ ตะโกนเอะอะโวยวายเสียงดังกล่าวหาว่าปณาลีทำร้ายร่างกายธำรงผู้เป็นลุงจนเจ็บหนักต้องเข้าโรงพยาบาลแล้วขโมยข้าวของในบ้านหนีออกมา แถมยังบอกอีกว่าจะไปแจ้งความจับหญิงสาวรวมไปถึงจอมใจกับเจนภพและครอบครัวด้วยในข้อหาให้ความช่วยเหลือคนร้ายหลบหนี แต่เมื่อถูกเธอตอกกลับด้วยคำพูดเผ็ดร้อนเรื่องธำรงเป็นตาแก่ตัณหากลับและบอกว่าจะแจ้งความกลับเรื่องที่พวกเขาชอบทำร้ายร่างกายปณาลี สองแม่ลูกคู่นั้นจึงทำท่าฮึดฮัดแล้วยอมล่าถอยกลับไปอย่างเสียไม่ได้

ลึกๆ แล้วจอมใจไม่เชื่อว่าดารณีกล้าไปแจ้งความจริงๆ ดังที่กล่าวอ้าง เพราะรู้ดีว่าธำรงก่อเรื่องสารเลวอะไรไว้ ต่อให้อ้างว่าปณาลีทำเกินกว่าเหตุ แต่ ‘เหตุ’ ที่เขาทำก็ชั่วช้าพอที่ตำรวจสามารถลากเขาเข้าซังเตได้โดยไม่จำเป็นต้องรอเลยสักนิด

“ขอโทษด้วยนะจอมที่ทำให้แกกับที่บ้านต้องพลอยเดือดร้อนแบบนี้”

“แกควรต้องขอโทษที่ทำให้ฉันกับทุกคนเป็นห่วงจนแทบบ้ามากกว่า” จอมใจกรอกเสียงแว้ดๆ มาตามสาย “ถ้าแกอยากไถ่โทษที่ทำให้พวกฉันเดือดร้อนจริงๆ ก็ย้ายก้นมาหาฉันที่บ้านเดี๋ยวนี้เลย ถ้าไม่มีปัญญากลับมาก็บอกมาว่าอยู่ที่ไหน เดี๋ยวฉันกับไอ้เจนจะไปรับเอง”

“เรื่องนั้น...” ปณาลีระบายลมหายใจยาว “ฉันคิดว่าฉันซ่อนตัวอยู่เงียบๆ อีกสักสองสามวันก่อนดีกว่า ฉันไม่อยากให้แกต้องเดือดร้อนไปด้วย”

หากดารณีกับดาหวันรู้ว่าเธอไปหาจอมใจ จะต้องตามไปรังควานไม่จบไม่สิ้นแน่

“พูดบ้าๆ! ถ้ายังเห็นว่าฉันเป็นเพื่อนอยู่ห้ามพูดบ้าๆ แบบนี้เป็นอันขาด! ไม่รู้ละ รีบมาหาฉันเดี๋ยวนี้เลย มีปัญหาอะไรก็มาค่อยๆ ช่วยกันคิด อย่าทำเหมือนตัวเองอยู่ในโลกนี้คนเดียวสิ”

“ขอบใจมากนะจอม นี่ถ้าแกเป็นผู้ชายฉันต้องขอแกแต่งงานแน่ๆ” ปณาลีแสร้งพูดทีเล่นทีจริง “ฉันดูแลตัวเองได้ แกไม่เป็นห่วงหรอก”

“ลี แกอยากให้ฉันโกรธจริงๆ ใช่ไหม” จอมใจขู่ฟ่อ แม่เพื่อนรักของเธอนี่ยังไงกันนะ ต้องให้เล่นบทโหดอยู่เรื่อย “ถ้าวันนี้แกไม่มาหาฉันที่บ้าน ฉันจะเลิกคบแกจริงๆ แล้วนะ!”

“โอ๊ย อย่าเลิกคบฉันเลย ฉันมีเพื่อนก็แค่แกคนเดียวนี่ละ” หญิงสาวพูดกลั้วหัวเราะ “ถ้าอยากช่วยจริงๆ ก็บอกให้เจนไปขายของแทนฉันสักสองสามวันนะ แล้วแกก็ช่วยหาหอพักราคาไม่แพงให้ฉันด้วย ไม่ต้องดีมากก็ได้ ขอแค่พอซุกหัวนอนได้ก็โอเคแล้ว พอฉันมีเงินแล้วค่อยหาทางขยับขยายอีกที”

“นี่ ตามฉันลงไปข้างล่างหน่อย”

หญิงสาวสะดุ้ง เธอหันกลับไปหาต้นเสียงก็เห็นร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มยืนกอดอกพิงกรอบประตูทางออกมายังดาดฟ้าอยู่ สีหน้าของเขาเรียบเฉยทว่าดวงตาฉายชัดถึงความไม่พอใจบางอย่างที่เธอก็ไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่

“ฉันต้องวางสายแล้วนะจอม ไว้คุยกันพรุ่งนี้”

“เฮ้ย เดี๋ยว! ไอ้ลี แก...”

เสียงของจอมใจขาดหายไปทันทีที่ปณาลีตัดสาย และรีบกดปุ่มปิดเครื่องอย่างรวดเร็วก่อนที่อีกฝ่ายจะกระหน่ำโทรศัพท์กลับมา

“มีอะไรเหรอคะ” เธอยัดโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกงแล้วหอบตะกร้าใส่ผ้าวิ่งปุเลงๆ ตรงไปหาชายหนุ่ม เธอไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเขาได้ยินบทสนทนาของเธอกับจอมใจหรือเปล่าหนอ

“ลงไปข้างล่าง” วายุตอบเหมือนไม่ตอบ เขาคว้าตะกร้าผ้าจากมือของปณาลีมาถือไว้เสียเองแล้วเดินนำลงไปชั้นล่างอย่างเงียบเชียบ

หญิงสาวมองตามแผ่นหลังกว้างที่หายลับไปด้วยความรู้สึกอึดอัดอยู่ลึกๆ จริงอยู่ว่าเขาดีต่อเธอมาก แต่คงดีกว่านี้หากเขาช่างพูดช่างคุยสักหน่อย มิใช่หวงถ้อยคำประหนึ่งกลัวว่าดอกพิกุลจะร่วงเช่นนี้ แต่ก็เอาเถอะ แค่เขายอมให้เธอซุกหัวนอนที่นี่ก็ดีถมไปแล้ว ไม่ควรเรียกร้องเรื่องไร้สาระใดๆ ทั้งสิ้น อีกประการหนึ่ง เมื่อจอมใจหาที่พักใหม่ที่ปลอดภัยให้เธอได้ เธอก็ไปจากที่นี่แล้ว และ...คงไม่ได้พบเขาอีก...

“จะให้วางเอาไว้ตรงนี้จริงๆ น่ะเหรอ”

เสียงของจงกลณีทำให้ปณาลีชะงักฝีเท้า ดวงตาคมซึ้งเบิกกว้างเมื่อเห็นโครงเตียงและฟูกขนาดสามฟุตครึ่งตั้งอยู่ติดผนังฝั่งตรงข้ามกับที่นอนของชายหนุ่ม

“เอาไว้ตรงนั้น” วายุตอบเสียงเรียบแล้วหันไปหาปณาลี “เจ๊จงซื้อผ้าปูที่นอนกับปลอกหมอนมาให้เธอแล้ว จัดการเอาเองนะ”

หญิงสาวมองตามปลายนิ้วของชายหนุ่มไปก็เห็นถุงพลาสติกใบเขื่องที่วางกองอยู่ปลายเตียง นี่เขา...ซื้อเตียงให้เธอจริงๆ น่ะหรือ รู้สึก...แปลกๆ พิกลแฮะ

“ขอบคุณค่ะ ที่จริงคุณไม่น่าลำบากเลย ฉันไม่ได้คิดจะรบกวนคุณนานมากนักหรอก” ปณาลีเอ่ยพลางกระพุ่มมือไหว้จงกลณีอย่างอ่อนน้อม “ต้องขอบคุณเจ๊จงด้วยนะคะ ฉันเกรงใจมากเลย”

จงกลณีเลิกคิ้วนิดๆ อย่างประหลาดใจ การใช้ชีวิตอยู่กับแต่พ่อคนที่ชอบทำตัวเป็นก้อนหินทื่อมะลื่อทำให้เธอไม่ชินกับความสุภาพอ่อนโยนในลักษณะนี้เท่าใดนัก จึงยกมือขึ้นรับไว้อย่างขัดเขิน

“ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ฉันไม่ได้ลำบากอะไร แค่โทร. ไปสั่งซื้อเฉยๆ” ดวงตาภายใต้กรอบแว่นทอประกายอ่อนลงนิดกว่าครั้งแรกที่พบหน้าหญิงสาวมาก “นี่ เปลี่ยนใจเป็นเตียงคู่ตอนนี้ยังทันนะ 666”

“666? นั่นเป็นชื่อคุณเหรอคะ”

ปณาลีมองวายุสลับกับจงกลณีอย่างรอคอยคำตอบ แน่นอนว่าเขาไม่ตอบแต่หันไปขึงตาใส่คนปากมากอีกคนแทน

“เสร็จธุระก็ลงไปได้แล้ว รำคาญ!”

“ย่ะ ใช้เสร็จก็ถีบหัวส่งเลยนะ” จงกลณีย่นจมูก เธอไม่มีทีท่าว่าจะถือสาคำพูดไม่น่าฟังของชายหนุ่มแต่อย่างใด “อ้อ พรุ่งนี้มีงานนะ อย่านอนดึกนักละ”

“รู้แล้ว”

คำว่า ‘งาน’ ที่เพิ่งได้ยินทำให้สีหน้าของวายุแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดชนิดที่ปณาลีไม่ต้องสังเกตก็เห็นได้ชัดเจน ภาพตอนที่เขาควงปืนในคืนวันนั้นผุดวาบขึ้นมาในห้วงความคิด หรือว่า ‘งาน’ ของเขาจะเป็น...

กริ๊ง...

เสียงโทรศัพท์ดังก้องกังวานช่วยฉุดหญิงสาวออกจากห้วงความคิด วายุดึงเครื่องมือสื่อสารเครื่องบางเฉียบออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วหันไปสบตากับจงกลณีครู่หนึ่ง แววตาของทั้งคู่วูบไหวแปลกๆ ในแบบที่ปณาลีมองแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก

“ปูที่นอนซะ”

วายุเอ่ยเสียงหนักกับปณาลีแล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง หญิงสาวหันไปหาจงกลณีด้วยแววตาเต็มไปด้วยคำถาม แต่เจ้าหล่อนก็รีบเดินผละกลับลงไปยังชั้นล่างอย่างรวดเร็วโดยไม่พูดอะไรสักคำ ทิ้งให้เธอยืนงงอยู่เพียงลำพัง

 

ได้ข่าวว่าให้จงกลณีซื้อเตียงใหม่เหรอ 666”

เสียงปลายสายที่ดังลอดผ่านโทรศัพท์มาติดจะเยาะหยันอยู่นิดๆ แต่วายุยังคงตีหน้าเฉยเมยไม่ใส่ใจ เขาเดินตรงไปยังเสื้อผ้าบางส่วนที่ยังตากอยู่บนดาดฟ้า กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มหอมอ่อนๆ ที่ลอยมาเตะจมูกให้ความรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลายอย่างประหลาด...เป็นความรู้สึกที่เขาแทบจะลืมเลือนไปแล้ว

“เจ๊จงรายงานคุณพ่อยังไง ก็เป็นแบบนั้นละ”

“แต่พ่ออยากได้ยินจากปากแกมากกว่า” น้ำเสียงของอีกฝ่ายเรียบเรื่อย ทว่าฟังดูคุกคามอย่างที่สุด “หรือว่าลืมไปแล้วว่าต้องรายงานพ่อทุกเรื่อง”

“ไม่ได้ลืม” วายุเอื้อมมือไปแตะกางเกงยีนที่ยังคงชื้นหมาดๆ ด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ “ต่อให้ผมไม่บอก เจ๊จงก็ต้องรายงานคุณพ่ออย่างละเอียดอยู่ดี”

“ก็จริง แต่ประเด็นมันอยู่ที่แกต้อง ‘ขออนุญาต’ พ่อต่างหาก และพ่อก็ไม่อนุญาตให้แกเก็บสัตว์เลี้ยงเอาไว้ เด็กนั่นจะกลายเป็นตัวถ่วงของแก เก็บกวาดซะ 666 อย่าให้กลายเป็นปัญหาวุ่นวายมากวนใจพ่อทีหลัง”

“ผมจะเก็บเด็กนั่นไว้”

ดวงตาของชายหนุ่มฉายแววกร้าวกระด้าง สวนทางกับน้ำเสียงเนิบนาบโดยสิ้นเชิง...เป็นอีกครั้งที่เขาดื้อแพ่งกับ ‘คุณพ่อ’ เพราะปณาลี เขารู้ว่าการขัดคำสั่งในแต่ละครั้งมีราคาค่างวดที่ต้องจ่าย แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาถึงยินดีเสียยิ่งกว่าอะไรที่จะจ่ายเพื่อเก็บสาวน้อยคนนั้นไว้ข้างกาย

“อ้อ เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งงั้นเรอะ พ่อคงใจดีกับแกมากเกินไปสินะไอ้ลูกชาย” คนในสายหัวเราะเสียงเหี้ยม “ดูท่าแกคงติดใจเด็กคนนั้นจริงๆ เสียด้วย ถึงได้ไม่ยิงทิ้งตั้งแต่คืนนั้น”

“คุณพ่อรู้อยู่แล้วว่าผมจะตอบว่าอะไร คุณพ่อแค่รอให้ผมยื่นข้อเสนอแลกเปลี่ยนไม่ใช่เหรอครับ”

วายุพูดอย่างรู้ทัน เขาอยู่กับคุณพ่อมานานจนรู้นิสัยใจคอของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี และรู้ด้วยว่าไม่มีสิ่งใดสำคัญสำหรับคุณพ่อมากไปกว่า ‘ผลงาน’ ของเขาอีกแล้ว

“พ่อชอบที่แกฉลาด ตรงไปตรงมาแบบนี้นี่ละ 666” เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายต่ำลึกจนฟังน่าขนลุก “จำงานที่เคยให้ทำได้ใช่ไหม ที่แกทำไม่สำเร็จ”

“จำได้ แต่คุณพ่อไม่ได้สั่งให้ผมเก็บกวาด แค่ขู่ให้กลัวไม่ใช่เหรอครับ แล้วจะเรียกว่าไม่สำเร็จได้ยังไง”

วายุชักสีหน้า หลายต่อหลายครั้งที่คุณพ่อสั่งงานเขาอย่างหนึ่ง แต่หวังผลอีกอย่างทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจเสมอ

“ก็เพราะมันไม่กลัวน่ะสิ ถึงเรียกว่าไม่สำเร็จ แถมยังพยายามสืบหาตัวแกด้วย”

“สืบหาตัวผม?” วายุเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ “ไม่เคยมีใครสืบหาตัวผมมาก่อน”

หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งคือไม่เคยมีใครรอดชีวิตมาสืบเสาะหาตัวเขาได้แม้แต่คนเดียว และเขาก็ไม่เคยทิ้งร่องรอยไว้ให้ใครตามตัวได้ด้วย

“ตอนนี้ก็มีแล้วไงเล่า” คุณพ่อระบายลมหายใจยาว “ช่วงนี้ระวังตัวเอาไว้หน่อย รอฟังคำสั่งแล้วเก็บกวาดให้สิ้นซาก ถ้าแกทำสำเร็จ พ่อจะอนุญาตให้แกเก็บสัตว์เลี้ยงตัวใหม่นั่นเอาไว้ได้ แต่รู้ใช่ไหมว่าถ้าสัตว์เลี้ยงของแกปากมาก พูดเรื่องแกไปทั่ว ฉันคงต้องให้ไอ้เด่นหล้าไปช่วยยิงทิ้ง เพราะแกคงใจอ่อนไม่กล้าทำเอง”

“คนของผม ผมจัดการเองได้ ไม่ต้องให้คนอื่นมายุ่ง”

โดยเฉพาะไอ้คนจิตวิปริตอย่างเด่นหล้า! เพียงแค่คิดถึงสิ่งที่มันอาจทำกับปณาลี หัวใจของเขาก็ร้อนรนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“ทำให้ได้อย่างที่พูดก็แล้วกัน” คุณพ่อตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ถ้าอยากเก็บสัตว์เลี้ยงตัวนี้ไว้ ก็หาทางกำจัดอลัน แอนเดอร์สันซะ!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น