บทที่ ๖
โครม!
เสียงวัตถุตกกระทบพื้นจนสะเทือนเลื่อนลั่นทำเอาปณาลีสะดุ้งสุดตัว ความง่วงงุนที่เกาะกุมสติสัมปชัญญะมลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง หญิงสาวรีบกระเด้งตัวขึ้นนั่งโดยอัตโนมัติพร้อมกับถอยกรูดไปจนชิดผนังข้างเตียง มือน้อยกอบกุมผ้าห่มขึ้นคลุมกายคล้ายเป็นที่กำบังสุดท้ายอย่างไร้ประโยชน์ที่สุด
แสงไฟสีส้มสลัวในห้องส่องให้เห็นเงาร่างสูงใหญ่นอนคว่ำอยู่บนพื้นเบื้องหน้า ปณาลีเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าบนเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มบริเวณแผ่นหลังกว้างของเขามีรอยขาดและมีเลือดซึมออกมาเป็นวงกว้าง เส้นผมและเนื้อตัวของเขาชุ่มเหงื่ออย่างเห็นได้ชัด
“วายุ!”
“อย่าเข้ามา!”
คนที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นคำรามเสียงดังราวสัตว์ป่าทำเอาหญิงสาวไม่กล้าขยับ ได้แต่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนเตียง นับจากวันที่ไปหอบข้าวของจากบ้านของดารณีมา คืนนี้นับเป็นคืนที่สองที่เธอต้องอยู่ร่วมห้องกับวายุ ซึ่งชอบทำตัวเป็นมนุษย์ล่องหน เขาทิ้งให้เธออยู่ที่ห้องตามลำพังในตอนกลางวันและกลับมานอนตอนที่เธอหลับไปแล้ว เธอจึงแทบไม่รู้สึกอึดอัดที่ต้องพึ่งใบบุญของเขาเป็นการชั่วคราวนัก
“งั้น...งั้นฉัน...ฉันจะโทร. เรียกเจ๊จงให้มาดูนะคะ”
ปณาลีรีบควานหยิบโทรศัพท์มือถือที่ซุกไว้ใต้หมอนออกมาเปิดเครื่อง จงกลณีสั่งเอาไว้ว่า หากมีเรื่องฉุกเฉินให้โทรศัพท์หาที่เบอร์นี้ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง
“ไม่ต้อง ฉันไม่เป็นไร พักเดี๋ยวเดียวก็หาย”
วายุค่อยๆ หยัดกายขึ้นนั่งขัดสมาธิ มือหนาเสยเรือนผมชื้นเหงื่อไปด้านหลังเผยให้เห็นใบหน้าขาวซีดและเหงื่อเม็ดโตที่ผุดพราวขึ้นมาตามกรอบหน้าและไรผม เขาเหงื่อออกเยอะมากทั้งที่ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศเย็นยะเยือกถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกันหนอ
“แต่...คุณเลือดออก...”
“ไม่ใช่เลือดฉัน”
ไม่พูดเปล่า เขายังรูดเสื้อยืดออกทางศีรษะแล้วโยนทิ้งไว้บนพื้นตามความเคยชิน เขาเอี้ยวตัวให้หญิงสาวดูแผ่นหลังที่แม้จะมีรอยแผลเป็นเต็มไปหมด ทว่ากลับไม่มีแผลสดใหม่แต่อย่างใด จะมีก็แต่คราบเลือดจางๆ เปรอะเปื้อนตามผิวกายอยู่บ้างเท่านั้น
“นั่นสินะ...”
ปณาลีพึมพำ เธอลืมไปได้อย่างไรหนอว่าเขาเหี้ยมหาญเพียงใด เลือดนั่นย่อมไม่ใช่ของเขาแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าที่เขาหายหน้าหายตาไปก็เพราะมี ‘เรื่อง’ ต้องสะสางนี่เอง เป็นเรื่องที่เธอต้องทำเป็นหลับหูหลับตาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น อย่างน้อยก็จนกว่าจะได้ที่อยู่ใหม่เสียก่อน ส่วนเขาจะทำอะไรหรือไปก่อเรื่องที่ไหน เธอไม่ควรก้าวก่ายทั้งสิ้น
“ขอโทษที่ทำให้ตื่น”
วายุระบายลมหายใจยาวในขณะที่ปณาลีต้องเสทำเป็นเบนสายตาไปทางอื่น เธอไม่ใช่สาวใสไร้เดียงสามาจากไหน แต่ก็ไม่ได้กร้านโลกถึงขนาดที่จะอยู่กับผู้ชายที่ถอดเสื้อเปลือยกายท่อนบนโดยไม่รู้สึกสะทกสะท้านใดๆ สักนิดเสียหน่อย
“ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ ฉัน...จริงๆ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลับไปตอนไหน”
วูบหนึ่งเธอรู้สึกคล้ายเป็นรอยสักรูปสิงโตบนหัวไหล่ซ้ายของเขาขยับเคลื่อนไหวได้ แถมดวงตาสีทองสุกปลั่งของมันยังจับจ้องเธอนิ่งราวจ้องจะตะครุบเหยื่อ เธอจึงต้องรีบหันไปรวบกระดาษสเก็ตช์ที่กระจัดกระจายอยู่บนเตียงแก้เก้อพร้อมกับสลัดความคิดเหลวไหลออกไปจากสมอง แต่ด้วยอารามรีบร้อนกระดาษแผ่นหนึ่งจึงปลิวไปตกตรงหน้าชายหนุ่ม
“วาดรูปเหรอ”
วายุหยิบกระดาษสเก็ตช์ขึ้นมากวาดตามองคร่าวๆ เขาไม่มีหัวทางด้านศิลปะ และไม่สนใจเรื่องแฟชั่นดังนั้นจึงมองไม่ออกด้วยซ้ำว่าภาพร่างเสื้อผ้าในมือนั้นสวยตรงไหน รู้เพียง...ลายเส้นและสีสันที่ปรากฏต่อสายตานี้เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาและมีเสน่ห์มาก...ไม่แพ้คนวาด
“สเก็ตช์แบบเสื้อผ้าน่ะค่ะ ลอตหน้าจะได้มีแบบใหม่ๆ ขายบ้าง” ปณาลียิ้มเนือยๆ “ออกแบบใหม่ให้หมดก็ดี จะได้ไม่ถูกหาว่าไปลอกแบบใครมาอีก”
เป็นเรื่องน่าเจ็บปวดที่เธอมักถูกผู้คนกล่าวหาว่าลอกเลียนแบบเสื้อผ้ายี่ห้อลีลา แบรนด์ลูกของบริษัทแฟชั่นข้ามชาติชื่อดังที่โด่งดังมากในเอเชีย ณ ขณะนี้ ทั้งที่แบบเสื้อผ้าที่ดาหวันขโมยไปเสนอขายทั้งหมด เธอเป็นคนออกแบบเองกับมือ แต่เธอเป็นแค่แม่ค้าตัวเล็กๆ ต่อให้มีหลักฐานเป็นภาพสเก็ตช์ของแท้ก็ไม่มีใครเชื่ออยู่ดี ดาหวันเป็นดีไซเนอร์ในทีมออกแบบของลีลา คำพูดคำจาย่อมมีน้ำหนักมากกว่าเธออยู่แล้ว...น่าสมเพชไหมเล่า...
“สวย ไม่เหมือนใครดี”
คำชมเรียบๆ เหมือนพูดไปตามมารยาทของเขาพาให้หัวใจอันแห้งแล้งของเธอชุ่มชื่นขึ้นอย่างน่าประหลาด
“ขอบคุณค่ะ แต่ฉันยังเป็นมือสมัครเล่นอยู่ ยังต้องพัฒนาอีกเยอะค่ะ”
มือที่เปื้อนผงดินสอสีของปณาลีหยิบจับข้าวของอย่างคล่องแคล่วจนวายุไม่อาจละสายตาไปได้ ที่จริงเพราะดวงตาเจ้ากรรมคอยแต่จะมองเธอแทบตลอดเวลานี่ละ เขาถึงต้องออกไปเตร็ดเตร่นอกบ้าน รอจนกว่าเธอหลับถึงจะกลับเข้ามานอนมองหน้าเธอในยามนิทราอย่างเงียบเชียบ เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณพ่อถึงไม่อยากให้เขาเก็บเธอไว้ข้างกาย
เธอทำให้เขาเสียสมาธิอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...
ใจเขามัวแต่จดจ่ออยู่กับชีวิตความเป็นอยู่ของเธอ มัวแต่ห่วงว่าเธอจะกินจะนอนอย่างไร จะมีใครรังแกเธอให้เจ็บช้ำน้ำใจหรือไม่...ห่วงจนเกือบทำงานพลาดและได้รับบาดเจ็บอย่างน่าทุเรศที่สุด
“ฉันไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ แยกไม่ออกหรอกว่ามือสมัครเล่นหรือมืออาชีพ เห็นสวยก็บอกว่าสวย”
วายุหยัดกายขึ้นยืนแล้วเดินไปยื่นกระดาษสเก็ตช์รูปคืนให้หญิงสาวที่รีบหลุบตาลงต่ำไม่กล้ามองเรือนร่างกำยำราวรูปจำหลักนักรบของเขาตรงๆ แต่ดวงตาเจ้ากรรมก็ดันไปหยุดอยู่ที่ขอบกางเกงยีนของเขาเสียนี่ ไรขนอ่อนๆ ที่เลื้อยจากแนวกล้ามท้องลงไปยังขอบกางเกงด้านหน้าทำเอาเธอหน้าร้อนวูบวาบ
“นี่ก็...จะสามทุ่มแล้ว...คุณไม่อาบน้ำเหรอคะ” ปณาลีดึงกระดาษคืนมาจากมือเขา “จริงสิ...พรุ่งนี้เช้าอยากกินอะไรคะ ฉัน...ฉันจะได้ทำให้ ในตู้เย็นมีพวกไส้กรอกกับแฮมอยู่ ซี่โครงหมูกับน่องไก่เล็กก็มี”
เธอได้รับอนุญาตให้ไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อกับตลาดใกล้ๆ นี้ได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องมีจงกลณีที่ทำหน้าเหมือนกลืนยาขมตลอดเวลาไปเป็นเพื่อนด้วย แน่ละว่าเธอต้องรีบซื้อข้าวของต่างๆ ด้วยความเร็วแสง เพราะมีสายตากดดันของจงกลณีคอยจับจ้องแทบตลอดเวลาจนแทบหายใจไม่ออก
“อะไรก็ได้เผ็ดๆ” ชายหนุ่มตอบเหมือนไม่ใส่ใจนัก ทั้งที่ในอกรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ไม่เคยมีใครสนใจไถ่ถามเขาด้วยความห่วงใยเช่นนี้มาก่อนเลย แม้แต่เจ๊จงที่อยู่ด้วยกันมานานก็ไม่เคยใส่ใจความเป็นความตายของเขาด้วยซ้ำไป
ปณาลีเป็นผู้หญิงแปลกหน้าคนแรกที่เขาปล่อยให้เข้ามามีบทบาทในชีวิตสีเทาหม่นของตนเอง เธอทำให้ห้องสับปะรังเคมืดๆ ห้องนี้สว่างไสวและมีกลิ่นหอมของอาหารอบอวล ที่นอนหมอนมุ้งรวมไปถึงเสื้อผ้ามีกลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มเจือกลิ่นอายแดดอย่างที่เขาเกือบลืมไปแล้วว่าทำให้หัวใจเบาสบายเพียงไหน
“กินเผ็ดๆ แต่เช้าจะไม่เสาะท้องเหรอคะ กินอะไรเบาๆ แบบข้าวต้มหรือโจ๊กดีกว่าไหม”
“อะไรก็ได้เผ็ดๆ”
เขาย้ำประโยคเดิมประหนึ่งว่าสิ่งที่เธอเพิ่งถามออกไปไม่มีความหมายแล้วเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวจากราวผ้าที่เขาจำไม่ได้ว่าเคยมีอยู่ในห้องตั้งแต่เมื่อใด เหมือนมันเพิ่งผุดขึ้นมาจากผนังตอนที่ปณาลีมาอาศัยอยู่ที่นี่อย่างไรอย่างนั้น
“โอเค เผ็ดก็เผ็ด” ปณาลีทำหน้ายุ่ง นึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะทำอะไรเผ็ดๆ ให้เขากินได้นอกจากผัดกะเพรา “ถ้าปวดท้องอย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน”
ประโยคหลังเธอได้แต่พึมพำกับตนเองเบาๆ ด้วยกลัวว่าหากเขาไม่สบอารมณ์เข้าก็อาจพุ่งมาหักคอเธอได้ สิ่งที่เธอเรียนรู้จากการใช้ชีวิตครึ่งๆ กลางๆ ร่วมกับเขามาสองวันก็คือ เขาพูดน้อยและชอบออกคำสั่งประหนึ่งเป็นแม่ทัพในสนามรบ เขาโปรดปรานอาหารรสจัด ยิ่งเผ็ดยิ่งดี แต่กลับชอบดื่มน้ำหวานเป็นชีวิตจิตใจเสียนี่ ช่างเป็นคนพิลึกเสียจริง
“แล้ว...เพื่อนเธอหาที่พักใหม่ให้ได้หรือยัง”
“คะ?” ปณาลีเงยหน้าขึ้นมองคนพูดที่ยืนหันหลังให้แล้วยิ้มเจื่อน “ก็...กำลังหาอยู่ค่ะ แต่ยังไม่ได้ราคาที่ฉันพอจ่ายไหว คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ฉันไม่รบกวนคุณเกินสิ้นอาทิตย์นี้แน่”
แม้จอมใจจะยังโกรธเรื่องที่เธอไม่ยอมปริปากบอกว่าตอนนี้พักอยู่ที่ไหนกับใคร แต่ก็ช่วยหาห้องพักราคาย่อมเยาให้ตามที่เธอยืนยันอย่างเต็มกำลัง ทว่า...ห้องพักดีๆ ในทำเลปลอดภัยนั้นสนนราคาค่าเช่าย่อมสูงตามไปด้วย หากจะหาจริงๆ คงต้องใช้ระยะเวลาอีกพักใหญ่ทีเดียว
“จะอยู่เกินก็ได้ ฉันไม่ได้ว่าอะไร”
วายุพูดจบแล้วก็เดินหายลับเข้าไปในห้องน้ำ ทิ้งให้คนฟังกะพริบตาปริบๆ รู้สึกเหมือนตนเองหูฝาดไป
นี่เขา...กำลังบอกว่าให้เราอยู่ต่อได้อย่างนั้นหรือ...
ครืด...
โทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋วเต้นเร่าส่งสัญญาณว่ามีสายเรียกเข้า ปณาลีก้มมองแล้วถอนใจเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ เจ้าของชื่อนี้นี่ละที่ทำให้เธอต้องปิดเครื่องไว้แทบตลอดเวลาและจะเปิดเฉพาะตอนที่ต้องการติดต่อจอมใจเท่านั้น
“เจ๊ลี! นี่เจ๊ยังไม่ตายใช่ไหม!”
เพียงแค่กดรับสาย เสียงตะโกนโหวกเหวกก็ดังแทรกขึ้นมาก่อนที่ปณาลีจะทันได้พูดว่าฮัลโหลเสียด้วยซ้ำ
“แหม ทักทายกันเป็นมงคลจริงนะไอ้เจน เออ พี่ยังไม่ตาย”
“ไม่ตายแล้วทำไมถึงปิดมือถือตลอด ไลน์ก็ไม่ตอบ เจ๊เป็นบ้าอะไรของเจ๊วะ!”
“แล้วนี่คิดว่าคุยอยู่กับผีหรือไงยะ บอกว่าไม่ตายก็ไม่ตายสิ” หญิงสาวระบายลมหายใจยาว รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วง และเพราะรู้ว่าความเป็นห่วงของเขาอาจก่อเรื่องใหญ่ที่ทำให้ทั้งจอมใจและครอบครัวเดือดร้อนได้นี่ละ เธอถึงต้องพยายามกันเขาไว้ให้ห่างจากปัญหาของเธอที่สุด “อย่าโวยวายนักได้ไหม หนวกหูจะแย่อยู่แล้ว พี่ก็โทร. บอกจอมตลอดนะว่าพี่ปลอดภัยดี”
“แต่เจ๊ไม่ได้บอกผม” น้ำเสียงของเขาเข้มข้นไปด้วยอารมณ์น้อยเนื้อต่ำใจ “เราเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันนะเจ๊ มีปัญหาอะไรก็ต้องช่วยกันแก้ ไม่ใช่แบกเอาไว้คนเดียวอย่างนี้ รู้ไหมว่าผมโทร. หาเจ๊กี่ร้อยกี่พันครั้ง ผมเป็นห่วงเจ๊แทบบ้า”
“อย่าทำตัวหยุมหยิมแต๋วแตกเหมือนเด็กผู้หญิงน่า” ปณาลีหัวเราะเสียงแผ่ว ในหัวใจรู้สึกเต็มตื้นที่ได้รับความห่วงใยจากเจนภพและจอมใจเสมอมา “เจนก็รู้ว่าพี่เอาตัวรอดได้ ไม่ต้องห่วงหรอก แค่เจนช่วยขายของที่ร้านให้ก็ถือว่าช่วยกันมากแล้ว ว่าแต่ที่ร้านขายได้บ้างไหม ไปทำหน้าบูดไล่ลูกค้าบ้างหรือเปล่า”
“ก็พอขายได้ แต่ไม่ดีเท่าตอนที่เจ๊มาขายเองหรอก” เจนภพตอบเสียงแข็งด้วยยังโกรธอยู่ “แต่ผมว่าอีกไม่นานที่ร้านต้องมีปัญหาแน่”
“ปัญหา? ปัญหาอะไร” หญิงสาวขมวดคิ้ว เริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาบ้าง ปกติแล้วเจนภพจะไม่พูดเรื่องที่ทำให้เธอไม่สบายใจเป็นอันขาด แต่เมื่อได้ลองเปิดปากพูดย่อมหมายความว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่
“ก็เมื่อวานนี้ อีเจ๊ดาหวันของเจ๊มาที่ร้าน แล้วควักมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเสื้อในร้านใหญ่เลย ไอ้ก้องวิ่งไปไล่แทบไม่ทัน อีเจ๊นั่นท่าทางจะเล่นไม่เลิก เราควรต้องรีบหาทางรับมือนะเจ๊ ถ้ายังไงเจ๊มาดูที่ร้านหน่อยก็ดี”
“ถ่ายรูปเสื้อในร้านเหรอ” ปณาลีเม้มริมฝีปากแน่นอย่างครุ่นคิด เสื้อผ้าที่ขายอยู่ที่ร้านตอนนี้เป็นลอตเก่าที่ผลิตจากภาพสเก็ตช์เล่มเก่าที่ดาหวันเองก็เคยเห็นแล้ว จึงไม่น่าที่จะตามมาถ่ายรูปเพื่อไปใช้ลอกเลียนแบบ บางทีอาจมีเหตุผลอื่นแอบแฝงอยู่ก็เป็นได้ “แล้วทำไมไม่รีบบอกให้เร็วกว่านี้เล่าเจน”
“อ้าว ก็เจ๊ปิดมือถือ จะให้บอกทางไหนเล่า ทางโทรจิตเรอะ!” เจนภพแหวใส่เข้าให้ “ไม่รู้ละ ผมว่าเจ๊มาดูที่ร้านหน่อยดีกว่า ไม่รู้ว่าอีเจ๊ดาหวันคิดสร้างเรื่องอะไรอีก”
“ก็ได้ เดี๋ยวพี่ไป” ปณาลีผุดลุกขึ้นยืน เธอไม่กลัวดาหวัน แต่ไม่อาจวางใจได้ คนอย่างญาติผู้พี่ของเธอทำได้ทุกอย่างเพื่อให้เธอเดือดเนื้อร้อนใจนั่นละ “เรากับก้องก็อย่าเพิ่งไปทะเลาะกับใครนะ พี่ไม่อยากให้มีเรื่องมีราวใหญ่โต แค่นี้พี่ก็โดนคนหมายหัวเยอะอยู่แล้ว”
“ใครมันจะกล้าหมายหัวเจ๊ นอกจากลุงกับป้าของเจ๊แล้วก็อีเจ๊ดาหวัน อ้อ น่าจะมีเจ๊ช้างสารดุจเดือนนั่นอีกคน” เจนภพทำเสียงจึ๊กจั๊กอยู่ในลำคอ “เจ๊อยู่ที่ไหน ให้ผมไปรับไหม”
“ไม่ต้องหรอก ถ้ามาแล้วใครจะเฝ้าร้านเล่า ขืนทิ้งให้ไอ้ก้องขายคนเดียวก็ไม่ต้องขายอะไรพอดี รู้อยู่ว่ามันขายของได้ที่ไหนกัน”
หญิงสาวรู้ดีว่าหนุ่มรุ่นน้องกำลังโยนหินถามทางเพื่อสืบหาว่าเธออยู่ที่ใดกันแน่ เรื่องอะไรจะยอมหลงกลกันเล่า ขืนยอมให้มารับแล้วเห็นว่าเธออยู่กับใครละก็ได้เกิดเรื่องใหญ่แน่ เจนภพคงได้ตีฆ้องร้องป่าวส่งข่าวไปถึงจอมใจแล้วพากันแล่นมาอาละวาดโวยวายที่นี่แน่ บอกตามตรงว่าเธอห่วงสวัสดิภาพของทั้งสองพี่น้องนั้นมากกว่า เจ้าของห้องที่เธอพึ่งพาอาศัยเขาอยู่นี้เป็นคนปกติเสียที่ไหนกันเล่า
“เจ๊ ผม...”
“ไม่ต้องพูดมาก รออยู่ที่นั่นละ เดี๋ยวพี่จะรีบไป”
ปณาลีตัดบท เธอวางสายแล้วกดปุ่มปิดโทรศัพท์มือถืออย่างรวดเร็วก่อนที่อีกฝ่ายกจะกระหน่ำโทร. กลับมา ดูภายนอกจอมใจกับเจนภพอาจมีบุคลิกแตกต่างกันมากก็จริง แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันเปี๊ยบชนิดโขกพิมพ์กันมาคือนิสัยชอบโทรศัพท์จิกเธอนี่ละ ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรสิน่า จิกได้จิกดี หากติดต่อไม่ได้ก็ขู่จะแจ้งความคนหายตลอดเวลา ทำเอาเธอทั้งขำทั้งขวางเสียจริง
“จะไปไหน”
น้ำเสียงเย็นเยียบและรังสีอำมหิตของคนที่ยืนอยู่ด้านหลังทำเอาปณาลีขนลุกซู่ เธอรีบหันกลับไปหาเจ้าของเสียงทันควัน ก่อนจะพบว่าเขาอยู่ในชุดกางเกงวอร์มสีเทาและเสื้อยืดแขนสั้นสีขาว ตามเนื้อตัวและใบหน้ายังคงมีหยดน้ำเกาะพราว เรือนผมยาวหยักศกเปียกลู่แนบไปกับแก้มและลำคออย่างน่ามองที่สุด
“อะ...เอ่อ...” เนิ่นนานกว่าหญิงสาวจะเค้นเสียงผ่านออกมาจากลำคอได้ นัยน์ตาสีเขียวเข้มของเขาฉายแววดุดันเสียจนเธออดหวาดหวั่นไม่ได้ “ที่ร้านมีปัญหา ฉันเลยต้องไปดูหน่อย เจน...ฉันหมายถึงน้องชายของเพื่อนฉันที่ช่วยเฝ้าร้านให้บอกว่าเมื่อวานพี่หวันไปที่ร้านด้วย ไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไรอีก”
“แล้วจะไปทั้งชุดนี้น่ะเหรอ”
ดวงตาคมกล้ากวาดมองไปยังชุดเสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงขาสั้นที่เธอสวมอยู่ ท่าทางของเขาเหมือนผู้ปกครองเจ้าระเบียบที่คอยตรวจตราลูกหลานก่อนออกจากบ้านไม่มีผิด
“หือ?” ปณาลีเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ “ก็...เวลาไปขายของ ฉันก็แต่งตัวแบบนี้ละค่ะ”
อย่างดีเธอก็แต่งหน้าแต่งตา ทำผมเผ้าให้น่ารักอีกหน่อยให้สมกับที่ขายของสวยๆ งามๆ ถึงอย่างไรรูปลักษณ์ของเธอก็เป็นสิ่งแรกที่ลูกค้าจะต้องพบเห็นอยู่แล้ว หากปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้โทรม ทำหน้าตาบึ้งตึงไม่น่ามอง ใครที่ไหนจะอยากเข้าร้านกันเล่า
“ไปเปลี่ยนเป็นอะไรที่ยาวกว่านี้หน่อย” เขาชี้ไปที่ท่อนขาเล็กเพรียวของหญิงสาว
“คะ?” เป็นอีกครั้งที่ปณาลีทำหน้างุนงง เธอไม่เคยเข้าใจสิ่งที่คนตรงหน้าคิดอยู่เลยจริงๆ
“เดี๋ยวฉันจะลงไปรอข้างล่าง”
“เอ๊ะ...”
“อย่าทำหน้าโง่ได้ไหม” วายุหรี่ตามองคนที่กะพริบตาปริบๆ อย่างไม่สบอารมณ์นัก “ดึกป่านนี้จะปล่อยให้ไปคนเดียวได้ยังไง เดี๋ยวฉันจะไปส่ง”
“ที่นี่แน่นะ ราม”
มัทธีอัส ดรากอส ก้าวลงจากรถเก๋งคันโก้ด้วยท่าทางสบายๆ ดวงตาสีฟ้าสดใสกวาดมองไปรอบๆ ลานจอดรถกลางแจ้งด้วยอย่างสำรวจตรวจตรา เขาสวมเสื้อคอโปโลสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงสแล็กสีดำ และคาดทับด้วยเข็มขัดหนังสีเดียวกันที่ดูอย่างไรก็ไม่เข้ากับบรรยากาศของตลาดนัดที่ตั้งใจจะมาเดินสำรวจในคืนนี้สักนิด
“ก็ขับมาตามพิกัดที่พนักงานของแกส่งให้นั่นละแมท ไม่น่าผิดหรอก”
รามก้าวลงจากรถ เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนและรองเท้าผ้าใบที่ดูลำลองกว่ามาก ใบหน้าหล่อคมตามแบบฉบับลูกครึ่งอินเดียฉาบไปด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจอย่างที่ใครๆ เห็นก็รู้สึกอบอุ่นเสมอ เขารวบเรือนผมยาวระบ่าไว้เป็นมวยต่ำหลวมๆ อย่างที่ชอบทำอยู่เป็นประจำ
“ฉันคงต้องเชื่อแกนั่นละ แกคุ้นกับถนนหนทางในไทยมากกว่าฉันเยอะ อยู่เมืองไทยเสียจนแทบจะเป็นคนไทยอยู่แล้ว” มัทธีอัสหัวเราะ “ว่าแต่คุณไหม ไม่โกรธฉันแน่นะที่ฉันขอให้แกพามาตระเวนราตรีแบบนี้”
“ไม่โกรธแน่ ตราบใดที่แกไม่ขอให้ฉันพาไปเข้าอาบอบนวดหรือไปหาเด็กนั่งดริงก์ตามผับ”
รามยักไหล่แล้วหัวเราะเสียงกังวาน ดวงตาของเขาเป็นประกายระยิบระยับทุกครั้งยามเอ่ยถึงลักษมี หญิงเดียวที่ทำให้เขายอมถอดเขี้ยวเล็บกลายเป็นชายหนุ่มแสนดีอย่างน่าอัศจรรย์ มัทธีอัสเป็นเพื่อนกับรามมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยยังไม่เคยเห็นสีหน้าแววตาเปี่ยมสุขถึงเพียงนี้ของเขามาก่อนเลย
“นี่แกเข้าสมาคมคนกลัวเมียเต็มตัวแล้วสินะ ราม”
“ไม่ได้กลัว แต่รักก็เลยเกรงใจ”
หนุ่มลูกครึ่งอินเดียปิดประตูแล้วกดรีโมตล็อกรถ ในขณะที่อีกฝ่ายแสร้งทำหน้าเหมือนถูกบังคับให้กลืนยาขม
“เลี่ยนว่ะ เหม็นเบื่อพวกมีความรักจริงจริ๊ง”
“ก็หัดมีความรักจริงๆ จังๆ บ้างสิวะ จะได้เลิกเหม็นเบื่อชาวบ้านเขาเสียที” รามเดินนำหน้าไปยังตลาดที่อยู่เบื้องหน้า แม้จะเป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว แต่ผู้คนยังคงหนาตาอยู่ ทำให้บรรยากาศโดยรอบค่อนข้างคึกคักและมีชีวิตชีวาอย่างมาก “วันๆ ทำแต่งานระวังเฉาตายนะโว้ย โฉดเรียกพ่ออย่างไอ้อลันมันยังมีคู่หมั้นแล้วเลย”
“น้องแกคงถูกผีเข้า อยู่ดีๆ ก็หมั้นกับผู้หญิงที่ไหนไม่รู้เฉยเลย”
มัทธีอัสยังจำได้ว่าเมื่อหลายเดือนก่อนชื่อของ อลัน แอนเดอร์สัน กลายเป็นข่าวครึกโครมไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งเรื่องที่เจ้าตัวหายตัวไปอย่างลึกลับนานถึงหกเดือนก่อนจะโผล่ออกมาในฐานะผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม ไหนจะยังมีเรื่องที่อแมนด้าผู้เป็นมารดาถูกฆาตกรรมอีก และเมื่อคดีทั้งหมดคลี่คลาย เขาก็ประกาศหมั้นกับหญิงสาวชาวไทยที่แทบไม่เคยมีใครในแวดวงสังคมเดียวกันรู้จักมาก่อน มิหนำซ้ำสมาชิกครอบครัวแอนเดอร์สันทุกคนยังพร้อมใจกันปิดบังตัวตนของเจ้าหล่อนเป็นความลับจากสื่อทุกแขนงเสียอีก...ประหลาด...
“ก็ถูกผีสิงจริงๆ นั่นละ ผีแมวเสียด้วย” รามหัวเราะเสียงแห้ง เรื่องราวเหนือธรรมชาติที่เพิ่งเผชิญมาพร้อมอลันทำเอาเขายังไม่อาจตั้งหลักได้เต็มร้อยจนทุกวันนี้เลย ให้ตายเถอะ!
“หือ แกว่าอะไรนะ” มัทธีอัสหันกลับไปมองเพื่อนตรงๆ
“ฉันบอกว่าน่าจะเป็นล็อกเสื้อผ้าทางด้านนั้นละมั้ง”
รามเสทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วชี้ไปทางด้านซ้ายมือที่มีผู้คนเดินเบียดเสียดแออัดกันเต็มไปหมด แม้มัทธีอัสพยักหน้ารับแล้วเดินตามรามปะปนเข้าไปในฝูงชนด้วยท่าทีสบายๆ จริงอยู่ว่าเขาไม่ชอบการอยู่ท่ามกลางผู้คนและเสียงจ้อกแจ้กจอแจในที่สาธารณะนัก แต่การที่เคยสะพายเป้เดินทางท่องโลกอยู่ราวสองปีก่อนกลับมารับช่วงกิจการของครอบครัวต่อก็ทำให้เขาปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี
“ถ้าดูจากรูปก็น่าจะใช่” มัทธีอัสหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูรูปถ่าย “น่าจะเป็นร้านนั้นละมั้ง”
“แกเป็นถึงประธานบริษัท ทำไมถึงต้องลงทุนมาดูเรื่องสินค้าลอกเลียนแบบด้วยตัวเองวะ สั่งลูกน้องให้จัดการก็ได้” รามชะโงกหน้ามามองรูปถ่ายบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเพื่อน “แล้วเอาจริงๆ แจ้งจับร้านเล็กๆ พวกนี้ไปก็ไม่คุ้มหรอก มันต้องไปจับแหล่งผลิตรายใหญ่ที่ทำออกมาให้ร้านพวกนี้เอามาขายโน่น”
“จะเจ้าเล็กเจ้าใหญ่ฉันก็แจ้งจับหมดนั่นละ แต่กรณีนี้มันมีอะไรแปลกๆ ที่ฉันคิดว่าต้องมาดูด้วยตัวเอง”
มัทธีอัสทำหน้าเมื่อย เรื่องปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญาในไทยและในประเทศแถบนี้เข้าขั้นวิกฤตมานานปีจนยากแก้ไขได้โดยง่าย ผู้คนยังขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาอยู่มาก และเมื่อถูกจับก็มักอ้างเรื่องความยากจนขึ้นมาเป็นข้อต่อรองโดยไม่คิดเลยว่าสิ่งที่ผู้อื่นออกแบบประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาล้วนแล้วแต่ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจและเวลาไปไม่น้อย การละเมิดหรือทำซ้ำดัดแปลงแบบมักง่ายก็ไม่ต่างอะไรกับการขโมยทรัพย์สินเงินทองกันซึ่งๆ หน้าเลยสักนิด
“แปลกยังไงวะ”
รามเริ่มสนใจขึ้นมาบ้าง มัทธีอัสเป็นผู้บริหารระดับมือพระกาฬ เขาพาบริษัทในเครือดรากอสผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจในกรีซจนกลับมาผงาดในแวดวงแฟชั่นแนวสตรีตของยุโรปได้เพราะวิสัยทัศน์อันกว้างไกล เขามองภาพรวมเป็นหลักและไม่เคยใส่ใจเรื่องหยุมหยิม แต่ถ้าเจ้าตัวลองเอ่ยว่าติดใจเรื่องใดเป็นพิเศษย่อมหมายความว่าต้องเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องให้ความสำคัญจริงๆ
“ดูจากรูปที่พนักงานของฉันถ่ายมาให้ที่ประชุมดูเมื่อวันก่อน เสื้อผ้าที่วางขายในร้านนี้เลียนแบบดีไซน์ของลีลาเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แถมรายละเอียดยังเหมือนเปี๊ยบจนน่าตกใจ ถึงจะใช้วัสดุเกรดต่ำกว่า แต่มองเผินๆ นี่แทบแยกกันไม่ออกเลยนะ”
“เรียกว่าของก๊อปเกรดเอว่างั้นเถอะ”
รามกอดอกพลางมองไปยังร้านที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก ป้ายร้านเล็กๆ ที่แขวนอยู่ด้านหน้าเขียนว่า Lee...ลีอย่างนั้นหรือ ขนาดชื่อยังจงใจตั้งให้ล้อกับ Lila ลีลาของมัทธีอัสเสียด้วย ดูท่าจะเป็นของก๊อปเกรดเอสคลาสเสียละกระมัง
“เกรดเอเกินไปน่ะสิราม” มัทธีอัสเปิดรูปเสื้อผ้าคอลเล็กชันล่าสุดให้เพื่อนดู “ก๊อบปี้ได้กระทั่งเสื้อผ้าแบบใหม่ล่าสุดที่ยังไม่ออกวางขาย ไม่เคยออกสื่อที่ไหนด้วย แปลกไหมเล่า”
“หือ? แปลกเกินไปหน่อยละมั้ง” รามเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนาอย่างประหลาดใจ “นี่หมายความว่าแบบเสื้อที่ทีมดีไซเนอร์ออกแบบไว้หลุดออกไปเหรอ หรือว่ามีหนอนบ่อนไส้”
เขากับมัทธีอัสทำงานในแวดวงเดียวกันย่อมรู้ดีว่าการออกแบบเสื้อผ้ามีความละเอียดอ่อนและต้องผ่านการทำงานหลายขั้นตอนกว่าจะลงตัวออกมาเป็นผลิตภัณฑ์วางขายในท้องตลาดได้ ยิ่งเป็นเสื้อผ้าพะยี่ห้อแบรนด์ดังด้วยแล้วยิ่งต้องมีการศึกษาการตลาดของกลุ่มเป้าหมายอย่างรอบคอบ แบบร่างต่างๆ จำเป็นต้องเก็บงำเป็นความลับให้ดีเพื่อไม่ให้คู่แข่งล่วงรู้และลอกเลียนแบบได้ เท่าที่เขารู้ ลีลาถึงขั้นให้พนักงานในแผนกออกแบบทุกคนเซ็นสัญญารักษาความลับด้วย
“ถ้ามีหนอนบ่อนไส้จริงๆ มันก็ควรหลุดออกไปอยู่บริษัทคู่แข่งสิ หรือไม่ก็ร้านเสื้อผ้าอะไรที่ดูมีเกรดหน่อย ไม่ใช่ร้านเสื้อผ้าข้างทางแบบนี้” น้ำเสียงของชายหนุ่มติดจะเหยียดหยันอยู่นิดๆ “ตอนที่เห็นรูป ฉันก็ว่าแปลกเกินไป ถึงต้องรีบมาดูด้วยตาตัวเองนี่ไง”
พูดจบ ชายหนุ่มก็เดินนำหน้าตรงไปยังร้านซึ่งเป็นเป้าหมาย เขามองการจัดวางสินค้าในร้านแล้วลอบแบะปาก
ให้ตายเถอะวะ โลว์คลาสเป็นบ้า...
เสื้อผ้าซึ่งส่วนมากเป็นเสื้อยืดสกรีนลายแนวสตรีตนั้นแขวนเรียงรายอวดโฉมอยู่บนผนังร้านอย่างไม่เป็นระเบียบนัก ยังดีที่แยกฝั่งเป็นของชายและหญิงอย่างชัดเจน แต่เนื่องจากคูหาร้านค่อนข้างคับแคบจึงดูแออัดไม่สวยงามนัก เรียกว่าดีในระดับขายของแบกับดินเท่านั้นเอง ด้านหน้าร้านมีมุมเครื่องประดับรูปร่างแปลกตาซึ่งดึงดูดความสนใจของลูกค้าสาวๆ ได้มากที่สุด รายละเอียดของชิ้นงานดูอ่อนหวานและทันสมัยอยู่ในที อีกทั้งยังไม่ซ้ำแบบใคร ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เข้ากับหน้าตาของหนุ่มรุ่นกระทงสองคนที่ยืนขายของอยู่หน้าร้านอย่างขอไปทีสักนิด
“เฮ้ย ฉิบหายแล้วไอ้เจน ฝรั่งมา! ทำไงดีวะ ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่ได้สักคำ”
ก้องหล้าทำหน้าตาเลิ่กลั่กเมื่อเห็นชายชาวต่างชาติสองคนเดินตรงมาทางร้าน เส้นผมที่ฟูฟ่องล่องลอยลมอยู่แล้วเหมือนจะพองขึ้นไปอีกด้วยความตื่นตกใจ
เจนภพปรายตามองฝรั่งที่ทำให้เพื่อนสนิทขนหัวลุกนิดหนึ่งแล้วก้มลงมองโทรศัพท์ต่ออย่างไม่ใส่ใจนัก “ถ้าเขาอยากซื้อก็ขายๆ ไปนั่นเหอะน่า จะเอาตัวไหนให้ชี้เอา บอกไปเลยว่าไฟฟ์ฮันเดร็ด ห้าร้อยบาทขาดตัว!”
เจนภพไม่มีแก่ใจจะขายของเลยสักนิด ใจเขามัวแต่จดจ่ออยู่กับปณาลีจนไม่เป็นอันทำอะไรทั้งนั้น เขามองโทรศัพท์ไปก็หงุดหงิดไป
เจ๊ลีนะเจ๊ลี จะมาตอนไหน ทำไมไม่โทร. มาบอกกันบ้าง ปล่อยให้นั่งรอจนรากจะงอกอยู่แล้ว!
“ปกติขายตัวละสองร้อยห้าสิบไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ ถึงขึ้นไปเป็นตัวละห้าร้อยได้วะ เจ๊ลีขึ้นราคาเสื้อตั้งแต่เมื่อไหร่” ก้องหล้ามองหน้าเพื่อนอย่างงุนงง เขาจำได้ว่าเมื่อตอนหัวค่ำก็ยังขายราคาเดิมอยู่เลยไม่ใช่หรือ
“ไอ้โง่ ก็ราคาฝรั่งไง เหมือนเวลาไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ ฝรั่งจ่ายราคาหนึ่ง เราจ่ายราคาหนึ่งนั่นละ”
“จะดีเหรอวะ ถ้าเจ๊ลีรู้เข้าระวังโดนเหยียบหน้านะโว้ยไอ้เจน”
เขารู้จักปณาลีเป็นอย่างดี แม้เธอจะเป็นแม่ค้าหน้าเลือด ขายสินค้าหวังกำไรสูง แต่ไม่เคยฉวยโอกาสโก่งราคากับลูกค้าชาวต่างชาติ ขายคนไทยราคาเท่าไหร่ก็ขายคนต่างชาติด้วยราคาเดียวกัน แถมยังกำชับพวกเขาให้ทำตามอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นจะโดนดี!
“ขายๆ ไปเหอะน่า อย่าเรื่องมากนักเลยไอ้ก้อง ได้เงินเยอะๆ สิดี เจ๊ลีจะได้ตั้งตัวได้ไวๆ ไง!”
เจนภพเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างคับแค้นใจ หากเขามีเงินมีทองมากกว่านี้ คงช่วยปณาลีได้บ้าง แต่นี่...เขาเป็นแค่เด็กกะโปโล ยังเรียนหนังสือ ไม่มีงานการมั่นคงหรือเป็นที่พึ่งพิงให้เธอได้ นรกเอ๊ย! ทำไมเขาไม่เกิดก่อนหน้านี้สักสิบปีวะ!
“ตัวละเท่าไหร่”
ยังไม่ทันที่ก้องหล้าจะอ้าปากค้านเจนภพ ชายชาวต่างชาติหนึ่งในสองคนก็เอ่ยถามเป็นภาษาไทยสำเนียงแปร่งปร่า ใบหน้าของเขาค่อนไปทางคนมีเชื้อสายแขกในขณะที่อีกคนมีใบหน้าแบบฝรั่งร้อยเปอร์เซ็นต์
“เอ่อ...สอง...โอ๊ย! ห้าร้อยบาทครับ” ก้องหล้าสูดปากเมื่อถูกเพื่อนเตะหน้าขาเต็มแรงจนต้องหันไปถลึงตาใส่
“ใครบอกว่าห้าร้อย สองร้อยห้าสิบต่างหาก”
เสียงของผู้หญิงดังแทรกขึ้นมาทันควัน พร้อมกับร่างบางระหงเดินก้าวฉับๆ เข้ามายืนขวางหน้าก้องหล้าไว้
“เจ๊ลี!”
เจนภพร้องดังจนเกือบเป็นตะโกน ด้วยอารามดีใจ เขากระโจนพรวดเข้าไปหาหญิงสาว แต่ยังไม่ทันถึงตัวก็ถูกเธอใช้ฝ่ามือดันหน้าผากให้ออกห่างเสียก่อน
“กลับไปนั่งที่เลยไอ้เจน เดี๋ยวพี่ค่อยคิดบัญชีกับเราทีหลัง”
ปณาลีแยกเขี้ยวใส่ชายหนุ่ม คืนนี้ดวงหน้าของเธอปราศจากเครื่องสำอางจึงเกลี้ยงเกลาและดูอ่อนเยาว์กว่าที่เคย เธอไม่ทาแม้แต่ลิปมันเสียด้วยซ้ำไป ยิ่งรวบผมเป็นหางม้ายุ่งๆ เช่นนี้ ยิ่งลดทอนอายุลงไปอีกราวสองสามปี
“คุณเป็นเจ้าของร้านเหรอครับ” รามพูดไทยได้กระท่อนกระแท่นเต็มทน แม้จะพอฟังออกบ้างแล้ว แต่หากคู่สนทนาพูดเร็วหรือใช้ศัพท์สแลงสวิงสวายมาก เขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
“ใช่ค่ะ ฉันเป็นเจ้าของร้าน สนใจตัวไหนบอกได้เลยนะคะ ถ้าซื้อเยอะเดี๋ยวลดให้พิเศษเลย”
ปณาลีตอบด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจแบบเดียวกับที่เธอเคยใช้ล่อลวงลูกค้าหนุ่มๆ น่าแปลกที่ชายหนุ่มหน้าคมตรงหน้าดูเหมือนจะไม่สนใจเท่าใดนัก เขาเพียงพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แล้วหันไปมองเสื้อที่แขวนอยู่อย่างสำรวจตรวจตรา
“Really?” (จริงเหรอ)
มัทธีอัสแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง หญิงสาวตรงหน้าเขาดูเด็กมาก มองอย่างไรก็ไม่น่าจะมีอายุเกิน ๒๐ ปีไปได้ เธอสวมเสื้อยืดเอวลอยสีขาวอวดช่วงเอวคอดกิ่วเข้าคู่กับกางเกงยีนสีฟ้าซีดที่แนบเนื้อเสียจนเห็นแนวสะโพกผายกับเรียวขาเล็กเพรียวชัดถนัดตา เพียงปรากฏตัว สายตาของบรรดาชายหนุ่มที่เดินผ่านไปมาก็หยุดอยู่ที่รูปโฉมเย้ายวนของเธอแทบจะในทันที
“ถ้าคุณหมายถึงเรื่องที่ฉันเป็นเจ้าของร้านจริงหรือเปล่า ใช่ค่ะ ฉันเป็นเจ้าของร้าน” หญิงสาวตอบเป็นภาษาอังกฤษชัดถ้อยชัดคำโดยไม่ชักสีหน้าแสดงความไม่พอใจใดๆ ทั้งสิ้น แม้สำเนียงจะแสนธรรมดา แต่ฟังเข้าใจง่ายและพูดได้อย่างคล่องแคล่วเป็นธรรมชาติอย่างที่สุด “ดูจากป้ายร้านได้เลยค่ะ ฉันชื่อลี ชื่อเดียวกับร้านนั่นละ”
รามเพิ่งได้คำตอบเดี๋ยวนั้นเองว่าร้านกับเจ้าของนั้นมีชื่อเดียวกัน ไม่ได้ตั้งชื่อล้อกับแบรนด์ลีลาของมัทธีอัสแต่อย่างใด
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง” มัทธีอัสมองตรงไปยังเสื้อยืดผู้ชายสีดำที่แขวนอยู่ด้านบนสุดของผนัง ลวดลายบนเสื้อสะดุดตา มีการวางลวดลายเป็นเอกลักษณ์และมีสีสันสดใสโดยมีสีเหลืองกับรูปทรงเรขาคณิตเป็นจุดเด่น เขาจำลายนี้ได้แม่นยำ เพราะเป็นคนเลือกเองกับมือจากแบบที่ทีมดีไซเนอร์ส่งมาให้ดูเมื่อเดือนก่อน และแน่นอนว่ามันยังไม่ได้ออกวางขาย! “ตัวนั้นสวยดี ออกแบบเองเหรอครับ”
ชายหนุ่มชี้ไปยังเสื้อตัวที่เป็นเป้าหมาย ในเมื่ออีกฝ่ายพูดภาษาอังกฤษได้คล่องก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาล่ามกิตติมศักดิ์ที่รู้ภาษาไทยไม่แตกฉานเช่นรามอีกต่อไป
“ใช่ค่ะ ฉันออกแบบเอง อยากลองใส่ดูไหมคะ ไซซ์แอลคุณน่าจะใส่ได้พอดี”
ปณาลีชี้เป็นเชิงบอกให้เจนภพใช้ไม้สอยเสื้อลงมาจากด้านบน
“ออกแบบเอง? ลายพวกนี้มันดูคุ้นๆ ตาอยู่นะ เหมือนเคย...เห็นที่ไหนมาก่อน” มัทธีอัสแสร้งโยนหินถามทางทั้งที่ตั้งธงคำตอบไว้ในใจก่อนแล้ว
“คุณตาแหลมนะเนี่ย แสดงว่าต้องเป็นคนชอบศิลปะแน่ๆ” ปณาลียิ้มกว้างขณะรับเสื้อยืดมาจากมือของเจนภพ เธอทาบมันลงไปบนตัวของชายหนุ่มตาสีฟ้าตรงหน้า “ลายพวกนี้ฉันได้แรงบันดาลใจมาจากลวดลายของเสื้อผ้าในรูป เดอะคิส ของ กุสตาฟ คลิมต์ มันเป็นรูปวาดรูปโปรดของฉันค่ะ”
The Kiss...ภาพจูบอันลือลั่นของ กุสตาฟ คลิมต์ น่ะหรือ...
ภาพของชายหญิงกำลังตระกองกอดกันบนฉากหลังสีทองอร่ามตาผุดวาบขึ้นมาในห้วงความคิดของชายหนุ่มทันที เขาเคยไปยืนชมภาพของจิตรกรเอกภาพนั้นที่เวียนนา ประเทศออสเตรียเมื่อนานมาแล้ว เส้นสายและลวดลายของคลิมต์มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาก หากเห็นครั้งหนึ่งก็จะจำได้ในทันที แต่ที่ประทับแน่นในใจเขามากกว่าลายเส้นของภาพนั้นก็คืออารมณ์หวานลึกของคู่รักชายหญิงที่สื่อออกมาได้อย่างอ่อนโยน แม้ในยุคก่อนนั้น ภาพนี้จะถูกจัดให้อยู่ในหมวดหมู่รูปอนาจารทั้งที่ไม่มีสิ่งใดอนาจารเลยสักนิดก็ตามที
“กุสตาฟ คลิมต์? จริงเหรอ ผมนึกว่าคุณได้แรงบันดาลใจมาจากเสื้อผ้ายี่ห้อลีลาเสียอีก เหมือนเชียว”
ประโยคที่เพิ่งได้ยินทำเอาปณาลีชะงัก เธอเงยหน้าขึ้นมองคนพูดทันควัน ชายหนุ่มจ้องกลับมาด้วยแววตานิ่งสนิทกึ่งท้าทายอยู่นิดๆ เรียวคิ้วเข้มข้างซ้ายเลิกขึ้นอย่างยียวน
“คุณเป็นแฟนคลับของแบรนด์ลีลาเหรอคะ”
“ก็...ทำนองนั้น แบรนด์ดัง เสื้อผ้าสวย ใครก็ชอบ”
รามฟังเพื่อนอวดอ้างสรรพคุณของแบรนด์ตนเองแล้วลอบอมยิ้ม โถ...ไอ้คนหลงตัวเอง
“ถ้าเป็นแฟนคลับจริงก็น่าจะรู้ว่าเสื้อตัวนี้ไม่ได้อยู่ในคอลเล็กชันไหนๆ ของลีลาแน่”
หญิงสาวมั่นใจมากว่าลายของเสื้อตัวนี้ต้องไม่เหมือนของลีลาแน่ เพราะเธอเองก็คอยตามดูอยู่เหมือนกันว่าดาหวันขโมยดีไซน์ใดของเธอไปใช้บ้างด้วยความคับแค้นใจอยู่ลึกๆ เธอเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ ไร้อำนาจต่อรอง ต่อให้ร้องแรกแหกกระเชอ ทวงสิทธิ์ในผลงานอย่างไรก็ไม่มีใครยอมเชื่อ ที่น่าเจ็บใจก็คือดาหวันมีภาษีดีกว่าเธอมาก เป็นถึงดีไซเนอร์ของลีลา ส่วนเธอเป็นแค่แม่ค้าตลาดนัดที่ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนเอาตัวรอดไปวันๆ จะเอาอะไรไปสู้กันเล่า
...ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่แทบไม่มีความหมายในโลกที่เงินตราเป็นใหญ่นี้เลยแม้แต่นิด...
“ก็จริงครับ” มัทธีอัสหันไปสบตากับรามเป็นเชิงว่ารู้กัน เด็กคนนี้รู้เป็นอย่างดีว่าเสื้อตัวนี้ ‘ยัง’ ไม่ได้ออกวางขาย แสดงว่าเธออาจจะรู้จักกับคนในจริงๆ นั่นละ “แต่เสื้อแบบอื่นๆ ในร้านก็เหมือนเสื้อของลีลาเปี๊ยบเลยนี่ แบบนี้ถือเป็นสินค้าลอกเลียนแบบหรือเปล่า”
“อ้าว เฮ้ย พูดแบบนี้หมายความว่าไงวะไอ้ฝรั่ง”
เจนภพไม่เก่งภาษาอังกฤษ พอฟังได้แบบงูๆ ปลาๆ เท่านั้น แต่ดันฟังประโยคที่ลูกค้าขาจรพูดเข้าใจชัดเจนเต็มสองรูหู อาจเพราะได้ยินคำว่า ‘สินค้าลอกเลียนแบบ’ ที่ดาหวันมักชอบพูดใส่หน้าปณาลีบ่อยๆ จนเขาจำคำในภาษาอังกฤษสำเนียงกระแดะนั้นได้ขึ้นใจ
“ใจเย็นๆ ก่อนเจน พี่จัดการเองได้” ปณาลียกมือเป็นเชิงห้าม เธอดูสงบนิ่ง ไม่แสดงอาการเกรี้ยวกราดใดๆ ทั้งสิ้น แต่ในใจคุกรุ่นจนแทบลุกเป็นไฟ “ดูเหมือนคุณทั้งสองคนไม่ได้ตั้งใจมาเป็นลูกค้าของฉันจริงๆ แต่น่าจะมาด้วยจุดประสงค์อื่นมากกว่า”
“โว้ว...เดี๋ยวสิคุณ ผมแค่ถามในฐานะผู้บริโภคเฉยๆ ก็ไม่ได้เหรอครับ”
มัทธีอัสตั้งท่าจะคว้าเสื้อมาจากมือของหญิงสาว แต่เธอกลับกระตุกมือหนีแล้วส่งเสื้อไปให้ก้องหล้าที่ยืนทำหน้างง ไม่เข้าใจบทสนทนาและเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่สักนิด
“ถามได้ค่ะ แต่ฉันก็มีสิทธิ์เลือกว่าจะตอบหรือไม่ด้วยเหมือนกัน” ปณาลีจ้องตาเขากลับอย่างไม่กลัวเกรง เริ่มเดาออกแล้วว่าดาหวันถ่ายรูปเสื้อผ้าที่ร้านของเธอไปเพื่ออะไร ร้ายนักนะ! “ฉันเป็นคนค้าขาย ไม่ชอบมีเรื่องมีราวอะไรกับใครหรอกค่ะ ถ้าคุณจะซื้อสินค้าฉันก็ยินดีขาย แต่ถ้าคุณจะถามเรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้ ฉันไม่สะดวกตอบ”
“หมายความว่าถ้ามีคนกล่าวหาว่าคุณขายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ของคนอื่น คุณก็จะไม่ตอบโต้งั้นเหรอ”
“จะตอบโต้ไปเพื่ออะไรกันล่ะคะ ในเมื่อคุณมีคำตอบในใจอยู่แล้ว ต่อให้ฉันพูดหรืออธิบายออกไป คุณก็ไม่เชื่อฉันอยู่ดี แต่ฉันยืนยันได้อย่างหนึ่งว่าสินค้าทุกชิ้นในร้านนี้ไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ใครทั้งนั้น”
“พูดแต่ปากใครก็พูดได้ มันต้องมีหลักฐานยืนยันด้วย ถึงจะน่าเชื่อถือ” มัทธีอัสยักไหล่
“คุณน่าจะกลับไปถามคนที่รายงานพวกคุณมากกว่าว่ามีหลักฐานอะไรมายืนยันว่าตัวเองเป็นคนออกแบบเสื้อผ้าพวกนี้จริงๆ”
ปณาลีเชิดหน้าขึ้นอย่างท้าทาย สีหน้าแววตาราวนางสิงห์ผู้หยิ่งทะนงเรียกรอยยิ้มให้ขึ้นมาผุดพรายบนริมฝีปากหยักลึกของมัทธีอัสโดยไม่รู้ตัว เธออายุยังน้อยแต่ดูมีเขี้ยวเล็บพอตัว หากได้รับการขัดเกลาอย่างถูกต้องจะต้องกลายเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจกว่านี้อีกมากทีเดียว
“แปลว่าคุณรู้ว่าใครเป็นคนรายงานผมสินะ แล้วรู้หรือเปล่าว่าผมเป็นใคร”
“ตัวคุณยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครต้องเที่ยวมาถามคนอื่นแบบนี้ แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงกันคะ”
ปณาลีหงุดหงิดจนเผลอตัวรวนกลับเข้าให้ แต่แทนที่มัทธีอัสจะโกรธ เขากลับยิ้มกว้างแล้วหยิบกล่องนามบัตรโลหะบางเฉียบออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“นั่นสินะ ผมนี่โง่จริงๆ” ชายหนุ่มส่งนามบัตรให้หญิงสาว “ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณหลายเรื่องแต่ตรงนี้คงไม่สะดวกนัก ถ้าพรุ่งนี้คุณพอมีเวลาว่างก็โทรศัพท์ไปที่เบอร์นี้ เลขาฯ ของผมจะนัดเวลาและสถานที่ให้อีกที”
“เลขาฯ?”
ปณาลีรับนามบัตรจากมือเขาอย่างไม่ไว้ใจนัก ดวงตาคู่งามกวาดมองไปยังชื่อที่อยู่บนนามบัตรแล้วนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ มัทธีอัส ดรากอส คือชื่อของเจ้าของบริษัทในเครือดรากอสและ...เจ้าของแบรนด์ลีลา!
“มีอะไรเหรอพี่ลี ไอ้ฝรั่งมันให้อะไรพี่”
เจนภพเห็นท่าทางของหญิงสาวก็อดรนทนไม่ไหว คว้านามบัตรในมือของเธอไปดู ภาษาอังกฤษของเขาไม่ได้เรื่องก็จริง แต่ก็พออ่านออกและแปลได้บ้าง แค่เห็นสองคำคือ ‘ประธานบริษัท’ และ ‘ลีลา’ ดวงตาของเขาก็แทบถลนออกมานอกเบ้าแล้ว
“มะ...ไม่จริง...ประธานบริษัท...”
ก้องหล้าได้ยินเพื่อนรักพูดก็พลอยชะโงกหน้ามาดูนามบัตรอีกคนด้วยท่าทางงุนงงไม่เข้าใจในสถานการณ์เช่นเดิม
“จริงๆ ผมดังนะ หน้าผมมีอยู่เต็มอินเทอร์เน็ตไปหมด เซิร์ชกูเกิลดูก็รู้แล้วว่าผมโกหกหรือเปล่า” มัทธีอัสยักไหล่อย่างน่าหมั่นไส้ที่สุด “ผมรู้ว่าคุณเป็นคนค้าขายคงไม่อยากมีเรื่องมีราว คุณน่าจะรู้ว่าบางทีการพูดคุยกันดีๆ จะช่วยให้อะไรๆ มันง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องไปจบที่สถานีตำรวจหรือที่ศาล”
ปณาลีกัดฟันกรอดเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเลียนแบบคำพูดของเธอแถมยังตบท้ายด้วยการข่มขู่กลายๆ ผู้ชายคนนี้ร้ายไม่เบา!
“เสื้อนั่น ผมขอซื้อก็แล้วกัน” มัทธีอัสดึงเสื้อจากมือของก้องหล้ามาถือไว้ “คุณบอกว่าราคาเท่าไหร่นะ”
“เสื้อตัวนี้ฉันไม่ขายแล้ว”
หญิงสาวดึงเสื้อคืนจากเขาแต่กลับถูกคว้าข้อมือไว้ทันควัน
“ไหนบอกว่าถ้าผมจะซื้อของก็ยินดีขาย...”
พูดยังไม่ทันจบประโยค ก็มีมือของใครอีกคนคว้าหมับบนข้อมือของมัทธีอัสแล้วบีบเต็มแรงเสียจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น แต่เสียงนั้นยังไม่น่ากลัวเท่ากับเสียงคำรามของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ณ ขณะนี้แม้แต่น้อย
“แมท!” รามรีบก้าวเข้าไปหาชายหนุ่มที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาราวภูตผี “พูดกันดีๆ ก็ได้นะคุณ ไม่เห็นต้องใช้กำลังกันแบบนี้เลย”
“วายุ!” ปณาลีหน้าตื่น เธอปราดเข้าไปกอดแขนชายหนุ่มเอาไว้แน่น ผิวกายของเขาร้อนจัดราวสุมเพลิงบ่งชัดถึงแรงอารมณ์ที่กำลังปะทุจนเธอใจเสียด้วยกลัวว่าเขาจะบีบข้อมือมัทธีอัสจนแหลกคามือเสียเดี๋ยวนั้น “อย่ามีเรื่องเลยค่ะ ฉันขอ”
“นี่...นี่ใครวะ...ไอ้ก้อง...”
เจนภพมองชายหนุ่มผู้มาใหม่ด้วยแววตาตื่นตะลึง ผู้ชายคนนี้ตัวโตมาก ขนาดยืนเทียบกับฝรั่งที่เขาคิดว่าสูงใหญ่แล้วยังดูตัวหนากว่าเกือบครึ่ง ดวงตาสีเขียวมรกตของเขาทอประกายกร้าวอย่างน่าสะพรึงเสียจนชวนให้รู้สึกขนหัวลุกไปหมด แขนเสื้อยืดที่เขาสวมอยู่นั้นเลิกขึ้นจนเห็นรอยสักสิงโตบนหัวไหล่ซ้ายซึ่งเป็นรอยสักที่เจนภพอยากสักนักสักหนา ทว่าปอดแหกเกินกว่าจะสักให้สำเร็จได้ ทว่า...นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักที่เขาสนใจเท่ากับท่าทางสนิทชิดเชื้อของปณาลีกับผู้ชายคนนี้ มีอย่างหรือโผเข้าไปกอดแขนมันแน่นขนาดนั้น ทำอย่างกับเป็นคนรักกันไปได้ ไอ้บ้าเอ๊ย!
“แฟนพี่ลีมั้ง”
ก้องหล้าที่ยืนนิ่งไร้บทบาทมานานทำหน้าปั้นยาก เขารู้...ว่าเพื่อนรักของตนมีใจให้สาวรุ่นพี่ แต่ดูเหมือนจะมีคู่แข่งที่เหนือกว่าโผล่ขึ้นมาแล้ว มาดเซอร์ หล่อแบบดิบๆ แต่ยังเท่ขนาดนี้ ไอ้เจนจะเอาอะไรไปสู้ เหมือนเอากิ้งกือไปเทียบรัศมีพญาสิงห์ชัดๆ!
“มันทำอะไรเธอหรือเปล่า” วายุหันไปมองหน้าปณาลี นิ้วแข็งแรงราวคีมเหล็กยังคงบีบรอบข้อมือของมัทธีอัสแน่นไม่ยอมปล่อย
“เขาไม่ได้ทำอะไรฉันเลย เราแค่คุยกันเฉยๆ ปล่อยเขาไปเถอะ นะคะ ได้โปรด”
หญิงสาวส่ายหน้าเร็วๆ ชายหนุ่มมองดวงตาคู่งามที่เต้นระริกด้วยความหวาดหวั่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมคลายมือจากมัทธีอัสแล้วเปลี่ยนมาคว้าข้อมือเธอไว้แทน
“กลับ”
เขาพูดห้วนๆ เพียงเท่านั้น แล้วดึงหญิงสาวให้ออกเดินตามไปท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของผู้คนที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ตรงนั้น
“เฮ้ย พาพี่ลีของกูไปเฉยๆ แบบนี้ได้ไง เดี๋ยวก่อน!”
เจนภพรีบวิ่งตามไป ส่วนก้องหล้าได้แต่ยืนละล้าละลัง ไม่กล้าทิ้งร้านไว้โดยไม่มีคนเฝ้า
“ผมจะรอโทรศัพท์นะคุณ” มัทธีอัสตะโกนไล่หลังปณาลีไปแล้วหัวเราะเสียงแผ่ว
“แฟนเขาดุอย่างกับเสือ ยังกล้าจะกวนประสาทอีกนะแก” รามระบายลมหายใจยาว
“เออ ดุฉิบ นี่นึกว่ามือจะหักเสียแล้ว” มัทธีอัสขยับข้อมือไปมาแล้วนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด
“มัวแต่ลีลาอยู่ทำไมวะ อยากแจ้งจับก็ไปจัดการให้เรียบร้อยสิ ทำไมต้องนัดให้ไปคุยให้ยุ่งยากด้วย หรือพอเห็นว่าเขาสวยก็เลยเปลี่ยนใจ หือ พ่อโรเมโอ ระวังจะตายไม่รู้ตัวนะโว้ย”
“แกก็รู้ว่าความสวยของผู้หญิงไม่เคยมีผลอะไรกับฉันอยู่แล้ว” มัทธีอัสหัวเราะ “ก็แค่...ความสงสัยของฉันยังไม่กระจ่าง และฉันจะไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ จนกว่าจะได้คำตอบ”
ความคิดเห็น |
---|