7

บทที่ ๗


บทที่ ๗

 

สรุปคือเฮียเป็นคนที่ซัดหน้าไอ้แก่ธำรงจนหมอบกระแตจริงๆ เหรอ”

ก้องหล้ามองคนที่กำลังใช้ตะเกียบคีบบะหมี่เข้าปากด้วยความรู้สึกตื่นเต้นระคนกริ่งเกรง ปกติแล้วถึงเขาจะชอบทำหน้าง่วง แต่ไม่เคยกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น เรื่องต่อยตีขอให้บอก เจนภพกับก้องหล้าพร้อมเปิดก่อนเสมอ ทว่า...กับผู้ชายที่ปณาลีเรียกว่าวายุคนนี้กลับมีกลิ่นอายบางอย่างที่บ่งบอกถึง ‘อันตราย’ อย่างชัดแจ้ง และเป็นคนที่ไม่ควรก้าวล่วงอย่างยิ่ง

“ไอ้นี่อร่อย”

วายุหันไปพูดสั้นๆ กับปณาลีที่นั่งอยู่ข้างๆ โดยไม่มองก้องหล้าแม้แต่แวบเดียว ที่จริง...เขาไม่สนใจใครทั้งสิ้นนอกจากหญิงสาว เขาพูดน้อยมากและพูดเฉพาะกับเธอคนเดียวเท่านั้น

“ฉันบอกคุณแล้วว่าบะหมี่หมูแดงเจ้านี้อร่อย” ปณาลียิ้มเนือยๆ กว่าจะรั้งชายหนุ่มให้มานั่งกินก๋วยเตี๋ยวร้านประจำของเธอกับเจนภพได้ก็แทบตายเพราะเขาร่ำร่ำจะลากเธอกลับท่าเดียว จนเธอแสร้งร้องบอกว่าหิวไส้แทบขาดนั่นละ เขาถึงได้ยอม พิลึกจริงเชียว บทจะว่าง่ายก็ง่ายเสียจนคาดไม่ถึง “โกคะ ขอบะหมี่หมูแดงอีกชามค่ะ เอ่อ...สองชามเลยก็ได้”

หญิงสาวร้องสั่งบะหมี่เพิ่มเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกินหมดในเวลาอันรวดเร็ว มิหนำซ้ำยังยกชามขึ้นซดน้ำแล้วใช้หลังมือปาดคราบน้ำโดยไม่สนใจสายตาของลูกค้าคนอื่นๆ ในร้านที่มองมาเลยสักนิด

“เลอะเทอะหมดแล้วค่ะ” ปณาลีหยิบกระดาษทิชชูส่งให้เขาอย่างเคยชิน ตอนทำอาหารให้เขาที่ห้องพัก เธอก็ทำแบบนี้ เพราะเขาชอบกินเลอะเทอะเหมือนเด็กๆ

เจนภพมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกหึงหวงเจียนคลั่ง ยิ่งดูก็ยิ่งเห็นว่าสองหนุ่มสาวดูสนิทกันมากเสียจนเหมือนคู่รักที่รู้ใจกันเป็นอย่างดีอย่างไรอย่างนั้น

“ตกลงที่เจ๊หายหัวไปจนผมนึกว่าตายเนี่ย คือเจ๊หอบเสื้อผ้าไปอยู่กับเขาว่างั้นเถอะ” เจนภพกอดอกมองหน้าหญิงสาวในดวงใจอย่างรอคอยคำตอบ ดวงตาของเขาฉายแววกรุ่นโกรธระคนน้อยใจอย่างชัดแจ้ง

“ถ้าไม่ได้เขาช่วยพี่ไว้คงแย่” ปณาลีตอบเลี่ยงๆ เธอรู้ว่าการหอบผ้าหอบผ่อนตามไปอยู่บ้านผู้ชายทำให้ตนเองดูเป็นผู้หญิงใจแตกในสายตาของคนอื่น แต่เธอมีทางเลือกอื่นใดที่ดีกว่านี้อีกหรือ

“ผมรู้” เจนภพกัดกรามกรอด จอมใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟังแล้ว แถมดารณีกับดาหวันยังมาอาละวาดถึงร้านข้าวแกงของพ่อกับแม่ มีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจสถานการณ์และเหตุผลที่ปณาลีเลือกไปอยู่ที่อื่น เพียงแต่...ทำไมถึงต้องเลือกไปอยู่กับไอ้ผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ด้วย! “แต่ผมอยากให้เจ๊มาหาผมกับพี่จอมก่อนไปหาคนอื่น รู้ไหมว่าพวกผมเป็นห่วงเจ๊กันแค่ไหน”

‘คนอื่น’ ที่กำลังดูดโอเลี้ยงพรืดๆ หันมามองหน้าเจนภพด้วยแววตาคมดุชนิดที่ทำเอาก้องหล้าขนหัวตั้ง แต่ไอ้คนถูกจ้องก็ช่างกระไรเลย มองตอบกลับไปอย่างไม่เกรงกลัวสักนิด

“พี่ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง แต่พี่ไม่อยากให้เจนกับจอมต้องถูกสองคนแม่ลูกนั่นรังควานเอาทุกวัน เจนก็น่าจะรู้ว่าสองคนนั้นไม่มีทางยอมจบง่ายๆ แน่ พี่หลบไปอยู่ที่อื่นสักพักจนกว่าเรื่องธำรงจะเงียบแบบนี้ดีแล้ว”

ตั้งแต่ตัดสินใจตัดขาดกับทุกคนในบ้านที่เปรียบเสมือนดังนรกหลังนั้นมา เธอก็ไม่เคยนับคนพวกนั้นเป็นญาติอีก โดยเฉพาะคนสารเลวอย่างธำรงที่เธอจะไม่มีวันเรียกเขาว่าลุงเป็นอันขาด

“แล้วเจ๊จะอยู่กับเขาอีกนานเท่าไหร่” เจนภพกำหมัดแน่น เขาปล่อยให้บะหมี่ของโปรดเย็นชืดทั้งที่ปกติแล้วเขามักกินหมดตั้งแต่ห้านาทีแรกที่โกเฮงยกมาเสิร์ฟด้วยซ้ำ “ผมถามจริงๆ เถอะ ว่าเจ๊ไปรู้จักมักจี่กับเขาตอนไหน เขาไว้ใจได้แค่ไหนกันเชียว”

หน็อย ถ้าไม่เกรงใจเจ๊ลีละก็ อยากเปลี่ยนสรรพนามเรียกไอ้หมอนี่ว่า ‘มัน’ ด้วยซ้ำ ไอ้เวรเอ๊ย!

“ลีอยู่ได้นานเท่าที่อยากอยู่”

นั่นเป็นประโยคแรกที่วายุยอมพูดกับคนอื่นในวงสนทนานอกจากปณาลี และเป็นประโยคที่ส่งผลให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารตึงเครียดมากขึ้นไปอีก เจนภพถลึงตาใส่ชายหนุ่มตัวโตอย่างโกรธเกรี้ยว ในขณะที่หญิงสาวหันกลับไปมองเขาอย่างไม่เชื่อหูตนเอง

นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาพูดว่าให้เธออยู่ต่อได้ แถมครั้งนี้ยังตบท้ายด้วยว่า ‘นานเท่าที่อยากอยู่’ นี่เขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

“ว่าอะไรนะ”

“บะหมี่หมูแดงสองชามได้แล้ว”

สงครามย่อมๆ ที่ตั้งท่าจะก่อตัวขึ้นถูกขัดจังหวะโดยบะหมี่หมูแดงสองชามที่โกเฮงยกมาเสิร์ฟด้วยตนเอง เขาหันไปยิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นกันเองด้วยรู้จักกันมาเนิ่นนานแล้วเดินกลับไปลวกเส้นบะหมี่ต่อ

ปณาลีลอบถอนใจอย่างโล่งอก เจนภพคงไม่รู้หรอกว่าตนเองกำลังนั่งอยู่ตรงหน้ามัจจุราชที่เดาใจยากที่สุด หากพูดอะไรผิดหูแม้แต่คำเดียว วายุอาจทำร้ายเจนภพจนสะบักสะบอมเหมือนที่ทำกับธำรงก็เป็นได้

“เรื่องอื่นเอาไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้เรื่องที่เราต้องห่วงที่สุดคือเรื่องฝรั่งเมื่อกี้ต่างหาก เราอาจถูกเขาฟ้องข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ได้นะ” ปณาลีรีบเปลี่ยนเรื่องพูดเพื่อยุติสงครามประสาทก่อนที่จะลุกลามมากไปกว่านี้

“จริงด้วย” ก้องหล้าทำตาโต หันไปมองคนโน้นทีคนนี้ที เว้นก็แต่วายุคนเดียวที่เขาไม่กล้ามองตรงๆ “ไอ้ฝรั่งคนนั้นเป็นประธานบริษัทลีลาจริงๆ ใช่ไหมเจ๊ลี”

“เซิร์ชรูปดูแล้ว ตัวจริงเสียงจริงเลยละ” หญิงสาวกดโทรศัพท์มือถือแล้วหันหน้าจอให้ทุกคนดู ภาพชายหนุ่มที่สวมชุดสูทหรูหรา นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาอิตาลีสไตล์บาโรคสีทองอร่ามทำเอาทั้งก้องหล้าและเจนภพนิ่งไป “เราโดนพี่หวันเล่นงานเข้าให้แล้ว”

“จะเล่นงานเราได้ยังไง ในเมื่อเสื้อผ้าทั้งหมดเจ๊เป็นคนออกแบบเอง เจ๊มีหลักฐานเป็นสมุดสเก็ตช์ภาพนี่ เอาให้มันดูก็สิ้นเรื่อง”

สีหน้าเป็นกังวลของปณาลีทำให้เจนภพยอมวางอารมณ์ขุ่นเคืองไว้ก่อน แล้วช่วยเธอคิดแก้ปัญหา

“พี่หวันก็มีสมุดสเก็ตช์” ปณาลีเม้มริมฝีปากข่มความคับแค้นใจที่เริ่มก่อกวนอารมณ์ยามเอ่ยถึงศัตรูคู่อาฆาต ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังเรียกอีกฝ่ายด้วยสรรพนามอันคุ้นเคย แม้จะเลิกนับญาติกันไปแล้วก็ตาม “พี่ไม่รู้ว่าพี่หวันลอกแบบจากสมุดของพี่ไปมากน้อยแค่ไหน ถ้ากางสมุดออกมายันกัน เขาอาจอ้างก็ได้ว่าพี่เป็นฝ่ายลอกเขา อย่าลืมนะว่าพี่กับเขาเคยอยู่บ้านเดียวกัน เขาต้องบอกว่าพี่ลอกงานเขาไปส่งอาจารย์แน่ๆ เขามีดีกรีเป็นนักเรียนนอกนะ ไม่ว่าจะเรียนจบจริงหรือไม่จริง คนก็ต้องเชื่อคำพูดของเขามากกว่าพี่อยู่แล้ว”

“ผมกับพี่จอมเป็นพยานให้เจ๊ได้นะว่าเห็นเจ๊ออกแบบเองกับตา แล้วไหนจะอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยอีก เจ๊ให้อาจารย์ไปเป็นพยานให้ได้นี่ เจ๊สเก็ตช์งานส่งอาจารย์ไปตั้งเยอะ”

เจนภพเหลือบมองคนที่กำลังซดบะหมี่ชามที่สามอย่างเงียบเชียบโดยไม่สนใจมีส่วนร่วมใดๆ กับบทสนทนาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์...นั่นกินหรือสูบวะ ไวเป็นบ้า!

“เออ จริงด้วย” ก้องหล้าตบมือดังฉาด “ไอ้เจน แกนี่แม่งหัวไวอย่างกับหัวลิง”

“อีตาประธานบริษัทคนนั้นไม่มีทางเชื่อเราง่ายๆ หรอกเจน” ปณาลีส่ายหน้า ดวงตามองรูปของชายหนุ่มที่อยู่ในโทรศัพท์อย่างครุ่นคิด “เขาต้องคิดว่าเจนกับจอมเข้าข้างพี่แน่ๆ อยู่แล้ว พูดอะไรไปก็ไม่มีน้ำหนักหรอก ส่วนเรื่องอาจารย์...”

หญิงสาวระบายลมหายใจยาวก่อนจะพูดต่อ “เจนก็รู้ว่าพี่ดรอปเรียนมาพักใหญ่แล้ว ภาพสเก็ตช์ส่วนใหญ่ที่เราเอามาทำเสื้อผ้ากับเครื่องประดับขายก็ไม่ใช่ภาพที่พี่ส่งอาจารย์ด้วย อาจารย์ไม่น่าช่วยอะไรพี่ได้หรอก”

แม้ดาหวันจะเคยขโมยภาพแรกๆ ที่เธอสเก็ตช์ส่งอาจารย์ไปสมัครงานกับทางลีลาจนได้รับเลือกเข้าทำงาน แต่ก็สามารถอ้างว่าเป็นเพราะเธอแอบลอกเลียนแบบได้อยู่ดี เรื่องพูดจากลับดำเป็นขาวนั้น ญาติผู้พี่ของเธอถนัดอยู่แล้ว

“ไอ้นั่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้ แล้วเจ๊จะเอายังไง”

คราวนี้เจนภพเป็นฝ่ายถอนใจบ้าง ตอนแรกคิดว่าพอเห็นทางออกรำไรบ้างแล้ว แต่เมื่อฟังเหตุผลของปณาลี กลับกลายเป็นว่าปลายทางเป็นทางตันเสียอย่างนั้น

“พี่ว่า...บางทีพี่น่าจะลองไปพบเขาดู” หญิงสาวทำหน้าลำบากใจ หลังจากวายุไปหาเรื่องเขาแบบนั้น เขาจะยอมพบเธอหรือเปล่าก็ไม่รู้ “อย่างน้อยต้องไปดูท่าทีของเขาก่อนว่าจะมาไม้ไหนกันแน่ แต่พี่คิดว่าไม่ว่ายังไง เขาก็คงจะเข้าข้างคนของตัวเองไว้ก่อนอยู่แล้ว”

“บ้าเอ๊ย โลกนี้แม่งไม่แฟร์เลย คนทำมาหากินสุจริตกลับต้องมานั่งเป็นทุกข์ ส่วนหัวขโมยกลับได้เสวยสุขสบายใจเฉิบ” เจนภพสบถต่อท้ายประโยคยาวเหยียด

“โลกไม่ได้ผิดอะไรหรอก มนุษย์เรานี่ละที่ผิด”

ปณาลีเอ่ยอย่างปลงๆ มนุษย์เราคือสิ่งมีชีวิตที่โหดร้ายที่สุดบนพื้นพิภพนี้ ในขณะที่สัตว์ทั้งหลายไล่ล่าห้ำหั่นกันเพื่อความอยู่รอด เนื้อต่อเนื้อ หนังต่อหนัง กระดูกต่อกระดูก ชีวิตต่อชีวิต มนุษย์กลับเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวที่ฆ่าฟันกันง่ายดายด้วยเหตุผลของความโลภและความเห็นแก่ตัว

จะว่าไป...คนข้างๆ เธอก็โหดเหี้ยมพอตัวนี่นา...

“ถ้ายุ่งยากนัก จะให้เก็บมันไหม”

วายุเอ่ยขึ้นหลังจากกินบะหมี่จนเกลี้ยงชามไม่เหลือแม้แต่น้ำซุป

เจนภพนิ่งอึ้งไป ก้องหล้าทำหน้าเหลอ ส่วนปณาลีรีบส่ายหน้ารัวเร็วเสียจนหางม้ากวัดไกว

“มะ...แหม อย่า...อย่าพูดเล่นสิคะ” เธอแสร้งทำเป็นหัวเราะเสียงแห้งแล้วรีบส่งทิชชูแผ่นใหม่ให้เขาเช็ดปาก “เราตกลงกับเขาด้วยสันติวิธีก็ได้”

วายุเพียงมองตอบเธอกลับมาด้วยสายตานิ่งสนิท คล้ายจะบอกว่า เขาไม่เคยล้อเล่น!

“อิ่มแล้ว” วายุควักธนบัตรใบละหนึ่งพันบาทออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้ววางบนโต๊ะ “กลับเถอะ”

คำพูดไม่มีปี่มีขลุ่ยของเขาทำเอาคนทั้งโต๊ะมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ชายหนุ่มไม่มีทีท่าจะสนใจด้วยซ้ำว่าปณาลีจะตอบรับว่าอะไร เขาลุกขึ้นยืนนิ่งอย่างรอคอย เรือนกายใหญ่โตราวเสาวิหารข่มให้ทุกคนรู้สึกตัวเล็กจ้อยไปถนัดใจ อีกทั้งยังแผ่รังสีอำมหิตที่กดดันเสียจนน่าอึดอัด ท้ายที่สุด หญิงสาวก็ทนไม่ไหวต้องจำใจลุกขึ้นยืน

“พี่คงต้องไปก่อนนะ เจน ก้อง ยังไงพี่ฝากร้านอีกสักวันสองวันนะ ถ้าทางลีลาหรือพี่หวันมาวุ่นวายอะไรอีก ก็ปิดร้านไปก่อน”

“แล้วเจ๊จะไปหาไอ้ฝรั่งนั่นเมื่อไหร่ ห้ามไปคนเดียวนะ ต้องให้ผมหรือพี่จอมไปเป็นเพื่อนด้วย มีปัญหาอะไรเราต้องช่วยกัน อย่าแบกรับไว้คนเดียว”

เจนภพลุกพรวดขึ้นยืน สีหน้าและแววตาของเขาจริงจังและจริงใจเสียจนปณาลีอดซาบซึ้งไม่ได้

“ขอบใจนะเจน” เธอส่งยิ้มอ่อนหวานให้หนุ่มรุ่นน้องในแบบที่วายุเห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเสียเฉยๆ “พี่คงยังไม่ไปหาเขาวันนี้พรุ่งนี้หรอก อาจจะอีกสักพัก ขอไปตั้งหลักคิดก่อนว่าจะเอายังไงดี ฝากบอกจอมด้วยก็แล้วกันว่าไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวพี่จะโทร. ไปหา”

“ถ้าไม่อยากให้พี่จอมเป็นห่วง อย่างน้อยเจ๊ก็ควรจะบอกว่าเจ๊พักที่ไหน กับใคร อยู่กันกี่คน พวกเราทุกคนจะได้แน่ใจด้วยว่า เจ๊ปลอดภัยจริงๆ ไม่ได้ถูกใครบังคับขู่เข็ญให้ไปอยู่ด้วย”

เจนภพถามรัวเป็นชุดเสียจนก้องหล้าอดขำอยู่ในใจไม่ได้ ถามเสียยาวเหยียดขนาดนี้ จริงๆ แล้วใจความสำคัญมีอยู่อย่างเดียวนั่นละ ‘เจ๊ลีเป็นอะไรกับไอ้ยักษ์นี่กันแน่’ โธ่เอ๋ย...ผู้หญิงกับผู้ชายหอบเสื้อผ้าไปอยู่ด้วยกันสองต่อสองมันจะเหลือเหรอวะ ไอ้เจน!

“ลี กลับ”

น้ำเสียงของวายุเข้มขึ้น ปณาลีพยักหน้าแล้วหันไปยิ้มเจื่อนๆ ให้เจนภพอีกครั้ง

“บอกจอมด้วยก็แล้วกันว่า พี่ปลอดภัยดี ไม่ต้องเป็นห่วง แล้วพรุ่งนี้พี่จะโทร. หา”

 

น้องสาวของมิสดาหวัน?”

มัทธีอัสเลิกคิ้วนิดๆ อย่างประหลาดใจ ร่างสูงเอนพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ขณะกวาดตามองข้อมูลที่เลขานุการรวบรวมมาให้ในมือ “ดีไซเนอร์ในทีมออกแบบที่เป็นคนมาแจ้งเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์กับทางเราน่ะเหรอ”

“ใช่ค่ะเจ้านาย” ลินดา เจ้าของฉายาเลขานุการหุ่นยนต์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามปกติ เธอแต่งหน้าน้อยมากแถมยังรวบเส้นผมสีน้ำผึ้งเป็นมวยตึงเปรี๊ยะไว้ด้านหลัง ทำให้เธอดูมีอายุมากกว่าอายุจริงอยู่ราวสองถึงสามปี “ถ้าจะเรียกให้ถูกจริงๆ ก็คือลูกพี่ลูกน้องกันค่ะ พ่อแม่ของมิสปณาลีเสียไปตั้งแต่ยังเด็ก ทางบ้านของมิสดาหวันเลยรับอุปการะเธอไว้ค่ะ มิสปณาลีเรียนออกแบบพัสตราภรณ์ ปีสุดท้ายแล้ว แต่ดรอปเรียนไปเพราะมีปัญหาทางการเงิน”

“มีปัญหาทางการเงิน? ไม่น่าเป็นไปได้นะ ครอบครัวของมิสดาหวันส่งลูกไปเรียนไกลถึงอิตาลีได้ก็ไม่น่าลำบากอะไรนี่” ดวงตาของมัทธีอัสหยุดอยู่ที่ดวงหน้าหวานละมุนของคนในรูปถ่ายเนิ่นนานอย่างลืมตัว “เด็กคนนี้สวยดีนะ ว่าไหมลินดา”

ในรูปว่าสวยแล้ว แต่ตัวจริงสวยกว่านี้อีกหลายเท่า โดยเฉพาะยามที่ดวงตาสีน้ำตาลงามซึ้งลุกวาบด้วยแรงอารมณ์จนเหมือนมีเปลวไฟปะทุอยู่ภายใน

“หยุดความคิดไว้แค่นั้นเลยค่ะเจ้านาย ข้องแวะเชิงชู้สาวกับญาติของพนักงานบริษัทของตัวเองระวังจะจบไม่สวยนะคะ” ลินดาระบายลมหายใจยาวอย่างระอาใจ “มิสปณาลีคนนี้ไม่ได้เป็นแค่ญาติพนักงานของเรา แต่อาจจะกลายเป็นคนที่เราต้องฟ้องร้องเร็วๆ นี้ด้วย”

“เรื่องนั้นผมรู้น่า ไม่ต้องซีเรียสขนาดนั้นก็ได้ แค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง” ชายหนุ่มหัวเราะ ลินดาทำงานกับเขามานานจึงกล้าต่อปากต่อคำกับเขาอย่างไม่กลัวเกรง และเขาเองก็ไม่เคยถือสาแต่อย่างใด บ่อยครั้งที่คำพูดแบบขวานผ่าซากของเธอช่วยเตือนสติเขาในหลายๆ เรื่อง “ตอนนี้เรายังสรุปไม่ได้หรอกว่าใครกันแน่เป็นฝ่ายผิด ฝ่ายเราหรือฝ่ายเด็กคนนั้น”

“หมายความว่าเจ้านายสงสัยมิสดาหวันเหรอคะ”

สีหน้าของลินดายังคงนิ่งสนิทไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าดวงตาฉายแววประหลาดใจนิดๆ เท่าที่รู้...เจ้านายของเธอชื่นชมความสามารถของดาหวันไม่น้อย เขาเป็นคนเลือกดีไซน์ของหญิงสาวจากบรรดาผลงานนับพันชิ้นที่มีคนส่งเข้ามาสมัครงานแล้วพูดว่าอยากร่วมงานกับเจ้าของดีไซน์นี้ก่อนจะเห็นว่าเจ้าหล่อนมีรูปร่างหน้าตาและบุคลิกอย่างไรหรือรู้ว่ามีดีกรีการศึกษาจากที่ไหนเสียด้วยซ้ำ

“ก็ไม่เชิง” มัทธีอัสเดาะลิ้น “ผมไม่คิดว่ามิสดาหวันจะกล้าโกหกหรอก แต่คิดว่าน่าจะมีจุดประสงค์แอบแฝง เอาจริงๆ ผมไม่อยากถูกลากไปยุ่งกับเรื่องศึกสายเลือดเท่าไหร่”

เพราะที่ผ่านมาก็นองเลือดมากพอแล้ว...

ตระกูลดรากอสของเขาผ่านวิกฤติทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่มาอย่างยากลำบาก แต่ยังไม่หนักหนาสากรรจ์เท่าศึกภายในที่บรรดาญาติพี่น้องสังหารกันเองเพื่อครอบครองทรัพย์สินของตระกูลหรอก การเติบโตในครอบครัวที่ต้องคอยระวังหลังแม้แต่กับคนร่วมสายเลือดเดียวกันช่วยลับเขี้ยวเล็บและเพิ่มความแข็งแกร่งให้เขาได้เป็นอย่างดี เขาได้เรียนรู้เรื่องของเล่ห์เหลี่ยมทางธุรกิจและความเฮงซวยของชีวิตจากคนรอบตัวอย่างที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยใดๆ ในโลกก็ไม่อาจสอนได้ และแน่นอนว่าเขาเกลียดวิถีชีวิตแบบนี้เป็นที่สุด!

“แสดงว่าเจ้านายเองก็คิดว่าเรื่องนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากลเหมือนกัน”

“คุณก็รู้สึกใช่ไหมล่ะ” มัทธีอัสยิ้มพลางพลิกไปดูข้อมูลส่วนตัวของปณาลีที่เลขานุการสาวรวบรวมมาให้เขาได้อย่างครบถ้วนภายในเวลาเพียงวันเดียว “หลายๆ อย่างมันประจวบเหมาะกันเกินไป จริงอยู่ว่าสองคนนี้อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน ถ้าเด็กปณาลีจะเห็นแบบสเก็ตช์ของมิสดาหวันแล้วขโมยแบบไปใช้ก็ไม่น่าแปลกอะไร แต่แปลกตรงที่เด็กคนนี้ขายเสื้อตัวที่อยู่ในคอลเล็กชันล่าสุดที่ของเราที่ยังไม่ได้วางขายก่อนตั้งแต่เรายังไม่ได้มอบหมายงานให้มิสดาหวันด้วยซ้ำ ซึ่ง...ไม่น่าเป็นไปได้”

ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดแอปพลิเคชันเฟซบุ๊ก แล้วหันหน้าจอให้ลินดาดูหน้าเพจขายเสื้อผ้าของปณาลี

“เป็นโชคดีของเราที่มิสปณาลีกับมิสดาหวันเป็นคนรุ่นใหม่ที่เอะอะก็อัปเดตชีวิตลงสังคมออนไลน์ ทำให้เราเห็นไทม์ไลน์ของการออกแบบและวางขายเสื้อตัวนั้นชัดเจนจนสามารถเอามาเทียบกันได้ไม่ยาก”

ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว ปณาลีแทบจะไม่อัปเดตชีวิตส่วนตัวลงในโลกโซเชียลเลย มีเพียงการลงขายสินค้าออนไลน์กับถ่ายรูปสินค้าที่ร้านให้ลูกค้าดูประสาแม่ค้าขี้งกเสียมากกว่า ดาหวันเสียอีกที่โพสต์แทบทุกสิ่งทุกอย่างออนไลน์ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องที่มีสิวผุดขึ้นบนใบหน้าเพียงเม็ดเดียว

“มิสดาหวันพลาดมากที่เปิดโพสต์เป็นสาธารณะ และไม่บล็อกเจ้านายกับเพื่อนร่วมงานทั้งหมด”

“หือ?” มัทธีอัสเลิกคิ้วซ้ายขึ้นนิดๆ อย่างประหลาดใจแกมขบขัน “แสดงว่าคุณบล็อกผมไม่ให้เห็นชีวิตออนไลน์ของคุณด้วยเหรอเนี่ย ทำไมเล่า หรือว่ากลัวผมจะเห็นด้านมืดของคุณ ประเภทชอบฟังเพลงเฮฟวีเมทัลหรือบูชาซาตานอะไรแบบนั้น”

“อยากจะเห็นฉันใส่ชุดหนัง ถือแส้กับเทียนไขสินะคะ แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่นิยมโพสต์รูปส่วนตัวลงโลกโซเชียล เลยไม่มีแอกเคานต์พวกนั้น มีแค่อีเมลไว้สำหรับติดต่องานให้เจ้านายอย่างเดียวก็ยุ่งจนงานล้านมือจะแย่แล้วค่ะ” ลินดาพูดหน้าตายเสียจนเดาไม่ออกว่าเรื่องแส้กับเทียนไขที่ว่ามานั้นเป็นเรื่องจริงหรือเพียงแค่ล้อเล่นกันแน่ “แล้วเจ้านายตัดสินใจจะทำยังไงกับเรื่องนี้คะ”

“เรื่องชุดหนังของคุณน่ะเหรอ ผมไม่ว่าอะไรหรอก ตราบใดที่คุณไม่สวมมันมาทำงาน” มัทธีอัสกระเซ้า แต่ได้สายตาคมกริบและเย็นเยียบปานน้ำแข็งตอบกลับมา

“ไม่ตลกค่ะ ฉันหมายถึงเรื่องของมิสดาหวันกับมิสปณาลีต่างหาก”

“ผมว่าหนึ่งในสองคนนั้นต้องมีคนโกหก”

“เจ้านายไม่คิดบ้างเหรอคะว่าบางทีสองคนนั้นอาจจะร่วมมือกันโกหกทั้งคู่ก็ได้”

“ตอนแรกก็คิด” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ “แต่ผมก็เชื่อสัญชาตญาณของตัวเองว่าเรื่องนี้มีกลิ่นแปลกๆ ซึ่งต้องรอการพิสูจน์ในขั้นตอนสุดท้าย”

“พิสูจน์แบบไหนก็ได้ค่ะ ขออย่าให้ผิดกฎหมายในไทยก็พอ ฉันกลัวจะตามล้างตามเช็ดให้เจ้านายไม่ไหว”

“ผมมีวิธีของผมน่า คุณอย่ากังวลไปเลย ขอแค่ให้เด็กคนนั้นติดต่อกลับมาก็พอ” มัทธีอัสลากปลายนิ้วชี้ไปตามกรอบหน้าของคนที่อยู่ในรูปถ่ายเบาๆ อย่างครุ่นคิด “มีเอกสารอะไรที่ผมต้องเซ็นอีกไหม ถ้าไม่มีผมว่าจะออกไปธุระข้างนอกสักหน่อย”

...ไปเดินเตร่เล่นที่ตลาดนั้นดูอีกทีดีกว่า เผื่อว่าจะได้เจอ...

“วันนี้ไม่มีเอกสารต้องอนุมัติแล้วค่ะ แต่มีงานเลี้ยงรับรองท่านทูตกรีซประจำประเทศไทยคนใหม่ที่ทางมูลนิธิช่วยเหลือเด็กพิการและด้อยโอกาสของท่านธงรบเป็นเจ้าภาพตอนหนึ่งทุ่ม เจ้านายตอบรับแล้วนะคะ งานนี้เบี้ยวไม่ได้ด้วย ท่านคอสตาสกำชับให้เจ้านายไปร่วมงานให้ได้นะคะ”

ชายหนุ่มทำหน้าปั้นยากเมื่อได้ยินชื่อของบิดา คอสตาส ดรากอส บิดาผู้เป็นประมุขใหญ่ของตระกูล เขารู้...ว่าพ่อตั้งใจจับคู่เขากับลูกสาวคนสวยของท่านทูตนิคอสมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ซึ่งเขาพยายามหลบเลี่ยงมาโดยตลอด

“บอกคนขับรถให้สแตนด์บายรอที่รถเลยนะ เดี๋ยวพอผมทักทายท่านทูตแล้วจะรีบหาทางหลบออกมาเลย”

“รับทราบค่ะ” ลินดาจดบันทึกลงในสมุดปกหนัง “อ้อ เลขาฯ ของท่านธงรบโทร. มาขอนัดเจ้านายไปร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับท่านธงรบตอนเที่ยงวันศุกร์ที่โรงแรมเมอร์ริออต แต่ฉันปฏิเสธไปแล้วนะคะ แจ้งทางนั้นไปว่าเจ้านายมีประชุมกับฝ่ายการตลาดยาวทั้งวัน”

“ดีแล้ว ผมขี้เกียจปั้นหน้า” มัทธีอัสทำเสียงจึ๊กจั๊กในลำคออย่างไม่สบอารมณ์นัก “ครั้งก่อนผมบริจาคให้มูลนิธิของท่านธงรบตามคำสั่งพ่อไปมากโขอยู่ ครั้งนี้ต้องการอะไรอีกล่ะ”

แม้ไม่เคยแสดงออกตรงๆ แต่ผู้คนรอบข้างก็รู้ดีว่า เขาไม่ใคร่ชอบใจการเรี่ยไรบริจาคของธงรบนัก ครอบครัวดรากอสนั้นชอบทำการกุศลและร่วมบริจาคเพื่อช่วยเหลือสังคมอย่างสม่ำเสมอ บิดาของเขาสอนว่า เงินที่ได้มาจากสังคมก็ควรตอบแทนคืนให้สังคมบ้างตามกำลัง หากมีโอกาสจงช่วยเหลือผู้อ่อนแอและด้อยกว่าเสมอ แต่ไม่ใช่ถูกขอร้องแกมบังคับให้บริจาคไปกับกิจกรรมที่ดูไร้แก่นสารและมีผลประโยชน์แอบแฝงหลายต่อหลายครั้งเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดกิจกรรมให้ผู้อุปการะเด็กกำพร้าไปชมภาพยนตร์พร้อมเด็กๆ ในบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าโดยขายแพ็กเกจแพงลิบลิ่ว ค่าเดินทางของเด็ก ค่าชมภาพยนตร์พร้อมรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน ตกหัวละไม่ต่ำกว่าร้อยถึงสองร้อยดอลลาร์ โดยที่ทั้งโรงภาพยนตร์ โรงแรมที่พักและอาหารที่จัดมาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นกิจการในเครือของธงรบกับหุ้นส่วนทั้งสิ้น

หากถามว่าใครได้ประโยชน์จากเรื่องการกุศลผักชีโรยหน้านี้เต็มๆ ก็...ธงรบอย่างไรเล่า พ่อพระของคนค่อนโลก แต่เป็นพ่อค้าหน้าเลือดสำหรับมัทธีอัส

“ถ้าให้ฉันเดาก็น่าจะเป็นเรื่องขอร่วมทุนผลิตเสื้อผ้าเด็กไลน์ใหม่ที่เรากำลังจะเปิดนั่นละค่ะ ท่านคอสตาสคงบอกให้มาคุยกับเจ้านายกระมังคะ”

ลินดาและทุกคนรู้ดีว่าอำนาจในการบริหารบริษัทในเครือดรากอสทั้งหมดอยู่ในมือของมัทธีอัส แม้คอสตาสจะคอยกุมบังเหียนอยู่ห่างๆ แต่เขาแทบไม่ได้เข้ามาก้าวก่ายในการตัดสินใจทำธุรกิจของครอบครัวนานแล้ว และเขามักฟังคำแนะนำของบุตรชายก่อนตัดสินใจเรื่องสำคัญเสียด้วย ดังนั้นหากมัทธีอัสบอกว่าไม่ คอสตาสก็เชื่อตามนั้น

“ถ้าเรื่องนั้นไม่คุย ผมไม่อยากร่วมทุนกับท่านธงรบ เราไม่เคยคุยกันมาแต่แรก พองานเดินไปจนเกือบ ๘๐ เปอร์เซ็นต์แล้วจะมาขอร่วมด้วยเนี่ยนะ ง่ายไปหน่อยไหม”

“คืนนี้ท่านธงรบเป็นเจ้าภาพจัดงาน ไม่ว่ายังไง เจ้านายก็คงเลี่ยงไม่พ้น อย่าอาละวาดนะคะ เดี๋ยวท่านคอสตาสรู้เข้าจะเป็นเรื่อง”

“รู้น่า ผมคิดว่าท่านธงรบคงไม่พูดเรื่องขอร่วมทุนในงานแน่ ไม่อย่างนั้นคงไม่ขอนัดพบเป็นการส่วนตัวทีหลังหรอก จริงไหม”

เขาอ่านเกมของนักการเมืองชื่อดังผู้นี้ออก สังเวียนการเมืองนั้นโหดร้าย หากธงรบปริปากพูดเรื่องธุรกิจต่อหน้าผู้คน รับรองว่าคู่แข่งทางการเมืองได้หาทางกระชากหน้ากากพ่อพระของเขาจนแหลกคามือแน่

ครืด...

โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อสูทของลินดาสั่นเตือนว่ามีสายเรียกเข้า เลขานุการสาวหยิบออกมากดรับโดยไม่ดูหมายเลขเพราะเธอมีหน้าที่รับทุกสายและคัดกรองก่อนรายงานให้เจ้านายรับทราบอยู่แล้ว

“สวัสดีค่ะ” ลินดากรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์แล้วนิ่งฟังคนปลายสายอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาใต้กรอบแว่นตาตวัดกลับมามองมัทธีอัสอยู่เป็นระยะ นานครู่ใหญ่กว่าที่เธอจะเอ่ยตอบรับ “รับทราบค่ะ ฉันจะแจ้งให้คุณมัทธีอัสทราบแล้วจะติดต่อกลับไปนะคะ”

“มีอะไรเหรอ ลินดา อย่าบอกนะว่า เลขาฯ ของท่านธงรบโทร. มาตื๊ออีก”

“ไม่ใช่เลขาฯ ของท่านธงรบค่ะ” ลินดาจดเบอร์โทรศัพท์ของคนที่เพิ่งติดต่อเข้ามาลงสมุดอย่างคล่องแคล่ว “แต่เป็นเด็กในรูปที่เจ้านายนั่งจ้องอยู่ต่างหาก”

“มิสปณาลี?”

ดวงตาของมัทธีอัสทอประกายวับวาวในแบบที่ลินดาอดหมั่นไส้ไม่ได้ แหม...บอกให้ไปดูตัวลูกสาวท่านทูตละก็ทำเหมือนถูกบังคับให้เดินเข้าแดนประหารอย่างไรอย่างนั้น แต่พอเด็กคนนี้โทร. มาแค่กริ๊งเดียว อารมณ์ดีขึ้นทันตาเชียวนะยะ

“มิสปณาลีของเจ้านายนั่นละค่ะ” ลินดาส่ายหน้าอย่างระอาใจ “เธอบอกว่าอยากขอนัดพบวันศุกร์นี้ ไม่ทราบว่าเจ้านายสะดวกไหมคะ”

“สะดวก นัดมาตอนเที่ยงได้เลย ผมจะได้เลี้ยงมื้อกลางวันมิสปณาลีด้วย” ชายหนุ่มดีดนิ้วดังเป๊าะ เขารับคำโดยไม่หยุดคิดแม้สักวินาที “อย่าบอกให้ใครในทีมดีไซเนอร์รู้เรื่องนี้เป็นอันขาดโดยเฉพาะมิสดาหวัน ผมอยากจะเก็บไว้เป็นเรื่องเซอร์ไพรส์”

...มาลองดูกันสิว่า คุณจะทำให้ผมประหลาดใจได้ไหม มิสปณาลี...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น