8

พระจันทร์

               ท่ามกลางแสงนวลของดวงจันทรา ภายใต้ชายคาโถงใหญ่มีชายชราในชุดเสื้อกันหนาวสีเทากับกางเกงขายาวสีมอซอยืนอยู่เบื้องหน้าขาตั้งเฟรมผ้าใบขนาดใหญ่เอาไว้อยู่ มือข้างหนึ่งประคองดินสอไม้แท่งเก่าที่เหลาเสียจนสั้นจู๋ อาจารย์เป็นธรรมยังคงใช้มันอยู่แม้ตัวดินสอจะเหลืออีกเพียงไม่ถึง 5 เซนติเมตรเท่านั้น 

               วินาทีนั้นเองแกก็จดปลายดินสอลงกับผืนผ้าใบสีขาว ลากเส้นยืดยาวเชื่อมกันกระทั่งเกิดเป็นลวดลายเถา พลางกดแรงย้ำตวัดส่วนปลายดินสอให้เป็นเส้นหนา หมุนวนสร้างวงกลมดังดวงจันทรา เติมเต็มจินตนาการลงบนผืนผ้าใบ แต้มเถาเติมเปลว แต่งคมคดเคี้ยวของเชิงลายโบราณ...แต่ทันใดนั้นเอง อะไรบางอย่างก็พลันดึงชายชราออกจากโลกจินตนาการอันแสนงดงาม 

               เจ้าของกายาใหญ่เดินวนไปเวียนมาอยู่รอบโถง ก้าวผ่านไปจนลับเสาต้นที่หนึ่ง ต้นที่สอง กระทั่งถึงต้นที่แปด ก่อนจะก้าวกลับมากวนสายตาอาจารย์เป็นธรรมอยู่อย่างนั้น มันคงไม่เป็นปัญหาเลยหากเขาจะเดินไปท่ามกลางความมืดมิด เพียงแต่ครั้นแสงจันทราต้องเรือนกายขาว ฉาบไล่ไปตามบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังเสียจนมันเปล่งประกายระยิบระยับ ยิ่งทำให้แกมั่นใจว่าชายผู้นี้คือ ‘ไวษวาหะ’

อาจารย์เป็นธรรมถึงกับถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางวางดินสอแท่งเก่าลง

               “นอนไม่หลับหรือท่าน” ชายชราถามพลางเช็ดไม้เช็ดมือกับผ้าขนหนูเก่าใกล้ๆ ดวงตาดวงเล็กใต้หนังตาห้อยย้อยจ้องมองไปยังชายร่างยักษ์ที่หยุดยืนหันหน้ามามองแก เบื้องหลังของเขาคือปีกกล้าที่กำลังสยายใหญ่ แผ่ออกกว้างเสียจนเจ้าของบ้านคนนี้เกรงว่ามันจะปัดโดนกระถางบอนไซของแกเข้า

               “เก็บปีกท่านก่อนดีมั้ย” แกเสนอ ทำให้ไวษวาหะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย

               “ข้าควบคุมปีกข้าได้ เป็นธรรม” ริมฝีปากเข้มเอ่ยยืนยัน แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าของกายาใหญ่ก็จำต้องหุบปีกสีทองสว่างลง กระทั่งมันเร้นหายไปในที่สุด สองขาแกร่งพาร่างสูงเข้ามาภายใต้โถง สองเท้าเปลือยเปล่านั้นย่ำลงบนพื้นหินขัดกระทั่งมาหยุดยืนยังเบื้องหน้าของชายชราเจ้าของบ้าน 

               ท่าทางของคนใจเย็นคนนี้เปลี่ยนไปจากที่เคยเป็นอยู่นิดหน่อย อีกฝ่ายดูกระวนกระวายใจ แม้จะไม่ได้แสดงออกมามากนัก แต่อาจารย์เป็นธรรมก็ยังดูออก

               “ผมรู้ว่าท่านควบคุมปีกตัวเองได้ แต่ปรกติท่านไม่ได้เดินเพ่นพ่านพร้อมปีกของท่านนี่นา” 

               ถ้อยคำอาจารย์เป็นธรรมทำเอาไวษวาหะเถียงไม่ได้

               เป็นเวลาเนิ่นนานมากแล้วที่อาจารย์เป็นธรรมทำงานศิลปะเกี่ยวกับพุทธศิลป์ พระพุทธรูปหลายปางที่แกปั้นและภาพลวดลายเชิงเถาต่างๆ ที่แกวาดล้วนงดงามหาใดเปรียบ หนึ่งในภาพที่ทำให้แกมีชื่อเสียงมาจนถึงทุกวันนี้คือ รูปของพญาปักษาตนใหญ่ในผืนผ้าใบขนาดสามคูณสามเมตร เรือนกายสีขาวกับปีกสีแดงดั่งเปลวเพลิง สองมือสยายกรีดกรายพร้อมกับปลายเล็บคมที่จิกเกล็ดหนาส่วนปลายหางนาคทั้งสอง กรงเล็บคมเบื้องล่างเหยียดยุดพังพานหนาใหญ่ที่กำลังแผ่สยาย 

               ภาพนี้ถูกซื้อไปในราคาเกินกว่าหกหลัก โดยชายหนุ่มนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ชายที่เป็นผู้สนับสนุนหลักให้งานเกี่ยวกับวัฒนธรรมของจังหวัดแทบทุกงาน ว่ากันว่าหลังจากที่แกขายภาพนั้นออกไปแล้ว แกก็พบเจอกับชายแปลกหน้าคนหนึ่งบ่อยขึ้น เขาเป็นชายร่างสูงใหญ่ที่มีเรือนกายขาว นุ่งจีบโจงสีทองโรยเชิงยาวพลิ้วไสว สวมทับทรวงทองอร่ามกับสร้อยสังวาลสองเส้นไขว้กันอยู่กลางหน้าอก 

               แรกๆ แกก็ตกอกตกใจที่พบเจอกับชายผู้นี้อยู่มาก ถึงขั้นที่ว่าภรรยาเก่าของแกพาไปพบจิตแพทย์ หาว่าแกเสียสติฟั่นเฟือนไปแล้วจะฟ้องหย่าเสียให้ได้ แต่เมื่อแกตัดสินใจว่าจะเจรจากับชายผู้นี้ให้รู้แล้วรู้รอด ก็ต้องพบกับความจริงที่เหนือจินตนาการของแกไปอีก จนภรรยาเก่าถึงกับหอบข้าวหอบของหนีออกไปจากบ้าน เนื่องจากรับไม่ได้ที่อาจารย์เป็นธรรมเอาแต่พูดว่า ในบ้านมีครุฑตัวเป็นๆ มาอาศัยอยู่

               ในขณะที่เรื่องราวยังคาราคาซังอยู่ แกก็ได้ข่าวว่าภรรยาเก่าหนีไปใช้ชีวิตกับชายชู้คนใหม่ อาจารย์เป็นธรรมถึงกับรับไม่ได้ ก็ไอ้คนที่มาแทนที่แกมันก็เป็นหนึ่งในลูกศิษย์แกนี่แล กลายเป็นเรื่องเป็นราวฟ้องหย่ากันอยู่หลายขวบปีกระทั่งอาจารย์เป็นธรรมชนะคดีความ เรียกว่าไม่ต้องแบ่งทรัพย์สินอะไรให้ภรรยาเก่าเลยสักสตางค์แดงเดียว 

               หลังจากนั้นมา อาจารย์เป็นธรรมก็กลับมาใช้ชีวิตตามปรกติ และหันหน้าเข้าสู่ทางธรรมมากขึ้น เข้าวัดเข้าวาบ่อยขึ้น จนกระทั่งเจอกับภรรยาคนปัจจุบันของแก เพราะยายเงินรับทุกเรื่องของสามีได้ แน่นอนว่ารวมไปถึงเรื่องของไวษวาหะด้วยเช่นกัน จึงอยู่กันยืดยาวมาจนถึงทุกวันนี้ 

               “ข้าเพียงกำลังใช้ความคิด” เจ้าของกายาใหญ่พยายามชี้แจง

               “ความคิดเกี่ยวกับเด็กคนนั้นน่ะหรือท่าน ภาษามนุษย์เราเรียกว่า ‘คิดถึง’ น่ะ” 

               อาจารย์เป็นธรรมเอ่ยอย่างรู้ทัน ทำเอาคิ้วหนาสีทองอร่ามถึงกับเลิกขึ้นสูง ด้วยต้องให้เด็กคราวลูกหลานเหลนมาสอน แม้จะฟังไม่เข้าหู แต่ก็ยังเถียงกลับไม่ได้อยู่ดี เสียงถอนหายใจของไวษวาหะจึงลากยาวออกมามากกว่าปรกติ กระทั่งอาจารย์เป็นธรรมเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องไปก่อน

               “ท่านได้บอกแกรึยังว่าท่านเป็นอะไร” 

               “ขนาดชื่อข้า นางยังเพิ่งเอ่ยถาม” ครุฑาเลือกตอบออกไปเป็นเชิงว่า ให้เจ้าของบ้านคนนี้พิจารณาเอาเองว่าท่านและเธอพูดจากันน้อยแค่ไหน

               “ก็ท่านไม่ยอมบอก เหมือนตอนที่ท่านมาเจอผมครั้งแรก ถ้าผมไม่เป็นคนถามท่านเองว่าท่านคือใคร ผมก็คงไม่รู้ว่าท่านเป็นพญาครุฑ” เจ้าของบ้านพยายามชี้แจง ตอกย้ำด้วยการยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อในอดีต แน่นอนว่าเสียงแรกที่ดังกลับมาคือเสียงถอนหายใจอีกเช่นเคย

               “บอกข้าทีเป็นธรรม หญิงที่หวาดกลัวภูตผีปีศาจจะรับข้าที่เป็นครุฑได้หรือ” ชายร่างใหญ่เอ่ยถามความเห็น

               “ได้! ก็ท่านเป็นครุฑ ใครๆ ก็รู้ว่าครุฑขับไล่ภูตผีวิญญาณได้” ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา อาจารย์เป็นธรรมบอกออกไปในทันที อีกทั้งย้ำตามความเป็นจริง “ดีเสียด้วยซ้ำ อยู่กับท่านก็ไม่ต้องกลัวเรื่องผีเรื่องสาง”

               นัยน์ตาสีทองสว่างกลอกทันทีที่ได้ยินความเห็นของเจ้าของเรือน แน่นอนว่าเขาเองไม่คิดเช่นนั้นเลย

               “เอาน่าๆ คิดมากไปก็เท่านั้น” อาจารย์เป็นธรรมปลอบพลางปัดมือไปมาอย่างกับจะบอกว่า ไม่ต้องการให้เจ้าของกายาใหญ่เสียเวลาคิด “ถ้าท่านเป็นห่วงหรือคิดถึงแก ก็ไปหาแกให้รู้แล้วรู้รอดไปสิ แกอยู่หอพักไม้ซอยหลังวัดหนองบัว หมู่บ้านใกล้ๆ นี้เอง ท่านกระพือปีกหนึ่งทีก็ไปกลับได้สองสามเที่ยวแล้ว” 

               ชายชราว่าพลางแซวไปด้วย เพราะว่ากันว่าเพียงครุฑกระพือปีกกล้า ก็สามารถไปไกลได้กว่าหนึ่งโยชน์หรือประมาณสิบหกกิโลเมตรทีเดียว แม้อีกตำราจะแย้งว่าเพียงครุฑสยายปีกก็กว้างกว่าห้าร้อยโยชน์แล้ว นับประสาอะไรกับหนึ่งโยชน์ที่อ้างถึงก่อนหน้า

               ไวษวาหะได้ฟังก็ถึงกับส่ายหน้าให้ความโมเมของมนุษย์ และแม้ว่าในใจจะไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับความคิดของอาจารย์เป็นธรรมมากนัก แต่ก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธหรือมีท่าทีไม่เห็นด้วย ทำเพียงถอนหายใจอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ก่อนจะก้าวเดินจากไป ครั้นเมื่อพ้นชายคาก็พลันสยายปีกกล้าออกกว้าง แสงจันทรานวลผ่องต้องเส้นขนสีทองสว่าง เปล่งประกายเป็นละอองแสงขาวระยิบระยับ ก่อนที่เจ้าของกายาใหญ่จะพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องนภา

               ทุกอย่างเงียบกริบอีกครั้ง ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้น เมื่อแรงกระพือปีกหนาปัดเอากระถางบอนไซของอาจารย์เป็นธรรมร่วงลงสู่พื้น เสียงกระถางดินเผาแตกลงดังเพล้ง ก่อนเสียงที่ตามมาจะกลายเป็นเสียงพ่นลมหายใจของอาจารย์เป็นธรรมแทน...

               แสงจันทร์นวลสาดส่องลงกับหลังคากระเบื้องดินขอแบบเก่าของหอพักไม้ของป้าตาที่เวลานี้ทุกอย่างเงียบกริบ และเนื่องด้วยวันนี้เป็นวันพระ ดวงจันทร์จึงกลมสว่างสวย ถึงกระนั้นค่ำคืนนี้อากาศภายนอกก็ยังคงเย็นเฉียบอยู่เช่นเดิม 

               ผู้คนในห้องต่างๆ ภายในหอพักส่วนใหญ่ปิดไฟนอนกันหมดแล้ว จะมีก็แต่ห้องพักไม้บนชั้นสองที่ติดอยู่กับบันไดขึ้นลงฝั่งตะวันตกเท่านั้นที่ยังคงเปิดไฟสว่างโร่ ซองใส่เครื่องเขียนของเจ้าของห้องแผ่กางบนเสื่อแหย่ง ในขณะที่ขี้ยางลบกระจัดกระจายอยู่โดยรอบ ดินสอไม้แท่งเล็กวางอยู่ใกล้ๆ มือเธอ แต่บัดนี้มือเรียวยังคงเอาแต่กำยางลบก้อนเล็ก ปาดถูไปมาบนกระดาษร้อยปอนด์ที่เริ่มเปื่อยยุ่ยแล้ว

               “ทำไมคิดไม่ออกนะ...” 

               พระพายพร่ำบ่นกับตัวเอง เธอยังคงง่วนอยู่กับการคิดโจทย์การบ้าน ด้วยอาจารย์เป็นธรรมสั่งงานให้นักศึกษาใหม่ทุกคนวาดภาพส่งคนละหนึ่งภาพ ก่อนที่จะเข้าเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก เพื่อดูทักษะของนักศึกษาแต่ละคน ทั้งที่อาจารย์ไม่ได้ตั้งโจทย์ที่ยากเย็นแสนเข็ญอะไรเลย แต่พระพายกลับคิดไม่ออกว่าเธอควรจะวาดรูปอะไรดี

“วาดรูปพ่อดีมั้ยนะ...หรือวาดสร้อยดี หรือวาดวิว...โอ๊ย!! คิดไม่ออก!” 

สองมือปาดถูหน้ากระดาษร้อยปอนด์อย่างระบายอารมณ์โยเย เพราะเธอหาคำตอบไม่ได้เสียที ทันใดนั้นเองใบหน้างามก็พลันฟุบลงกับกระดานวาดเขียน พ่นลมหายใจใส่มันอย่างเหนื่อยหน่ายอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าของใครบางคนแทรกผ่านความทรงจำของเธอเข้ามา 

นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองไปยังมือตัวเอง มือที่สัมผัสลงกับฝ่ามือหนาของใครคนนั้น...

“ไว...ษวาหะ...เหรอ...” อยู่ๆ ริมฝีปากอิ่มก็พลันเอ่ยนามนี้ออกมาอย่างเผลอไผล ทำเอาแก้มสองข้างแดงระเรื่อขึ้นน้อยๆ หัวใจดวงเล็กใต้อกอิ่มเต้นระรัวขึ้นมาอีกครา

“ชื่อแปลกจัง” แม้ตอนอยู่ต่อหน้าจะเอื้อนเอ่ยตอบเจ้าของชื่อไปว่าไม่แปลกอะไร แต่พอมานั่งคิดทบทวนดูดีๆ ก็ไม่ยักมีใครชื่อนี้เลยสักคน

มือเรียวขยับเขียนชื่อของเขาลงบนกระดาษ จ้องมองอย่างพิจารณาดูว่ามันคือชื่ออะไรกันแน่ ก่อนจะลองหาชื่อนี้ดูในอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้บอกอะไรแก่เธอนอกจากคำที่มีความหมายแปลกประหลาด

“สะ-หวา-หะ...” พระพายค่อยๆ ค้นหาคำที่พอมีความหมายและพอที่จะรวมกันเป็นชื่อของเขา กระทั่งพบเข้ากับคำว่า ‘สวาหะ’ ที่ดูจะเข้าเค้ากว่าคำอื่นๆ แต่ความหมายกลับไม่เชื่อมโยงไปถึงคำใดได้เลย เธอจึงเขียนคำต่างๆ เอาไว้บนกระดาษแผ่นนี้ไปด้วย

“วาหะ...หมายถึง พาหะ...แบบพาหะ ที่เป็นตัวแพร่เชื้อน่ะเหรอ” คิ้วเรียวขมวดแน่นอย่างไม่อยากเชื่อความหมายของคำนี้เลยสักนิด 

“ไวษ...วาหะ...ไวษะ...ไวษณพ พระวิษณุเหรอ...เหมือนไวษณพ ที่มาจากวิษณุ”

ตอนนั้นเองที่เธอพบคำที่พอจะแปลความหมายไปในทางเดียวกันได้ พระพายลากเส้นโยงไปมาบนกระดาษ เธอได้ชิ้นส่วนแรกของจิ๊กซอว์เป็นชื่อของพระวิษณุ หรือพระนารายณ์ไปแล้ว เหลือเพียง ‘วาหะ’ เท่านั้น

“วาหะ...จะมาจากพาหนะรึเปล่านะ ถ้าแบบนั้นก็ง่ายเลยสิ พาหนะของพระวิษณุก็คือ ครุฑ” ริมฝีปากอิ่มเอ่ยย้ำความหมายของชื่อนี้ไปในแบบที่ตนเองเข้าใจ แม้แท้ที่จริงแล้ว ‘วาหะ’ จะมาจากคำว่า ‘วาหนปสุ’ หรือสัตว์พาหนะก็ตาม

“ครุฑเหรอ...ชื่อเท่จัง” พระพายว่า เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตลอดเวลาที่เอื้อนเอ่ยนามของเขา ใบหน้างามอมยิ้มหวานอยู่โดยตลอด

“งั้นก็วาดครุฑก็แล้วกัน” เธอตัดสินใจเริ่มวาดภาพใหม่บนกระดาษร้อยปอนด์อีกแผ่นหนึ่ง เนื่องจากแผ่นนี้มันยับเยินเกินไปแล้ว พระพายเลือกที่จะร่างมันด้วยดินสอ บรรจงแต่งเติมลวดลายต่างๆ เพียงคร่าวๆ เท่านั้น

เพียงไม่กี่นาที ‘ครุฑ’ ของพระพายก็พลันเป็นรูปเป็นร่าง แน่นอนว่าเธอไม่ได้วาดครุฑในแบบที่เธอเคยเห็นทั่วๆ ไปตามหน้าธนาคารหรือตามป้ายโฆษณาใหญ่ๆ แต่เป็นครุฑากายาใหญ่ที่กำลังสยายปีกกว้างอยู่เหนือพระจันทร์ดวงโต ท่านนุ่งผ้าชายเฟือยห้อยหน้ายาวพลิ้วไหว แม้ตอนแรกเธอจะเผลอร่างภาพให้พญาครุฑตนนี้นุ่งกางเกงสะดอไปก็ตาม แต่ก็ตัดสินใจลบออกด้วยเพราะต้องการจะวาดครุฑจริงๆ หาได้อยากวาดไวษวาหะสักหน่อย

ดวงตากลมกับคิ้วหนานั้นใช้ลวดลายไทย เติมกรองศอและสวมชฎาน้ำเต้าตามแบบที่เคยเห็น แม้ลวดลายที่พระพายเติมลงไปนั้นอาจจะไม่ได้เหมือนกับต้นฉบับ หรือภาพที่เธอหาไว้เป็นแนวทาง เพราะพระพายอยากให้ภาพมีกลิ่นอายของล้านนานิดๆ อย่างที่เธอคาดว่ามันควรจะเป็น ก่อนจะขยับไปวาดพระจันทร์ดวงโตต่อไป หารู้ไม่ว่าด้านนอกหอพักบัดนี้มีใครบางตนกำลังลอยเด่นอยู่เหนือท้องนภา...

เจ้าของกายาใหญ่กับกางเกงสะดอตัวเดิมบัดนี้ยืนอยู่กลางอากาศ พร้อมกับปีกอันกว้างใหญ่ที่แผ่สยายออก แม้มันอาจไม่ได้กว้างถึงห้าร้อยโยชน์อย่างที่ว่าไว้ในตำราก็ตาม แต่เงาที่ทาบลงกับหลังคาหอพักก็กว้างพอจะบดบังแสงจันทร์ไม่ให้ส่องลงกระทบกับหลังคาฝั่งห้องนอนของพระพายได้ทั้งหมด เรือนกายขาวที่ต้องแสงจันทร์พลันขาวผ่องเป็นยองใย ในขณะที่ปีกใหญ่เองก็เปล่งประกายระยับ 

เขายังคงลอยตัวอยู่อย่างนั้น นัยน์ตาสีทองสว่างจ้องมองหน้าต่างบานโตของห้องนอน รับรู้ว่าพระพายอยู่ในนั้นแม้มันจะปิดอยู่ก็ตาม ก่อนที่เจ้าจ็อก สุนัขเฝ้าสวนของลุงมีจะส่งเสียงเห่าดังลั่น วันนี้ดูเหมือนมันจะไม่ส่งเสียงหอนยืดยาวให้สิ่งแปลกปลอมที่อยู่ในสวนของเจ้าของมัน แต่กลับเอาแต่เห่าโฮ่งเสียงดังใส่ไวษวาหะแทน 

เป็นปรกติของสุนัขเฝ้าสวนที่มักจะมีนิสัยดุร้าย ส่วนใหญ่มันจะส่งเสียงเห่าใส่ทุกคนที่มักเดินผ่านสวนมะพร้าวของลุงมีแก แต่ครานี้มันกลับมองเห็นกายาใหญ่ที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า เจ้าสุนัขตัวโตจึงไม่รีรอ โก่งคอเห่าสุดเสียงของมัน

“เห่าอะหยังปะล้ำปะเหลือ!!” (เห่าอะไรกันนักกันหนา!!)

เสียงชาวบ้านตะโกนกึกก้อง และตอนนั้นเองที่เหล่าเจ้าของบ้านในละแวกนี้เปิดประตูหน้าต่างออกมาเพื่อมองดู ไฟห้องนอนของบ้านหลายหลังสว่างโร่ นั่นรวมไปถึงห้องนอนของบ้านป้าตาด้วยเช่นกัน 

แน่นอนว่าหนึ่งในคนที่อยากรู้อยากเห็นว่าเจ้าจ็อกมันส่งเสียงเห่าอะไรก็คือพระพาย เธอเปิดหน้าต่างบานโต พลางชะโงกหน้าออกมามองหาด้วยเช่นกัน มันเป็นจังหวะเดียวกับที่ป้าตาหยิบเอาไฟฉายกระบอกโตติดมือออกมาเดินสำรวจหอพักไปด้วย

“บะหลับเตื้อก๋าหล้า” (ยังไม่นอนอีกเหรอลูก)

แกตะโกนถามจากทางกระไดด้านข้าง พลางกระชับผ้าคลุมของแกที่ห่มคลุมกายออกมาไปด้วย

“กำลังทำการบ้านอยู่เลยค่ะ” พระพายตอบก่อนสาวเจ้าจะกวาดสายตาออกไปมองหาดวงจันทร์ที่วันนี้กลมดั่งดวงแก้วดวงโต 

แน่นอนว่าไร้วี่แววของไวษวาหะ ด้วยเจ้าของกายาใหญ่ขยับเข้าเร้นกายอยู่เหนือยอดไม้ใหญ่ที่ห่างออกไปจากหอพักเธอเสียแล้ว ครุฑยักษ์จ้องมองสาวเจ้าตัวกระจิ๋วในชุดนอนสีหวาน ริมฝีปากเข้มขยับยิ้มเพียงเท่านั้น อย่างคำโบราณโบร่ำที่ว่า ‘ไม่ได้เห็นหน้า เห็นหลังคาบ้านก็ยังดี’ ก่อนปีกกล้าจะนำพากายาใหญ่ให้กลับไปยังรังนอนของตน...

หลังจากนั้นไม่นานเจ้าจ็อกก็พลันหยุดเห่า คืนเหน็บหนาวนี้ผ่านพ้นไปอย่างไม่มีอะไรติดขัด นั่นรวมไปถึงเงาประหลาดที่พระพายเห็นเมื่อคืนก่อนก็ไม่ออกมาด้วย แต่ที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ คืนนี้พี่พรกลับอาบน้ำ...


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น