7

หวาน

               แสงไฟนีออนหลอดยาวยังคงถูกเปิดเอาไว้สว่างโร่ ภายในห้องพักบนชั้นสองห้องริมสุดติดบันไดขึ้นลงทางฝั่งตะวันตก หน้าต่างบานใหญ่ของห้องเปิดอ้าออกเพียงด้านเดียวเท่านั้นเพื่อรับลมเย็นจากภายนอก ให้ไม่รู้สึกว่าภายในนี้อึดอัดจนเกินไป ผ้าม่านสีขาวปักชายผ้าด้วยด้ายสีอ่อนขึ้นลายเป็นรูปดอกไม้ดอกเล็กๆ ขยับไหวไปตามแรงลมเอื่อยเฉื่อยที่โชยเข้ามา พร้อมกับกลิ่นของดอกสะหลีจั๋นตาหรือดอกราชาวดีที่บานและส่งกลิ่นหอมในตอนกลางคืน เสียงหรีดหริ่งเรไรวันนี้เบาลงกว่าวันอื่นๆ อยู่มาก อาจด้วยอากาศที่หนาวเย็นลงทุกที

               เจ้าของห้องอย่างพระพายนั่งอยู่กับพื้นสาดแหย่งหรือเสื่อสานทำจากต้นแหย่ง (ต้นคล้า) ข้างๆ เตียงนอนของเธอ กระดาษร้อยปอนด์สีขาวถูกตรึงบนกระดานวาดภาพขนาดใหญ่ ติดด้วยเทปกาวหนังไก่สีเหลืองอ่อน มือเรียวของพระพายลูบเนื้อกระดาษหยาบๆ เบาๆ ก่อนจะควานหาสิ่งสำคัญในการวาดรูปของเธอ แต่ดูเหมือนกับว่ามันจะหายไปเสียแล้ว

               “อ้าว...หายไปไหนแล้ว...” สาวเจ้าเอ่ยกับตัวเอง พลางขยับก้มมองหาม้วนผ้าดิบสีเขียวขี้ม้า มันเป็นซองเก็บอุปกรณ์วาดรูปที่ป้าตาเย็บให้พระพายเมื่อนานมาแล้ว 

               เนื่องจากเห็นว่าพระพายชอบวาดรูป และกล่องดินสอของเธอมีขนาดเล็กเกินกว่าจะใส่อุปกรณ์ใดๆ ได้หมด ป้าตาจึงนำผ้าดิบที่เหลือจากการตัดเย็บถุงใส่ผ้านวมของแกมาย้อมด้วยเปลือกมะม่วงจนได้สีเขียว ตัดเย็บเป็นแผ่นยาวแล้วทำช่องเล็กๆ หลายช่องพอให้สอดดินสอ พู่กัน และไม้บรรทัดลงได้ ติดเชือกไว้ยังปลายด้านหนึ่งให้ผูกมัดเป็นทรงกระบอกได้เวลาม้วนเก็บ ปักลายด้วยมือเป็นรูปต้นมะม่วงและผลมะม่วงสีเหลืองสดลงไป ก็เป็นที่ถูกใจของพระพายอยู่มากเหลือเกิน

               “หรือจะลืมไว้ที่บ้านอาจารย์เป็นธรรมรึเปล่า...” พระพายเอ่ยอย่างเป็นกังวล เนื่องจากภายในนั้นใส่อุปกรณ์วาดรูปทุกอย่างของเธอเอาไว้ หากมันหายไปจริงๆ มีหวังต้องเสียเงินซื้อใหม่ทั้งหมดเป็นแน่

               นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองนาฬิกาปลุกของเธอที่ตั้งอยู่บนหัวเตียง เวลานี้ปาเข้าไปกว่าสี่ทุ่มแล้ว ครั้นจะขอให้พ่อออกไปส่งก็คงไม่ดีแน่ ด้วยเธอตั้งใจว่าจะนั่งทำการบ้านที่อาจารย์เป็นธรรมสั่งเอาไว้ก่อนเปิดเทอม พอถึงเวลาส่งงานจะได้ไม่ต้องรีบเร่งทำส่ง แต่บัดนี้อุปกรณ์วาดเขียนของเธอหายไปเสียแล้ว ก็ช่วยไม่ได้ เธอต้องพักงานนี้เอาไว้ก่อน พระพายจึงเก็บกระดานวาดรูปรวมกันกับกระดานวาดแผ่นอื่นๆ ไว้ข้างฝา พลันก็ก้าวไปปิดหน้าต่างที่เปิดอ้าอยู่

               แต่เมื่อร่างบางก้าวมาหยุดยืนอยู่ยังหน้าต่างห้องนอนของเธอ อะไรบางอย่างก็พลันขยับไหว ดูเหมือนมันจะอยู่ถัดออกไปจากด้านหลังบ้านของป้าตา ข้างในสวนมะพร้าวใหญ่ของลุงมี ดวงตางามหรี่มองดูเล็กน้อย แต่ด้านนอกนั้นมืดมิดเกินกว่าที่เธอจะมองเห็น กระทั่งสิ่งนั้นยืดตัวขึ้นสูงเสียดฟ้า ฝ่ามือหนาเตอะกับปลายนิ้วทั้งห้าที่ยืดยาวยกขึ้นโบกไหว 

ตอนนั้นเองที่อยู่ๆ เจ้าจ็อก สุนัขเฝ้าสวนของลุงมีก็พลันส่งเสียงหอนขึ้นโหยหวน พระพายรีบปิดหน้าต่างห้องนอนทันที ลงกลอนเหล็กอย่างมิดชิด สองขาก้าวกระโจนโดดขึ้นไปบนเตียงนอน เอื้อมมือปิดไฟบนหัวเตียง ซุกตัวลงในผ้านวมผืนหนานอนนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมแม้แต่จะโผล่หน้าออกมาหายใจ

               “สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์...” ริมฝีปากอิ่มของเธอพร่ำสวดแผ่เมตตาให้สิ่งที่เธอมองเห็น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม มือเรียวกุมยันต์เส้นสีแดงก่อนที่อะไรบางอย่างจากยันต์จะทำให้พระพายรู้สึกสบายใจขึ้น

               เสียงหอนของเจ้าจ็อกเงียบลงไปแล้ว ทว่าพระพายก็ยังคงพยายามเงี่ยหูฟัง กระทั่งรถจักรยานยนต์คันหนึ่งขับเข้ามาจอดยังหน้าหอพักของเธอพร้อมกับเสียงเล็กแหลมของมัน ดูเหมือนมันจะเป็นรถของพี่พร...คนข้างห้อง

               “กลับมาแล้วเหรอ...” พระพายเอ่ยกับตัวเองอย่างสงสัย รู้สึกว่าพี่พรกลับหอดึกทุกวัน

               เจ้าของดวงตากลมค่อยๆ โผล่หน้าขึ้นมาจากผ้านวม อากาศที่เย็นกว่าข้างใต้ผ้านวมทำให้รู้สึกหายใจคล่องขึ้น ก่อนที่เสียงฝีเท้าของพี่พรจะดังขึ้นจากทางบันไดข้างห้องเธอ รองเท้าส้นสูงกระแทกลงกับพื้นดังก๊อกแก๊กผ่านหน้าห้องนอนเธอไปอย่างช้าๆ เช่นเคย เพียงแต่วันนี้ดูเหมือนจะมีเสียงครืดคราดของอะไรบางอย่างที่ลากยาวตามการก้าวเดินปนอยู่ด้วย

               “...” พระพายกระชับมือลงกับผ้านวมหนา เหลือบมองขึ้นไปตามแผ่นผนังไม้ยังส่วนที่เป็นฝาไหลด้านบน เงี่ยหูฟังเสียงปลดกลอนประตูและปิดลงในเวลาไม่นาน ตอนนั้นเองบัลลาสต์จากชุดหลอดไฟยาวก็พลันส่งเสียงร้องดังขึ้น ไฟห้องนอนของพี่พรกะพริบถี่ก่อนมันจะสว่างขึ้นเต็มดวง

               พี่พรยังคงทำอย่างเช่นที่เคยทำ เปิดไฟ เก็บของ แล้วปิดไฟนอน โดยที่ยังไม่ได้อาบน้ำอาบท่าเสียด้วยซ้ำ เป็นเช่นนี้มาสองวันแล้วเท่าที่พระพายรับรู้ ก่อนที่อยู่ๆ ความรู้สึกประหลาดจะทำให้พระพายรู้สึกหวาดผวาขึ้นอีกครา หัวใจดวงนี้เต้นแรงขึ้นครั้นมองเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนที่ผ่านช่องฝาไหลฝั่งห้องนอนของพี่พร 

พระพายหดหัวเข้าไปใต้ผ้านวมอีกครั้ง พยายามข่มใจให้ม่อยหลับไปอีกวัน แม้มันจะแสนยากเย็นเหลือเกิน...

               เสียงตะโกนทักทายผู้คนของสร้อยมาลาปลุกพระพายให้ตื่นขึ้นจากฝัน เช้าตรู่วันนี้อากาศยังคงเย็นเฉียบเช่นเคย มันทำให้พระพายแทบไม่อยากลุกออกจากที่นอน ก่อนดวงตางามจะเผลอเหลือบมองไปยังช่องฝาไหลด้านบน แสงสว่างภายนอกสาดส่องเข้ามายังห้องพักภายใน ทำให้พระพายมองเห็นเพดานห้องของเธอและเพดานของห้องของพี่พร มันสว่างโร่เกินกว่าจะทำให้เธอหวาดกลัว

ร่างบางบิดขี้เกียจบนที่นอนผืนหนา พลางค่อยๆ ขยับลงจากเตียงนอนอันแสนอบอุ่น เพื่อออกไปตามหาชุดเครื่องเขียนของเธอ มือเรียวคว้าเอาผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ของเธอขึ้นห่มคลุมกาย ตระเตรียมเสื้อผ้าที่เธอจะสวมวันนี้ก่อนจะก้าวเดินออกไปจากห้อง มุ่งหน้าไปอาบน้ำยังบ้านใหญ่ของป้าตาที่อยู่ด้านหลัง 

เสียงซู่ซ่าของการสาดน้ำดังอยู่เพียงไม่ถึงสิบขันเท่านั้น ด้วยเพราะบ้านป้าตาไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ครั้นเมื่ออากาศหนาวก็อาศัยต้มน้ำในหม้อบนเตาฟืน แล้วผสมน้ำเย็นให้สร้อยมาลาอาบไปเท่านั้น ส่วนแกก็อาบน้ำที่เหลือในถังของสร้อยมาลาต่ออีกที เช้านี้พระพายจึงต้องจัดการตัวเองด้วยน้ำเย็นเฉียบ เสียงเท้าของเธอที่ย่ำพื้นไปมาราวกับเต้นโหยงๆ ในห้องน้ำดังจนทำเอาป้าตาต้องรีบตะโกนถาม

               “หล้า!! เอาน้ำฮ้อนก่อ เดวป้าต้มหื้อก่อได้หนา” (ลูก!! เอาน้ำร้อนมั้ย เดี๋ยวป้าต้มให้ก็ได้นะ) ป้าตารีบตะโกนบอกพลางก้าวมายืนฟังอยู่ด้านหลังห้องน้ำซึ่งเป็นส่วนที่ก่อสร้างขึ้นใหม่ ติดอิฐบล็อกช่องลมไว้เพื่อให้ระบายอากาศ 

สิ้นเสียงแกพระพายก็รีบตอบกลับมาด้วยเสียงสั่นผับ แจ้งกับป้าตาว่าเธอเองยังไหว แม้สองเท้าเธอจะย่ำลงกับพื้นดังจ๋อมแจ๋มเพราะหนาวสั่นจะตายอยู่แล้วก็ตาม...

ไม่ถึงสิบห้านาทีพระพายก็พลันก้าวออกมา ห่มคลุมผ้าเช็ดตัวผืนหนาลงกับบ่าเพื่อกันหนาว แม้มันจะชื้นอยู่น้อยๆ แต่ก็ยังดีกว่าต้องเผชิญความหนาวเย็นโดยตรงต่อไป สองขาเธอก้าวฉับๆ กลับขึ้นไปยังห้อง คว้าเอาเสื้อยืดแขนยาวสีชมพูสวมทับเสื้อกล้ามตัวเล็กด้านในให้บดบังทรวดทรงอกอึ๋ม แม้ช่วงตัวจะสั้นจนเห็นเอวคอดเล็กก็ตาม 

ร่างบางยืนบิดไปมาหน้ากระจกเงา สำรวจกระโปรงผ้าชีฟองสีขาวที่สวมอยู่ พลางคว้าเอาหมวกไหมพรมมาสวมและคว้ากระเป๋าสะพายติดมือไปด้วย

พระพายก้าวออกมาจากห้องโดยไม่ลืมที่จะปิดหับลงกลอนไว้ให้ดี พลางเหลือบมองไปยังห้องพักของพี่พรที่ยังคงปิดประตูเงียบ เธอไหวไหล่น้อยๆ พลางคิดว่าเรื่องเมื่อคืนเธออาจจะเพียงแค่ตาฝาดก็เป็นได้ กระทั่งมองเห็นคราบน้ำสีดำยังใต้ขอบประตูไม้ของห้องพี่พร คิ้วเรียวก็ขมวดเข้าหากันจนแน่นกลางหน้าผาก

“ไม่มีอะไรหรอกมั้ง...” พระพายเอ่ยปลอบใจตน เธอเลือกจะเดินลงไปด้านล่าง ทิ้งความสงสัยเอาไว้ตรงนั้น

“จะไปไหนหล้า!” (จะไปไหนลูก)

เสียงเล็กแหลมของป้าตาที่ตะโกนถามดังลั่น แกกำลังนั่งป้อนข้าวสร้อยมาลาอยู่บนแคร่ไม้ใหญ่ ในขณะที่เธอโบกมือทักทายพระพาย

“พระพาย!!” สร้อยมาลาว่าทั้งๆ ที่ในปากของหล่อนยังคงเต็มไปด้วยข้าวเหนียวก้อนเล็กๆ มือก็กำหมูปิ้งไม้ใหญ่เอาไว้ เพียงแต่หักส่วนปลายแหลมของไม้ออกไปเรียบร้อยแล้ว

“พอดีลืมของไว้ที่บ้านอาจารย์เป็นธรรมน่ะค่ะ หนูว่าจะขอให้พ่อไปส่ง” พระพายบอกพลันโบกมือทักทายตอบสร้อยมาลา “กินข้าวเหรอสร้อย อร่อยมั้ย” 

ร่างบางก้าวเข้ามาหา ขยับขึ้นนั่งบนแคร่ไม้ใหญ่ใกล้กับสร้อยมาลา แต่ว่าหลานสาวเธอกลับเงียบกริบ แม้แต่ปากก็หยุดกึกไปด้วย ก่อนที่ป้าตาจะบอกให้สร้อยมาลาเริ่มเคี้ยวข้าวเสียที ปากเล็กๆ จึงเริ่มขยับ แม้ดวงตาของหล่อนจะเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย

“ท่าจะอร่อยน่าดู” พระพายเอ่ยแซว เธอคลุมผ้าห่มผืนนุ่มลงกับขาของสร้อยมาลา ก่อนที่อยู่ๆ มือเล็กๆ ของอีกฝ่ายจะยื่นหมูปิ้งที่กำไว้ให้เธอ แม้มันจะถูกงับไปแล้วคำหนึ่งแต่พระพายเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไร

“ให้เหรอ กินนะ?” สาวเจ้าเอ่ยถาม ขณะที่ท่าทางของสร้อยยังคงนิ่ง แต่มือที่ยื่นมาก็ยังอยู่ยังที่เดิม พระพายจึงงับหมูปิ้งน้อยๆ กัดไปเพียงชิ้นเล็กๆ กระทั่งสร้อยขยับยิ้มหวาน ทำเอาพระพายฉีกยิ้มตามเธอไปด้วยอีกคน 

ป้าตาที่มองทั้งสองคนอยู่ถึงกับน้ำตาซึม ไม่รู้เป็นเวรเป็นกรรมอะไรของสร้อยมาลาที่ต้องเกิดมาเป็นเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น แกก็ยังคงรู้สึกว่าสร้อยมาลารับรู้เรื่องราวทุกอย่าง

“อื้มมม! อร่อยมากเลย กินอีกได้ปะ!” 

พระพายว่า แต่ครานี้สร้อยมาลาขยับมือหนี ด้วยของอร่อยแบบนี้ให้กินคำเดียวก็เพียงพอแล้ว

พระพายถึงกับหัวเราะร่วน ป้าตาจึงรีบขยับมือปาดเช็ดน้ำตาตัวเอง พลางทำทีหันไปหยิบเอาหมูปิ้งที่แกซื้อมาจากตลาดเช้าใส่ไว้ในกระติกข้าวเหนียวที่กำลังร้อนอยู่เพื่ออุ่นหมูปิ้งไปด้วย จากนั้นยื่นมันให้พระพายพร้อมกับข้าวเหนียวห่อใหญ่ แกรู้ดีว่าหลานสาวของแกกินไม่หมดหรอก แต่จะให้เป็นห่อเล็กก็เกรงว่าหลานจะไม่อิ่ม

“ขอบคุณค่า!” พระพายยกมือขึ้นไหว้ป้าของเธอ พลางรับมันมานั่งกินกับสร้อย ข้าวเหนียวนึ่งนุ่มๆ หอมๆ กินกับหมูปิ้งร้อนๆ ฉ่ำๆ หอมกลิ่นรากผักชีทำให้ร่างกายอบอุ่นได้เสมอจริงๆ

“ป้อตั๋วว่างก่อบะฮู้ ป้าหันมีคนมาท่าสักตะมองตะเจ้าละ” (พ่อหนูว่างรึเปล่าก็ไม่รู้ ป้าเห็นมีคนมารอสักตั้งแต่เช้าแล้ว) ป้าตาบอก เนื่องจากยังไม่ทันที่พระอาทิตย์จะโผล่พ้นขอบฟ้า ทางฝั่งบ้านของพ่อติ๊บก็มีคนขับรถเข้ามาจอดรอกันจนเต็มแล้ว 

เป็นที่รู้กันดีว่าพ่อติ๊บเป็นหมอเมื่อมีชื่อ แกร่ำเรียนตำราตัวเมืองหรือภาษาล้านนามาตั้งแต่เด็ก การที่แกจะรู้เรื่องเกี่ยวกับลายสักคาถาแบบล้านนาก็คงไม่แปลก หลายๆ คนที่รู้ข่าวจึงมักแวะเวียนเข้ามาเพื่อให้พ่อติ๊บสักลายให้เป็นประจำ แม้พ่อติ๊บเองจะพยายามบ่ายเบี่ยง เพราะบางคาถาบางลายก็หาใช่ลายสักสายขาว จะสักให้พร่ำเพรื่อแกก็กลัวจะเป็นบาป ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีคนมาขอคิวสักกับแกอยู่ตลอด แกจึงจัดสองวันต่ออาทิตย์เพื่อให้คนเข้ามาสักแบบเป็นกิจจะลักษณะไปเลย

หลายครั้งที่การสักส่วนใหญ่ไม่ใช่การสักลายใหม่ แต่เป็นการต่อลายจากเจ้าอื่น แต่ก็ต้องยอมรับว่าผู้สักหลายคนไม่ได้ศึกษาภาษาล้านนามาก่อน เป็นธรรมดาที่บางตัวอักษรจะถูกจารลงจนผิดเพี้ยนไปไม่เป็นภาษา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครการันตีได้ว่า หากอักษรไม่เป็นไปตามคาถาแล้ว มันจะยังคงเข้มขลังเหมือนเดิมหรือเปล่า พ่อติ๊บจึงทำได้เพียงแค่บอกกล่าว ว่าภาษาที่จารลงไปก่อนหน้านั้นผิดพลาดหรือตกหล่น เป็นวิจารณญาณของเจ้าของเนื้อหนังเองที่จะตัดสินใจว่าพวกเขาจะทำอย่างไรต่อไป

“อ้าว เหรอคะ...งั้นหนูยืมจักรยานป้าตาไปได้มั้ย” พระพายว่า เธอยังคงเคี้ยวข้าวอยู่ตุ้ยๆ

“จะไปตังใด ถ้าไก๋เดวป้าไปส่ง” (จะไปทางไหน ถ้าไปไกลเดี๋ยวป้าจะไปส่ง)

ป้าตาแย้งขึ้นทันที ก่อนพระพายจะรีบชี้แจงว่าเธอจะไปเพียงบ้านของอาจารย์เป็นธรรมเท่านั้น แกจึงเบาใจและอนุญาตให้พระพายปั่นจักรยานไปเอง ด้วยก็พอรู้จักมักจี่กับอาจารย์เป็นธรรมอยู่บ้าง ส่วนใหญ่มักจะพบเจอกันที่วัด 

แน่นอนว่าพระพายไม่ลืมที่จะหยิบป้ายชื่อของตัวเองมาห้อยไว้กับคอระหง ด้วยรุ่นพี่กำชับอยู่ตลอดเวลาว่าห้ามทำหาย เธอจำเป็นต้องห้อยป้ายนี้ไปตลอดเทอมจนกว่าจะถึงพิธีการถอดป้ายหรือการรับเป็นน้อง จึงจะถือว่ากิจกรรมรับน้องสิ้นสุดลง 

แม้มันจะดูไม่สมเหตุสมผลเลยก็ตามที่พระพายจะหยิบมันมาสวม ทั้งๆ ที่ยังไม่เปิดเทอมแท้ๆ แต่มีโอกาสอยู่มากที่เธอจะพบกับรุ่นพี่ในบ้านอาจารย์เป็นธรรม เธอจึงสวมมันเอาไว้ก่อน อย่างน้อยกันหมาไม่ได้ก็คงพอกันรุ่นพี่ได้บ้าง...

กว่ายี่สิบนาทีที่พระพายปั่นจักรยานมายังบ้านของอาจารย์เป็นธรรม แรกเริ่มเดิมทีหมายใจจะปั่นมาตามเส้นทางด้านหลังบ้านพ่อติ๊บ แต่กลับหลงทางไปไกลยิ่งกว่าเดิม อาศัยถามไถ่ชาวบ้านร้านตลาดเอาว่าบ้านอาจารย์เป็นธรรมไปทางไหน จึงค่อยๆ ปั่นไปตามคำบอกกล่าว กว่าจะมาถึงก็เล่นเอาหอบแฮก เพราะใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมงทีเดียว

“โอ๊ย เหนื่อย...” สาวเจ้าบ่นกับตัวเองเบาๆ เธอขยับลงจากจักรยานแม่บ้านกันเก่าของป้าตา ถีบขาตั้งลงอย่างทุลักทุเลด้วยก็ใช้จักรยานรุ่นเก่าเก็บไม่ค่อยจะเป็น หยิบกระเป๋าสะพายของเธอที่ใส่ไว้ในตะกร้าหน้ารถขึ้นมาสะพายลงกับบ่า พลางถอดหมวกไหมพรมของเธอใส่ลงไปแทน ก่อนจะก้าวขาเข้าไปในบริเวณบ้านของอาจารย์

ภายในบริเวณนี้ยังคงเงียบสงบเช่นเดียวกันกับเมื่อวาน เสียงนกน้อยมากมายร้องขับขานปนไปกับเสียงหยดน้ำที่หยดลงจากใบไม้ใบโตเหนือหัวสู่ก้อนหินสีขาวที่ปูลงเป็นทางเดิน แสงแดดอุ่นของดวงอาทิตย์ดวงโตสาดส่องลงกับช่องใบไม้เล็กๆ ทอทอดลงกับหยดน้ำบนก้อนหินสีขาว เกิดเป็นประกายสีทองระยิบระยับ มันช่างงดงามเหลือเกิน แต่เช้านี้ดูเงียบเกินไป พระพายจึงเริ่มเป็นกังวลว่าเธออาจคิดผิดเรื่องป้ายห้อยคอ

“รู้งี้ไม่ห้อยมาก็ดีหรอก” สาวเจ้าตัดพ้อกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเข้าไปยังด้านใน

“สวัสดีค่า!” พระพายส่งเสียงทักทาย แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีเสียงใดเลยเอ่ยตอบกลับมา

“สวัสดีค่ะ! หนูชื่อพระพาย พอดีลืมของไว้น่ะค่ะ” สาวเจ้าร้องบอกอีกครั้ง และมันยังคงเงียบกริบเช่นเดิม ตอนนั้นเองที่พระพายถอนหายใจออกมายืดยาว ด้วยคิดว่าเธอมาเสียเที่ยวเสียแล้วกระมัง

“มาหาใครหรือ” 

กระทั่งเสียงหนึ่งดังตอบเธออย่างแผ่วเบา ทำให้พระพายรีบหันขวับไปมอง

ชายคนเดิมกับกางเกงสะดอสีขาว เรือนผมยาวสีทองอร่าม ครั้นเมื่อต้องแสงจากดวงอาทิตย์ก็พลันเปล่งประกายระยิบ เรือนกายขาวที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามใหญ่นั้นยังคงทำให้หัวใจของพระพายสั่นสะท้านได้ตลอด แม้เขาจะยังคงไม่สวมรองเท้าเช่นเดิมก็ตาม 

นัยน์ตาคมสีทองสว่างนั้นจับจ้องเธอ สะท้อนภาพหญิงสาวผมยาวกับเสื้อสีชมพูคนนี้อยู่โดยตลอด ก่อนพระพายจะรีบป้องมือลงกับป้ายชื่อที่ห้องอยู่กับลำคอเธอ น่าอายเหลือเกินที่เขาต้องมาเห็นเธอห้อยป้ายยักษ์ใหญ่ขนาดนี้ในวันที่หาใช่เวลาเรียน

“คือ...หนู...ลืมของไว้น่ะค่ะ” พระพายเอ่ยพลางกระชับป้ายห้อยคอของเธอแน่นขึ้น ด้วยหัวใจมันเต้นแรงเกินไปแล้ว

“ตามมาสิ” เขาว่า ก่อนจะเดินนำทางเธอไปยังโถงเรียน ก้าวผ่านศาลาริมสระบัวแล้วเดินเลี้ยวเข้าไปทางซ้ายมือก่อนถึงต้นหมากใหญ่ จนกระทั่งมาถึงศาลาอีกหลัง 

ศาลาใหญ่ที่กว้างประมาณแปดเมตร และยาวลึกเข้าไปกว่าสิบหกเมตรเป็นศาลาเปิดโล่ง ไม่มีเสากลาง มุงหลังคาด้วยกระเบื้องดินขอแบบใหม่เพราะเพิ่งเปลี่ยนไปเมื่อตอนปีใหม่เมืองหรือสงกรานต์ปีนี้นี่เอง พื้นเป็นพื้นหินขัดเพราะอย่างไรเสียมันก็ต้องเปื้อนสีเปื้อนฝุ่นอยู่แล้ว จึงไม่ปูกระเบื้องให้สีตกไปคาอยู่ในร่องกระเบื้องจนลำบากตอนขัดล้างเสียเปล่าๆ 

เสาทั้งหมด 8 เสาก่อด้วยอิฐมอญสีส้มสด แม้บัดนี้โคนเสาบางต้นจะเต็มไปด้วยต้นเฟิร์นและมอสส์ต้นเล็กๆ ที่ขึ้นเกาะกุมไปแล้วก็ตาม พระพายยกมือขึ้นจิ้มมอสส์นุ่มๆ นั้นเล่นไปพลางระหว่างที่เดินผ่านมันไป

“อาจารย์เป็นธรรมไม่อยู่เหรอคะ” สาวเจ้าเอ่ยถาม

“เวลานี้น่าจะยังอยู่ที่วัด” เขาตอบเพียงสั้นๆ สองขาแกร่งนั้นก้าวนำไปอย่างมั่นคง

“คะ...ค่ะ...” พระพายจึงเพียงขานรับ ไม่รู้ว่าเธอถามมากเกินไปหรือเปล่า

ศาลาใหญ่แห่งนี้กว้างพอจะจุนักเรียนนักศึกษาได้กว่าห้าสิบคน เป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับสอนทุกวิชาที่อาจารย์เป็นธรรมเป็นผู้สอน มันจึงมีพื้นที่มากพอที่จะให้ทุกคนนั่งทำผลงานของตัวเอง ด้านในสุดของตัวศาลาก่อขึ้นเป็นเคาน์เตอร์สำหรับวางของและอุปกรณ์ต่างๆ ที่เด็กนักศึกษาลืมไว้ อาจารย์เป็นธรรมจะเก็บเอาไว้ให้จนกว่าจะไม่มีใครมาแสดงตัวแล้ว จึงจะถือเป็นของสำรองให้นักศึกษาคนอื่นหยิบยืมใช้ได้ตามสะดวกแทน

ในขณะที่เจ้าของกายาใหญ่ยังคงเดินนำเธอไปที่เคาน์เตอร์อย่างเงียบเชียบ เขาไม่แม้แต่จะเอื้อนเอ่ยคำใดต่อ จะมีก็แต่พระพายเท่านั้นที่เสียงหัวใจเธอมันเต้นดังเหลือเกิน ดังเสียจนเธอกลัวว่าเขาจะได้ยิน

“ตรงนี้แล ลองหาดูว่าชิ้นไหนของเจ้า” เขาว่าก่อนจะหลีกทางให้เธอเล็กน้อย 

พระพายรีบรี่เข้าไปคว้าม้วนผ้าของเธอมากอด โชคดีเหลือเกินที่เธอหามันเจอที่นี่ มิเช่นนั้นคงต้องเสียเงินซื้อใหม่เป็นแน่ แม้จะรู้สึกแปลกใจกับคำพูดคำจาของชายเบื้องหน้าอยู่มาก แต่เขาก็เอ่ยอย่างสุภาพกับเธอตลอด

“เจอแล้วค่ะ...อันนี้...ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ” 

สาวเจ้ากล่าวขอบคุณอย่างดีใจ เธออมยิ้มหวานและทำให้เขาเอาแต่จ้องมองเธออยู่อย่างนั้น

“ดีแล้ว” 

ชายหนุ่มตอบ พระพายจึงก้าวไปสวมรองเท้าของตัวเอง ขยับยิ้มหวานให้อีกฝ่ายที่กำลังก้าวเดินตามเธอมา ตั้งใจว่าจะกลับเลยด้วยเพราะได้ของของตัวเองคืนสมใจแล้ว ไม่มีเหตุผลที่เธอจะต้องอยู่ต่อ สองมือเรียวขยับยกขึ้นไหว้สา พร้อมสองขาที่ย่อลงน้อยๆ ทำให้ชายร่างใหญ่จำต้องประนมมือรับไหว้

“งั้นหนูกลับก่อนนะคะ ขอบคุณมากๆ เลย” พระพายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม เธอหันหลังกลับแล้วก้าวเดินจากไป

นัยน์ตาสีทองอร่ามจ้องมองเจ้าของแผ่นหลังบางที่กำลังจะจากเขาไปอีกครา ไม่รู้ว่าจะได้เจอเธออีกเมื่อไหร่ ไหนจะหัวใจดวงโตใต้แผ่นอกหนาที่เต้นแรงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หากไม่เอื้อนเอ่ยคำใด มิวายพระพายก็ต้องจากไปดั่งสายลมอีกเป็นแน่

“พระพาย!” เสียงทุ้มต่ำเรียกนามเธอ สาวเจ้าจึงรีบหันขวับกลับมามอง

“ขา!!” พระพายหน้าแดงแจ๋ ด้วยตกใจจึงเผลอขานรับไปด้วยคำสนิทสนม 

แต่เมื่อเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลหันมา ชายร่างใหญ่ก็กลับตกอยู่ในภวังค์ เธอจ้องมองตอบเขาอย่างสงสัย ยังคงรอให้เขาเอ่ยถาม

“เพิ่งมาถึงเหนื่อยๆ พักกินน้ำกินท่าให้หายเหนื่อยก่อนไม่ดีกว่าหรือ” 

ภาษาโบร่ำโบราณถูกเอ่ยออกมาจากปากของชายผู้มีอายุอานามกว่าหลายพันปี เจรจาพาทีกับสาวๆ สมัยใหม่ไม่ค่อยจะเป็น จึงใช้คำที่เชยแสนเชย ได้แต่โกรธตัวเองในใจที่ถามอะไรเช่นนั้นออกไป

“เอ่อ...ไม่เหนื่อยเท่าไหร่ค่ะ กลับเลยน่าจะดีกว่า ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ...” พระพายกล่าวลาอีกครั้ง เธออยากรีบกลับไปนั่งทำงานอาจารย์เป็นธรรมมากกว่า 

สุดท้ายแล้วเขาก็จำต้องปล่อยเธอไป และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอกับเธออีก...

“อ้าว! มีอะไรลูก!” 

ตอนนั้นเองที่เสียงสวรรค์ของอาจารย์เป็นธรรมเข้าช่วย ชายชราร่างท้วมในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวกับสลุงเงินใบเก่าที่อุ้มไว้กับอกกลับมาจากวัดพอดิบพอดี ใบหน้ากลมของแกมีรอยยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีเช่นเคย หนวดเคราเส้นยาวถูกตกแต่งเป็นทรงสวย แม้จะมีเส้นที่หงอกขาวแทรกอยู่บ้างก็ตาม

“อาจารย์สวัสดีค่ะ หนูลืมของไว้ วันนี้ก็เลยมาเอา” พระพายก้าวเข้าไปหาอาจารย์เธอ ยกมือไหว้สวัสดีแกและภรรยาที่ยืนอยู่คู่กัน พลางแจ้งให้ทราบถึงเหตุผลที่เธอมาในวันนี้

“อ๋อ แล้วได้รึยังลูก” ชายชราเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง พลางมองผ่านไปยังเจ้าของกายาใหญ่ที่เหมือนจะต้องการความช่วยเหลือ

“ได้แล้วค่ะ กำลังจะกลับพอดี” สาวเจ้าว่า ก่อนจะเตรียมตัวบอกลา

“อยู่แถวนี้เหรอลูก เห็นจักรยานที่จอดข้างหน้านึกว่าใครมา” อาจารย์เป็นธรรมเอ่ยถามพลางส่งสลุงใบโตให้ภรรยาเพื่อนำเข้าไปเก็บด้านใน

“อยู่หอป้าตาค่ะ เป็นหลานป้าตา” พระพายบอกแกไปตามตรง ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอาจารย์จะรู้จักป้าตาหรือเปล่า

“หอป้าตา? อ๋อออ! ตาสวกพี่ติ๊บด้องน่ะเหรอ” อาจารย์เป็นธรรมเอ่ยขึ้นอย่างรู้จักกับพ่อและป้าของเธออยู่มาก เพราะเรียกขานชื่อพวกแกด้วยชื่อที่ตามด้วยคำสร้อย เหมือนกับฉายาที่แบ่งแยกว่าใครคือคนไหนกันแน่ เช่น ตาสวก มาจากคำว่า ‘ตา’ ที่เป็นชื่อของป้าตานั่นเอง ส่วนคำว่า ‘สวก’ นั้นแปลว่าดุ ด้วยเพราะป้าตาเป็นคนดุ จึงได้คำสร้อยนี้มาโดยปริยาย ต่างจากพ่อติ๊บที่สมัยเด็กๆ แกเป็นคนตัวเล็กร่างผอมจึงได้ฉายาว่าด้อง กระทั่งเดี๋ยวนี้ผู้เฒ่าผู้แก่บางคนยังเรียกแกด้วยฉายานี้กันอยู่เลย

“หนูถามพ่อเมื่อวาน พ่อก็บอกว่ารู้จักอาจารย์ด้วยค่ะ” พระพายบอกอย่างดีใจที่อาจารย์เป็นธรรมจำพ่อเธอได้เช่นกัน

“งั้นเดี๋ยวอย่าเพิ่งไปนะ ยายเงินแกทำขนมไว้เยอะเลย แบ่งไปกินปะลูก เอาไปฝากยายตาด้วย” อาจารย์เป็นธรรมจึงรีบรั้งไว้ 

แม้พระพายจะเกรงใจอยู่มาก แต่ถ้าปฏิเสธก็ดูจะเสียน้ำใจอาจารย์เสียเปล่าๆ เธอจึงพยักหน้ารับอย่างเก้อเขิน ก่อนอาจารย์จะบอกให้เธอไปนั่งรออยู่ในสวน

พระพายรับคำแล้วก้าวไปยังสวนหย่อมเล็กๆ ใกล้กับสระบัว ในขณะที่ชายตัวโตเดินตามเธอมา สาวเจ้านั่งรอที่โต๊ะไม้ใต้ต้นกาซะลองต้นใหญ่ มือเรียวกวาดเอาใบเล็กของกาซะลองไปกองรวมกันไว้ยังมุมหนึ่งของโต๊ะ ก่อนจะคิดขึ้นได้ว่าเขาเองตามเธอมาเช่นกัน จึงผายมือให้นั่งด้วยกัน 

ทันใดนั้นเองชายร่างใหญ่ก็พลันก้าวมานั่งลงอยู่ตรงข้ามเธอ แน่นอนว่าทั้งคู่เงียบกริบ พระพายไม่กล้าชวนคุยและเขาเองก็ไม่จะเอื้อนเอ่ยต่อ

“คือว่า...ถาม...อะไรหน่อยได้มั้ยคะ” กระทั่งพระพายถามในสิ่งที่เธอสงสัยมานาน

“ได้สิ” เขาว่าพลางพยักหน้าเป็นคำตอบ

“คือ...ไม่หนาวเหรอคะ...เอ่อ เห็นไม่ค่อยสวมเสื้อ ก็เลย...” 

พระพายเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจมากนัก แต่กลับทำเอาชายผมทองถึงกับเลิกคิ้วหนาขึ้นสูงทีเดียว ด้วยปรกติเขาเองก็หาได้แต่งกายเหมือนมนุษย์ทั่วๆ ไปอยู่แล้ว บ้างนุ่งจีบโจงโรยเชิงยาว บ้างนุ่งผ้าชายเฟือยมีห้อยหน้า เพียงแต่ทุกคราก็หาได้สวมเสื้อเหมือนใครเขาไม่ เฉกเช่นเดียวกันกับรองเท้า เนื่องจากชอบเวลาที่เท้าสัมผัสดินและอากาศมากกว่า

“ไม่เลย” เจ้าของกายาใหญ่ตอบ เขายังคงจ้องมองเธออยู่อย่างนั้น ริมฝีปากเข้มขยับยิ้มอยู่น้อยๆ

พระพายพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ พลางคิดเองเออเองว่าเพราะเขาตัวใหญ่จึงทนหนาวได้มากกว่า ก่อนเธอจะนึกขึ้นได้อีกคราว่าเธอยังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามเขาเลย ชายเบื้องหน้าที่แต่งตัวแปลกๆ สวมเพียงกางเกงสะดอตัวเดียว ผมทอง นัยน์ตาสีทองสว่าง คิดไม่ออกเหมือนกันว่าเขาจะเป็นคนแบบไหน อาจเป็นพวกศิลปินสุดโต่งหรือเปล่า

“แล้ว...ชื่อ...อะไรเหรอคะ” เจ้าของเสียงหวานเอ่ยถามอย่างเก้อเขิน ด้วยเพราะเจอกันตั้งแต่เมื่อวาน แต่เธอเองกลับไม่เคยเอ่ยถามเขาเลยสักนิด

“ข้าชื่อไวษวาหะ” 

ชายร่างใหญ่ตอบ ทำให้พระพายถึงกับทำหน้าฉงน เธอขยับเข้าหาเขาน้อยๆ ราวกับไม่แน่ใจว่าเธอหูฝาดไปหรือเปล่า สีหน้าของเธอทำให้ไวษวาหะหลุดขำออกมาในทันที

“ชื่อแปลกหรือ” เขาเอ่ยถาม

“ไม่ค่ะ! ไม่แปลก!” สองมือเล็กรีบปัดปฏิเสธ อาจเพราะเธอไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนจึงเกิดสงสัยความหมาย

ทันใดนั้นเองอาจารย์เป็นธรรมก็พลันให้แม่บ้านยกขนมใส่ไส้ในจานกระเบื้องออกมาเสิร์ฟเสียก่อน แกแจ้งว่าให้อยู่รออีกครู่หนึ่งเพราะขนมต้มกำลังจะได้ที่ พระพายแม้จะเกรงใจ แต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับและค้อมศีรษะให้ไปเท่านั้น จำต้องนั่งอยู่เงียบๆ กับชายที่เงียบกว่าคนนี้

“ไม่กินเหรอคะ” สาวร่างบางว่าพลางเลื่อนจานกระเบื้องให้กับเขา แต่ชายร่างใหญ่นั้นกลับเลือกที่จะปฏิเสธ

“มันเป็นของเจ้า พระพาย เจ้ากินเถิด” เขายังคงยืนยัน ทว่าพระพายดูทำหน้าผิดหวังอยู่น้อยๆ 

“แต่หากเจ้าต้องการ ข้ากินเป็นเพื่อนเจ้าได้” 

กระทั่งเขาเริ่มใจอ่อนกับเธอ แต่ถึงอย่างนั้นพระพายกลับรู้สึกว่าเธอกำลังฝืนใจเขาอยู่หรือเปล่า ความประหม่าที่ก่อเกิดขึ้นทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจไปหมด มือเรียวจึงกำส้อมเล็กๆ ค่อยๆ จิ้มขนมใส่ไส้สีฟ้าอ่อน สีหน้าดูกล้ำกลืนฝืนทนเหลือคณนา

แต่ครั้นเนื้อนุ่มๆ ของแป้งข้าวเจ้าที่ผสมกับกะทิอย่างลงตัวเข้าปากไปแล้ว กลิ่นหอมของกะทิสดก็ตลบอบอวลอยู่เต็มปาก รสเค็มปะแล่มของเกลือตัดกับไส้มะพร้าวหวานฉ่ำในก้อนแป้งข้าวเหนียวได้อย่างพอดิบพอดี ในครั้งแรกที่กัดไส้นุ่มหนึบ น้ำตาลมะพร้าวที่เคี่ยวผสมกับเนื้อมะพร้าวพลันแตกกระจายชุ่มฉ่ำ 

ใบหน้างามของพระพายถูกเติมเต็มด้วยความสุข ทำให้ไวษวาหะยิ่งละสายตาจากเธอไม่ได้ เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้น มันหวานฉ่ำเสียจนน้ำตาลมะพร้าวยังต้องยอมแพ้ กระทั่งตอนนั้นเองที่ฝ่ามือหนาขยับยื่นเข้าหาใบหน้างามของเธอ ปาดเช็ดคราบขนมที่แต้มเปรอะอยู่กับแก้มขาวนี้ให้ พระพายถึงกับหน้าแดงแจ๋และรีบควานหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมาเช็ดมือให้เขาอย่างลนลาน 

คิ้วหนาถึงกับเลิกขึ้นสูง ด้วยไม่คิดว่าพระพายจะรีบเช็ดเศษขนมออกจากมือเขาให้ ถึงอย่างนั้นมันกลับคุ้มค่าเหลือเกิน เพราะมือเล็กๆ ของพระพายนุ่มเสียยิ่งกว่าปุยดอกฝ้าย

“ขะ...ขอโทษค่ะ!” พระพายถึงกับพูดเสียงหลงในทันที มือไม้เธอปัดไปมาอย่างไม่รู้ว่าจะเก็บไว้ที่ไหน สาวเจ้าเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเพราะไวษวาหะเอาแต่จับจ้องเธอ

บรรยากาศรายรอบกายเงียบลงสนิท จะมีก็แต่เสียงของนกน้อยที่ร้องขับขานสร้างบรรยากาศ และเสียงของแมลงตัวเล็กๆ ที่หลบซ่อนอยู่ท่ามกลางหมู่แมกไม้เท่านั้น กระทั่งสายลมเอื่อยเฉื่อยโชยพัดมาทำลายความเงียบ พร้อมเสียงสอบแสบของใบไม้ที่กำลังเสียดสีกัน ใบเล็กของกาซะลองพลันปลิดปลิวตกลงบนหัวของเธอ มือเล็กๆ จึงปัดมันออกน้อยๆ 

ไวษวาหะรับรู้ได้ในทันทีว่า ใกล้จะถึงเวลาที่ต้องจากกันอีกแล้ว...เมื่ออาจารย์เป็นธรรมก้าวเดินเข้ามาพร้อมกับปิ่นโตเถาใหญ่ที่ใส่ขนมมากมายและห่อนึ่งเอาไว้

“นี่ฝากให้พ่อกับป้าด้วยนะลูก ฝากให้น้องสร้อยด้วย” อาจารย์เป็นธรรมเอ่ย ใบหน้ายิ้มแย้มและแสนใจดีทำให้พระพายต้องรีบไหว้ขอบคุณ

“หูววว...อาจารย์คะ มันไม่เยอะไปเหรอคะ” พระพายรีบท้วง

“ไม่เยอะหรอก ยายเงินแกชอบทำขนม ชอบทำอาหาร ทำทีไม่คิดถึงว่ามีคนกินแค่สองคน แบ่งๆ ไปกินน่ะดีแล้ว” แกว่าพลางหัวเราะร่วน

ร่างบางประนมมือไหว้ขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะขอตัวกลับไปจริงๆ แต่ก็เสียดายขนมที่กินเหลือไว้ในจานกระเบื้องใบนั้น ด้วยก็คงไม่มีใครกินของเหลือจากเธอ มิวายคงต้องเททิ้งไปเปล่าๆ  ทั้งๆ ที่ยายเงินผู้เป็นภรรยาของอาจารย์เป็นธรรมอุตส่าห์ทำมาให้แท้

“ดะ...เดี๋ยวขอกินอีกคำนะคะ” พระพายว่าพลางรีบตักขนมใส่ไส้ในจานกระเบื้องเข้าปาก ก่อนจะเหลืออยู่อีกเพียงหนึ่งชิ้นในจาน เธอตักมันทั้งคำพลันยื่นให้ไวษวาหะได้ลองกินดู

คิ้วหนาเลิกขึ้นสูงอย่างไม่คิดมาก่อนว่าเธอจะยื่นมันให้เขา แม้เจตนาของพระพายจะต้องการให้ไวษวาหะช่วยกินให้หมด โดยให้เขารับส้อมไปจากมือเธอต่อ แต่ชายร่างใหญ่กลับอ้าปากรอ ทำให้พระพายต้องป้อนมันให้เขาแทน รสชาติหวานหอมที่ไม่เคยคุ้นเคยบัดนี้เข้ามาเติมเต็มในโพรงปาก ก่อนพระพายจะรีบขยับส้อมออกโดยเร็ว

แก้มสองข้างของพระพายแดงแจ๋ร้อนฉ่า แทบไม่รู้จะมองหน้าอาจารย์เป็นธรรมอย่างไร แต่เมื่อหันไปมองยังอาจารย์ของเธอ แกก็กลับทำทีหันไปชมนกชมไม้อย่างไม่ต้องการให้สองหนุ่มสาวเก้อเขินกันไปมากกว่านี้

“นะ...หนูไปก่อนนะคะอาจารย์” เธอรีบยกมือขึ้นไหว้ลาทั้งสองคน คว้าเอาปิ่นโตใหญ่ได้ก็พลันวิ่งออกไปจากบ้านอาจารย์เป็นธรรมเร็วจี๋ ขาตั้งรถจักรยานถูกถีบขึ้นอย่างแรง ก่อนพระพายจะรีบปั่นออกไปในทันที

หลังมือหนายกขึ้นป้องริมฝีปาก ปิดรอยยิ้มกว้างของชายร่างใหญ่ แต่แววตาที่แสนพอใจของเขานั้นปิดเท่าไหร่ก็คงไม่มิด อาจารย์เป็นธรรมที่เห็นจึงถึงกับกระแอม เหลือบมองชายผู้เป็นเจ้าของปีกกล้าที่บัดนี้ดูเหมือนกับว่า จะถูกสายลมทำให้อ่อนระทวยเสียแล้ว...

“เด็กๆ นี่สดใสดีจริงๆ นะท่าน” อาจารย์เป็นธรรมเอ่ยขึ้นลอยๆ

“อ่า...” ไวษวาหะทำได้เพียงรับคำ...


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น