3

งานแต่ง

 

คุณหญิงรำพึงได้ฤกษ์แต่งงานมาอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่มีใครคาดคิดว่าวันงานนั้นถัดจากนี้ไปเพียงแค่หนึ่งเดือน ระพีก็เครียดหนักเนื่องจากเรื่องนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่กะทันหันเกินไป ถึงจะเขาไม่ค่อยสนใจคำพูดของชาวบ้าน แต่ก็ไม่อาจละเลยเรื่องที่จะต้องมีคนเอาไปพูดถึงอย่างสาเหตุการแต่งงานแบบสายฟ้าแลบแบบนี้แน่ ดังนั้นเขาจึงเอาเรื่องนี้มาปรึกษามารดาอีกครั้ง แต่ก็ได้คำตอบที่ดูเหมือนจะตายตัวแล้ว

            “ไม่เห็นเป็นอะไรเลยลูก คนที่พูดมันไม่ได้มานอนใต้เตียงเราสักหน่อย”

พูดจบคุณหญิงรำพึงก็หยิบแหวนเพชรที่คิดว่าจะยกให้ลูกสะใภ้ขึ้นมาดู เธอเห็นนพเก้ามาตั้งแต่เล็ก ด้วยความที่อยากได้ลูกสาวแต่ไม่มีโอกาสทำให้เกิดความรักความเอ็นดูบุตรสาวของรุ่นน้องคนสนิทมาตลอด ขนาดคุณหมอสะใภ้คนโต ภรรยาของตรีเทพที่เพียบพร้อมมาทุกอย่างก็ยังไม่ถูกใจเท่ากับนพเก้าเลย

            ข้อนี้ระพีก็ค่อนข้างประหลาดใจ นพเก้าไม่ได้เก่งเลอเลิศอะไร ถึงจะมีฐานะ มีหน้าที่การงานที่ดี แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นเป็นสง่าชนิดที่มารดาของเขาต้องรักต้องหลงขนาดจะเอามาเป็นลูกสะใภ้ให้ได้

            “แล้วคนเขาจะพูดถึงน้องเกดยังไงล่ะครับ รีบแต่งงานขนาดนี้ เวลาคบหาดูใจก็ไม่มีเลย เกิดเขาคิดว่าน้องเกดท้องก่อนแต่งขึ้นมาล่ะครับ” ชายหนุ่มยกเรื่องของอีกฝ่ายมาพูดบ้างหวังจะให้มารดาเข้าใจ

            “ก็ไม่เป็นไรนี่ เราไม่ได้ไปจัดงานแต่งบนหัวของใคร หรือถ้าลูกกังวลมากก็รีบทำให้น้องท้องเร็วๆ ก็ได้นะ คนเขาจะได้ไม่เอาไปลือกันผิดๆ” 

คำตอบของมารดานั้นทำลายล้างทุกทฤษฎีที่เขากำลังจะคิดพูดต่อ เมื่อรู้ว่าหนีไม่พ้นแล้วระพีก็ได้แต่เงียบ ปล่อยให้มารดาจัดการงานแต่งแบบเร่งด่วนนั้นเองตามใจ

            อาทิตย์ต่อมาเขาก็ถูกบังคับให้ไปลองชุดแต่งงานกับนพเก้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้เจอหน้ากันเลย ครั้งล่าสุดก็ตอนที่เขาบังเอิญไปเจอเธอที่ร้านอาหารในโรงแรมของเขา ตอนนั้นเธอก็ยังทำกิจกรรมที่น่าเบื่อโดยการกินอาหารอยู่กับเพื่อนร่วมงานและลูกศิษย์ 

ตอนเขาไปรับเธอที่บ้าน ก็ยังเจอกับหญิงสาวที่มีดวงตาเป็นประกายเวลามองเขาเหมือนทุกครั้ง พอเป็นแบบนี้แล้วระพีก็รู้สึกอึดอัดจึงพูดเรื่องเงินขึ้นมาอีก

            “เกดมีอะไรที่อยากได้ไหม เครื่องเพชร นาฬิกา หรือคอนโด พี่ไม่ลืมเรื่องที่พูดไว้หรอกนะ ถ้าเกดต้องการอะไรก็บอกพี่ได้เลย จะได้เตรียมเอาไว้เนิ่นๆ” วิธีนี้เป็นวิธีที่เขาคิดว่าจะทำให้นพเก้ารู้สึกแย่กับตัวเขาได้มากที่สุดแล้ว เพราะรู้ว่าเธอชอบตนเองถึงได้ตั้งใจพูดเรื่องเงินขึ้นมา บางทีอาจจะทำให้เธอรู้สึกเสียศักดิ์ศรีจนทำใจชอบต่อไม่ลงก็ได้

            “ให้เป็นเงินสะดวกกว่าค่ะ นี่เลขบัญชีของเกด แล้วแต่เลยว่าพี่พีจะให้เกดเท่าไหร่” 

นพเก้าพูดหน้าตาเฉยไม่ได้มีแววโกรธเคืองเลย ส่วนระพีเองได้ยินแบบนั้นแล้วก็ไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรอยู่กันแน่ แม้สายตาของนพเก้าจะยังเหมือนเดิม แต่คำพูดของเธอมันช่างชวนให้สับสนเหลือเกิน เขาให้เลขาฯ ส่งรายการทรัพย์สินไปให้เธอดู แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตอบอะไร ทำเอาเขาไม่กล้าพูดเรื่องสัญญาที่บอกเอาไว้ตอนแรก ตัวเองไม่ได้สนใจเอกสารนั่นหรอก แต่คนเสียผลประโยชน์คือเธอ ในเมื่อไม่รักษาผลประโยชน์ของตนเองก็ปล่อยไปแล้วกัน

            นพเก้าอมยิ้มน้อยๆ หลายวันก่อนพวกสามพีไม่ได้เรื่องก็จริง แต่อย่างน้อยพอกลับไปคุยกับทุกคนแล้วเธอก็ได้ข้อสรุปดีๆ มาหลายอย่าง โดยเฉพาะกับรพัดและกัญญา 

            “พี่รู้ว่าที่บ้านเกดไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทอง แต่ก็ยังสงสัยนิดหน่อยว่าเกดอยากจะเอาเงินไปทำอะไร” ระพีถาม เขาคิดว่าคำถามนี้แม้จะดูละลาบละล้วงเกินไป แต่ก็มีเจตนาดีพอที่ควรจะเอ่ยปากเสียหน่อย

            “หลังจากเราหย่ากันแล้ว เกดอยากได้ไว้ใช้ตอนออกจากบ้านน่ะค่ะ บางทีอาจจะไปเรียนต่อ แต่ถ้าเอ่ยปากเรื่องนี้คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องออกเงินให้ เกดโตแล้วไม่อยากรบกวนพวกท่าน” หญิงสาวตอบด้วยเหตุผลที่ระพีแย้งอะไรไม่ได้เลย ถึงสิ่งที่นพเก้าบอกจะเป็นเรื่องดี แต่มันก็ยังฟังดูน่าเบื่อ หวังว่าหลังจากแยกทางกันแล้วหญิงสาวจะได้พบเจอคนดีๆ

            เมื่อถึงร้านที่จะมาลองชุด นพเก้าก็เป็นฝ่ายเข้าไปเปลี่ยนชุดก่อน ก็ดูเหมือนในละครดีที่ระพีต้องมานั่งบนโซฟาเพื่อรอดูว่าที่เจ้าสาวของเขาสวมชุดแต่งงาน ผู้หญิงทุกคนมีความสวยในตัวเองอยู่แล้ว เวลาสวมชุดแต่งงานก็แค่สวยต่างไปจากเดิมนิดหน่อยเท่านั้นเอง หรือบางทีเจ้าบ่าวที่ทำตาลุกวาวเวลาเห็นว่าที่ภรรยาสวมชุดเจ้าสาวเดินออกมา จะเป็นการอุปาทานไปเองเพราะความรัก คิดได้แบบนั้นระพีก็หัวเราะเบาๆในลำคอ

            ปัญญาอ่อน...

            นพเก้าเดินออกมาด้วยชุดแต่งงานสีขาวที่ดูราบเรียบเหมือนนิสัยของเจ้าของ อาจจะไม่อลังการเหมือนที่เห็นในงานของคนอื่น แต่โดยส่วนตัวแล้วเธอชอบชุดที่ใส่สบายมากกว่า 

อีกอย่างประเด็นหลักของการแต่งงานในครั้งนี้ไม่ใช่ชุดแต่งงาน แต่เป็นการจับเจ้าบ่าวให้อยู่ต่างหาก นี่คือสิ่งที่เธอต้องทุ่มเท

            “เอาชุดนี้แหละค่ะ” นพเก้าบอกกับระพี

            “อื้ม ก็โอเค” ชายหนุ่มตอบรับ ว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวคู่นี้ทำให้พนักงานที่ร้านงงงวยกันไปหมด เพราะปกติแล้วคนที่มาลองชุดจะลองหลายต่อหลายชุดเพื่อให้แน่ใจว่าตนเองดูดีที่สุดในชุดนั้น และไม่ใช่แค่ตัวเจ้าสาวเท่านั้น แม้แต่เจ้าบ่าวซึ่งไปลองชุดของตัวเองก็พอใจในชุดแรกที่สวมใส่ สรุปว่าทั้งสองคนได้ชุดแต่งงานกันในเวลาไม่ถึงชั่วโมง

            ก่อนกลับบ้านระพีพานพเก้าไปกินอาหารกลางวันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ร้านนี้เขาชอบพารุ้งลดามาบ่อยๆ เพราะโดยส่วนตัวคิดว่าอาหารที่นี่ถูกปากจึงไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เพราะความไม่คิดอะไรมากทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองพลาดไปจริงๆ เมื่อเดินเข้ามาเจอกับรุ้งลดาและเพื่อนๆ ของหญิงสาวกำลังรับประทานอาหารกลางวันอยู่เหมือนกัน

            “อ้าวพี บังเอิญจังเลย” รุ้งลดาว่าพลันเห็นเขาเดินมากับหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง ที่แต่งตัวเรียบร้อยมิดชิดราวกับกลัวแสงแดด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พอจะเดาได้ว่า อีกฝ่ายคงจะเป็นคนที่มารดาของเขาต้องการให้เขาแต่งงานด้วย

            “รุ้ง นี่ลูกเกด ว่าที่เจ้าสาวของพี” ระพีแนะนำไปตรงๆ แบบนั้นเพราะรู้ว่ารุ้งลดาเป็นคนอย่างไร เธอเข้มแข็งและยอมรับเรื่องต่างๆ ได้เร็ว ไม่มีความหึงหวง ตั้งคำถามหรือแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาชอบในตัวของอีกฝ่าย

            “สวัสดีค่ะน้องลูกเกด” ดีไซเนอร์สาวมองปราดเดียวก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงจะอายุน้อยกว่าแน่ 

            “สวัสดีค่ะ” นพเก้ายกมือไหว้ เธอเองก็รู้เหมือนกันว่านี่คงจะเป็นคนรักของระพี สายตาเป็นประกายระยิบระยับแบบนั้นก็ดูไม่ได้ต่างจากเธอตรงไหน ถึงจะถูกฉาบไว้ด้วยท่าทางเป็นผู้ใหญ่ก็ตาม

            “เดี๋ยวรุ้งก็จะกลับแล้วละค่ะ พีไปทานข้าวเถอะ” รุ้งลดาว่า

            “อาหารมาแล้ว กินกันเถอะครับ” ระพีว่าก่อนจะลงมือทานอาหารที่เพิ่งวางลงบนโต๊ะ

            นพเก้าไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอยังรักษามารยาทและท่าทางในแบบที่ทำมาตลอด แม้ว่าจะนึกถึงคำพูดของรพัดที่แนะนำมา แต่ก็ไม่ได้คิดว่าการทำแบบนั้นจะได้ผล ดังนั้นเธอจึงคิดว่าค่อยทำตามที่อีกฝ่ายบอกตอนหลังแต่งงานไปแล้วจะดีกว่า เกิดระพีเห็นว่าเธอเป็นอย่างไรแล้วไม่ยอมแต่งงานด้วยขึ้นมาจะทำอย่างไร

            สาธุ...ถ้าจับเขาได้เธอจะยอมซื้อมอนิเตอร์ใหม่ให้รพัดกับกัญญาเลย

 

            การเตรียมงานแต่งเป็นไปอย่างฉุกละหุกก็จริง แต่คงต้องขอยกความดีให้กับบริษัทที่รับจัดงานให้ หรือไม่ก็เม็ดเงินที่คุณหญิงรำพึงทุ่มไป ขนาดฝั่งเจ้าสาวจะช่วยออกยังไม่ยอม เพียงไม่ถึงเดือนก็เนรมิตงานแต่งงานในโรงแรมแบบที่เชิญเฉพาะญาติสนิทมาได้หนึ่งงาน 

            เพื่อนของระพีมีไม่กี่คน แต่เพื่อนของนพเก้ากลับน้อยกว่ามากนัก นับไปนับมาก็มีเพียงแค่สองคนเท่านั้น ท่าทางก็ดูคล้ายกับเจ้าสาวจนมองเผินเหมือนแฝดสาม

            “นี่ฉัตรกับนุชค่ะ” นพเก้าแนะนำเพื่อนของเธอให้ระพีรู้จัก หญิงสาวสองคนยกมือไหว้เจ้าบ่าวผู้หล่อเหลาที่ดูดีทุกกระเบียดนิ้วตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า 

            “สวัสดีครับ ต้องขอโทษด้วยที่พอดีเราคุยกันว่าคงไม่ต้องมีเพื่อนเจ้าสาว ก็เลยเชิญมาเป็นแขก ยังไงก็ตามสบายนะครับ” คำพูดกับรอยยิ้มที่แสนสุภาพของระพีนั้นทำให้ฉัตรกับนุชรู้สึกเคลิ้ม พวกเธอเป็นเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยมากับนพเก้า ทั้งสามคนมีนิสัยคล้ายกันคือเรียบร้อย รักเรียน และชอบความสงบในห้องสมุด แม้แต่สไตล์การแต่งตัวก็ยังคล้ายคลึงกันมาก กระโปรงยาวกรอมเท้า เสื้อสีสุภาพ ถ้าไม่ร้อนมากก็จะสวมเสื้อแขนยาวหน่อยเพื่อความเรียบร้อย

            หลังจากเดินออกไปแล้วระพีก็เจอเข้ากับตรีเทพพี่ชายของตัวเอง ร่างสูงมองมาทางเขาด้วยความแปลกใจ เห็นหน้าของระพีดูเหมือนกำลังขบขันกับอะไรสักอย่าง

            “ดีใจขนาดนั้นเลยเหรอ ได้แต่งงานเนี่ย” ตรีเทพขมวดคิ้วเข้าหากัน ไม่ใช่ระพีหรอกเหรอที่โวยวายทะเลาะกับมารดาอยู่หลายครั้งเรื่องแต่งงานกับนพเก้า อันที่จริงเรื่องคลุมถุงชนอะไรนี่เขาก็ไม่ได้เห็นด้วยสักนิด แล้วก็ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมมารดาถึงยึดติดกับการเกี่ยวดองกับบ้านของชิดชนกขนาดนี้ แต่ในเมื่อเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้แล้วเขาก็ไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไร

            “พี่ตรีดูสองคนนั้นแล้วรู้ไหมว่าเป็นญาติฝ่ายไหน” ระพีบุ้ยหน้าไปทางสองเพื่อนสาวของนพเก้า

            “เพื่อนลูกเกดมั้ง”

            “นั่นไง เห็นทีเดียวก็รู้เลย ทุกอย่างรอบตัวของน้องเกดเป็นสไตล์นี้หมด ผมไม่รู้ว่าจะมองไปทางไหนดี ดูเหมือนๆ กันหมดเลย” ฟังเจ้าบ่าวบ่นแล้วตรีเทพก็ทำหน้าครุ่นคิด

            “แกพูดอะไรของแก พี่ไม่เข้าใจว่ะ”

            “ช่างเหอะ เอาเป็นว่าน่าเบื่อแล้วกัน” การนินทาผู้หญิงไม่ใช่เรื่องดี แต่ที่เขาทำอยู่นั้นไม่เชิงเป็นการนินทา แค่ยกตัวอย่างให้ตรีเทพได้เห็นความน่าเบื่อที่เขาจะต้องเผชิญหลังจากนี้ต่างหาก

            “แล้วนี่พี่ลินไปไหนล่ะครับ” ระพีถามหา ‘นลิน’ ภรรยาของพี่ชายที่ปกติจะเห็นตัวติดกันตลอด 

            “พาซันนี่ไปเข้าห้องน้ำ” ตรีเทพหมายถึงลูกสาววัยสามขวบของพวกเขา

            “อ่อ ผมนึกว่าพี่โดนทิ้งแล้ว” เจ้าของงานพูดยิ้มๆ ก่อนที่จะเอามือวางบนบ่าของพี่ชาย ทั้งที่ต้องเป็นเขาด้วยซ้ำที่ถูกปลอบใจ ระพีทำได้เพียงให้กำลังใจตัวเองอยู่เงียบๆ อย่างไรเขาก็รับปากมารดาไปแล้ว ในสังคมแบบนี้ สำหรับผู้ชายการแต่งงานไม่ว่าจะกี่ครั้งมันก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับผู้หญิง เขาควรเห็นใจนพเก้ามากกว่า

            “พูดอย่างนี้ในอนาคตระวังโดนเมียแกทิ้งนะ” คำพูดหยอกล้อของพี่ชายทำให้เขารู้สึกขำในใจ เขากับนพเก้าไม่ได้คบหาและแต่งงานกันตามธรรมชาติเหมือนหนุ่มสาวสมัยใหม่ หรือต่อให้จะเกิดการทิ้งกันจริงๆ คนที่ถูกทิ้งย่อมไม่ใช่เขาแน่ สายตาของหญิงสาวที่ใช้มองเขาอย่างเอียงอายทุกครั้งที่สบตานั่นทำให้เขามั่นใจได้ว่าเธอคงหวังเล็กๆ ว่าการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้ตัวเองเปลี่ยนอะไรได้

            ต้องขอโทษจริงๆ ที่คงจะไม่มีวันนั้น...

 

            ในขณะนั้นเจ้าสาวซึ่งกำลังมองกระจกอยู่ในห้องแต่งตัวนั้นใจเต้นระรัวไม่หยุด ต่อให้เป็นคนหยาบกระด้างแค่ไหน แต่เธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีมุมละเอียดอ่อน งานแต่งงานของตัวเองทั้งทีจะไม่ให้ตื่นเต้นเลยได้อย่างไร

            “ลูกเกด มีเพื่อนมาหาแน่ะ แต่พี่ให้รอข้างนอกไม่รู้ว่าใช่เพื่อนเราหรือเปล่า” ‘จริญญา’ ภรรยาของนพคุณโผล่หน้าออกมาจากประตู 

            “ชื่อแพทหรือเปล่าคะ” นพเก้าถามกลับ

            “ตายแล้วพี่ก็ลืมถาม”

            “ไม่เป็นไรค่ะ เขาอยู่ไหนคะเดี๋ยวเกดจะออกไปดูเอง” เมื่อได้รับคำตอบจากพี่สะใภ้แล้วนพเก้าก็รีบเดินออกไปด้านนอกทันที 

พศธนที่นั่งรออยู่กับกัญญาระบายยิ้มออกมาเมื่อเห็นนพเก้าในชุดแต่งงาน สำหรับพวกเขาแล้วภาพนี้เป็นสิ่งที่ประหลาดมาก

            “เอาของขวัญมาให้ ส่วนพวกที่เหลือน่ะห้ามไม่ให้มา เดี๋ยวงานแตก” กัญญาเอ่ยขึ้นก่อน หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตกับสูทสีดำ ดูเผินๆ แล้วเธอเหมือนเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งที่มีรูปร่างเล็ก ส่วนพศธนวันนี้แต่งตัวเรียบร้อยกว่าทุกวัน เขายื่นกล่องของขวัญให้หญิงสาวก่อนจะเอ่ยว่า

            “ของที่แกอยากได้ ไม่ต้องจ่ายเงิน ให้เป็นของขวัญแต่งงาน” พศธนว่า

            “เออ ขอบใจมาก” เพราะแถวนี้ไม่มีคนอื่นอยู่นพเก้าถึงพูดแบบนี้ออกมาได้ เธอสวมกอดเพื่อนหญิงชายทั้งสองคนหลวมๆ ไม่กล้ากอดแน่นกว่านั้นเพราะกลัวเครื่องสำอางหนาๆ ที่หน้าจะไปเลอะชุดของเพื่อน เธอถูกจับแต่งหน้าเสียตึงจนแทบขยับไม่ได้ “เดี๋ยวพวกแกไปนั่งที่โต๊ะที่เขียนว่าเพื่อนเจ้าสาวนะ ตรงนั้นมีที่เหลืออยู่”

            พศธนกับกัญญาพยักหน้า ถึงตอนนี้พวกเขาคงต้องเล่นละครหน่อย จากคนธรรมดาเป็นเพื่อนที่อยู่ในวงโคจรของนพเก้า พศธนคิดมาจากบ้านแล้วว่าเขาจะทำงานเป็นบรรณารักษ์ในห้องสมุด ส่วนกัญญาก็คิดว่าเธอคงจะเป็นเพื่อนที่เจอกันในโรงเรียนสอนพิเศษสมัยเตรียมสอบจะดีกว่า อีกอย่างตอนนี้เธอก็สอนพิเศษอยู่จริงๆ ถึงจะเป็นงานอบรมระดับความปลอดภัยในสถานประกอบการก็เถอะ

            สองหนุ่มสาวนั่งหนาวเหน็บกันอยู่ในห้องจัดงานที่ตกแต่งเหมือนสวนหลังบ้านสไตล์อังกฤษปนไทย พวกเขาอธิบายไม่ถูกว่าเป็นอย่างไร แต่ดูดีจนไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้าสาวคือนพเก้า ผู้ที่มีคะแนนเป็นอันดับหนึ่งทุกครั้งที่ลงแข่งจัดอันดับ เห็นเจ้ายักษ์อัปลักษณ์ถือปืนกำลังจะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาแล้วก็รู้สึก...

            “แปลกๆ ว่ะ ทนดูไม่ได้แน่ๆ” พศธนพูดขึ้นมาเบาๆ เขาเหลือบตาไปมองหญิงสาวท่าทางคงแก่เรียนสองคนที่มองเขากับกัญญาตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าด้วยสายตาดูแคลน

            “เออน่าทนหน่อย วันนี้เพื่อนแต่งงาน ถ่ายรูปไว้เยอะๆ เอาไว้แบล็กเมล์มัน” กัญญาพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ เดาว่าสองสาวที่นั่งร่วมโต๊ะก็คงจะรับไม่ได้ที่มีคนมาพูดจาไม่เพราะอยู่ร่วมโต๊ะ ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรต่อ รอจนเห็นนพเก้ากับเจ้าบ่าวเข้าพิธีกันแล้วก็จะปลีกตัวกลับไป

            ระพีเห็นเจ้าสาวแล้วก็ไม่ได้ตื่นตะลึงเหมือนในละคร เขารู้อยู่แล้วว่านพเก้าเป็นคนสวย ถึงวันนี้จะดูสวยกว่าปกติ แต่ก็ไม่ได้ต่างจากเดิมจนต้องอ้าปากค้าง หญิงสาวเดินตรงมายังเวทีก่อนจะหยุดข้างกายของเขา โชคดีที่ช่วงเช้าผ่านพิธีแบบไทยไปที่บ้านของหญิงสาวแล้ว พอเจอกันรอบที่สองของวันหญิงสาวก็เลยไม่เก้อเขินมาก

            “เหนื่อยไหมลูกเกด” ระพีรู้สึกว่าต้องถามบ้างตามมารยาท

            “นิดหน่อยค่ะ พี่พีล่ะคะ”

            “เหนื่อยมากเลยครับ พี่ไม่คิดว่าคุณแม่จะจัดตารางแน่นแบบนี้ ทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็ได้พักผ่อนกันแล้ว” เขากระซิบที่ข้างหูของหญิงสาวเพราะเสียงเพลงในงานค่อนข้างดัง ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อเหมือนกับกำลังเขินว่าที่สามีของตัวเอง ไม่ว่าใครที่ได้เห็นภาพนี้ก็ต้องคิดว่าทั้งสองคนกำลังอยู่ในห้วงรักที่หวานชื่นไม่มีการคลุมถุงชนแต่อย่างใด

            กว่าจะถึงขั้นตอนส่งตัวเข้าหอ นพเก้าก็ยืนเมื่อยจนแทบไม่อยากพูดกับใคร พวกเขาต้องนอนที่โรงแรมนี้หนึ่งคืนเพราะคุณหญิงรำพึงมารดาของระพีกลัวว่าคู่บ่าวสาวจะเหนื่อย

            ซึ่งก็เหนื่อยจริงๆ...

            บิดามารดาของนพเก้าให้ศีลให้พรกันสั้นๆ ก่อนจะถึงตาคุณหญิงรำพึงที่ร้องห่มร้องไห้พูดย้อนไปตั้งแต่ทั้งสองคนยังเป็นเด็ก ในตอนที่ใกล้จะจบ ระพีแอบเห็นนพเก้าเอามือปิดปากไม่ให้ใครเห็นว่าตัวเองหาว แต่เขาที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับสัมผัสได้ว่าเธอคงอยากจะนอนเต็มทีแล้ว

            “แม่ขอให้ทั้งคู่ครองรักกันนานๆ มีปัญหาอะไรก็ต้องคุยกันนะ ถ้าคุยไม่รู้เรื่องก็กลับบ้านมาให้แม่ช่วยคุยก็ได้” คุณหญิงรำพึงยิ้มแก้มปริในขณะที่ระพีเมื่อยเต็มทน เขาต้องทำอะไรสักอย่างให้มารดาหยุดพูดแล้วกลับบ้าน

            “คุณแม่ครับ คืนเข้าหอนะครับ” ชายหนุ่มกระซิบกับมารดา

            “อ๋อๆ โอเค” จากนั้นคุณหญิงรำพึงก็รีบชวนบิดามารดาของนพเก้ากลับด้วยรอยยิ้มสบายใจ ดูไม่เหมือนคนที่ป่วยร่อแร่เมื่อเดือนสองเดือนก่อนเลยสักนิด

            เมื่ออยู่กันตามลำพังแล้วนพเก้าก็ลุกขึ้นช้าๆ แล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงด้วยกิริยาที่ซ่อนความเหน็ดเหนื่อยไม่มิด ชุดที่เธอใส่อยู่ตอนนี้อึดอัดมาก แต่เหนือสิ่งอื่นใดเธอหิวจนคิดว่าสามารถกินวัวได้ทั้งตัว

            “เดี๋ยวเกดอาบน้ำก่อนก็แล้วกันนะ พี่จะออกไปทำงานข้างนอกหน่อย” ระพีว่าก่อนจะหยิบคอมพิวเตอร์ของตนเองเดินออกไปที่ระเบียง วันนี้คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกห้องกันนอน แต่ในเมื่อตกลงกันแล้วว่าจะแต่งงานกันแต่ในนาม เขาก็ควรเคารพพื้นที่ส่วนตัวของอีกฝ่าย 

            นพเก้าเลิกคิ้วขึ้นทั้งสองข้างก่อนจะมองกล่องของขวัญของกัญญาแล้วเปิดออก ก็พบว่าเป็นชุดนอนตัวบางจิ๋ว หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก ก่อนตัดสินใจปิดกล่องแล้วถือเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ โชคดีที่ชุดแต่งงานของเธอเรียบง่ายเกินกว่าที่จะทำให้ผู้หญิงคนเดียวถอดเองไม่ได้เหมือนชุดอื่น เธอปลดชุดออกก่อนจะมองตัวเองในกระจกบานใหญ่ ถึงตอนนี้เธอไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะทำให้ระพีมารักชอบตัวเองได้อย่างไร ยิ่งมองกล่องของขวัญตรงหน้าแล้วก็นึกถึงของขวัญที่กัญญาบอกว่าจะนำมามอบให้ในวันนี้

            มือบางค่อยๆ แกะกล่องของขวัญนั้นออกมา แล้วหยิบของในนั้นยกขึ้นมองด้วยความลังเลใจ ถึงเธอจะไม่ได้เรียบร้อยเหมือนที่แสร้งทำอยู่ทุกวัน แต่ก็ไม่ใช่ผู้หญิงก๋ากั่นที่จะใส่ชุดนอนซึ่งดูเหมือนไม่ได้ปกปิดอะไรเลยแบบนี้ต่อหน้าสามีหมาดๆ ได้

            “เอาวะ ด้านได้อายอด” นพเก้าเม้มปาก

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น