1

บทที่ 1


บทที่ 1

สองอาทิตย์หลังจากนั้น วริสาจ้องเอกสารในแฟ้มเสนอเซ็นต์วางอยู่บนโต๊ะทำงานของผู้บังคับบัญชา ด้วยประกายตามุ่งมั่น จนคนที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะคลายมือประสานอยู่ระหว่างอกแล้วขยับยืดตัวขึ้น

“หมอแน่ใจหรือว่าต้องการไปจริงๆ” คำถามนั้นบ่งบอกชัดเจนว่าคนพูดต้องการให้หญิงสาวตัดสินใจใหม่

“ดิฉันแน่ใจค่ะท่าน” เธอตอบอย่างหนักแน่น

“ความเป็นอยู่ที่โน่นมันลำบากนะหมอ บอกตรงๆ ว่าผมไม่อยากให้คุณไปเลย” น้ำเสียงของคนพูดเต็มไปด้วยความห่วงใย

“เวลานี้ที่นั่นมีคนมากมายต้องเผชิญกับความเจ็บไข้ และพวกเขากำลังต้องการหมอนะคะ”

“แต่คนทางนี้ก็ต้องการหมอเหมือนกัน หมอลีบอกตรงๆ นะว่าผมรู้สึกภาคภูมิใจกับความเสียสละของคุณที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ แม้ผมจะสนับสนุนอุดมการณ์ของคุณมากแค่ไหน แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยหากคุณจะเดินทางไปทำหน้าที่แพทย์อาสาไกลถึงแอฟริกา แล้วรู้ไหมว่าไปที่นั่นคุณจะต้องทำงานอย่างหนักจนไม่มีแม้กระทั่งเวลาพักผ่อน ถึงมันจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก็ตามที”

“ดิฉันกราบขอพระคุณท่านผู้อำนวยการที่ให้ความเมตตาและห่วงใย เท่าที่ฟังจากคำบอกเล่าของเพื่อนๆ เขาบอกว่าที่นั่นมีผู้คนมากมายรอคอยโอกาสที่ยากเข้าถึง แค่ยาถุงเล็กๆ เพียงถุงเดียวก็ทำให้พวกเขาดีใจมากมาย ดิฉันจึงหวังค่ะว่าความรู้ความสามารถที่มีจะสามารถช่วยสร้างความสุขและความหวังให้กับผู้คนเหล่านั้น”

วริสาเล่าไปตามสิ่งที่เพื่อนร่วมอาชีพถ่ายทอดมา และมันกำลังทำให้สีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย พอได้ยินกระแสเสียงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น จึงทำให้คนที่ให้ความเอ็นดูต่อผู้ใต้บังคับบัญเหมือนลูกพยักหน้าน้อยๆ อย่างเข้าใจ ดวงตาของผู้สูงวัยกว่ามองดวงหน้าผุดผาดหากไม่มีชีวิตชีวาอย่างเห็นใจ แล้วเอ่ยออกมา

“ผมขอชื่นชมหมอที่มีจิตใจเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ แต่ผมก็ไม่สบายใจอยู่ดีถ้าหมอจะต้องไปทำงานในพื้นที่ห่างไกลแบบนั้น”

“ตามข้อมูลที่ได้รับจากการเข้าอบรมเมื่อสองวันก่อน แม้ความเป็นอยู่ที่โน่นจะมีข้อจำกัดแต่ก็ปลอดภัยดีค่ะ และที่สำคัญลีไปแค่อาทิตย์เดียวเองนะคะ”

“แล้วหมอนภัสว่าอย่างไรบ้าง” คำถามนั้นดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะประตู ทั้งสองยุติบทสนทนาชั่วขณะจวบจนคนอยู่อีกฟากของประตูก้าวเข้ามา “อ้าว...หมอผมกำลังพูดถึงคุณพอดีเลย” ผู้อำนวยการเอ่ยทักผู้มาใหม่ทันที

“สวัสดีค่ะท่านผู้อำนวยการ...ลีอยู่นี่หรอกหรือ” หญิงสาวไหว้ทักทายผู้สูงวัยกว่าแล้วเลยไปทางเพื่อนสนิท

“หมอมาก็ดีแล้ว ผมกำลังต้องการกองหนุนอยู่พอดี”

คำพูดเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นนั้นทำให้ หญิงสาวที่นั่งอยู่ก่อนหันไปมองเอกสารตรงหน้าด้วยประกายตาเศร้าสร้อย ส่วนหญิงสาวอีกคนเลิกคิ้วแล้วเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ตัวที่ว่าง

“ท่านผู้อำนวยการมีอะไรกับดิฉันหรือคะ”

“ผมอยากให้คุณอ่านข้อความในเอกสารนั่น แล้วช่วยผมคิดหน่อยว่าเราควรทำอย่างไรกันดี” ประสานมือกับอกขณะพยักพเยิดไปที่แฟ้มตรงหน้า นภัสชลเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มบนโต๊ะขึ้นอ่านอย่างว่าง่าย

“อ้อ...ดิฉันทราบเรื่องนี้แล้วค่ะท่าน” เอ่ยหลังจากอ่านข้อความในเอกสารจบ

“อ้าว...หมอรู้มาก่อนแล้วงั้นหรือ”

“ใช่ค่ะท่าน”

“แล้วหมอไม่คิดห้ามเพื่อนเหรอ” ถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“หากถามในฐานะหมอดิฉันยินดีและสนับสนุนกับความตั้งใจนั้นอย่างเต็มที่ เพราะสิ่งที่ลีตั้งใจไม่ใช่แค่การรักษาคน แต่เป็นการอุทิศตน อุทิศความรู้ความสามารถเพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริง และถ้าถามในฐานะเพื่อนนั่นก็ยิ่งทำให้ดิฉันเห็นด้วยค่ะท่าน”

“ผมไม่เข้าใจ...คุณไม่รู้สึกเป็นห่วงหมอลีเลยหรือ”

เพราะหญิงสาวทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกัน จึงทำให้คนมองความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นมาอย่างยาวนานนั้น จ้องหน้าคนทั้งสองอย่างไม่เข้าใจ

“เป็นห่วงสิคะ แต่นภัสก็ไม่คิดใช้ความห่วงใยเป็นอุปสรรค จนไปขัดขวางความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้านั้น” พูดพร้อมกับหันไปมองหน้าเพื่อนรักแล้วยิ้มอย่างภาคภูมิใจในสิ่งที่วริสาได้ตัดสินใจไปแล้ว

“ขอบใจมากนะภัส...ขอบใจที่เข้าใจเรา” วริสาดึงมือของเพื่อนมากุมแล้วบีบกระชับ

“ถ้าเราตัวคนเดียวรับรองเลยว่าจะไม่มีวันปล่อยลีไปคนเดียวเด็ดขาด” คำพูดพร้อมกับรอยยิ้มทำให้ดวงตาของคนฟังเบิกกว้างแทบจะทันที

“อะไรนะภัส...พูดใหม่ซิ” ถามขณะจ้องหน้าคนตอบอย่างตื่นเต้น

“ก็...”

รอยยิ้มของนภัสชลขยายกว้างขึ้นอีกเท่าตัวเมื่อเธอเห็นดวงตาของคนรอฟังเบิกกว้างจนน่าขบขัน

“อย่าบอกนะว่าเธอกำลังมี....”

วริสาหรี่ตาแล้วเดาขณะใช้มือประคองดวงหน้าหวานละมุนอย่างระงับความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ พออีกฝ่ายพยักหน้าความตื่นเต้นนั้นก็ระเบิดเป็นเสียงกรีดร้องอย่างยินดี

“โอย...ฉันดีใจจังเลยภัส แล้วนี่เจ้าของผลงานรู้หรือยัง”

“ฉันเพิ่งรู้เมื่อเช้าเลยยังไม่ได้บอก”

“หมายความว่าฉันรู้ก่อนใช่ไหม” พอนภัสชลพยักหน้าเสียงหวีดร้องของวริสาก็ดังขึ้นอีกเท่าตัว

“ดีใจโอเวอร์ไปหรือเปล่าคุณหมอลี” มองท่าทางดีใจอกดีใจจนเกินความพอดีของเพื่อนอย่างขบขัน

“ไม่ให้ดีใจได้ยังไง ข่าวใหญ่ขนาดนี้ ที่สำคัญรู้ก่อนผู้พันขี้เก๊กด้วย” วริสาเอ่ยอย่างภูมิอกภูมิใจ

“แล้วอย่าไปเกทับกันล่ะ”

“ห้ามได้เหรอ...”

หญิงสาวเลิกคิ้วอย่าเป็นต่อ แล้วหันไปยิ้มแหยๆ ให้กับผู้บังคับบัญชาที่กำลังนั่งอ้าปากค้างเพราะตกใจเสียงกับกรีดร้องของเธอ

“ขอโทษค่ะผู้อำนวยการคือดิฉันดีใจมากไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรผมไม่ถือ ว่าแต่ข่าวดีนั่นเป็นเรื่องจริงใช่ไหมหมอ” พยักหน้าแล้วหันไปขอคำยืนยันจากนภัสชล

“ค่ะท่าน...”

“ขอแสดงความยินดีด้วยนะหมอ” น้ำเสียงของคนพูดเต็มไปด้วยความยินดี

“ขอบคุณค่ะท่าน”

“ในเมื่อผู้อำนวยการยินดีกับนภัสแล้ว ก็อย่าลืมเซ็นอนุมัติและยินดีกับโอกาสของลีด้วยนะคะ” วริสาอาศัยจังหวะทันที

“เฮ้อ! สรุปอย่างไรก็จะไปให้ได้ใช่ไหม”

“ดิฉันตั้งใจแล้วค่ะ”

“เอาเถอะแม้ผมจะเป็นห่วงและไม่เห็นด้วย แต่ในเมื่อมันเป็นความตั้งใจของหมอ ผมก็จะเซ็นอนุมัติให้ตามประสงค์” พยักหน้าอย่างจำยอมเพราะเห็นความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของหญิงสาว ในขณะผู้อำนวยการขยับปากกาลงลายมือในเอกสารอย่างไม่เต็มใจ เสียงใสๆ ขอแพทย์หญิงนภัสชลก็ดังขึ้น

“เดี๋ยวค่ะ...”

“มีอะไรหรือหมอ”

คนที่กำลังลงลายมือในเอกสารหยุดชะงักขณะมองรอยยิ้มแปลกๆ ของอีกฝ่ายอย่างฉงน

“เมื่อสักครู่คุณแม่โทร.มาค่ะ ท่านเล่าว่าขณะนี้ที่ฝรั่งเศสกำลังขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ จำนวนแพทย์และพยาบาลก็มีไม่เพียงพอกับการให้บริการ แพทย์ตามโรงพยาบาลต้องทำงานหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทย์ฉุกเฉิน นอกจากนั้นที่ค่ายผู้ลี้ภัยก็กำลังต้องการหมอ คุณแม่กับเพื่อนๆ ในสถานกงสุลจึงจัดทำโครงการหน่วยแพทย์อาสาขึ้น เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และวัฒนธรรม และโครงการนั้นก็ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลทั้งสองประเทศเป็นอย่างดี ท่านก็เลยโทร.มาชวนภัสกับหมอลีค่ะ”

“ที่ฝรั่งเศสมีปัญหาขาดแคลนแพทย์ด้วยหรือ” ถามสีหน้าประหลาดใจ

“เวลานี้ปัญหาผู้ลี้ภัยกำลังไหลทะลักเข้าไปในยุโรปปัญหานี้ก็น่าจะคล้ายของเรา เพราะหมอที่มีอยู่ต่างก็มีงานจนล้นมือ จึงทำให้มีความเป็นไปได้ว่าจำนวนบุคลากรทางการแพทย์อาจไม่เพียงพอ นอกจากนั้นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเข้ารับบริการด้านการแพทย์ของที่นั่นก็สูงมาก หลังจากคุยกับคุณแม่ภัสก็เลยคิดว่าลีน่าจะเปลี่ยนจากไปแอฟริกาเป็นฝรั่งเศสผู้อำนวยการคิดว่าอย่างไรคะ”

“ถ้าเป็นฝรั่งเศสผมคงหมดห่วง เพราะคุณพ่อของหมอลีก็อยู่ที่โน่นไม่ใช่หรือ แล้วไหนจะท่านทูตกับคุณหญิงก็อยู่ที่นั่น ไปทำงานกับคนใกล้ชิดมันย่อมดีกว่าไปอยู่ในที่ที่เราไม่คุ้นเคยกับใครเลย”

“ถ้าผู้อำนวยการไม่ขัดข้องคุณแม่บอกว่าจะรีบส่งเอกสารมา ส่วนรายละเอียดและการดำเนินการด้านเอกสาร ท่านแจ้งว่าถ้าทางโรงพยาบาลไม่ขัดข้องจะมีเจ้าหน้าที่ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งอาทิตย์”

ด้วยฐานอำนาจของบิดารวมถึงโครงการดังกล่าวเกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ จึงทำให้การดำเนินการด้านเอกสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว

“หมอจะไปนานแค่ไหน”

“ประมาณสามเดือนค่ะ”

“สามเดือนเลยเหรอ...ถ้านานขนาดนั้นผมเกรงว่าทางโรงพยาบาลอาจจะได้รับผลกระทบเพราะขาดหมอถึงสองคน”

“ภัสแจ้งคุณแม่ไปแล้วค่ะว่าจะมีแค่หมอลี” คำตอบนั้นทำให้วริสาหันไปจ้องหน้าเพื่อนในทันที

“อ้าว! นภัสไม่ได้ไปด้วยกันหรือ”

“ช่วงนี้เรารู้สึกเหนื่อยๆ คงเป็นผลข้างเคียงจากร่างกายปรับฮอร์โมน เอาไว้สุขภาพเต็มร้อยค่อยว่ากันใหม่ แล้วลีสนใจอยากไปไหม”

“ก็น่าสนใจนะ...แต่อย่างไรก็คงต้องกลับจากแอฟริกาก่อน เพราะถ้าแจ้งยกเลิกกลางครันแบบนี้อาจจะทำให้เกิดปัญหาได้ อย่างไรภัสช่วยเรียนคุณป้าให้ด้วยนะว่าเราอยากไป”

คำตอบนั้นทำให้ผู้อำนวยการสูงวัยส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะจดปลายปากกาลงบนเอกสารอย่างเสียไม่ได้

“ขอบพระคุณค่ะท่าน” เมื่ออีกฝ่ายเซ็นต์เอกสารเสร็จจึงปิดแฟ้ม วริสาไหว้พร้อมกับยื่นมือออกไปรับ

“แล้วจะเดินทางวันไหน”

“อีกสามวันค่ะท่าน”

“ขอให้เดินทางปลอดภัย และขอให้ความดีและความเสียสละส่งผลให้หมอประสบความสำเร็จ”

คำอวยพรอย่างจริงใจนั้นทำให้วริสายิ้มหวานขณะพนมมือไหว้ขอบคุณ

“ขอบคุณค่ะท่าน...ดิฉันขอให้คำมั่นว่าเมื่ออยู่ในหน้าที่ดิฉันจะใช้ความรู้ความสามารถทำงานอย่างเต็มที่ค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” หญิงสาวเอ่ยขอตัวแล้วพยักหน้าชวนเพื่อนสนิท พออีกฝ่ายลุกขึ้นนภัสชลจึงเอ่ยขอตัวบ้าง

ผู้อำนวยการวัยกลางคนมองตามหลังแพทย์หญิงทั้งสอง แล้วถอนใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะยิ้มให้กับอุดมการณ์อันน่านับถือของพวกเธอ

“เฮ้อ! อย่างน้อยก็ยังโชคดีที่หมอนภัสชลกำลังมีทายาทไม่อย่างนั้นคงได้ปวดหัวกว่านี้แน่” เอ่ยกับตัวเองแล้วเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้

 

**********

แม้บอกตัวเองว่าพร้อมเดินทางไกล แต่เมื่อใกล้ถึงวันเดินทางเข้าจริงๆ เธอก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้ ขณะนั่งมองข้าวของที่เตรียมไว้ ดวงตาหวานปนเศร้าเบนออกไปยังนอกหน้าต่างแล้วถอนใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่ออยู่ๆ เธอก็นึกถึงใครคนหนึ่ง...คนที่ไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำ...แม้ว่าหลังจากถูกส่งตัวกลับทุกเรื่องราวของชยิน...และเหตุการณ์ของพวกเขาจะเงียบหายราวกับไม่มีตัวตนก็ตามที

“จะคิดถึงเขาทำไม...”

หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ขณะถอนใจเมื่อยอมรับกับตัวเองอย่างคนปลงตกว่า...เธอกับผู้กองหน้าดุคงไม่มีโอกาสได้พบกัน ชีวิตของเขาและเธอคงเป็นเหมือนเส้นขนานที่ไม่อาจบรรจบกันได้...

ในขณะหญิงสาวนั่งถามตัวเองอย่างสับสนกับความรู้สึกที่ตามติด อีกด้านคนที่เข้าไปวิ่งวนอยู่ในหัวใจของเธอก็กำลังเอนกายในท่าสบายๆ อยู่บนเก้าอี้หวายตรงระเบียงห้องพัก ขณะทอดสายตามองพระจันทร์ดวงโตสาดแสงสีนวลอยู่บนท้องฟ้าสีทะมึน และจ้องอยู่อย่างนั้นมาพักใหญ่

“ผู้กองมองพระจันทร์นานๆ ระวังจะแปลงร่างนะครับ” ซาเยร์กระเซ้า

“เมื่อไรแกจะเลิกเรียกฉันว่าผู้กองสักที เวลานี้ฉันไม่ใช่ทหารแล้ว” หันไปถามน้ำเสียงไม่จริงจังนัก

“สำหรับผมเป็นทหารหรือไม่ ผู้กองก็คือผู้กองนั่นแหละครับ...ถ้าผู้กองไม่ชอบผมจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นก็ได้ แต่พูดก็พูดเถอะผมไม่ชินจริงๆ ถ้าจะต้องเรียกผู้กองด้วยสรรพนามอื่น”

“เอาเถอะ...แกสบายใจเรียกแบบไหนก็เชิญ แล้วยังไม่นอนอีกเรอะ”

“ก็ว่าจะนอนแต่เห็นผู้กองมีอารมณ์สุนทรีย์ก็เลยว่าจะมานั่งดื่มเบียร์เป็นเพื่อน” พูดพร้อมกับยื่นขวดเบียร์ขนาดเหมาะมือให้

“เข้าท่าเหมือนกัน” พยักหน้าขณะยื่นมือออกไปรับ

“ผู้กองกำลังคิดอะไรอยู่หรือครับ” ถามพร้อมกับกระดกเครื่องดื่มลงคอ

“ฉันกำลังคิดวิธีบุกโรงพยาบาล” คำตอบนั้นทำเอาคนที่กำลังกลืนเบียร์ลงคอถึงกับสำลัก

“บุก! โรงพยาบาล” ซาเยร์ใช้มือปาดเครื่องดื่มตรงมุมปากแล้วถามเสียงดัง

“ใช่...”

“โอย...ไม่ไหวมังครับ ผมว่าเราเข้าไปพบคุณหมอในฐานะคนรู้จัก น่าจะดีกว่าบุกเข้าไปนะครับผู้กอง”

“ไอ้ดีมันก็ดี แต่ฉันยังนึกไม่ออกเลยว่าจะไปพบเธอยังไง”

“มันจะยากอะไร...ผู้กองก็หอบดอกไม้สักช่อไปให้เธอสิครับ ลืมแล้วหรือว่าเรามาที่นี่ในฐานะนักลงทุน เวลานี้เราสามารถเข้าออกประเทศไทยได้อย่างอิสระ ไม่ได้หลบๆ ซ่อนๆ เหมือนแต่ก่อน”

“ใช่อยู่ว่าเราเข้าออกประเทศไทยได้อย่างอิสระ แต่ฉันก็ไม่กล้าเดินดุ่มๆ เข้าไปหาเธออยู่ดี”

“ผู้กองกลัวอะไรหรือครับ”

“กลัวเหรอ...” ชายหนุ่มทวนคำแล้วครุ่นคิด

“ครับ...ผู้กองกำลังกลัวอะไร”

“ฉันไม่ได้กลัว” ปฏิเสธน้ำเสียงจริงจัง

“แต่ผมว่ากลัว” ซาเยร์จ้องหน้าผู้เป็นนายอย่างจับผิด

“แกจะมารู้ดีไปกว่าตัวฉันได้ยังไง...บอกว่าไม่กลัวก็ไม่กลัวสิ”

“ไม่กลัวแล้วผู้กองรออะไรอยู่เหรอครับ ถ้ารักชอบหมอแล้วไม่รีบทำคะแนนเดี๋ยวก็กินแห้วพอดี”

“ฉันก็รอจังหวะไง” คนที่พยายามหลอกตัวเองว่ามีความกล้าเต็มร้อยเฉไฉ

“ก็นี่ไงครับจังหวะ เวลานี้หมอยังไม่มีใครถ้าผู้กองมัวทำอะไรชักช้าอยู่แบบนี้ เกิดเธอตัดสินใจเลือกใครสักคนขึ้นมา ผมว่าผู้กองอกหักแน่” เตือนด้วยความหวังดี

“แต่ฉันกำลังกังวลนะซาเยร์” คำพูดเต็มไปด้วยความลังเลนั้นทำให้กูรูรู้เรื่องรักถึงกับถอนใจแล้วส่ายหน้า

“นั่นไงชัดๆ เลยว่าผู้กองกำลังกลัว”

“ฉันแค่กังวลไม่ได้กลัว” ชยินแย้ง

“มันก็ความหมายเดียวกันนั่นแหละครับ ว่าแต่ผู้กองกังวลเรื่องอะไร”

“ฉันกังวลว่าหากพบกันหมอจะจำฉันไม่ได้” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวลนั้นทำให้คนที่ลุ้นกับคำตอบถึงกับหัวเราะร่วนออกมา

“ผู้กองกังวลกับเรื่องแค่นี้เองเหรอครับ” ถามน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“แกจะหัวเราะอะไรนักหนา นี่มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับฉันเชียวนะ”

“โธ่...ผู้กองจะไปกังวลกับเรื่องแค่นี้ทำไมครับ จำได้ไม่ได้มันไม่ใช่สาระสำคัญสักหน่อย เพราะความรักมันเริ่มใหม่ได้”

“แล้วเกิดฉันรักเธออยู่ข้างเดียวละจะทำยังไง” ซาเยร์มองประกายคิดหนักบนสีหน้าคมคายอย่างขบขัน เพราะตั้งแต่ติดตามชยินมาเขาไม่เคยเห็นผู้เป็นนายรู้สึกหนักใจกับอะไรมาก่อน

“ก็จีบให้เธอรักตอบสิครับ”

“แต่ฉันไม่เคยจีบผู้หญิงนะ” คนที่ตลอดชีวิตไม่เคยคิดทำอะไรแบบนี้มาก่อนนิ่วหน้าอย่างกังวล

“แล้วผู้กองอยากมีเมียไหม”

“อ้าว...ถ้าไม่อยากมีแล้วฉันจะถ่อมาหาเธอทำไม”

“ก็นั่นไงครับถ้าอยากมีเมียมันก็ต้องลงทุนลงแรงหน่อย”

“ไอ้ลงทุนฉันพร้อม แต่ไอ้ลงแรงนี่สิฉันไม่รู้จะเริ่มยังไง”

“ไม่เห็นยากเลยผู้กองก็ลงทุนไปซื้อดอกไม้มาสักช่อ แล้วออกแรงหอบไปให้เธอสิครับ”

“ถ้าเกิดเธอจำฉันไม่ได้แล้วปฏิเสธล่ะ”

“ถ้าคิดมากขนาดนั้น ผู้กองก็นอนดูพระจันทร์ต่อเถอะครับ ผมจะไปนอนแล้ว” ซาเยร์ตัดบทพร้อมกับลุกขึ้นหมุนตัวแล้วเดินกลับห้องพักไปเสียอย่างนั้น

“อ้าว! เดี๋ยวสิ” ชยินตะโกนเรียกแต่อีกฝ่ายทำเป็นไม่ได้ยิน พอเห็นลูกน้องคนสนิทเดินออกไป คนที่นั่งกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงก็ได้แต่ส่ายหน้า เฮ้อ...สรุปฉันจะเอาอย่างไรกับวันพรุ่งนี้ดีวะ ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองอย่างปลงไม่ตกว่าวันพรุ่งนี้เขาจะเริ่มเดินหน้าอย่างไร...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น