ภาพคนไข้จำนวนมากที่ยืนรอรับการรักษาอยู่หน้าเต้นท์ของหน่วยแพทย์อาสา ทำให้หมอและเจ้าหน้าที่แต่ละคนต่างจดจ่อกับงานตรงหน้า จนไม่มีใครทันสังเกตว่าชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีทึมที่กำลังเดินปะปนอยู่กับฝูงชนดูต่างจากชาวบ้านโดยทั่วไป เจ้าของดวงตาคมกริบราวมีดโกนจ้องดวงหน้าหวานปนเศร้าของแพทย์หญิงวริสา ก่อนจะขยับหมวกปิดบังใบหน้าขณะเบนสายตาไปยังนายทหารหน้าเข้มกำลังถือดอกกล้วยไม้เดินตรงมาที่เต้นท์
ชยินมองช่อกล้วยไม้ในมือหนาแล้วนิ่วหน้าพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก เพราะนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร ก่อนจะเหลือบมองดวงหน้าหวานละไมของแพทย์หญิงนภัสชลที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่น ด้วยประกายตานับถือในความทุ่มเทของเธอ แล้วเลยไปมองหญิงสาวอีกคนที่เดินอยู่บนถนนสายอุดมการณ์นั้นด้วยประกายตาแบบเดียวกัน
ภายใต้ใบหน้าสวยผุดผาดของแพทย์หญิงวริสาที่ตรึงอยู่ในความรู้สึก กำลังทำให้คนลอบมองอย่างตั้งใจรู้สึกวูบไหวในอารมณ์ ในยามเธอคลี่ยิ้มออกมาขณะถามไถ่อาการของคนไข้อย่างอารี ก็ยิ่งทำให้คนที่แอบมองอยู่เงียบๆ รู้สึกอุ่นวาบตรงกลางหัวใจ
ชายหนุ่มถอนใจออกมาแผ่วเบาเมื่อเห็นพวกเธอยังคงมุ่งมั่นเดินอยู่บนถนนสายอุดมการณ์ ตามสายอาชีพอันทรงเกียรตินั้นไม่เคยเปลี่ยนแม้ว่ากาลเวลาจะหมุนผ่านไปนานสักเท่าไร
ซึ่งต่างจากเขาที่เวลานี้เส้นทางสายอุดมการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ขณะกำลังคิดถึงเรื่องราวเมื่อครั้งอดีต ชยินผุดรอยยิ้มบางๆ ออกมาเมื่อเขานึกถึงช่วงเวลาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเมื่อครั้งถูกคนของนายพลลอซูถล่มด้วยอาวุธหนัก ดวงตาคมกริบหลุบลงช้าๆ แล้วสูดลมหายใจเข้าปอด เมื่อเสียงปืนดังอื้ออึงอยู่รอบด้านหวนกลับเข้าในมโนสำนึกอีกครั้ง
ในช่วงวินาทีเป็นตายนั้นเขารู้ว่าหญิงสาวที่ซุกอยู่ข้างตัวหวาดกลัวมากมายขนาดไหน แต่เธอกลับครองสติได้อย่างดีเยี่ยม และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกชื่นชมในความเด็ดเดี่ยวของเธอมากขึ้นทุกขณะก็คือ เมื่อฝ่ายตรงข้ามสาดกระสุนเข้ามาราวห่าฝนเขากลับไม่ได้ยินเสียงหวีดร้องหลุดออกมา นั่นเพราะเธอพยายามกัดฟันข่มความกลัวแล้วหมอบตัวอยู่ในที่ของตน
เวลานั้นแม้อยากดึงร่างบอบบางเข้ามากอดปลอบประโลม แต่เขาก็ทำได้เพียงปล่อยให้เธอซุกตัวอยู่ข้างๆ แล้วปกป้องเธอจนสุดความสามารถ ตลอดการสู้รบอันดุเดือดเขาทำได้เพียงเหลือบมองเธออยู่บ่อยครั้งด้วยประกายตาเต็มไปด้วยความห่วงใย
เสียงปืนที่ดังอื้ออึงอยู่รอบกายทำให้เขามองร่างบอบบางหมอบนิ่งอยู่ข้างตัวอย่างเห็นใจ เธอไม่ควรมาเสี่ยงชีวิตอยู่ในสมรภูมิที่มีความขัดแย้งของคนชาติอื่น...
ดวงตาที่หลุบลงเปิดขึ้นช้าๆ ขณะจับจ้องใบหน้างดงามไม่เคยเปลี่ยน แล้วเลยไปยังมือเรียวที่ครั้งหนึ่งเคยช่วยรักษาชีวิตของเขาไว้...
ดวงตาคมกริบมองทุกอิริยาบถของแพทย์หญิงวริสา แล้วระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่เขาเข้าไปช่วยนายวาริส หลังจากให้คำมั่นสัญญาว่าจะอุทิศทุกลมหายใจเพื่อช่วยเหลือบิดาของเธอ แม้ว่ากว่าจะทำมันสำเร็จเขาเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะถูกยิงระหว่างฝ่าดงกระสุนออกมาก็ตามที
ขณะได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะถูกกระสุนเจาะเข้าร่างถึงสามนัด ความเจ็บปวดจากพิษบาดแผลทำให้เขาเริ่มถอดใจ ระหว่างวินาทีเป็นวินาทีตายเขาได้ยินเสียงของเตโชตะโกนก้องบอกให้เข้มแข็ง พร้อมกันนั้นเสียงอึกทึกของเฮลิคอปเตอร์ก็ดังแว่วใกล้เข้ามา...
เวลานั้นเขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังนอนอยู่บนพรมแดนระหว่างความเป็นกับความตาย ทุกอย่างรอบกายเริ่มเป็นสีหม่น ดวงตาที่เคยมองเห็นแจ่มชัดค่อยๆ พร่าเลือน ส่วนเปลือกตานั้นก็หนักอึ้งจนลืมแทบไม่ขึ้น...เขาได้ยินเสียงลมหายใจผะแผ่วของตัวเองและได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนรู้สึกสะอิดสะเอียน...
เมื่อแน่ใจว่าอาการสาหัสเกินเยียวยาเขาจึงหลุบเปลือกตาลง แล้วพยายามเรียกเตโชหวังเพียงจะฝากฝังแผ่นดินที่เขารักและเอ่ยคำอำลาน้องชายคนเดียว ระหว่างเฝ้ารอให้เตโชขานรับอย่างจดจ่อ อยู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบตรงดิ่งเข้ามาพร้อมกับเสียงใสๆ ของใครคนหนึ่งดังกังวานขึ้น
“คุณชยิน...คุณได้ยินฉันไหมคะ”
เสียงนั้นก็ทำให้คนมองเห็นความตายอยู่รำไรนิ่วหน้า ก่อนจะกระตุกยิ้มเพราะคิดว่าเสียงหวานใสดังระฆังแก้วที่ได้ยินคงเป็นเพียงสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้น...เขาคงรู้สึกผิดต่อเธอ...ชายหนุ่มสรุปได้เพียงเท่านั้น
เมื่อเหตุการณ์ที่เพิ่งประสบรุนแรงจนไม่น่ารักษาลมหายใจของตนได้ ชยินจึงบอกตัวเองว่าเวลานี้จิตวิญญาณของเขาคงหลุดลอยออกจากร่างไปนั่งคุกเข่าเพื่อขอให้เธอยกโทษกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป ขณะภาวนาขอให้เธอได้ยินคำขอโทษจากเขา ปลายนิ้วอุ่นๆ ที่แตะแต้มอยู่บนใบหน้าก็ทำให้สติสัมปชัญญะอันลางเลือนหวนกลับคืนมาอีกครั้ง เขาเห็นดวงตาตื่นตระหนกกำลังจ้องมองมาด้วยสายตาอันพร่าเลือน
เวลานั้นเขาบอกไม่ถูกว่าทำไมถึงได้รู้สึกดีใจนักหนาที่ได้ยินเสียงของเธอ...ขณะหลุบเปลือกตาลงด้วยความหนักอึ้ง น้ำเสียงกังวานใสของเธอก็ทำให้เขาพยายามลืมตาขึ้น
“คุณชยิน...อย่าเพิ่งหลับ...มองหน้าฉัน”
วริสาใช้มือตบหน้าของชยินเบาๆ ก่อนจะหันไปขอเครื่องมือทางการแพทย์กับเตโช แล้วเริ่มลงมือรักษาคนเจ็บที่อาการหนักเอาการนั้นอย่างเร่งด่วน
“หมอ...” เขาได้ยินเสียงผะแผ่วของตัวเองร้องเรียกเธอ
“อย่าเพิ่งพูดอะไรค่ะ...อดทนและพยายามรักษาลมหายใจของคุณไว้นะคะ”
คำพูดของหญิงสาวทำให้คนที่พร้อมเดินหน้าสู่ความตายรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างประหลาด จนทำให้ความรู้สึกเจ็บปวดที่กำลังเผชิญอยู่ผ่อนเบาได้อย่างน่าอัศจรรย์
“รักษาลมหายใจไว้...” ชายหนุ่มทวนคำเสียงแผ่ว
“ใช่ค่ะ...คุณต้องรักษาลมหายใจไว้เพื่อตัวเองนะคะ” วริสาตอบกลับเสียงอ่อนโยน
...รักษาลมหายใจเพื่อตัวเอง...ชยินทวนคำพูดนั้นกับตัวเอง ขณะขบกรามแน่นเพราะรู้สึกปวดหนึบตรงบาดแผล ใบหน้าเผือดซีดหันไปด้านข้างมองเสี้ยวหน้างดงามเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอยู่ในหน้าที่ของตน...ด้วยสติสัมปชัญญะใกล้ลางเลือนเต็มที...
เธอไม่เคยเปลี่ยน...คนที่กำลังดำดิ่งอยู่กับอดีตเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่มีความหมายต่อหัวใจ แล้วผุดรอยยิ้มออกมาขณะกระซิบกับตัวเอง...หมอจะรู้ไหมว่าในวันนั้นการที่เขาพยายามรักษาลมหายใจมันไม่ใช่เพื่อตัวเอง หากทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพื่อเธอหาใช่ใครอื่น...
และหมอก็คงไม่รู้อีกเช่นกันว่าการผ่าเอากระสุนออกจากร่างกายในวันนั้น นอกจากสองมือนั่นจะช่วยรักษาชีวิตเขาไว้เธอยังได้กำจิตวิญญาณของเขาติดมือไปด้วย แต่ด้วยเป็นเพียงกลุ่มกำลังคนติดอาวุธที่ไร้อนาคตเขาจึงพยายามปฏิเสธความรู้สึกของตัวเอง
เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่าการที่ยังจดจำแพทย์หญิงวริสาเป็นเพราะเธอคือคนช่วยชีวิตเอาไว้ รวมถึงรู้สึกผิดที่ดึงเธอเข้ามาเสี่ยงกับสงครามระหว่างชาติพันธ์ แต่พอกาลเวลาผ่านไปความทรงจำเกี่ยวกับเธอก็ยิ่งแจ่มชัด โดยเฉพาะความสวยผุดผาดของดวงหน้าที่ฉายประกายเด็ดเดี่ยวได้อย่างน่าทึ่ง ยิ่งตราตรึงอยู่ในหัวใจแม้วันเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไรก็ตามที
...หลังจากนั่งถามตอบตัวเองมาตลอดสามปี ความทรงจำยังติดตรึงไม่แปรผันนั้นก็ทำให้เขายอมรับในที่สุดว่า...ท่ามกลางสมรภูมิรบอันดุเดือด รวมถึงการต่อสู้เพื่อรักษาลมหายใจในสภาวะความหวังกำลังดับมืด การที่เขารู้สึกเห็นใจและห่วงใยคุณหมอคนสวยหาใช่ความรู้สึกผิด...หากมันคือความรักที่ก่อเกิดขึ้นโดยตัวเขาเองก็ไม่รู้ตัว...
ตลอดเวลาเขาพยายามหักห้ามความคิดถึงที่โบยบินอยู่ในความเพ้อฝัน อีกทั้งเจียมตัวเจียมใจเพราะสถานะของเขาและเธอนั้นแตกต่างกันจนเรียกว่าเส้นขนานก็ไม่ผิด...วันแล้ววันเล่าเขาได้แต่บอกตัวเองว่า...รักเธอไม่ได้...
ทว่าจนแล้วจนเล่าเขาก็ไม่อาจหักห้ามความปรารถนาที่จะละวางกับความต้องการนั้น แต่ด้วยสถานะของเธอที่แตกต่างราวฟ้ากับดินรวมถึงความไม่พร้อมหลายๆ อย่างเขาจึงทำได้แค่เพียงเฝ้ารอเวลาอย่างใจเย็น
จวบจนสถานะทางสังคมของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากผู้กองชยินนายทหารไร้บ้านมาเป็นนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง โดยรากฐานเหล่านั้นมาจากเหมืองแร่ทองคำ ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ในการเปลี่ยนอาวุธร้ายใช้ห้ำหั่นแย่งชิงอำนาจ เป็นขุมทรัพย์อันมหาศาลให้กับชีวิตของเขาและคนใต้การปกครอง
หลังจากนายพลอาเชยอมวางอำนาจ รัฐบาลได้เข้ามามีบทบาทในการปกครองมากขึ้น และสิ่งเหล่านั้นก็ทำให้การเมืองการปกครองมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นตามลำดับ...
เวลานี้ชีวิตของเขากำลังรุ่งโรจน์ ธุรกิจของเขาประสบความสำเร็จในเวลาอันรวดเร็วจนถูกจัดอันดับ ให้เป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงอันดับต้นๆ ของยุโรปในขณะนี้ ซึ่งต่างจากกลุ่มนายพลลอซูอย่างสิ้นเชิง เพราะนับตั้งแต่บิดาของเขาหันมาจับมือกับรัฐบาล คนพวกนั้นก็หลบลี้หนีหายราวกับไร้ตัวตน แม้จะมีการไล่ล่าเพื่อความมั่นคงในอนาคต แต่พวกเขาก็เร้นกายหายเข้าไปในผืนป่าและไม่มีใครได้ข่าวอีกเลย
เมื่อเห็นว่าฐานะอันแตกต่างทำให้ความรักของเขาและเธอได้ถูกวางอยู่บนเส้นขนาน จนมองไม่เห็นถึงความเป็นไปได้ว่ามันจะสามารถบรรจบกัน แต่เมื่อหันไปมองชายหญิงอีกคู่หนึ่ง...ชยินเบนสายตาไปยังอดีตคู่ปรับที่ก้าวย่างตรงเข้ามาด้วยจังหวะมั่นคง แล้วผุดรอยยิ้มอ่อนละมุนให้กับความรักที่กลั่นจากหัวใจอันกล้าแกร่ง ถูกถ่ายทอดออกมาจากดวงตากำลังจับนิ่งอยู่ที่แพทย์หญิงนภัสชล...
...ภูริช...ชื่อของนายทหารหน้าเข้มที่ดังก้องอยู่ในหัว ทำให้รอยยิ้มของชยินฉีกกว้างกว่าเดิมขณะเจ้าตัวส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับความหมายอันลึกซึ้งของชื่อนั้น ชายหนุ่มเบนสายตาไปยังคุณหมอคนงาม ดวงตาคมกริบพินิจดวงหน้าหวานละไมของหญิงสาวผู้กำหัวใจเจ้าอดีตสายลับจอมป่วน ที่เข้ามาก่อกวนจนเกือบได้วางมวยกันอยู่บ่อยครั้ง...
เขารู้ว่าชื่อของคนทั้งสองหนึ่งหมายถึงแผ่นดิน ในขณะอีกหนึ่งหมายถึงท้องฟ้า แม้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจะไม่มีวันบรรจบกันได้ แต่เมื่อชะตาชีวิตของคนคู่หนึ่งได้ถูกขีดไว้ด้วยพรหมลิขิต ความเป็นไปไม่ได้ก็ถูกเชื่อมด้วยสายฝนที่ชะโลมลงมาจากท้องฟ้า เพื่อชุบชีวิตให้กับผืนดินอันต่ำต้อยและก่อกำเนินสิ่งมีชีวิตให้กับโลกแห่งความรักไปตราบนานเท่านาน
ขนาดฟ้ากับดินยังสามารถเชื่อมกันได้ แล้วทำไมเส้นขนานจะบรรจบกันไม่ได้ หลังจากเห็นว่าทุกข้อจำกัดมีความเป็นไปได้เมื่ออยู่ในโลกของความรัก ชยินจึงบอกตัวเองอย่างมุ่งมั่น เมื่อความรักกำลังสั่งให้เขากลับมาทวงคืนหัวใจแม้ว่าต้องตามล่าไปจนสุดปลายฟ้าเขาก็จะดั้นด้นไขว่คว้ามาให้ได้...
ขณะกำลังยืนทบทวนถึงห้วงเวลาที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต ชายหนุ่มคลายมืออกขณะจ้องนายทหารหน้าเข้มที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่ปรับ กำลังเดินแหวกกลุ่มชาวบ้านไปยืนประจันหน้ากับแพทย์หญิงนภัสชน ก่อนจะล้วงผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อให้เธอ และภาพนั้นก็ทำให้วริสาและคนที่อยู่ในบริเวณตบมือกันเกียวกราว
“คุณภูริช...ทำอะไร...ฉันกำลังทำงานอยู่นะ”
เขาได้ยินเสียงกระซิบของเธอในขณะดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบๆ แล้วยิ้มอย่างเขินอาย แต่คำตอบที่ได้กลับมาเป็นดอกกล้วยไม้ช่อใหญ่ถูกวางลงตรงหน้า พร้อมๆ กับเสียงหัวเราะคิกคักรวมถึงเสียงอื้ออึงจากคนรอบข้างเงียบฉับลงทันใด
ชยินมองร่างสูงใหญ่ที่ย่อตัวคุกเข่าลงตรงหน้าของคุณหมอคนสวย แล้วเลิกคิ้วกับการจู่โจมอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้น แล้วใช้มือถูปลายคาง
...ให้ตายเถอะเขาคาดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าในวันที่ตัดสินใจเดินหน้าไขว่คว้าหาความรัก จะเป็นวันที่นายทหารหน้าเข้มนามภูริช กำลังคุกเข่ามอบดอกไม้ช่อใหญ่ให้กับภรรยาของเขา...พร้อมกับคำสารภาพรักอันหวานซึ้ง
ชยินบอกไม่ถูกว่าทำไมเขาถึงรู้สึกตื้นตันกับสิ่งที่ภูริชกำลังกระทำนั้น ชายหนุ่มมองใบหน้าเต็มไปด้วยความรักและศัทธาของแพทย์หญิงนภัสชล ในยามทอดมองไปยังคนรักของเธอด้วยความอิ่มเอิบใจ ก่อนจะเหลือบไปมองดวงหน้านวลเนียนของแพทย์หญิงอีกคนกำลังมองการกระทำนั้นด้วยความตื้นตันยินดี กับสิ่งที่เพื่อนรักได้รับ...จากคนรัก
“หมอผมขอให้คำมั่นว่าในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ความตื้นตันยินดีนั้นก็จะเป็นของคุณเช่นกัน” ชายหนุ่มกระซิบกับตัวเองขณะค่อยๆ เร้นกายเข้าไปในฝูงชน และเดินหายเข้าไปในแนวป่า
ชยินก้าวขึ้นไปนั่งบนรถยนต์คันใหญ่มีสมรรถนะในการขับเคลื่อนอันดีเยี่ยม หลังจากเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ดังกระหึ่มขึ้นคนทำหน้าที่พลขับก็หันไปจ้องใบหน้าหล่อเหลาหากเรียบเฉยแล้วเอ่ยขึ้น
“ผู้กองไม่คิดจะไปทักทายพวกเขาเหรอครับ”
“ไม่ละ...ฉันไม่อยากให้หมอตกใจจนไม่มีสมาธิรักษาคนไข้” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ
“คุณหมอยังเหมือนเดิมทุกอย่าง” คนที่คอยติดตามความเคลื่อนไหวของหญิงสาวมาหลายเดือนรายงาน
“ฉันรู้...ว่าเธอยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์และทำหน้าที่หมอได้อย่างน่าชื่นชม” พูดพร้อมกับถอนใจยาว เมื่อนึกถึงใบหน้าสวยผุดผาดที่มีความมุ่งมั่นไม่เปลี่ยนแปลง
“เท่าที่ผมสืบได้คุณหมอยังไม่มีคนรัก ทั้งๆ ที่มีคนพยายามขอโอกาส ผู้กองว่ามันน่าแปลกไหม”
“การที่เธอไม่มีคนรักมันน่าแปลกตรงไหน” ถามพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น
“ก็แปลกตรงเธอไม่สนใจใครนะสิครับ จากข้อมูลที่สายรายงาน คนเข้ามาจีบเธอล้วนมีฐานะและตำแหน่งการงานในระดับไม่ธรรมดา”
“บางทีเธออาจกำลังรอใครสักคน” ชยินเบนสายตาออกไปนอกตัวรถแล้วอมยิ้มน้อยๆ เมื่อความคิดกำลังยิงทุกอย่างเข้าหาตัวเอง
“หวังว่าใครสักคนนั้นคงไม่ใช่...” ซาเยร์หยุดพูดหันไปมองรอยยิ้มละมุนละไมของผู้เป็นนายแล้วพูดต่อ “ผู้กองอย่าบอกนะครับว่ากำลังคิดเข้าข้างตัวเอง”
คำพูดนั้นทำให้คนกำลังเคลิบเคลิ้มกับความฝันลมๆ แล้ง รู้สึกเหมือนถูกใครสักคนถีบลงจากที่สูง “แล้วการที่ฉันคิดเข้าข้างตัวเองมันผิดตรงไหน”
“มันก็ไม่ผิดหรอครับ ผมแค่เป็นห่วงว่าเกิดมันไม่เป็นอย่างที่ผู้กองมโนมันจะทำให้ผิดหวังเปล่าๆ”
“เอาเถอะถึงมันจะเป็นอย่างที่ฉันคิดหรือไม่ก็คงไม่มีความสำคัญอีกต่อไป เพราะเมื่อไรที่ฉันเดินเข้าไปขอความรักจากเธอเมื่อนั้นหัวใจของเธอก็จะเป็นของฉัน” ตอบกลับไปด้วยความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม
“ดูเหมือนผู้กองจะเชื่อมั่นเหลือเกินนะครับว่าคุณหมอจะตอบรับความรักนั้น”
“ฉันเชื่อมั่นว่าความรักของฉันจะต้องนำทางและพาหัวใจของเธอมาในที่สุด”
“แล้วถ้าเกิดว่ามันไม่เป็นอย่างที่คิดละครับ”
“แกคอยดูเถอะซาเยร์ คนอย่างฉันไม่เคยรักผู้หญิงคนไหนมาก่อน เมื่อหัวใจฉันเลือกหมอฉันก็พร้อมทำทุกอย่างเพื่อล่าหัวใจของเธอ” น้ำเสียงของชยินเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“ถ้าผู้กองมุ่งมั่นขนาดนั้นผมก็พร้อมเดินหน้าเต็มกำลัง ว่าแต่ผู้กองจะเริ่มต้นยังไง”
“เอาไว้ถึงเวลาแกก็จะได้เห็นเอง...”
ตอบพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงฉากสารภาพรักของผู้กองหน้าเข้ม ที่เขาคาดไม่ถึงว่านายทหารผู้ทรงเกียรตินายหนึ่ง จะยอมคุกเข่าให้กับผู้หญิงอันเป็นที่รักท่ามกลางฝูงชน ชนิดไม่หวาดหวั่นสักนิดหากใครสักคนจะมองว่าการกระทำนั้นมันจะทำให้ศักดิ์ศรีของบุรุษเพศลดน้อยลง
ความคิดเห็น |
---|