บทที่ 10
ชยินถอนจูบอย่างอ้อยอิ่ง ในขณะกวาดตาไปทั่วดวงหน้าหวานละมุน แล้วหยุดอยู่ที่ริมฝีปากนุ่มนิ่มอย่างไม่อิ่มกับความหวาน
“ยังเกลียดผมอยู่ไหม” ชายหนุ่มกระซิบถามน้ำเสียงอ่อนโยน ขณะแนบฝ่ามืออบอุ่นกับแก้มนวลเนียนอย่างละเมียดละไม ดวงตาหวานฉ่ำพินิจดวงหน้างดงามที่ยังมึนงงอยู่ในห้วงอารมณ์หวามอย่างพึงพอใจ...
วริสามองคนที่กำลังจ้องเธอด้วยประกายตาหมกหมุ่นแล้วค้อนขวับ ก่อนจะคลายวงแขนที่กอดรอบคอเขาไว้ด้วยความลืมตัวออกอย่างขวยเขิน ขณะนึกต่อว่าตัวเองที่เผลอตัวเผลอใจให้ความร่วมมือไปตั้งเยอะ...
ดวงตาสองคู่จ้องประสานกันนิ่งและเป็นวริสาที่เบนหลบเพราะรู้สึกวาบหวาม กับความหมายมากมายที่ฉายออกมาจากดวงตาคมกริบคู่นั้น แม้อยากจะตอบกลับไปว่าเธอเกลียดเขา แต่ความรักที่ก่อเกิดอยู่ในหัวใจก็ทำให้เธอไม่อาจปฏิเสธกับความจริงอันนั้น นอกจากยอมรับมันอย่างหมดข้อโต้แย้ง...
“ช่างเถอะถ้าหมอจะเกลียดผมก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยก็ขอให้รู้ไว้ว่าผมรักคุณ” คำพูดของชยินทำให้ดวงตาคู่สวยวกกลับมาจ้องหน้าเขาเขม็ง แล้วกะพริบตาเมื่อชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงมาช้าๆ ก่อนจะหลุบเปลือกตาลงเมื่อเขาประทับริมฝีปากกับเรียวปากนุ่มนิ่มของเธอ แล้วหงายหน้าขึ้นรับจูบนั้นอย่างเต็มที่ และการกระทำนั้นก็ทำให้หัวใจของชยินเต้นแรง พร้อมกับเผลอครางในลำคอ เมื่อเรียวแขนกลมกลึงที่คลายออกเมื่อคู่เปลี่ยนเป็นโอบกอดรอบคอเขาไว้แน่น ในขณะหญิงสาวตอบโต้การรุกรานจากเขาด้วยความเร่าร้อนอย่างเท่าเทียม...
นานเท่านานที่ทั้งสองใช้สัมผัสอันแสนซาบซ่านแทนคำถามและคำตอบที่ต่างต้องการรู้ และดื่มด่ำอยู่กับความหวามหวานนั้น ร่างสองร่างเบียดเข้าหากันอย่างแนบแน่นราวกับกลัวว่าอากาศจะแทรกเข้าไป...ก่อนชยินจะถอนริมฝีปากออกช้าๆ ชายหนุ่มจ้องริมฝีปากสีแดงระเรื่อเพราะถูกจูบอย่างหนักหน่วงและเนิ่นนานด้วยประกายตาลุ่มหลง แล้วถอนใจแรงขณะพยายามระงับความพลุ่งพล่านของอารมณ์ให้อยู่ในที่ในทาง...
ร่างสูงใหญ่พลิกลงนอนตะแคงดึงร่างอรชรเข้าสู่วงแขน วริสาแนบใบหน้ากับอกกว้างอย่างว่าง่าย แล้วเงยหน้ามองดวงตาทอประกายอ่อนหวานที่จ้องสบลงมา ก่อนจะเบนหลบเพราะรู้สึกวูบวาบไปกับความต้องการอันมากมายของเขา
ชยินอมยิ้มขณะก้มมองคนที่ซุกอยู่ในอ้อมกอดด้วยสายตาที่บ่งบอกชัดถึงความรักอันท่วมท้น...ทั้งสองนอนกอดกันเงียบๆ และถ่ายทอดความรู้สึกอันละมุนละไมผ่านสัมผัสอันลึกซึ้งแล้วล่องลอยอยู่กับช่วงเวลาแสนสุขนั้น
**********
หลังดื่มด่ำกับห้วงเวลาแสนสุข ทั้งสองใช้เวลาล่ำลากันอีกครู่ใหญ่ แม้ใจอยากจะขอให้เธออยู่ต่อ แต่ ชยินก็ไม่อาจยื้อเธอไว้อย่างคนเห็นแก่ตัว เมื่อเห็นว่าถ้ายังเอาแต่ใจคิดถึงแต่ความต้องการของตัวเอง เขาอาจสร้างปัญหาให้กับเธอ ชยินจึงยอมคลายวงแขนที่กอดรัดร่างนุ่มนิ่มออกอย่างอ้อยอิ่ง
วริสามองการกระทำของอดีตผู้กองหน้าดุผู้เย็นชาแล้วยิ้มทั้งตาและปาก เพราะชยินในเวลานี้ช่างแตกต่างจากผู้กองชยินที่เธอเคยรู้จัก
“ฉันไปก่อนนะคะ” เธอเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าควรต้องไปแล้วจริงๆ
“ไว้เสร็จงานผมจะรีบตามไป ขอบคุณหมอที่ไม่ถือสากับความคิดโง่ๆ ของผม” ชายหนุ่มเอื้อมไปจับมือเรียวขึ้นมากุมกระชับ
“เพราะชีวิตของคนเรานั้นไม่มีอะไรแน่นอน ฉันจึงไม่อยากปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ค่า และไม่อยากมานั่งนึกเสียดายทีหลัง ตั้งแต่กลับจากหมู่บ้านฉันรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ลาคุณ ฉันเป็นคนชัดเจนแบบนี้หวังว่าคุณจะไม่คิดว่าฉันเป็นคนใจง่ายหรอกนะคะ” วริสาบอกความรู้สึกของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา และคำพูดนั้นก็ทำให้ผู้ชายอกสามศอกถึงกับนึกละอายใจ
“ผมขอโทษที่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาเนิ่นนานขนาดนี้” ชยินเอ่ยอย่างสำนึกผิด
“ไม่เป็นไรค่ะฉันยินดีที่จะรอ” เธอจ้องดวงตาที่เบิกกว้างของชยินแล้วยิ้มให้กับประกายตื่นเต้นยินดีนั้นด้วยความขบขัน
“ผมไม่รู้จะพูดอะไรที่สามารถบอกคุณได้ว่า เวลานี้ผมปลื้มเปรมยินดีมากมายขนาดไหน”
“คุณไม่ต้องพูดหรอกค่ะ เพราะฉันเห็นทุกอย่างผ่านจากตรงนี้และตรงนี้ ฉันสรุปเอาเองแบบนี้คงไม่ใช่การเข้าข้างตัวเองจนทำให้คุณมองว่าฉันง่ายนะคะ” หญิงสาวแตะปลายมือลงบนเปลือกตาของเขา ก่อนจะเลื่อนฝ่ามือทาบกับหน้าอกด้านซ้ายแล้วยิ้มหวานละไมเมื่อสัมผัสกับจังหวะเต้นตุบของหัวใจที่กระหน่ำเต้น
“ขออะไรง่ายๆ ให้กับชีวิตผมบ้างเถอะหมอ” ชายหนุ่มยิ้มกว้างเมื่อหญิงสาวย่นจมูกแล้วค้อนขวับ “อย่างอนผมนะหมอบอกตรงๆ ว่าผมง้อใครไม่ค่อยเก่ง” ขอร้องเสียงอ้อนจนคนที่อยากจะงอนอดหัวเราะขึ้นไม่ได้
“ฉันไม่ใช่สาวๆ แรกรุ่นที่จะอ่อนไหวขนาดนั้น ฉันขอตัวก่อนนะคะ” เธอพูดพร้อมกับเอ่ยขอตัว
“เดี๋ยวผมไปส่ง”
ชยินผายมือเชื้อเชิญแล้วเดินเคียงไปกับหญิงสาว พอถึงเต้นท์เขาใช้เวลาล่ำลาเธออีกชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยทักทายและขอบคุณเอมวิกาที่เดินออกมาทักทาย ชายหนุ่มมองเจ้าของเรือนอรชรเดินกลับไปที่เต้นท์แล้วหมุนตัวเดินกลับไปเงียบๆ หากตลอดเส้นทางที่ทอดยาวนั้น เขาได้ยินเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีของตัวเองดังกึกก้องไปตลอดทาง
******
ราวสิบห้านาทีหลังจากนั้นชยินยืนมองรถคันสุดท้ายที่เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ ด้วยประกายตาห่วงใย ก่อนจะหมุนตัวเดินไปที่รถซึ่งติดเครื่องรออยู่
“ผู้กองจะตามคุณหมอไปไหมครับ” ซาเยร์ถามผู้เป็นนายขณะเบนสายตายังทิศทางที่ยานพาหนะคันใหญ่เคลื่อนห่างออกไป
“วันนี้คงต้องกลับไปเคลียร์งานสักหน่อย แต่ฉันบอกหมอแล้วว่าจะตามไปทีหลัง” ชายหนุ่มเอ่ยแล้วยิ้มในสีหน้าเมื่อนึกถึงช่วงเวลาดีๆ ระหว่างเขากับเธอ
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณหมอจะเป็นคนใจกว้างขนาดนี้”
“หมายความว่ายังไง”
“ก็คุณหมอไม่ถือสาที่ถูกผู้กองหลอกนะสิครับ ผมบอกตรงๆ ว่ามันผิดคาดจริงๆ”
“แรกๆ แกก็เห็นว่าหมอโกรธฉันขนาดไหน” ชยินอมยิ้มเมื่อนึกถึงท่าทางฉุนจัดของหญิงสาว
“แต่ผู้กองกับคุณหมอก็เข้าใจกันแล้วนี่ครับ และดูเหมือนต้นรักของผู้กองกับเธอจะเติบโตชนิดรวดเร็วยิ่งกว่าต้นถั่ววิเศษเสียอีก” ซาเยร์กระเซ้า
“แกก็พูดเกินไป พวกซายีนมาถึงแล้วใช่ไหม” ชายหนุ่มถามน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ
“ครับ ผมให้พวกเขาติดตามคุ้มกันคุณหมอตามคำสั่งแล้ว”
“ดี ฉันมั่นใจว่าพวกมันคงจะลงมือเร็วๆ นี้แน่ อย่าประมาทก็แล้วกัน”
“ผู้กองวางใจเถอะครับไม่ว่าพวกมันจะลงมือตอนไหน ก็คงทำอะไรไม่ได้ เพราะหน่วยซายีนไม่มีทางปล่อยให้พวกมันได้แตะแม้แต่ปลายก้อยของหมอแน่” คนที่รู้ศักยภาพของหน่วยพิฆาตซายีนเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ฉันก็หวังให้มันเป็นเช่นนั้น และสาบานว่าถ้าร่างกายของหมอมีรอยขีดข่วนแม้เพียงนิดฉันจะจัดการเชือดพวกมันให้ได้แผลมากกว่าเธอเป็นร้อยเท่าเลยทีเดียว” น้ำเสียงของชยินแสดงชัดว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้นไม่ใช่แค่ข่มขู่ หากเอาจริงจนคนได้ยินนึกหวาดเสียวแทน
*******
หลังออกจากค่ายผู้ลี้ภัยขบวนรถของหน่วยแพทย์เคลื่อนที่จำนวนห้าคันวิ่งไปตามเส้นทางอย่างเป็นระเบียบ ด้วยความเร็วอย่างสม่ำเสมอ โดยรถคันที่วริสานั่งวิ่งรั้งท้ายขบวน หญิงสาวทอดสายตามองทิวทัศน์อยู่เงียบๆ ต่างจากเอมวิกาที่มองธรรมชาติตลอดสองข้างทางด้วยความตื่นตาตื่นใจ เสียงชี้ชวนคนที่อยู่บนรถของผู้ช่วยร่างเล็ก ทำให้วริสาหันไปมองตามปลายนิ้วเรียวที่ชี้ออกไป ก่อนจะยิ้มอย่างเอ็นดูให้กับความสดใสน่ารักสมวัยของเธอ
หญิงสาวเบนสายตากลับไปมองท้องถนนที่ค่อนข้างโล่ง ริมฝีปากสีสวยคลี่ยิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงช่วงเวลาในยามเผลอไผลไปกับห้วงอารมณ์หวาม “บ้าแล้วเรา” เธอต่อว่าตัวเองเบาๆ ด้วยนึกละอายใจ เพราะแทนที่จะโกรธกับการกระทำอันจาบจ้างนั้น แต่กลับกลายเป็นว่าเธอรู้สึกพอใจที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของเขาไปเสียอย่างนั้น
แม้พยายามบอกตัวเองให้ทำเฉยกับความรักอันท่วมท้นของชายหนุ่ม แต่สุดท้ายเธอก็ไม่อาจปฏิเสธหัวใจของตัวเอง เพราะเวลานี้ความรู้สึกอันละมุนละไมที่กำซาบอยู่ในหัวใจกำลังชักจูงให้ความคิดของเธอลอยละล่องไปหาเขา...
ในขณะล่องลอยไปกับสัมผัสแสนหวานเต็มไปด้วยความเร่าร้อน อยู่ๆ เธอก็ต้องสะดุ้งพร้อมกับหันขวับไปทางคนขับรถเมื่อรถที่ขับมาด้วยความเร็วอย่างสม่ำเสมออยู่ๆ ก็หยุดกึกโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
“รถเป็นอะไรคะ” วริสาหันไปถามล่ามซึ่งนั่งอยู่เบาะด้านหน้า ในขณะเสียงพูดคุยกันอย่างออกรสต่างหยุดฉับ
“มีรถขับตัดหน้าค่ะ” ล่ามตอบเมื่อคนขับรถแจ้งถึงสาเหตุที่ทำให้เขาต้องหยุดรถอย่างกะทันหัน
“ถนนก็ออกจะโล่ง ถ้ารีบก็แค่แซงแต่นี่ดันจอดขวางทางรถคันอื่น ขับรถไม่มีมารยาทแบบนี้ถ้าเป็นเมืองไทยคงได้กระสุน แย่จริงๆ เลย” เอมวิกาตำหนิเจ้าของรถยนต์ที่อยู่ๆ ก็หยุดรถจนทำให้รถของเธอที่รั้งท้ายถูกตัดออกจากขบวนไปโดยปริยาย
“น่าแปลก” วริสามองรถที่จอดขวางทางแล้วนิ่วหน้าด้วยความสงสัย
“มีอะไรแปลกหรือคะพี่ลี” เอมวิกาถามพร้อมกับเขม้นไปยังรถเจ้าปัญหา
“น้องเอมไม่รู้สึกว่ามันดูแปลกเหรอคะ ” หญิงสาวมองใบหน้าสดใสของผู้ช่วยที่ส่ายไปมาแล้วพยักพเยิดไปยังรถที่ยังจอดนิ่งไม่มีทีท่าจะขยับไปไหนแล้วพูดต่อ “ก็แปลกตรงที่เขาแซงแล้วทำไมไม่ขับไปต่อนะสิคะ”
“บางทีรถเขาอาจจะเสียก็ได้นะคะ” เอมวิกาตอบอย่างคนที่มองโลกในแง่ดี
แม้ข้อสันนิษฐานของอีกฝ่ายจะมีความเป็นไปได้ แต่วริสาก็ไม่ได้คล้อยตาม หญิงสาวกวาดมองไปรอบๆ อย่างไม่ไว้วางใจ ด้วยเคยมีข่าวเรื่องการปล้นอย่างอุกอาจบนถนนในฝรั่งเศสจึงทำให้หญิงสาวนึกหวาดหวั่นว่าบางทีคนพวกนั้นอาจจะเป็นโจร แต่พอมองเห็นสิ่งของในรถเธอก็ต้องนิ่วหน้า มันจะมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่คนพวกนั้นคิดจะปล้นรถของหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ซึ่งมีแค่เครื่องมือสำหรับช่วยเหลือคน ส่วนอาสาสมัครที่มีเพียงห้าคนก็ไม่ได้มีทรัพย์สินมีค่าอะไรมากมาย และถ้าเธอคิดถูกพวกนั้นก็น่าจะหยุดรถที่หัวขบวนมากกว่าท้ายขบวน
“เราถอยแล้วฉีกตัวออกไปไม่ได้เหรอคะ” เธอเอ่ยขึ้นเมื่อรออยู่ครู่ใหญ่แต่ยังไม่เห็นรถคันหน้าขยับ
“คนขับรถบอกว่ามีรถจ่อหลังอยู่อีกคันหนึ่งค่ะ” ล่ามตอบกลับมาทันทีที่คนขับรถพูดจบ
“อะไรนะคะ มีรถอีกคันจ่ออยู่ด้านหลัง” คำถามนั้นทำให้ทุกคนต่างหันขวับไปด้านหลัง
“แบบนี้ชักจะไม่ดีแล้วสิพี่” เอมวิกาขยับไปชิดกับวริสาแล้วกวาดตามองไปรอบๆ
“ทุกคนระวังตัวด้วยนะคะ” หญิงสาวเตือนพร้อมกับมองหาสิ่งของภายในรถที่พอจะหยิบจับมาเป็นอาวุธ ก่อนจะถอนใจเมื่อไม่เห็นมีอะไรพอนำมาใช้ป้องกันตัว
“พี่ลี! มีคนลงจากรถแล้วทำยังไงดีคะ” เสียงตะโกนของเอมวิกาทำให้คนอื่นๆ เริ่มขยับ
“พวกมันมีปืนด้วย!” ล่ามตะโกนขึ้นบ้าง
“โทรศัพท์แจ้งตำรวจสิ” ใครคนหนึ่งพูดขึ้น
“ตำรวจ! โอย...โทรศัพท์อยู่ไหนวะเนี่ย” เสียงของคนที่อยู่ภายในรถดังระงมจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ ขณะแต่ละคนต่างขยับตัวและมองหาอาวุธ เสียงกรีดร้องของเอมวิกาก็ดังขึ้นเมื่อหญิงสาวเห็นชายฉกรรจ์ร่างใหญ่เดินหน้าถมึงทึงตรงเข้ามา
“พี่ลีมันมาแล้ว คุณล่ามติดต่อตำรวจได้หรือยังคะ” คนที่อ่อนประสบการณ์ที่สุดถามเสียงสั่น
“ประตูรถเราล็อกอยู่ ลองขับฝ่าออกไปได้ไหมคะ” วริสาที่ครองสติได้อย่างดีเยี่ยมตะโกนขึ้น ก่อนจะกรีดร้องออกมาเมื่อได้ยินเสียงกัมปนาทแผดขึ้นพร้อมกับตัวรถที่ยอบลง
“โอ...ก๊อด...พวกมันยิงยางทั้งสี่เส้นเลยค่ะ” ล่ามตอบกลับเสียงสั่นขณะมุดตัวลงต่ำ
ขณะทุกคนกำลังขวัญหนีดีฟ่อกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญ อยู่ๆ ก็มีรถสีดำสองคันขับเข้ามาด้วยความเร็วแล้วเบรกเสียงดังเอี๊ยด...ก่อนจะมีชายฉกรรจ์ในชุดสีดำสนิทปิดหน้าด้วยหมวกไอ้โม่ง นอกจากนั้นในมือของพวกเขายังมีปืนหลากหลายชนิด ภาพกลุ่มผู้มาใหม่ที่เปิดประตูแล้วพุ่งลงจากรถอย่างรวดเร็วทำให้คนเอมวิกาโผเข้ากอดวริสาแล้วหลับตาแน่น ส่วนคนอื่นๆ หมอบตัวลงกับพื้นรถ
เสียงกัมปนาถจากอาวุธหลากหลายชนิดรวมถึงปืนกลของกลุ่มคนมาใหม่ ที่กำลังสาดเข้าใส่คนกลุ่มแรกทำให้ทุกคนหมอบลงต่ำพลางยกมือขึ้นอุดหู วริสากอดร่างสั่นสะท้านอย่างหวาดกลัวของเอมวิกาแล้วปลอบโยน แม้ว่าเวลานี้เธอจะแทบเป็นลมเพราะความกลัวก็ตามที
“ทำใจดีๆ ไว้นะน้องเอมเมื่อครู่ล่ามโทรแจ้งตำรวจแล้วอีกเดี๋ยวก็คงมา” หญิงสาวปลอบใจผู้ช่วยพร้อมกับตัวเอง
“เอมกลัวค่ะพี่”
“พี่เข้าใจค่ะ เสียงปืนเงียบไปแล้ว” วริสาเอ่ยพร้อมกับค่อยๆ โผล่หน้าออกไปดูสถานการณ์ ภาพชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เจ้าของใบหน้าถมึงทึงวิ่งไปที่รถพร้อมกับชายฉกรรจ์อีกสามคนแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้วริสาขยับไปที่หน้าต่างรถแล้วชะโงกมอง ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากเพื่อปิดกั้นเสียงกรีดร้องของตัวเอง
หญิงสาวมองร่างไร้วิญญาณของชายฉกรรจ์สามคน ที่ถูกยิงด้วยอาวุธนอนเสียชีวิตจมอยู่บนกองเลือดทำให้หญิงสาวรีบถอยกลับที่เดิม ขณะกำลังคิดหาหนทางรอดทั้งหมดก็ต้องหวีดร้องออกมาเมื่อ ชายในชุดดำจำนวนสองคนใช้ปืนทุบกระจกรถร่วงกราวไปทั้งแถบ...
“พวกคุณต้องการอะไร” แม้กลัวแสนกลัวแต่วริสาก็ตะโกนถามออกไปด้วยภาษาอังกฤษ
ไม่มีคำตอบใดๆ หลุดออกมาจากปากของบุรุษชุดดำขาโหด นอกสายสายตาคมกริบไล่มองคนบนรถราวกับกำลังหาคน
“เจอตัวหรือยัง” เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยภาษาที่วริสาไม่เข้าใจ ก่อนชายอีกคนจะดึงอะไรบางอย่างจากกระเป๋าเสื้อออกมาพินิจ แล้วชี้มือไปที่แพทย์หญิงวริสา
“เธออยู่นั่น” ตอบพร้อมกับก้าวเข้าไปกึ่งดึงกึ่งลากบุคคลที่ต้องการออกมา
“พี่ลี! ปล่อยพี่ลีนะ” ด้วยความเป็นห่วงวริสา เอมวิกาคว้าข้อมือเรียวพร้อมออกแรงดึงอย่างลืมตาย ก่อนจะถลาตามแรงกระชากของพี่โม่งชุดดำ
“พวกแกต้องการอะไร ปล่อยฉันนะ” วริสาพยายามขืนร่างและสะบัดตัวออกจากการจับกุม ทว่าพละกำลังของเธอหากเทียบกับอีกฝ่ายแล้วเรียกได้ว่าไม้จิ้มฟันงัดท่อนซุง จึงทำให้ไม่นานร่างระหงก็ถูกยัดเข้าไปในรถพร้อมกับเอมวิกาที่ติดร่างแหมาด้วย
พอได้ตัวหญิงสาวกลุ่มชายชุดดำก็ฉีกตัวออกไป ก่อนทุกคนจะวิ่งกลับขึ้นรถและขับออกไปทันที เสียงหวอที่ดังมาไกลๆ ทำให้คนที่กำลังหมอบอยู่กับพื้นรถรู้สึกเหมือนตายแล้วได้เกิดใหม่ แต่ก็อดค่อนขอดไม่ได้ว่ากว่าตำรวจจะโผล่มาผู้ร้ายก็หายเกลี้ยง...เหมือนในละครไม่มีผิด
ความคิดเห็น |
---|