9

บทที่ 9


บทที่ 9

หลังอยู่ให้บริการผู้ลี้ภัยมาเกือบสามอาทิตย์ การทำงานของอาสาสมัครแพทย์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และจะสิ้นสุดในวันนี้ ด้วยเป็นการทำงานวันสุดท้ายแพทย์หญิงวริสาและเหล่าอาสาสมัครจึงใช้เวลาที่เหลือ ออกเยี่ยมกลุ่มผู้ลี้ภัยและมอบยารักษาโรครวมถึงของเล่นให้กับเด็กๆ

เพราะคนในค่ายลี้ภัยส่วนใหญ่อพยพจากกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้มีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกัน ดังนั้นบรรยากาศการล่ำลาจึงเป็นไปอย่างอบอุ่น แพทย์และอาสาสมัครหลายคนร่วมถ่ายภาพกับกลุ่มผู้ลี้ภัยอย่างเป็นกันเอง...โดยเฉพาะกับเด็กๆ ที่ต่างก็คุ้นเคยกับพวกเขา

ภาพประกายตาเปี่ยมสุขและรอยยิ้มของผู้ลี้ภัยทำให้อาสาสมัครต่างรู้สึกอิ่มใจ และมีพลังที่จะออกให้ความช่วยเหลือกลุ่มคนที่มีชีวิตอยู่บนความไม่แน่นอนซึ่งกำลังรอการไปของพวกเขา

นอกจากนั้นอาสาสมัครยังใช้เวลาที่เหลือสร้างความคุ้มค่าให้กับการมาของพวกเขา ด้วยการเล่นกิจกรรมกับเด็กๆ โดยมีเจ้าหน้าที่ดูแลให้ความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด

เมื่อสิ้นสุดกิจกรรมกลุ่มอาสาสมัครจึงกลับมารวมตัวกันที่เต้นท์ เพื่อเตรียมเคลื่อนย้ายไปยังค่ายผู้ลี้ภัยซึ่งอยู่ห่างไปอีกเมืองหนึ่ง หลังจากเก็บของเสร็จวริสาเดินลัดเลาะไปตามเส้นทาง มีจุดหมายคือเต้นท์ที่พักของผู้กองพลัดถิ่น โดยตั้งใจจะไปอำลาเขา

เพราะใช้เวลาอยู่ในค่ายมาหลายอาทิตย์รวมถึงแวะเวียนไปดูแลชยินในฐานะหมออยู่บ่อยครั้ง ทำให้หญิงสาวคุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดี ด้วยระยะทางไม่ไกลมากรวมถึงจุดที่พักของชายหนุ่มอยู่ในเขตของเจ้าหน้าที่จึงทำให้หญิงสาวไม่ต้องกังวลกับอันตรายที่คาดไม่ถึง ขณะกำลังจะก้าวผ่านตัวอาคารชั่วคราวไปยังเต้นท์ที่พัก ร่างบอบบางชะงักก่อนจะแนบลำตัวกับผนังอาคารแล้วจ้องคนที่กำลังยืนคุยกันอยู่อีกด้านด้วยความสงสัย

ภาพชยินกำลังยืนสนทนาอยู่กับหัวหน้าผู้ดูแลค่ายด้วยท่างทางแสดงถึงความมีอำนาจ ทำให้แพทย์หญิงวริสานิ่วหน้า ขณะเงี่ยหูฟังบทสนทนาของคนทั้งสองเธอก็ต้องถอนใจ เมื่อบทสนทนาของพวกเขาเป็นภาษาฝรั่งเศสซึ่งคนไม่มีพื้นฐานอย่างเธอฟังอย่างไรก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

แม้ไม่เข้าใจว่าทั้งสองกำลังพูดคุยถึงเรื่องอะไร แต่จากสีหน้ารวมถึงท่าทางก็ทำให้เดาได้ไม่ยากว่ามันจะต้องเป็นเรื่องสำคัญพอสมควร หญิงสาวมองปฏิกิริยาคู่สนทนาของชายหนุ่มอย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความสุภาพและให้ความเกรงใจอย่างเห็นได้ชัด

ด้วยนึกสงสัยความเป็นอยู่ของชยินเป็นทุนเดิม พอหัวหน้าผู้คุมค่ายเอ่ยขอตัวหลังจากสิ้นสุดบทสนทนาหญิงสาวจึงค่อยๆ ย่องออกจากที่ซ่อนแล้วหมุนตัวเดินกลับเส้นทางเดิม

ขากลับวริสาใช้เวลาเร็วกว่าขาไปเกือบเท่าตัว พอเดินเข้าไปในเต้นท์เธอกวาดตาไปรอบๆ พอเห็นบุคคลที่ต้องการเธอจึงพุ่งเข้าไปแล้วแจ้งความประสงค์ในทันที

เวลาไม่ถึงอึดใจหญิงสาวพร้อมล่ามก็ปรากฏตัวอยู่ในห้องทำงาน ซึ่งสร้างเพื่อใช้งานเพียงชั่วคราวของหัวหน้าผู้คุมค่าย วริสามองชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปลายๆ กำลังจ้องเธอด้วยความประหลาดใจอย่างลังเลว่าควรเดินหน้าหรือถอยหลัง

“คุณมีธุระอะไรหรือหมอ” คำถามเป็นภาษาฝรั่งเศสอย่างสุภาพนั้น ทำให้วริสาหันไปขอความช่วยเหลือจากล่าม ก่อนจะพยักหน้ารับรู้เมื่ออีกฝ่ายช่วยแปลความหมายให้ฟัง

“คุณช่วยบอกเขาหน่อยสิคะว่าฉันต้องการถามอะไรบางอย่าง” เธอแจ้งความประสงค์ออกไป และความประสงค์นั้นก็ถูกถ่ายทอดไปยังอีกฝ่ายอย่างไม่ตกหล่น

“คุณต้องการรู้เรื่องอะไร” ถามด้วยสีหน้าฉงนฉงายเพราะนึกไม่ออกว่า ภายในค่ายผู้ลี้ภัยแห่งนี้มีสิ่งใดที่ทำให้หญิงสาวสนใจจนถึงขั้นบุกเข้ามาพบเขา

“ฉันต้องการทราบว่าคนเจ็บที่อยู่ในความดูแลของฉัน ซึ่งพักอยู่ที่เต้นท์นั่นเขาอยู่ในค่ายนี้มานานเท่าไรแล้ว” คำถามของเธอที่ถูกถ่ายทอดออกไปทำให้คนตอบหันไปยังทิศทางที่หญิงสาวชี้แล้วยิ้มในสีหน้า

“หมอหมายถึงคุณเซดริกใช่ไหม”

“เซดริก...” หญิงสาวทวนสรรพนามนั้น ขณะจ้องหน้าล่ามที่เพิ่งบอกข้อความกับเธอสลับกับอีกคน แล้วพยักหน้าแม้จะยังงุนงงกับสิ่งที่ได้ยินก็ตามที

“คุณเซดริกไม่ใช่ผู้ลี้ภัยท่านเป็นผู้บริจาครายใหญ่ที่ให้การสนับสนุนด้านการเงินรวมถึงสิ่งของจำเป็น” คำตอบนั้นถูกแปลเป็นภาษาไทยทันทีหลังจากอีกฝ่ายพูดจบประโยค

“อะไรนะ!...หมายความว่าเขาไม่ได้อยู่ที่ค่ายนี้แต่แรกอย่างนั้นหรือคะ” วริสาถามน้ำเสียงกึ่งตกใจกึ่งไม่เชื่อกับสถานะใหม่ ของคนที่เธอรู้สึกเห็นอกเห็นใจในชะตากรรมของเขามาเกือบสามอาทิตย์ ความคลางแคลงนั้นทำให้เธอตั้งคำถามกับตัวเองและพยายามหาเหตุผลมาหักล้าง แต่คำบอกเล่าเกี่ยวกับชายหนุ่มที่ล่ามกำลังแปลให้ฟังก็ทำให้หญิงสาวก็ถึงกับยืนตัวแข็งทื่อ ในขณะหูเริ่มอื้อเพราะความโกรธ

เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการ หนำซ้ำยังเป็นข้อมูลที่ผิดไปจากความเข้าใจชนิดเกินความคาดหมาย วริสาจึงเอ่ยขอบคุณพร้อมกับขอตัวกลับ ระหว่างเดินออกจากห้องทำงานเธอขอบคุณล่ามที่ให้ความช่วยเหลือ พร้อมกับแจ้งว่าต้องการไปบอกลาอีตาผู้กองพลัดถิ่นผู้อาภัพที่เปลี่ยนสถานะเป็นมหาเศรษฐีเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ในฐานะหมอที่เคยรักษาอาการบาดเจ็บของเขา

หลังจากแยกกับล่ามวริสานึกก่นด่า คนที่ปั้นแต่งชีวิตตัวเองอย่างน่าเวทนามาเกือบสามอาทิตย์ ด้วยความคับแค้นใจ...หน็อยอีตาผู้กองบ้า...กล้าหลอกลวงเธอถึงขนาดนี้เลยเหรอ...เธอเข่นเขี้ยวขณะก้าวไปตามทางเดินด้วยสีหน้าบึ้งตึง ไม่ถึงอึดใจก็เดินเข้าไปหยุดอยู่หน้าเต้นท์ที่พักของคนเจ้าเล่ห์

วริสามองแผ่นหลังของคนที่ทำให้หัวใจเธอเต้นแรงทุกครั้งเมื่อได้ชิดใกล้ ไล่ไปตามเสื้อผ้าอาภรณ์ซึ่งเธอเพิ่งมองเห็นความดูดีมีราคาแตกต่างไปจากคนที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางความลำบาก แล้วอยากจะหัวเราะให้กับความโง่เขลาของตัวเอง

หญิงสาวยืนกำมือแน่นขณะพยายามนึกหาคำพูดเจ็บจี๊ด เพื่อฉีกกระชากหน้ากากของอีกฝ่าย โดยที่สายตายังจ้องเขม็งไปยังเจ้าของร่างสูงใหญ่กำลังยืนสนทนาอยู่กับคนสนิทของเขา

“อ้าว...คุณหมอมีอะไรหรือเปล่าครับ” ซาเยร์ทักทายเมื่อเหลือบไปเห็นใบหน้ามึนตึงของหญิงสาว

“มีค่ะ...” น้ำเสียงของเธอห้วนสนิทจนคนที่หันตามสายตาของคนสนิท รับรู้ถึงสัญญาณอันไม่น่าไว้วางใจในทันที

“คุณมีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า” ชยินหมุนตัวเดินเข้าไปหาหวังจะคว้ามือของเธอมากุมไว้ ก่อนจะชะงักเมื่อหญิงสาวขยับถอยแล้วจ้องมองมาด้วยประกายตาขุ่นเขียว และท่าทางแปลกไปนั้นก็อยู่ในสายตาของซาเยร์ด้วยเช่นกัน

“ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ” น้ำเสียงห่างเหินนั้นทำให้คิ้วของชายหนุ่มขมวดมุ่นด้วยความงุนงง

“หมอต้องการคุยเรื่องอะไรหรือครับ” เขาถามเสียงอ่อนโยนขณะหันไปทางคนสนิท แล้วใช้สายตาบอกอีกฝ่ายว่าต้องการความเป็นส่วนตัว ซาเยร์มองตาเจ้านายอย่างคนรู้ใจ ขณะหมุนตัวเสียงใสๆ ของวริสาก็กังวานขึ้น

“อยู่ก่อนสิซาเยร์” คำทัดทานนั้นทำให้ซาเยร์หันไปสบตาชยิน ก่อนจะเบนกลับไปมองใบหน้าบึ้งตึงอย่างอึดอัดกับสายตาเอาเรื่องที่จ้องเขาสลับกับผู้เป็นนาย

“เอ่อ...คุณหมอมีธุระกับผมด้วยหรือครับ”

“ใช่...ฉันมีธุระกับพวกคุณทั้งคู่เลย”

“ถ้าธุระของหมอหมายถึงการเอ่ยคำอำลา พวกเราพอรู้อยู่เหมือนกันว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่หมอจะอยู่ที่นี่” ชยินเดาไปตามความเข้าใจของเขา

“แล้วคุณละคะจะอยู่ที่นี่เป็นวันสุดท้ายด้วยหรือเปล่า” คำถามที่สวนกลับมานั้นทำให้ทั้งเจ้านายและลูกน้องต่างหันมองหน้ากัน

“ผมไม่เข้าใจคำถามของหมอ” คนที่ยังไม่รู้ชะตากรรมถามด้วยสีหน้างุนงง

“คุณต้องการคำอธิบายแบบไหนเหรอคะ...คุณเซดริก” วริสาเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างผู้ชนะ ขณะเรียกอีกฝ่ายด้วยสรรพนามที่ทำเอาเจ้าของชื่อถึงกับสะดุ้งโหยง

และไม่ได้มีเพียงชยินเท่านั้นที่สะดุ้ง เพราะซาเยร์ที่กำลังยืนลุ้นระทึกกับสีหน้าเย็นชาและสายตาเอาเรื่องก็ถึงกับใจหายวาบ เมื่อหน้ากากของเจ้านายถูกฉีกกระชากออก...ซวยละสิ...ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอขณะมองสีหน้าคนหาเรื่องให้ตัวเองเจื่อนลงเล็กน้อยอย่างนึกห่วง

“หมอ...” ชยินปรับสีหน้าให้เป็นปกติขณะก้าวเข้าไปหาเธอ แต่อีกฝ่ายถอยหนี

“หยุดอยู่ตรงนั้นนะผู้กอง” วริสาออกคำสั่งน้ำเสียงเฉียบขาดในขณะจ้องคนหลอกลวงตรงหน้าอย่างผิดหวัง

“ไม่เอาน่าหมอ...มันไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อย” คนที่ยังยืนอยู่บนความคิดของตัวเอง เอ่ยราวกับสิ่งที่ทำลงไปเป็นเรื่องปกติธรรมดา และคำพูดนั้นก็ทำให้ซาเยร์แทบยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเอง

“คุณมองว่าการกระทำที่หลอกฉันมาเกือบสามอาทิตย์มันไม่ใช่เรื่องใหญ่งั้นเหรอคะ” น้ำเสียงของหญิงสาวทั้งห้วนทั้งขุ่นเขียว

“ผมไม่ได้หลอกคุณนะหมอ”

“ไม่ได้หลอก...คุณกล้าพูดว่าไม่ได้หลอกฉันเชียวเรอะคุณชยิน” น้ำเสียงของหญิงสาวก้ำกึ่งระหว่างตัดพ้อกับตำหนิ

“อย่าทำเสียงเย็นชาอย่างนั้นสิครับหมอ...ผมใจคอไม่ค่อยดี” ชยินพูดเสียงอ่อนหวาน

“นั่นมันก็เรื่องของคุณ”

“อย่าเพิ่งโกรธกันได้ไหม มีอะไรพูดจากันดีๆ ไหนบอกมาซิว่าผมไปหลอกอะไรคุณ” ถามขณะยืดตัวเต็มความสูงแล้วกอดอกมองเธอด้วยอิริยาบทสบายๆ อย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกับท่าทางฉุนจัดของอีกฝ่าย

“คุณบอกฉันว่าพักอยู่ที่นี่”

“ใช่ผมบอกคุณแบบนั้น แต่ผมก็อยู่ที่นี่จริงๆ ไม่ใช่เหรอ” ชยินยอมรับพร้อมกับผายมือออก

“แต่คุณไม่ได้อยู่จริงนี่คะ”

“ก่อนหน้านี้จริงอยู่ที่ผมไม่ได้อยู่นี่ แต่หลังจากเจอคุณมันก็อีกเรื่องหนึ่ง และตอนนั้นคุณก็ไม่ได้ถามว่าผมอยู่ที่นี่มานานแค่ไหน” ชยินอาศัยช่องว่างเอาตัวรอดได้หวุดหวิด

“นี่คุณ...” พอถูกอีกฝ่ายยอกย้อนหญิงสาวก็ถึงกับพูดไม่ออก เพราะเธอไม่ได้ถามอย่างที่เขาหยิบยกขึ้นมาอ้าง หนำซ้ำยังสรุปสิ่งที่เห็นไปตามความเข้าใจของตัวเองอีกด้วย

“ถึงไม่ถามแต่คุณก็ทราบว่าฉันมีความเข้าใจอย่างไรกับสถานะของคุณ และคุณก็ไม่ได้ปฏิเสธกับความเข้าใจผิดของฉัน ซึ่งหากไม่จงใจปกปิดก็ควรอธิบายให้ชัดเจนถูกไหมคะ” หญิงสาวโยนคำถามออกไปอย่างไม่ยอมแพ้

“โธ่หมอ...เวลานั้นผมบาดเจ็บนะ ไหนจะตื่นเต้นดีใจที่ได้พบคุณ จึงไม่ได้สนใจกับอะไรทั้งนั้น” วริสาฟังคำแก้ตัวที่เรียกได้ว่าแถได้อย่างน่าหมั่นไส้ด้วยสีหน้าบูดบึ้งอีกเท่าตัว

“ฉันไม่เคยคิดเลยว่าคุณจะเป็นคนกะล่อนขนาดนี้ คุณเห็นฉันโง่มากนักหรือไง” น้ำเสียงของหญิงสาวแข็งกร้าว ในขณะสายตาจ้องอีกฝ่ายด้วยประกายขุ่นเขียวและเย็นชา

“เปล่า...ผมไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นเลยนะหมอ” ชายหนุ่มปฏิเสธ

“คุณไม่คิดแต่การกระทำมันใช่ แต่ช่างเถอะถือเสียว่าเป็นความโง่เง่าของฉันที่ทึกทักเอาเอง และที่ฉันมานี่ก็เพื่อจะบอกคุณว่า นับตั้งแต่นี้ต่อไปขอให้เราอย่าได้พบเจอกันอีก...ฉันไปล่ะ” พอพูดจบขณะหมุนตัวกลับก็ต้องตกใจเมื่อร่างสูงใหญ่ก้าวเข้าประชิดตัวพร้อมกับกระชากเธอเขาสู่วงแขน

“เรายังพูดกันไม่รู้เรื่องเลยนะหมอ...” เขามองใบหน้าเย็นชากึ่งตกใจแล้วเอ่ยเสียงต่ำ เพราะนึกไม่ชอบใจที่เธอนึกจะไปก็ไปง่ายๆ โดยไม่สนใจความรู้สึกของเขา

“ปล่อยฉันนะ!...ฉันเกลียดคุณ!...” วริสาตวาดใส่หน้าเขาขณะใช้มือผลักอกแกร่งอย่างเกรี้ยวกราด

“เกลียดผมเหรอ...” ถามพลางเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะอมยิ้ม เมื่อเห็นประกายบางอย่างไหววาบอยู่ในดวงตาคู่สวย ซึ่งเขามองออกว่ามันขัดกับคำพูดของเธอ “บางทีเราอาจต้องใช้เวลาคุยเรื่องนี้นานสักหน่อย...คุณว่าไหม” ชยินมองใบหน้าบูดบึ้งเปลี่ยนเป็นเผือดซีดแล้วยิ้มในสีหน้า ก่อนจะตวัดอุ้มร่างบางขึ้นแนบอกก้าวพรวดเดียวหายเข้าไปในเต้นท์

“ไม่นะ!...คุณชยินปล่อยฉัน...ปล่อย! ซาเยร์ช่วยฉันด้วย” หญิงสาแผดเสียงห้ามพร้อมกับตะโกนให้ซาเยร์ช่วย

“ผู้กอง!...” ซาเยร์ที่ตกใจพอกันขยับจะเข้าไปช่วย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงตวาดสวนกลับมา

“แกไม่ต้องยุ่ง...หยุดดิ้นได้แล้วหมอ” พอสกัดคนสนิทเสร็จ ชายหนุ่มจึงหันมาออกคำสั่งคนที่กำลังดิ้นอึกอักอยู่ในวงแขน

วริสาร้องวี๊ดขึ้นก่อนเสียงนั้นจะถูกกลืนกลับลงคอ เมื่อชายหนุ่มแนบริมฝีปากปิดกั้นไม่ให้มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา เสียงกรี๊ดของหญิงสาวที่ดังขึ้นทำให้ซาเยร์ยืนหันรีหันขวางอย่างลังเลว่าเขาควรเข้าไปช่วยเธอไหม ก่อนจะยกมือเกาหัวอย่าง งุนงงเมื่ออยู่ๆ เสียงนั้นเงียบหายไป

“เอาไงดีวะ” เขาถามตัวเองก่อนจะอมยิ้มเมื่อเสียงหวีดร้องเปลี่ยนเป็นเสียงอู้อี้ ตามด้วยเสียงทุบกำปั้นลงบนร่างแกร่ง และนั่นก็ทำให้คนที่ยืนลังเลอยู่ด้านนอกพอนึกภาพออกว่าสถานการณ์ด้านในกำลังกรุ่นไปด้วยอารมณ์ชนิดไหน

เมื่อเห็นว่าเจ้านายต้องการความเป็นส่วนตัวในการง้อคุณหมอคนสวย ซาเยร์จึงขยับถอยออกมาอย่างง่ายดาย ...เฮ้อ...รวดเร็ว ฉับไวยิ่งกว่าสายฟ้าอีกตามเคยนะผู้กอง...ซาเยร์ยิ้มกับตัวเองขณะปล่อยให้คนที่เขารู้ว่าหัวใจของพวกเขาต่างเดินอยู่บนความรู้สึกแบบเดียวกันปรับความเข้าใจได้ตามสะดวก แล้วเดินไปเอนตัวลงนอนกับม้านั่งตัวยาวซึ่งอยู่ห่างไปพอสมควร และกระดิกเท้าอย่างสบายอารมณ์

วริสาดิ้นอึกอักขณะรัวกำปั้นลงบนร่างกายแกร่งกำยำไม่นับ แต่ดูเหมือนคนที่กำลังอยู่ในห้วงอารมณ์หวามจะไม่รู้สึกรู้สา นอกจากลดแรงกดจากน้ำหนักของริมฝีปากด้วยจังหวะหนักหน่วงเป็นนิ่มนวล และการกระทำนั้นก็ทำให้เส้นประสาทภายในส่งการรับรู้ไปยังสมองของหญิงสาวส่งผลให้ก่อเกิดความรู้สึกต่างๆ และมันกำลังทำให้สามัญสำนึกของเธอพร่าเลือนเหมือนล่องลอยอยู่ในความฝัน...

ชยินพอใจกับการต่อต้านที่อ่อนลง ก่อนจะวางเธอลงบนฟูกทั้งริมฝีปากเขายังคลอเคลียอยู่กับริมฝีปากนุ่มละมุนนั้น ชายหนุ่มใช้สัมผัสอันนุ่มนวลบอกเธอถึงความรู้สึกอันมากมายมหาศาล ยามเธอตอบรับกลับมาด้วยความเผลอไผลอย่างน่าอัศจรรย์ ยิ่งทำให้เขารู้สึกพึงพอใจ

ชายหนุ่มยังคงใช้ชั้นเชิงหลอกล่อให้เธอคล้อยไปตามแรงอารมณ์ที่โหมกระพือ และสัมผัสอันแสนดูดดื่มเต็มไปด้วยความละมุนละไมนั้น กำลังช่วยสะกดอารมณ์โกรธของหญิงสาวให้เลือนหาย เปลี่ยนความมึนตึงเป็นความโหยหาอย่างที่ไม่อาจปกปิดไว้ได้ ดวงตาคู่สวยหลับพริ้มแล้วล่องลอยอยู่กับความรัญจวนด้วยความเผลอไผล ในขณะร่างกายของเขาและเธอแนบสนิทอย่างเร่าร้อนไปตามความปรารถนาที่ก่อตัวขึ้น

แม้อยากล่องลอยไปกับความใคร่ที่ลุกโชนจนยากดับ แต่ชยินก็พยายามยับยั้งทุกอย่างไว้เพียงแค่จูบ ชายหนุ่มไม่ได้แตะต้องปลุกเร้าร่างกายส่วนใดของเธอ นอกจากเบียดร่างกายแนบชิดราวกับจะหลอมรวมร่างกายของพวกเขาให้เป็นหนึ่งเดียวโดยไม่คิดล่วงเกินมากไปกว่านั้น...

ผู้นำทางยังคงจูบกระตุ้นอารมณ์คนอ่อนประสบการณ์อย่างดูดดื่ม ก่อนจะปรับเป็นคลอเคลียด้วยจังหวะบางเบาเชื่องช้าและอ้อยอิ่ง แต่ไม่ว่าจะเป็นจังหวะไหนก็ทำให้ร่างบอบบางสั่นสะท้านและซาบซ่านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แรงปรารถนาที่ก่อตัวอย่างไม่อาจระงับยับยั้ง ทำให้ร่างกายของหญิงสาวปั่นป่วนอย่างหนัก

ชายหนุ่มแตะปลายนิ้วสัมผัสใบหน้านวลงามอย่างทะนุถนอมเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ขณะบรรจงมอบจูบดูดดื่มเต็มไปด้วยความอ่อนหวาน และเรียกร้องให้เธอสนองตอบอยู่ในทีอย่างเป็นจังหวะ จนรับรู้ถึงอาการอ่อนระทวยพร้อมที่จะสยบให้กับความต้องการของเขา จวบจนพอใจจึงถอนริมฝีปากออกช้าๆ

ดวงตาหวานฉ่ำเต็มไปด้วยอารมณ์อันเร่าร้อน จ้องดวงตาหลับพริ้มค่อย ๆ ลืมขึ้นอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะอมยิ้มน้อยๆ ขณะมองริมฝีปากนุ่มนิ่มอย่างหลงใหล วริสาที่สมองยังพร่าเลือนจ้องประกายตาลึกซึ้งด้วยความรู้สึกที่ยังกระจัดกระจาย ก่อนจะหลุบเปลือกตาลงอย่างอ่อนใจ เมื่อเขาแนบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง และจูบต่อไปเรื่อย ๆ แล้วดื่มด่ำกับบรรยากาศอันแสนหวานนั้น อย่างไม่รู้เบื่อ...

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น