บทที่ ๔ ยายกะโปโล
นภเกตน์พนมมือไหว้ท่านชายหนุ่มที่กำลังก้าวลงจากรถประจำองค์อย่างสง่างาม แล้วส่งยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายอย่างคนที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี รอยยิ้มละไมระบายอยู่บนใบหน้าคมคายของหม่อมเจ้าอธิธัช ณรังค์กูล ก่อนที่เจ้าตัวจะส่งตะกร้าผลไม้ให้น้องชายคนเล็กของวังแล้วเอ่ยเสียงนุ่ม
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะชายนภ สบายดีไหม”
“สบายหายห่วงครับพี่ชายธัช เข้าไปข้างในกันครับ พี่ชายทีกำลังรออยู่เลย”
เสียงพูดคุยหัวเราะอย่างเป็นกันเองที่ดังมาทำให้นทีกุลคลี่ยิ้ม วางหนังสือพิมพ์ลงข้างกาย แล้วลุกขึ้นยืนเพื่อทำความเคารพราชนิกุลหนุ่ม
“สวัสดีครับ พี่ชายที”
หม่อมเจ้าอธิธัชยกมือไหว้พี่ชายคนโตแห่งวังวโรรสอย่างเรียบร้อย ท่าทางนอบน้อมของคนอายุน้อยกว่าทำให้นทีกุลยิ้มรับอย่างชื่นชม แม้อีกฝ่ายจะมีศักดิ์สูงกว่า แต่ท่านชายก็ไม่เคยแสดงท่าทางวางอำนาจกับพวกเขาเลยสักครั้ง
“เสด็จมาถึงที่นี่ เป็นพระมหากรุณาธิคุณเหลือเกินกระหม่อม”
“อย่าพูดคำราชาศัพท์กับผมเลยครับพี่ชายที เราคนกันเองแท้ๆ” ราชนิกุลหนุ่มพูดพร้อมกับนั่งลงข้างอีกฝ่าย “แล้วนี่ชายธรณ์ไม่อยู่หรอกหรือครับ”
“รายนั้นออกไปดูคนไข้ตั้งแต่เช้า ถึงจะเป็นวันหยุดก็พักผ่อนที่โรงพยาบาลครับ”
คำตอบของนภเกตน์ทำให้หม่อมเจ้าอธิธัชยิ้มขำ นรินธรณ์เพื่อนรักของเขาเป็นคุณชายผู้คงแก่เรียนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยิ่งเมื่อเรียนจบด้านจักษุแพทย์ เจ้าตัวก็คร่ำเคร่งอยู่กับการทำงานจนแทบไม่มีเวลามาสังสรรค์กับเพื่อนร่วมรุ่น คงมีแต่เขาที่ยังมีโอกาสได้เจออีกฝ่ายบ้าง เพราะไปเรียนต่อที่อังกฤษเหมือนกันและสนิทสนมกันมากกว่าเพื่อนคนอื่น
“สงสัยที่โรงพยาบาลคงมีคุณหมอหรือพยาบาลสวยๆ อยู่กระมัง”
“ถึงจะมี พี่ชายธรณ์ก็ไม่สนใจหรอกครับ รายนั้นเขาจะแต่งกับตำรา” นภเกตน์ตอบด้วยน้ำเสียงขึงขัง “เห็นทีผมคงต้องพาพี่ชายธรณ์ไปเปิดหูเปิดตาที่สมาคมเสียหน่อยแล้ว”
“อยากจะไปเองเสียมากกว่ากระมัง”
น้ำเสียงเคร่งขรึมของผู้มาใหม่ทำให้คุณชายคนเล็กชะงัก ขณะที่นรินธรณ์นั่งลงข้างผู้เป็นแขกแล้วเอ่ยต่อ
“เป็นอย่างไรบ้างชายธัช ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“สบายดี แกยังบ้างานเหมือนเดิมเลยนะ”
“แล้วทำไมวันนี้ถึงได้กลับเร็วนักเล่าครับ” นภเกตน์ถามคนเป็นพี่ ขณะที่หม่อมเจ้าอธิธัชมองอีกฝ่ายที่เอาตัวรอดโดยการเปลี่ยนเรื่องอย่างนึกทึ่ง อาชีพทนายทำให้เขาพูดเก่งและโน้มน้าวเก่งยิ่งกว่าใคร
“วันนี้ไม่ใช่เวรของพี่ แถมชายธัชแวะมาทั้งที พี่ก็ต้องกลับมาเจอหน้าเพื่อนรักเสียหน่อย”
“ตั้งใจจะมาดูยายนิดมากกว่ากระมังครับ” นภเกตน์ตอบอย่างรู้ใจ
นรินธรณ์ส่งสายตาดุไปให้อีกฝ่าย เป็นที่รู้กันว่าคุณชายทั้งสามพร้อมใจกันจัดการงานให้เรียบร้อยเพื่อต้อนรับคู่หมั้นของน้องสาว และจะได้ช่วยกันป้องกันสถานการณ์ฉุกเฉินหากเกิดอะไรไม่คาดคิด
“ยายนิดไม่เหมือนสาวๆ ที่นายรู้จักแน่นอน”
“เดี๋ยวพอเจอตัวก็จะเข้าใจเองครับ”
นภเกตน์เสริมพี่ชายคนโตแล้วยิ้มทะเล้น ขณะที่ราชนิกุลหนุ่มมองสีหน้ามีเลศนัยของเหล่าคุณชายอย่างงุนงง ก่อนจะลุกเดินตามทั้งสามออกไป
ปัง! ปัง! ปัง!
นัยน์ตาคมเข้มของหม่อมเจ้าอธิธัช ณรังค์กูล ทอดมองด้านหลังของหญิงสาวร่างสูงสมส่วนที่ยังคงไม่รับรู้การมาเยือนของพวกเขา แล้วเบือนหน้าไปมองกระป๋องที่ล้มระเนระนาดอยู่ตามพื้น เสียงปืนที่เขาได้ยินตั้งแต่มาถึงคงจะเป็นฝีมือการฝึกซ้อมของเจ้าหล่อนเป็นแน่ ทั้งที่เป็นสาวชาววังแท้ๆ แต่กลับชอบยิงปืน ช่างเป็นผู้หญิงที่ประหลาดเสียจริง
“ท่าทางจะไม่ได้ยินพวกเราเลยนะ” นรินธรณ์พูดเสียงขรึม พลางสาวเท้าเข้าไปหาคนเป็นน้องแล้วเอ่ยเสียงดังกว่าเดิม
“ยายนิด ท่านชายธัชเด็จมาพบ”
ก่อนหน้านั้นสิบนาที
“คุณหญิงคะคุณหญิง ท่านชายเด็จมาค่ะ!”
น้ำเสียงระริกระรี้จนเกิดเหตุของสมร บ่าวหญิงที่อายุน้อยกว่าเธอไม่กี่ปี ทำให้นรีรัตน์ละสายตาจากเป้ากระป๋องมามองสีหน้าราวกับเห็นเทพบุตรมาอยู่ตรงหน้าของอีกฝ่ายอย่างงุนงง
“ท่านชายไหน”
“ท่านชายอธิธัช คู่หมั้นของคุณหญิงไงคะ” แม่ช้อย ผู้เป็นพี่เลี้ยงของหม่อมราชวงศ์ทั้งสี่ตอบด้วยรอยยิ้มปลาบปลื้ม ขณะที่หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ
ไม่รู้จะมาทำไม ไม่ได้อยากเจอเสียหน่อย!
“เห็นท่านชายมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ พอเจริญพระชันษาแล้ว สง่างามเหมือนเด็จพ่อของพระองค์ทีเดียวนะ”
“ตัวจริงงามมากเลยจ้ะป้า ผิวก็ขาวเนียนราวกับไม่เคยโดนแดด นัยน์ตาก็หวานเยิ้มปานน้ำผึ้ง ยิ่งพอยิ้มที หล่อเหลาราวกับเทพบุตรลงมาโปรดเลยจ้ะ”
คำเยินยอที่ดังอย่างต่อเนื่องทำให้หญิงสาวทำปากเบ้ด้วยความหมั่นไส้ ทว่าเธอก็แสดงออกด้วยการรัวกระสุนใส่เป้ากระป๋องตรงหน้า ท่ามกลางเสียงอุทานอย่างตกใจของสองบ่าวที่เอามือปิดหูกันไปตามๆ กัน
“ป้ากับหมอนไม่ต้องเฝ้าฉันหรอกจ้ะ ถ้ากลัวก็ไปอยู่ที่อื่นก่อน ถ้าฉันต้องการอะไรแล้วจะเรียก”
“แล้วคุณหญิงจะไม่ไปพบท่านชายหน่อยหรือคะ”
“ไปทำไม เสียเวลาเปล่า” หญิงสาวตอบทันที แล้วเหนี่ยวไกปล่อยกระสุนออกไปด้วยสีหน้าหงุดหงิด ขณะที่สมรและช้อยยกมือปิดหูแทบไม่ทัน
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงปืนที่ดังขึ้นติดต่อกันกลบเสียงสนทนาของสี่หนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาอย่างมิดชิด ขณะที่บ่าวหญิงทั้งสองพนมมือไหว้เจ้านายทั้งสี่ที่มาหาคุณหญิงด้วยสีหน้าตกตะลึง
“ยายนิด ท่านชายธัชเด็จมาพบ”
คำพูดของพี่ชายคนกลางที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้นัยน์ตาที่จ้องเป้ากระสุนตรงหน้าสั่นระริก มือที่กำปืนแน่นค่อยๆ ลดระดับลง หม่อมเจ้าอธิธัช ณรังค์กูล คือชายที่จะก้าวเข้ามาเป็นสามีของเธอ จะแปลกอะไรหากเขาอยากมาพบว่าที่ภรรยา และต่อให้เธออยากหนีไปให้ไกลแสนไกลแค่ไหน วันนี้ก็ต้องมาถึงอยู่ดี
“คุณหญิงคะ”
เสียงเรียกของพี่เลี้ยงที่ดังใกล้ๆ ทำให้หญิงสาวรู้สึกตัว เธอสูดลมหายใจลึกเพื่อระงับอารมณ์ แล้วหันไปเผชิญหน้ากับคนที่กำลังจะก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
“ไอ้โรคจิต!”
“ยายกะโปโล!”
นัยน์ตาสองคู่ประสานกันนิ่ง ใบหน้าของหม่อมราชวงศ์หญิงบึ้งตึงระคนตกใจ มือที่ชี้หน้าอีกฝ่ายสั่นระริกด้วยแรงโทสะ ก่อนที่เธอจะสาวเท้าเข้าไปใกล้ชายหนุ่มอย่างรวดเร็วแล้วตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวว่า
“มาหาเรื่องกันถึงที่นี่เชียวหรือ!” หม่อมราชวงศ์หญิงพูดเสียงกร้าวแล้วเล็งปืนไปที่ใบหน้าของราชนิกุลหนุ่ม ท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของบ่าวทั้งหลาย
“ยายนิด!”
นทีกุลปรามคนเป็นน้องเสียงดัง ทว่าหญิงสาวยังคงหันปากกระบอกปืนไปยังร่างของชายแปลกหน้าด้วยแววตาแข็งกร้าว สองปีที่เธอตามสืบเรื่องการลักลอบขนฝิ่นผ่านการขนส่งไม้ที่เชียงใหม่ ล้วนมีแต่ชื่อราชสกุลณรังค์กูลเข้ามาเกี่ยวข้อง และคนที่ครอบครองกิจการของณรังค์กูลค้าไม้ในปัจจุบัน ก็คือหม่อมเจ้าอธิธัช ณรังค์กูล คนนี้นั่นเอง
‘ฝิ่นที่กำลังระบาดหนักอยู่ในพระนครตอนนี้ เป็นฝีมือของพวกณรังค์กูลครับ’
‘ณรังค์กูลเป็นตระกูลใหญ่และมีชื่อเสียง ท่านชายอธิธัชเองก็เก่งกาจและมีอำนาจ เจ้าหน้าที่รัฐหลายคนจึงไม่กล้ารับงานนี้’
‘คุณหญิงน่ะหรือจะทำงานใหญ่ขนาดนี้ได้ เป็นแค่ผู้หญิง อย่าริอ่านต่อกรกับท่านชายอธิธัชดีกว่า’
และอีกมากมายสารพัดที่เธอได้ยินมาเกี่ยวกับความเจ้าเล่ห์และอันตรายของผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า ทั้งที่เป็นถึงราชนิกุลผู้สูงศักดิ์ แต่กลับเข้าไปพัวพันกับสิ่งผิดกฎหมายเพื่อเงินและอำนาจ เธอนึกไม่ออกเลยว่าจะโกรธและรังเกียจใครได้เท่าท่านชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ไหม
“อย่าทำอะไรบ้าๆ นะยายนิด!”
นภเกตน์พูดอีกคน ทว่าดวงตาคู่โตของผู้เป็นน้องยังคงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมเข้มของหม่อมเจ้าอธิธัชที่จ้องตอบอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน สีหน้าและท่าทางเย่อหยิ่งของอีกฝ่ายยิ่งทำให้อารมณ์โกรธเกรี้ยวของหญิงสาวโหมกระหน่ำมากกว่าเดิม
ผู้ชายคนนี้อันตราย...
ความรู้สึกบางอย่างบอกเธออย่างนั้น ไม่ใช่เพราะเขาคือไอ้โรคจิตที่เคยกล่าวหาว่าเธอเป็นขโมย หรือเพราะเขาคือผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่งของเธอ แต่เป็นเพราะแววตาและท่าทางที่เต็มไปด้วยอำนาจและความมั่นใจในตัวเองสูงนั่นต่างหาก
น่าหมั่นไส้!
ยิ่งเห็นแววตาที่จ้องมาอย่างท้าทายนั่นก็ยิ่งหงุดหงิด แล้วนั่น! ยังมายักคิ้วให้อีก ยืนกอดอกแบบนั้นคิดว่าดูดีหรือไงกัน ผู้ชายตรงหน้าจะรู้ตัวบ้างไหมว่าเขากำลังเล่นอยู่กับใคร!
ปัง!
“เฮ้ย!”
ราชนิกุลหนุ่มร้องเสียงหลงพร้อมก้มลงหมอบกับพื้น ขณะที่นรีรัตน์แย้มยิ้มเหยียดอย่างสมเพช ดูเอาเถอะ หมอบไวราวกับเพิ่งเกณฑ์ทหารมาหมาดๆ สงสัยคงโดนส่งตัวไปรบอยู่ชายแดนมาบ้างกระมัง หมอบเก่งขนาดนี้
นทีกุลและนภเกตน์มองสีหน้าโกรธเกรี้ยวของผู้เป็นน้องอย่างตื่นตะลึง ขณะที่นรินธรณ์ลอบยิ้มอย่างรู้สึกทึ่ง แบบนี้เขาก็ไม่ต้องห่วงน้องสาวแล้ว เพราะดูจากลักษณะการหมอบของอธิธัช เพื่อนรักของเขาคงจะอยู่ในโอวาทของว่าที่ภรรยาได้ไม่ยากนัก
“ตายแล้ว! ทำอะไรน่ะหญิงนิด!”
เสียงตะโกนราวกับฟ้าผ่าที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้สามหนุ่มแห่งวังวโรรสหลับตาลงอย่างสังเวชใจ ขณะที่นรีรัตน์ลดปืนในมือลงด้วยสีหน้าเย็นชาก่อนจะหันไปมองแววตาโกรธจัดของผู้เป็นย่า แล้วสาวเท้าเดินออกจากสวนอย่างไม่แยแสทันที
“หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยด้วยเพคะฝ่าพระบาท ที่หญิงนิดเสียมารยาท”
“ไม่เป็นไรครับคุณย่า ผมไม่ได้โกรธเคืองอะไรเลยครับ” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยนให้หญิงชราที่มีสีหน้าหนักอกหนักใจ ขณะที่คุณชายทั้งสามก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วนไม่แพ้กัน
หม่อมเจ้าอธิธัชเผลอยกมือลูบบาดแผลบริเวณหน้าผากที่ใครบางคนฝากไว้ให้เขาเมื่อไม่นานมานี้ โลกนี้ช่างประหลาดเหลือเกิน ใครจะไปคิดว่ายายกะโปโลที่เขาวิ่งไล่จับเมื่อหลายวันก่อนจะกลายมาเป็นว่าที่ภรรยาเสียได้
หม่อมราชวงศ์นรีรัตน์ วโรรส...
เธอเป็นลูกสาวของท่านอานฤเบศจริงหรือ เหตุใดหม่อมราชวงศ์หญิงที่ถูกส่งไปเรียนโรงเรียนสตรีล้วนที่ปีนังตั้งแต่เล็กถึงกลายมาเป็นปลัดนักแม่นปืนไปได้ นี่ยังไม่นับรวมที่หล่อนอุตริแต่งเป็นชาย วิ่งไล่จับขโมยนั่นอีก
ประหลาด...ประหลาดจริงๆ
“หม่อมฉันสั่งสอนหญิงนิดไม่ดี เธอถึงได้แสดงกิริยาหยาบคายต่อท่านชาย ต้องขอประทานอภัยจริงๆ เพคะ”
“ผมไม่ได้โกรธเธอเลยครับคุณย่า อย่าไปว่าเธอเลยนะครับ”
สีหน้าและท่าทางแสนอบอุ่นที่หม่อมเจ้าอธิธัชแสดงออกมา ทำให้คนที่ยืนแอบมองอยู่อีกมุมของห้องเบะปากอย่างหมั่นไส้ ไม่บอกก็รู้ว่าเขาจงใจสร้างภาพคนดีเพื่อให้คุณย่าและพี่ชายของเธอไว้วางใจ ใครจะรู้เล่าว่าภายใต้หน้ากากที่แสนอบอุ่นนั้น หม่อมเจ้าอธิธัชคือคนเลวที่ทรยศประเทศชาติเพื่อประโยชน์ของตนเอง
“ทำเป็นพูดดีไปเถอะ” นรีรัตน์พึมพำขณะจับจ้องชายหนุ่มที่นั่งนิ่งราวกับเรื่องที่เพิ่งผ่านไปไม่ได้ทำให้เขาหวั่นใจอย่างหงุดหงิด ทั้งที่เมื่อกี้เขาเพิ่งจะหมอบหลบกระสุนเธอด้วยสีหน้าตกอกตกใจเหมือนแมวกลัวเสียงประทัดอยู่แท้ๆ
“จะไม่เข้าไปหรือคะคุณหญิง”
เสียงของแม่ช้อยทำให้นรีรัตน์เบือนหน้าจากราชนิกุลหนุ่มมามองสีหน้าห่วงใยของพี่เลี้ยง หญิงสาวส่ายหน้าแล้วหมุนตัว ตั้งใจจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง ทว่า...
“เข้ามาสิ หญิงนิด”
เท้าที่กำลังก้าวหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงทรงอำนาจของผู้เป็นย่า นรีรัตน์ถอนหายใจแรงๆ อย่างเหนื่อยหน่าย แล้วเดินอย่างเชื่องช้าเข้าไปนั่งพับเพียบต่อหน้าหญิงชราอย่างไม่เต็มใจนัก
“ท่านผู้นี้คือหม่อมเจ้าอธิธัช ณรังค์กูล คู่หมั้นของหลาน” คุณย่าแนะนำด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ขณะที่หม่อมราชวงศ์หญิงเหลือบตาขึ้นมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
“ยังจะเฉยอีก ไหว้ท่านชายสิลูก”
หญิงสาวถอนหายใจยาวเสียงดัง พนมมือวาดออกไปข้างหน้าเป็นวงกลมเหนือหัวจนปลายนิ้วเกือบชนใบหน้าอีกฝ่ายด้วยท่าทางตั้งอกตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง แล้วตะโกนก้อง
“ถวายยยย...บังคมพ่ะย่ะค่ะ!”
ท่าทางการทำความเคารพอย่างเลื่อมใสศรัทธาจนเกิดเหตุ ทำให้ราชนิกุลหนุ่มชะงักท่ามกลางสีหน้าตื่นตะลึงของทุกคนในที่นั้น และตกใจยิ่งกว่าเมื่อเธอขยับเข้ามาใกล้เขา แล้วตะโกนเสียงดังก้องราวกับชายชาติทหารที่กำลังกล่าวรายงานกับนายเหนือหัว
“ขอพระองค์ทรงพระอิ่มหนำสำราญ มีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง พระชนมายุยืนนานสามแสนปี!”
รอบนี้นิ้วเรียววาดโค้งสามร้อยหกสิบองศาเป็นวงกว้างจนปลายนิ้วจิ้มหน้าผากชายหนุ่ม ก่อนจะทำเหมือนเดิมซ้ำเป็นครั้งที่สามในแบบที่สมาคมกุลสตรีไทยมาเห็นยังต้องยกนิ้วให้
“ตายแล้วหญิงนิด!” หม่อมหลวงนภัสวรรณเอามือทาบอก ขณะที่คุณชายทั้งสามได้แต่อ้าปากค้าง ทว่านรีรัตน์กลับยักคิ้วให้หม่อมเจ้าอธิธัชอย่างท้าทายก่อนจะพูดด้วยสีหน้าระรื่นว่า
“กระหม่อมวาดโค้งถวายบังคมสามครั้งตามแบบหนังสือเรียนพ่ะย่ะค่ะ นางสาวสยามก็นางสาวสยามเถอะ ข้าพระพุทธเจ้างามกว่าแน่นอน ท่านชายอยากลองทำตามบ้างไหมพ่ะย่ะค่ะ เอ้า! พนมมือตามกระหม่อม”
ไม่พูดเปล่า ยังจับข้อมืออีกฝ่ายมาประกบกันแล้วยกขึ้นวนไปมาเหมือนหมอผีตอนร่ายมนตร์ดำ โดยไม่สนใจสีหน้าเหลอหลาของหม่อมเจ้าอธิธัชเลยสักนิด
“โอ้โห! นี่มือหรือสากกะเบือกัน แข็งเชียวฝ่าบาท” หญิงสาวบ่นพร้อมกับดัดมืออีกฝ่ายเต็มแรงอย่างคนตั้งใจถ่ายทอดวิชาจนราชนิกุลหนุ่มร้องเสียงหลง “ร้องเป็นหมาโดนเหยียบหางเชียว ดัดไม้ดัดมือเสียหน่อยจะได้อ่อนๆ”
“หยุดนะหญิงนิด!”
หญิงสาวปล่อยมือชายหนุ่มทันทีเมื่อได้ยินเสียงดุของผู้เป็นย่า ขณะที่หม่อมเจ้าอธิธัชมองสีหน้าโกรธเกรี้ยวของว่าที่ภรรยาอย่างตื่นตะลึง ก่อนจะรีบเอามือที่ยังพนมเหนือหัวลงทันทีหลังจากได้สติ
“ขอโทษท่านชายเดี๋ยวนี้นะยายนิด”
นรีรัตน์ไม่สนใจเสียงพี่ชายคนรอง เธอเชิดหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาก่อนจะลุกขึ้นยืนตรงค้ำหัวท่านชายหนุ่มอย่างไม่เกรงใจ แล้วพูดต่อเสียงกร้าว
“ฉันจะบอกอะไรคุณให้นะ หม่อมเจ้าอธิธัช ณรังค์กูล” เจ้าตัวจงใจพูดเน้นนามและศักดิ์ราวกับจะยั่วโมโหอีกฝ่าย โดยไม่ใส่ใจที่จะใช้ราชาศัพท์ให้ถูกต้องแม้แต่น้อย “วันที่คุณแต่งงานกับฉัน ขอให้คุณจงรู้ไว้ ว่านั่นจะเป็นวันแรกที่ความสุขของคุณมลายหายไป”
น้ำเสียงของหม่อมราชวงศ์หญิงเย็นยะเยือก รอบด้านเงียบกริบราวกับทุกคนกำลังตื่นตะลึงในคำพูดของหญิงสาว ก่อนที่เธอจะเอ่ยประโยคสุดท้ายว่า
“เพราะฉันจะเป็นคนสอนให้คุณเข้าใจว่า การตกนรกทั้งเป็น มันเป็นยังไง!”
ถาดแก้วน้ำในมือช้อยหล่นพื้นแตกกระจาย พร้อมกับที่นรีรัตน์หมุนตัวเดินออกจากห้องรับแขกไปโดยไม่คิดจะหันกลับมามองสีหน้าตกตะลึงของว่าที่สามีแม้แต่น้อย คล้อยหลังหญิงสาว ร่างของหญิงชราที่มีอำนาจที่สุดในวังก็ล้มพับไป
“คุณย่า!”
หม่อมเจ้าอธิธัชถลาไปช่วยนทีกุลประคองร่างของหญิงชรา แล้วเขยิบให้นรินธรณ์เข้าไปดูอาการของอีกฝ่าย ใบหน้าซีดเผือดของผู้เป็นย่าทำให้ริ้วของความกังวลปรากฏบนใบหน้าของราชนิกุลหนุ่ม
“คุณย่าแค่เป็นลมน่ะ เดี๋ยวทางนี้ฉันดูแลเอง นายกลับไปก่อนเถอะ” นรินธรณ์พูดรัวเร็วกับเพื่อนรัก แล้วก้มลงวัดชีพจรที่ข้อมือของผู้เป็นย่า
“เรื่องทางนี้ไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าคุณย่าอาการดีขึ้นแล้วพี่จะโทรศัพท์ไปแจ้งให้นายทราบเองนะ” นทีกุลช่วยพูดอีกคน
ราชนิกุลหนุ่มพยักหน้ารับ ก้มลงกราบตักของหญิงชราที่ยังไม่ได้สติ แล้วเดินตามนภเกตน์ออกไปด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
“ต้องขอโทษแทนยายนิดด้วยนะครับ พี่ชายธัช” นภเกตน์พูดด้วยสีหน้าอ่อนใจ “ยายนิดอาจจะแปลกจากผู้หญิงทั่วไปอยู่บ้าง อย่าถือโทษโกรธเธอเลยนะครับ”
“คำสัญญาของสองตระกูลคงทำให้เธอลำบากใจมาก”
“ยายนิดเป็นคนหัวแข็งครับ ยิ่งถูกบังคับเธอก็ยิ่งต่อต้าน” นภเกตน์พูดต่อด้วยสีหน้าหนักใจ “เรื่องไม่เหมาะสมที่ยายนิดทำไปทั้งหมด ผมขอความกรุณาให้พี่ชายธัชให้อภัยเธอด้วยนะครับ”
สีหน้าและแววตาที่แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งของน้องชายคนเล็กแห่งวโรรส ทำให้หม่อมเจ้าอธิธัชแตะไหล่อีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ สิ่งที่นรีรัตน์แสดงออกบ่งบอกชัดเจนว่าเธอไม่ต้องการแต่งงานกับเขา แต่ถึงแม้การแต่งงานในครั้งนี้จะฝืนใจเธอมากแค่ไหน คำสัญญาของทั้งสองตระกูลก็ไม่สามารถถูกเพิกเฉยได้อยู่ดี
ความคิดเห็น |
---|