บทที่ ๓ โซ่ตรวนที่มองไม่เห็น
นัยน์ตากลมโตสั่นระริกขณะทอดมองอาคารสูงสองชั้นที่ยังคงงดงามเหมือนเคยนับตั้งแต่วันที่เธอจากไป ใบหน้าหวานมีรอยยิ้มบางประดับบนใบหน้า สองปีเต็มที่เธอต้องจากบ้านและครอบครัวไป ไม่มีวันไหนเลยที่เธอไม่คิดถึงที่นี่
“ไอ้หนุ่มที่ไหนมายืนทำหน้าเหมือนหมาหงอยอยู่หน้าวัง ดูท่าจะไม่รู้เสียแล้วว่านี่ถิ่นใคร”
เสียงเข้มที่ดังขึ้นเบื้องหน้าทำให้หญิงสาวเบือนหน้าไปมองสามหนุ่มแห่งวังวโรรสพร้อมกับตีหน้าขรึม นภเกตน์สาวเท้าเข้ามาใกล้แล้วพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจังจนเกินเหตุว่า
“นายโชคดีนะที่มาเจอพวกฉัน เพราะถ้ายายนิดอยู่ละก็ นายโดนไล่ตะเพิดจนกลับบ้านไม่ถูกไปแล้ว”
เป็นประโยคที่ทำให้หญิงสาวทำเสียงฮึดฮัดในลำคออย่างไม่พอใจ ขณะที่ชายหนุ่มทั้งสามมองหน้ากันพร้อมกับยิ้มอย่างขบขัน
“แต่ผมได้ยินมาว่า จริงๆ คุณนิดเธอเรียบร้อยอ่อนหวานมาก ขนาดนางสาวสยามยังอายเลยนะฮะ” หญิงสาวตอบหน้าตาย ขณะที่สีหน้าของหม่อมราชวงศ์หนุ่มทั้งสามเจื่อนไปทันที
“นายคงได้ยินข่าวลือมาผิดๆ แล้วละ จะทำให้ยายนิดเรียบร้อยก็เหมือนจับลิงมานั่งพับเพียบนั่นแหละ” นรินธรณ์พูดต่อด้วยท่าทางหนักอกหนักใจ ขณะที่คุณชายอีกสองคนพยักหน้าเห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียง
“แล้วยายนิดก็หนีไปแล้ว เพราะกลัวถูกคุณย่าจับสอนรำไทย โชคดีนะที่หนีได้ทัน ไม่งั้นพวกเราคงได้ดูระบำลิงหลอกเจ้าแน่ๆ”
คำพูดของนภเกตน์ทำให้ชายหนุ่มอีกสองคนหัวเราะก๊าก ขณะที่หญิงสาวเพียงคนเดียวส่งค้อนไปให้คนพูดวงโตแล้วถามด้วยน้ำเสียงงอนๆ ว่า
“แล้วตลอดเวลาที่คุณนิดไม่อยู่ พวกพี่ชายคิดถึงเธอบ้างหรือเปล่าฮะ”
แทนคำตอบ ร่างบางถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดของพี่ชายคนโตทันที ก่อนที่นรินธรณ์และนภเกตน์จะโผเข้ากอดคนเป็นน้องบ้างอย่างคิดถึง น้องสาวคนเดียวของพวกเขายังงามพริ้งเหมือนเคยแม้จะอยู่ในคราบเด็กหนุ่ม ทว่าสวยขนาดนี้กลับไม่เคยแลหนุ่มคนไหน จนใครๆ ต่างพากันลือว่า หม่อมราชวงศ์นรีรัตน์ วโรรส จิตวิปริตชอบเพศเดียวกัน
“แผลที่ถูกยิงดีขึ้นแล้วหรือยัง”
คำถามของพี่ชายคนรองทำให้นรีรัตน์ยิ้มแหย เลื่อนมือบางมาทาบผ้าพันแผลที่หัวไหล่ก่อนตอบเสียงแผ่ว
“นิดไม่เป็นไรแล้วค่ะ แต่งานครั้งนี้ยากเหลือเกิน ข้อมูลก็น้อย แถมพวกชาวบ้านก็ไม่ค่อยให้ความร่วมมือเพราะกลัวผู้มีอิทธิพลอีก”
คำตอบที่มาพร้อมสีหน้าหนักใจทำให้สามหนุ่มมองหน้ากันอย่างลำบากใจ น้องสาวของพวกเขาคงไม่รู้ว่าต่อจากนี้ เรื่องที่เธอต้องกังวลอาจไม่ได้มีแค่เรื่องงานเพียงอย่างเดียว
หญิงชราที่กำลังนั่งถักเสื้อไหมพรมเบื้องหน้าดูงดงามเหลือเกินในความรู้สึกของเธอ แม้ร่มโพธิ์ต้นนี้จะโรยราตามเวลาที่ล่วงเลยไป แต่ก็ยังคงเป็นที่พึ่งพาและเป็นแหล่งพักพิงให้เธอได้เสมอ
“คุณย่าครับ”
เสียงเรียกของนทีกุลทำให้หม่อมหลวงนภัสวรรณเงยหน้าขึ้นมองหลานทั้งสี่ด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนจะอ้าแขนรับหลานสาวที่ถลาเข้ามากอดทันที
“คุณย่า” หญิงสาวผละออกมาก้มลงกราบตักอีกฝ่าย แล้วเงยหน้ามองหญิงชราด้วยดวงตาที่คลอหน่วยไปด้วยน้ำใสๆ “คุณย่าสบายดีไหมคะ ยังชอบไอเวลาอากาศหนาวอยู่หรือเปล่า”
“โถ...หญิงนิด” คนสูงวัยกว่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอ็นดูแล้วดึงร่างบางเข้าสู่อ้อมกอดอีกครั้ง “ขอบใจที่ยังเป็นห่วงย่าเสมอนะ”
หม่อมราชวงศ์หนุ่มทั้งสามมองสองย่าหลานด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่นรีรัตน์จะดันตัวออกจากอ้อมกอดแล้วลุกมานั่งเคียงข้างผู้เป็นย่า
“ที่คุณย่าเรียกตัวนิดกลับมา มีเรื่องอะไรหรือคะ”
“หญิงนิดฟังย่าให้ดีนะ” น้ำเสียงของคนสูงวัยกว่าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที “หม่อมเจ้านฤเบศ ท่านพ่อของหลาน และพระองค์เจ้าอติรุจ ณรังค์กูล ได้มีสัญญาต่อกัน”
“ณรังค์กูล...หรือคะ” หม่อมราชวงศ์หญิงทวนถามอย่างแปลกใจ เธอนึกไม่ออกเลยว่าตนเองเคยรู้จักกับใครในตระกูลนี้ เธอปรารถนาเหลือเกินที่จะไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นคนไม่ดี ทว่าคำตอบของคุณย่าก็ทำลายความหวังของเธอโดยสิ้นเชิง
“ราชสกุลณรังค์กูลมีพระคุณต่อราชสกุลวโรรส ท่านพ่อของหลานอยากให้หลานตอบแทนบุญคุณของพระองค์เจ้าอติรุจแทนท่าน โดยการแต่งงานกับหม่อมเจ้าอธิธัช”
“อะ...อะไรนะคะ”
“หม่อมเจ้าอธิธัช ณรังค์กูล พระโอรสเพียงองค์เดียวของพระองค์เจ้าอติรุจ ณรังค์กูล คือคนที่ท่านพ่อของหลานประสงค์จะให้แต่งงานด้วย”
นรีรัตน์เบิกตากว้าง ริมฝีปากสั่นระริกอย่างตื่นตะลึง ข้อมูลและหลักฐานต่างๆ มากมายเกี่ยวกับการพัวพันเรื่องค้าฝิ่นเถื่อนของณรังค์กูลฉายชัดเข้ามาในหัวอีกครั้ง
‘หลักฐานการลักลอบค้าฝิ่นทั้งหมดที่เรามีอยู่ตอนนี้โยงใยไปถึงณรังค์กูลค้าไม้ ผมอยากให้คุณหญิงแฝงตัวเข้าไปสืบเรื่องนี้ เราต้องหาหลักฐานให้ได้ว่าใครคือตัวการใหญ่ในเรื่องนี้’
‘ณรังค์กูลเป็นเจ้าของสัมปทานป่าไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีเส้นสายกว้างขวาง คนแถวนี้เลยไม่ยอมปริปากพูดอะไรครับ’
และอีกมากมายสารพัดที่เธอได้ยินมาเกี่ยวกับความไม่โปร่งใสในธุรกิจของณรังค์กูล แล้วจู่ๆ คุณย่าก็จะให้เธอแต่งงานกับหม่อมเจ้าอธิธัช ณรังค์กูล ผู้ต้องสงสัยหลักของคดีนี้ คนที่เธอเกลียดตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้า!
“ท่านพ่อของหลานคงสบายใจได้เสียที ถ้าหญิงนิดได้แต่งงานกับท่านชายอธิธัช”
“ไม่ค่ะ นิดไม่แต่ง!” หญิงสาวประกาศกร้าวพร้อมกับสบตาผู้เป็นย่าอย่างแน่วแน่ “นิดมีงานที่ต้องจัดการให้เรียบร้อย ไม่มีเวลามาคิดเรื่องอื่นหรอกค่ะ”
“แต่นี่เป็นความประสงค์ของท่านพ่อ หน้าที่ของลูกที่ต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ก็เป็นหน้าที่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ท่านชายธัชเองก็งามพร้อมทุกด้านและเป็นคนดีที่เหมาะสมกับหลาน”
“คนดีงั้นหรือคะ คนดีที่ไหนทรยศได้แม้กระทั่งแผ่นดินเกิดของตนเอง”
“ว่าอะไรนะ”
นรีรัตน์ไม่ยอมตอบคำถาม สองมือกำชายเสื้อที่หลุดลุ่ยของตัวเองแน่น
นี่มันอะไรกัน!
เธอไม่มีวันยอมรับการแต่งงานนี้ หม่อมเจ้าอธิธัช ณรังค์กูล คือผู้ต้องสงสัยในคดีค้าฝิ่นเถื่อน เขาคือคนที่เธอไม่ควรเกี่ยวข้องใดๆ ด้วยมากที่สุด ความรู้สึกของเธอที่มีต่อเขามีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือความโกรธและรังเกียจ
โกรธที่เขาเสแสร้งแกล้งทำว่าเป็นคนดี แต่กลับหาผลประโยชน์เข้าตัว รังเกียจที่เขาสวมหน้ากากเป็นราชนิกุลผู้สูงส่ง แต่ทำลายความสงบสุขของประเทศชาติ
“ที่เราพูดหมายความว่าอย่างไร” น้ำเสียงของหญิงชราเริ่มดุ ขณะที่นทีกุลเขยิบเข้าไปใกล้คนเป็นย่า แล้วพูดเสียงนุ่มนวลเพื่อไกล่เกลี่ยสถานการณ์ไม่สู้ดีตรงหน้า
“ใจเย็นก่อนนะครับคุณย่า ยายนิดคงกำลังตกใจ คุณย่าให้เวลาเธอหน่อยนะครับ”
“ใช่แล้วครับคุณย่า” นรินธรณ์ช่วยเสริมอีกคน “ให้เวลายายนิดตัดสินใจสักปีสองปีก็น่าจะดีนะครับ”
“เป็นปีเชียวหรือ! จะให้รอขนาดนั้นได้อย่างไร”
หม่อมหลวงนภัสวรรณส่ายหน้าไม่ยอมรับ ขณะที่นัยน์ตาที่เริ่มร้อนผ่าวทำให้นรีรัตน์ก้มหน้าลงแล้วกำมือแน่นจนเล็บจิกเนื้อ ทว่าก็ไม่สามารถบรรเทาอาการร้อนรุ่มและเจ็บปวดที่อยู่ภายในจิตใจได้เลย
“นิดแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับท่านชายเลย ถ้าบังเอิญพบกันนิดก็คงจำเขาไม่ได้ แต่คุณย่าก็ยังยืนกรานจะให้นิดแต่งงานกับเขางั้นหรือคะ” หม่อมราชวงศ์หญิงตัดพ้อ “ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ คุณย่าก็คงไม่อยากให้นิดกลับมาที่นี่”
“ยายนิด!” พี่ชายคนโตปรามเสียงดุ ทว่าหญิงสาวยังคงพูดต่อราวกับอัดอั้นเรื่องนี้มานานแสนนาน
“คุณย่าไม่เคยเชื่อใจนิด อยากไล่ให้นิดไปอยู่ไกลๆ เหมือนกับที่เคยส่งนิดเข้าโรงเรียนประจำ ถ้านิดแต่งงานก็จะได้ไปจากที่นี่ ไม่ว่าจะวันนี้หรือเมื่อสิบปีก่อน คุณย่าก็ยังคงเห็นว่านิดเป็นตัวปัญหา ขี้โกหก ไม่สมกับที่เกิดมาเป็นวโรรสอยู่นั่นเอง!”
หญิงสาวผุดลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งออกจากห้องรับแขกทั้งน้ำตา ท่ามกลางสีหน้าตื่นตะลึงของคนทั้งหมด ขณะที่หม่อมหลวงนภัสวรรณหลับตาลงอย่างอ่อนล้า
เรื่องราวเข้าใจผิดเมื่อสิบปีก่อน กลายมาเป็นรอยร้าวระหว่างสองย่าหลาน เหตุการณ์ในวันนี้สะกิดแผลเป็นในวันนั้นจนสร้างความเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง
และดูท่าการแต่งงานในครั้งนี้จะไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เสียแล้ว
‘นิด...นิดไม่อยากไป ไม่ไปไม่ได้หรือคะ’
เด็กหญิงพูดเสียงสะอื้น ขณะที่น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย มือทั้งสองข้างกอดเอวพี่ชายคนโตแน่น ขณะที่ผู้เป็นย่ายืนมองใบหน้าเปื้อนน้ำตานั้นอย่างสงบ
’ทำไมคุณย่าต้องให้นิดไปเรียนที่ปีนังด้วย นิดไม่อยากไปจากที่นี่ นิดไม่อยากไป!’
เด็กหญิงตะโกนเสียงแหบแห้ง ขณะที่หญิงชรามองเธอด้วยแววตานิ่งสนิทโดยไม่ตอบคำถามใดๆ นรินธรณ์จับมือน้องสาวคนเดียวของเขามากุมไว้ แล้วช่วยเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน
’ยายนิดไม่ไปไม่ได้หรือครับคุณย่า น้องยังเด็กอยู่เลยนะครับ’
‘ใกล้จะถึงเวลาแล้ว นายสนอง เอากระเป๋าหญิงนิดไปใส่รถเสียสิ’
หม่อมหลวงนภัสวรรณตัดบทโดยไม่สนใจสายตาขอร้องของเด็กหนุ่มทั้งสาม นรีรัตน์มองสีหน้าเย็นชาของผู้เป็นย่าอย่างน้อยใจ เธออายุแค่สิบสาม แต่กลับต้องจากบ้าน จากครอบครัวไปอยู่ในที่อันแสนไกลอย่างเดียวดาย
‘ได้เวลาเดินทางแล้ว ฉันฝากหญิงนิดด้วยนะคุณธนา’
‘ครับ คุณวรรณ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ’
นรีรัตน์ส่ายหัวอย่างไม่ยอมรับ ก่อนที่นายสนองผู้เป็นคนขับรถ และอาธนา อดีตเลขาฯ ของท่านพ่อจะตรงเข้ามากุมมือเธอเพื่อพาไปที่รถ
‘ปล่อยนิด! นิดไม่ไป ปล่อยนิด!’
เด็กหญิงตะโกนพร้อมกับพยายามรั้งแขนพี่ชายคนโตที่ถูกคุณย่าดันให้ถอยห่างจากเธอ ทว่าไขว่คว้าได้เพียงอากาศว่างเปล่า ก่อนที่เธอจะถูกคนขับรถอุ้มพาดบ่าพาไปที่รถทันที
‘ปล่อยนิด! ทำไมคุณย่าทำแบบนี้คะ คุณย่าไม่รักนิดแล้วใช่ไหม’
เด็กหญิงตะโกนพร้อมกับดิ้นพล่าน ขณะที่เด็กหนุ่มทั้งสามยืนมองร่างเล็กของผู้เป็นน้องด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยไม่ต่างกัน แม้จะสงสารน้องสาวมากแค่ไหน แต่พวกเขาทำได้เพียงยืนมองอย่างเจ็บปวดเท่านั้น
เด็กหญิงนรีรัตน์เอนหัวพิงกระจกรถด้วยหัวใจที่แหลกสลาย ขณะที่รถยนต์ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากวัง หยดน้ำตาไหลรินออกจากดวงตาทั้งสองข้างอย่างไร้ค่า พร้อมกับตระหนักถึงความจริงที่ว่าคุณย่าไม่ต้องการเธอ และเธอก็ไม่ควรอยู่ที่นี่อีกต่อไป
‘คุณย่าไม่รักนิดแล้ว’
หญิงสาวปาดหยดน้ำที่คลอหน่วยอยู่ที่หางตา แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยหัวใจที่ปวดร้าว เหตุการณ์ในตอนนั้นเป็นยิ่งกว่าฝันร้ายของเธอ และดูเหมือนว่าห้วงเวลานั้นจะย้อนกลับมาทำให้เธอเจ็บปวดอีกครั้ง
“ยายนิดอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย”
หม่อมราชวงศ์หนุ่มทั้งสามยืนมองแผ่นหลังของคนเป็นน้องที่ยังคงนั่งนิ่งมองท้องฟ้าอยู่เพียงลำพังด้วยสีหน้าหนักใจ นรีรัตน์น้องสาวของพวกเขาเป็นคนใจแข็งและเชื่อมั่นในตัวเอง การถูกจับคลุมถุงชนให้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักเป็นเหมือนฝันร้าย และเพราะเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของบ้าน การแต่งงานเพื่อรักษาสัญญาจึงเป็นหน้าที่ของเธอ
“น่าสงสารน้องนะครับ” นรินธรณ์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ถึงจะเป็นคำสัญญาของท่านพ่อ แต่การบีบบังคับกันแบบนี้มันก็เกินไปอยู่”
“แต่ถ้าไม่แต่ง ยายนิดขึ้นคานแน่นอนเลยนะครับ”
เป็นคำพูดที่ทำให้คุณชายอีกสองคนพร้อมใจกันตบหัวคุณชายนภเกตน์ด้วยความระอา ก่อนที่นทีกุลจะเดินนำน้องๆ เข้าไปหาร่างเล็กที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ริมระเบียงเพียงลำพัง
“ดึกแล้วนะยายนิด ทำไมไม่นอนพัก เหนื่อยมาทั้งวันแท้ๆ”
เสียงทุ้มนุ่มที่แสดงความอาทรทำให้นรีรัตน์เบือนหน้าไปสบตาพี่ชายคนโตด้วยนัยน์ตาที่รื้นไปด้วยน้ำตา เธอกำมือแน่น เงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้งเพื่อให้น้ำที่ขังอยู่ในดวงตาไหลย้อนกลับไป แล้วตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าว่า
“นิดคิดมาตลอดว่าเรามีสิทธิ์เลือกทางเดินชีวิตของตนเอง...” น้ำเสียงที่พูดราบเรียบ แต่คนฟังสัมผัสได้ทันทีว่าคนพูดกำลังเจ็บปวดแสนสาหัส “นิดตั้งใจเรียนจนจบ สอบเข้าเป็นข้าราชการก็เพื่อไม่ให้คนดูถูกว่านิดเป็นผู้หญิงไม่เอาไหน ไม่สมกับที่เกิดมาในตระกูลวโรรส”
“ยายนิด” นทีกุลโอบไหล่น้องสาวอย่างเป็นห่วง ขณะที่หญิงสาวเอนหัวพิงไหล่พี่ชายด้วยสีหน้าอ่อนล้า
“การแต่งงานเหมือนการถูกผูกมัดด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น เมื่อตกลงที่จะใช้ชีวิตร่วมกับใครแล้ว นั่นหมายถึงเราได้กลายเป็นอีกครึ่งของชีวิตที่เหลือของเขา” หม่อมราชวงศ์หญิงพูดอย่างปวดร้าว “แต่นิดไม่ได้รักท่านชาย แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขา แล้วทำไมนิดถึงต้องมาแต่งงานกับเขาด้วยคะ”
“ฟังพี่ให้ดีนะยายนิด” นรินธรณ์พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม พร้อมกับบีบไหล่คนเป็นน้องเบาๆ อย่างให้กำลังใจ “คุณย่าไม่เคยรังเกียจยายนิด ท่านรักและห่วงยายนิดมากกว่าใครๆ ที่คุณย่าอยากให้น้องแต่งงานกับท่านชายธัชตามความประสงค์ของท่านพ่อ เพราะท่านหวังดีต่อน้องนะ”
“พวกพี่รู้จักท่านชายธัชมานาน ท่านชายเป็นคนดี และพวกพี่ก็มั่นใจว่ายายนิดจะได้แต่งงานกับคนที่เหมาะสม”
นรีรัตน์ไล่สายตามองหน้าพี่ชายทั้งสามด้วยนัยน์ตาสั่นระริก เธอควรจะเชื่อในตัวคู่หมั้นที่ไม่เคยเห็นหน้าคนนั้นตามคำบอกเล่าของพี่ๆ หรือเชื่อหลักฐานที่มีอยู่น้อยนิดเกี่ยวกับการทำผิดกฎหมายของณรังค์กูลดีนะ
“พวกพี่ไม่ได้เห็นด้วยกับการบีบบังคับของคุณย่า แต่ก็ไม่อยากให้ยายนิดปิดโอกาสตนเอง” นทีกุลพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ลองพบท่านชายดูก่อน ถ้ายายนิดไม่มีใจให้ท่านชายจริงๆ พวกพี่จะช่วยพูดกับคุณย่าให้เองนะ”
“จริงนะคะ”
น้ำเสียงของหญิงสาวแปรเปลี่ยนเป็นยินดี ขณะที่พี่ชายทั้งสามพยักหน้ารับโดยพร้อมเพรียง เธอเบือนหน้าไปมองท้องฟ้าที่ยังคงพร่างพราวด้วยแสงดาวแล้วสูดลมหายใจลึก เธอไม่มีวันมีใจให้หม่อมเจ้าอธิธัช ณรังค์กูล คนที่เลือกที่จะพัวพันกับการทำผิดกฎหมาย และต่อให้คุณย่าหว่านล้อมหรือบีบบังคับเธออย่างไร การแต่งงานครั้งนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!
ความคิดเห็น |
---|