บทที่ ๒ กระเป๋าสะพายสีแดง
‘เขาลือกันว่าฝิ่นที่พวกชาวบ้านลักลอบปลูก มีเศรษฐีจากพระนครเป็นคนรับซื้อ และลักลอบขนส่งผ่านการขนไม้ที่จะนำเข้าไปแปรรูปที่โรงงานในพระนครครับ’
คำพูดของนายอำเภอเชียงใหม่เมื่อหลายวันก่อนทำให้ใบหน้าหวานของหญิงสาวเคร่งเครียดขึ้นมาทันที ขณะที่เอกสารที่อยู่ในมือระบุชัดว่า มีนายทุนนับสิบรายที่ครอบครองปางไม้ในจังหวัดเชียงใหม่ แต่มีเพียงบริษัทเดียวที่พบหลักฐานการโยงใยถึงการลักลอบค้าฝิ่นอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งบริษัทที่ว่าเป็นของ...
“ณรังค์กูลค้าไม้” เธอพึมพำก่อนจะทอดตามองออกไปยังทิวทัศน์รอบนอกที่เขียวชอุ่มไปด้วยต้นไม้นานาพรรณตลอดสองข้างทาง บรรยากาศชวนให้ผ่อนคลาย ทว่ากลับไม่ช่วยให้จิตใจสงบลงแม้แต่น้อย เมื่อพบว่าภารกิจที่เธอได้รับมอบหมายยังคงไร้ซึ่งทางออก
หลังจากที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีได้ออกกฎหมาย พ.ร.บ. ยาเสพติดและเลิกโรงยาฝิ่นอย่างเด็ดขาดราว พ.ศ. ๒๕๐๑ การค้าฝิ่นที่ถูกต้องตามกฎหมายจึงยุติลง ปัญหาที่ตามมาคือกลุ่มผู้ที่เสียประโยชน์จากธุรกิจนี้ไม่พอใจและยังคงลักลอบค้าฝิ่นอย่างผิดกฎหมาย เธอและเจ้าหน้าที่รัฐอีกหลายคนจึงต้องจัดการคดีฝิ่นเถื่อนอย่างต่อเนื่อง จนล่วงเลยมาถึง พ.ศ. ๒๕๐๔ เป็นเวลาสามปีแล้วที่เธอวิ่งวุ่นกับคดีนี้โดยไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้น
ร่างบางค่อยๆ หลับตาลง ปล่อยให้สายลมอ่อนๆ ช่วยปัดเป่าความกังวลจากงานที่ยังคั่งค้างออกไปจากหัวใจ ก่อนที่เสียงประกาศแจ้งว่ารถไฟกำลังจะเตรียมจอดเทียบท่าที่สถานีปลายทางกรุงเทพ จะทำให้เธอรีบเก็บเอกสารทั้งหมดเข้ากระเป๋า เป็นเวลาหลายชั่วโมงที่เธอต้องนั่งรถไฟจากเชียงใหม่กลับมาพระนคร บ้านเกิดของตนเอง เพียงเพราะคำสั่งสั้นๆ ในจดหมายของผู้เป็นย่า หลังจากที่ถูกส่งตัวไปสืบคดีที่ต่างจังหวัดเป็นเวลาสองปีเต็ม
“มะม่วงจ้า มะม่วงลูกสวยๆ เลยจ้า”
“น้ำพริกลงเรือสูตรชาววังเลยจ้ะ ลองดูไหมพ่อหนุ่ม”
เสียงเชิญชวนจากแม่ค้าที่ได้ยินหลังก้าวลงจากรถไฟทำให้หญิงสาวยิ้มอย่างชอบใจ การแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาว อีกทั้งวิกผมสั้นเพื่อปลอมตัวเวลาสืบราชการ ทำให้คนเข้าใจเพศสภาพของเธอผิด และเพราะความรีบร้อน เธอจึงรีบออกจากเชียงใหม่โดยที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วยค่า!”
“ขโมย! ขโมยมันวิ่งไปทางนั้นแล้ว!”
เสียงเอะอะโวยวาย ตามด้วยเสียงข้าวของล้มระเนระนาด ทำให้หญิงสาวหันกลับไปมองต้นเสียงทันที เห็นชายร่างสูงกำยำคนหนึ่งกำลังวิ่งตรงมาทางเธออย่างรวดเร็วพร้อมกระเป๋าสะพายสีแดง เจ้าของใบหน้าหวานขมวดคิ้วมุ่นอย่างประเมินสถานการณ์ ก่อนจะจงใจยื่นเท้าไปขวางโจรที่วิ่งเข้ามาใกล้ ทำให้ร่างยักษ์สะดุดล้มทันที
โครม!
ร่างบางกระชากคนที่ล้มให้ลุกขึ้นแล้วซัดหมัดเข้าที่หน้าอีกฝ่ายเต็มแรงจนชายคนดังกล่าวเซถลา เธอเตะซ้ำเข้าที่สีข้างของหัวขโมย แล้วสวนหมัดเข้าที่ใบหน้าจนร่างยักษ์พุ่งไปชนกระจาดมะม่วงข้างทางหล่นกระจาย
“ว้าย!” เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากคนในบริเวณนั้น ขณะที่หญิงสาวกวาดตามองข้าวของรอบด้านที่ล้มระเนระนาดเนื่องจากการปะทะ แล้วเลื่อนสายตามาหยุดที่โจรที่สลบไสลอยู่ข้างกระจาดผลไม้
“มีสองมือสองเท้าเหมือนคนอื่น แต่กลับทำตัวเป็นโจรฉกชิงวิ่งราว แย่จริงๆ”
หญิงสาวใช้หลังมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก แล้วหยิบกระเป๋าสะพายสีแดงที่ตกอยู่ข้างตัวขโมยหนุ่ม ทว่าขโมยที่เพิ่งนอนแน่นิ่งกลับลุกพรวดแล้วผลักเธอล้มลง ก่อนจะวิ่งหนีไปอย่างทุลักทุเล
“หยุดนะ!” หญิงสาวตะโกนเสียงหลง แล้วหยิบกระเป๋าของกลางตั้งใจจะวิ่งตามอีกฝ่ายไป ทว่า...
“โอ๊ย!”
แขนข้างหนึ่งถูกกระชากอย่างแรง ก่อนที่ร่างของเธอจะถูกรวบเข้าสู่อ้อมแขนของใครบางคนจนหน้าผากปะทะกับอกกว้าง มือหนาโอบเอวบางไว้ ส่วนอีกข้างเผลอกระชากผมของหญิงสาว จนทำให้หมวกและวิกผมสั้นของอีกฝ่ายหลุดติดมือมา
“เฮ้ย!”
“นาย...”
นัยน์ตาเรียวรีมองวิกผมหนาที่อยู่ในมือ ก่อนจะเลื่อนมามองร่างที่อยู่ในอ้อมแขนด้วยสีหน้าตื่นตะลึง เส้นผมที่หญิงสาวรวบไว้หลุดลงมาล้อมใบหน้ารูปไข่ที่งดงามหมดจดแม้ไร้การแต่งแต้ม ดวงตาสีเข้มลุกวาวอย่างเอาเรื่อง ทว่าดูมีเสน่ห์อย่างประหลาดเมื่อประดับอยู่บนใบหน้างามพริ้งของเจ้าตัว
“มองอะไรคุณ ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!” ร่างบางแหวอย่างหงุดหงิดพร้อมกับพยายามดันตัวออกห่าง
“เธอ...เป็นผู้หญิงนี่” ชายหนุ่มพึมพำอย่างไม่เข้าใจ
แล้วเหตุใดถึงได้อุตริแต่งตัวเป็นชายมาฉกชิงวิ่งราวคนอื่นแบบนี้
เป็นผู้หญิงแท้ๆ ริอ่านเป็นโจรห้าร้อย แบบนี้มันน่านัก!
“ปล่อยฉัน!” หญิงสาวพูดพร้อมกับสะบัดแขนเพื่อให้หลุดจากการจับกุม ทว่าไม่ได้ผลแม้แต่น้อย สีหน้าและแววตาที่จ้องเธอราวกับเหยียดหยามยิ่งทำให้โทสะของหญิงสาวโหมกระหน่ำยิ่งกว่าเดิม
“เป็นผู้หญิงดีๆ ไม่ชอบ อุตริแต่งเป็นชายมาวิ่งราวคนอื่น”
“อย่ามาใส่ความกันนะ ฉันไม่ใช่ขโมยเสียหน่อย!”
“หลักฐานเต็มมือขนาดนี้ยังจะกล้าปฏิเสธ ผู้ร้ายปากแข็งจริงๆ”
“ขโมยหนีไปโน่นแล้ว แล้วฉันก็เป็นคนแย่งกระเป๋ามาได้ กระเป๋าถึงได้มาอยู่ที่ฉันยังไงเล่า”
ร่างบางจ้องอีกฝ่ายด้วยดวงตาวาวโรจน์ ขณะที่ร่างสูงจ้องตอบด้วยแววตาเย็นชา เขาลดสายตามองเธอตั้งแต่หัวจดเท้า ทำให้หญิงสาวฟาดกระเป๋าใส่หัวเขาเต็มแรงด้วยความโมโห แล้วกระทืบเท้าของเจ้าตัวเพื่อให้หลุดจากพันธนาการ
“อย่ามายุ่ง!” เจ้าของริมฝีปากอิ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธ ก่อนจะผลักร่างสูงออกห่างแล้ววิ่งไปยังทิศที่ขโมยเพิ่งหนีไป
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ชายหนุ่มตะโกนแล้ววิ่งตามร่างบางไปด้วยสีหน้าหงุดหงิด คิ้วเรียวเลิกสูงขึ้นอย่างแปลกใจในความเร็วและท่าทางคล่องตัวอย่างกับลูกลิงของอีกฝ่าย
หญิงสาวเร่งฝีเท้าขึ้นเมื่อรับรู้ได้ว่าชายหนุ่มอีกคนกำลังวิ่งตามมา ผู้คนที่เดินพลุกพล่านทำให้การหลบหลีกเป็นไปอย่างยากลำบาก เธออาศัยจังหวะที่ผู้โดยสารกำลังทยอยลงจากรถไฟขบวนใกล้ๆ กันเป็นที่กำบังสายตา ย่อตัวลงแล้วเลี้ยวเข้าไปแอบในซอกเก็บของที่อยู่ใกล้ทันที
“ผู้ชายโรคจิต” หญิงสาวพึมพำเมื่อเห็นชายหนุ่มวิ่งผ่านซอกไปโดยไม่ได้สังเกตเห็นคนที่หมอบคู้อยู่ข้างลังกระดาษ ริมฝีบางเม้มแน่นอย่างระงับอารมณ์ เม็ดเหงื่อผุดตามใบหน้า คิดแล้วก็สังเวชใจเหลือเกิน ตั้งใจจะช่วยจับขโมย แต่กลับถูกคนโรคจิตไล่จับเสียเอง ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ เชียว
หญิงสาวนั่งรอจนแน่ใจว่าชายหนุ่มคงไปไกลแน่แล้ว จึงค่อยๆ เดินออกมาจากซอกอย่างเชื่องช้า เธอมองซ้ายมองขวาเพื่อความไม่ประมาท แล้วก้มหน้าเดินกลับไปยังบริเวณที่วางสัมภาระไว้
“มานี่เลย ยายกะโปโล!”
“เฮ้ย!”
ร่างบางถูกรวบเข้าหาชายหนุ่มอีกครั้งจากด้านหลัง ทว่าครั้งนี้เขาอุ้มเจ้าหล่อนพาดไหล่เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายประทุษร้ายได้อีก เสียงร้องโวยวายที่ดังตลอดทางทำให้คิ้วเรียวสวยของชายหนุ่มขมวดมุ่นอย่างหงุดหงิด เขาปล่อยตัวเจ้าหล่อนลง แล้วลากเข้าไปหาตำรวจนายหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกล
“จับเลยครับคุณตำรวจ เธอวิ่งราวกระเป๋าครับ”
“เป็นเรื่องเข้าใจผิดนะคะ” หญิงสาวรีบท้วง ขณะที่นายตำรวจตรงหน้ามองเธอสลับกับชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจ
“นี่ครับ หลักฐานที่ยืนยันว่าเธอเป็นขโมย” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับชูกระเป๋าสะพายสีแดงที่เปื้อนเลือดของตนให้ตำรวจดู ขณะที่หญิงสาวปฏิเสธเสียงแข็ง
“ฉันไม่ใช่ขโมย! ฉันมาช่วยจับขโมยต่างหาก”
“ไหนขโมย จะเห็นก็แต่ผู้ร้ายปากแข็งเท่านั้น”
“นี่คุณ!”
สองหนุ่มสาวประสานสายตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร สำหรับชายหนุ่มแล้ว หญิงสาวที่อุตริทำตัวราวกับผู้ชายตรงหน้าทำให้เขาเกิดความรู้สึกประหลาดบางอย่าง ใบหน้าและท่าทางของเธอดูคุ้นเคยราวกับครั้งหนึ่งเธอเคยโลดแล่นอยู่ในความทรงจำของเขา ขณะที่ความห้าวหาญและคล่องแคล่วในการใช้ศิลปะป้องกันตัวทั้งที่เป็นผู้หญิงก็ทำให้เขาประหลาดใจอยู่ไม่น้อย นี่เธอเป็นลูกบ้านไหนกัน เหตุใดถึงได้ก๋ากั่นขนาดนี้
“ฉันไม่ใช่ขโมยเสียหน่อย อย่ามาปรักปรำกันนะ!”
“หลักฐานชัดเจนขนาดนี้ยังจะกล้าปฏิเสธ ยอมรับความผิดเสียดีกว่า โทษหนักจะได้เป็นเบา”
หญิงสาวนึกหงุดหงิดความกวนประสาทของคนตรงหน้า เธออยากกระโจนเข้าไปข่วนใบหน้านิ่งขรึมนั่นให้หายหงุดหงิด ทว่าทำได้เพียงยืนมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเย็นชาเท่านั้น
“แม่หนูคนนี้ไม่ใช่ขโมยหรอกจ้ะ แม่หนูเธอเป็นคนจับโจรต่างหาก” เสียงแหบแห้งดังขึ้น ก่อนที่คนพูดจะก้มหน้าพักหายใจ โดยมีหญิงสาวอีกคนช่วยพัดให้ เพราะเธอเองก็วิ่งตามสองหนุ่มสาวมาเพื่อจะอธิบายความจริงเช่นกัน
“คุณป้าแน่ใจนะครับว่าไม่ได้จำผิด”
“ดิฉันช่วยยืนยันได้ค่ะ คุณผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ขโมยนะคะ เธอคือพลเมืองดีที่ช่วยฉันเอาไว้”
คำยืนยันจากทั้งผู้เสียหายและพยาน พร้อมกับการปรากฏตัวของตำรวจอีกสองนายที่พาขโมยตัวจริงเข้ามา ทำให้รอยยิ้มของผู้ชนะฉายชัดบนใบหน้าหวาน
เธออยากหัวเราะใส่หน้าเขาจริงๆ!
ยิ่งเห็นสีหน้าเจื่อนสนิทของอีกฝ่ายแล้ว เธอก็ยิ่งสะใจ ทำไมเหมือนเธอได้ยินเสียงอะไรตกแตกแถวนี้นะ ใช่ใบหน้าของคนที่กำลังจับแขนเธอในตอนนี้หรือเปล่า
“ได้ยินชัดแล้วนะคุณ” หญิงสาวพูดพร้อมกับเชิดหน้าขึ้นด้วยท่าทางเหนือกว่า “สองเสียงยืนยันขนาดนี้ แถมขโมยตัวจริงก็ถูกจับแล้ว คงจะปล่อยแขนฉันได้แล้วนะ”
ชายหนุ่มรีบปล่อยแขนเธอทันทีราวกับต้องของร้อน ก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่นด้วยสีหน้าเย็นชา อาการนิ่งเฉยของเขาทำให้หญิงสาวแยกเขี้ยวอย่างหงุดหงิด
“ยัง...ยังไม่รีบขอโทษอีก”
เจ้าของนัยน์ตาสีเข้มหันกลับมามองเธอช้าๆ ยกมือข้างหนึ่งจับแผลที่หน้าผากที่เริ่มมีเลือดไหลซึมออกมา แล้วตอบเสียงแข็งกระด้างว่า
“ถ้าเทียบกับแผลที่เธอมอบให้ ฉันคิดว่าคงไม่จำเป็น”
“นี่คุณ!”
“อันที่จริงฉันน่าจะแจ้งความเธอข้อหาทำร้ายร่างกายด้วยซ้ำ เพราะแผลนี่ก็หนักหนาเอาการอยู่”
“งั้นฉันก็จะแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาทเหมือนกัน มาปรักปรำคนอื่นไม่พอ ยังจะกักขังหน่วงเหนี่ยวกันอีก ถ้าคุณไม่กักตัวฉันไว้ แผลนี่ก็คงไม่เกิดหรอก”
การจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใครทำให้ตำรวจทั้งสามนายได้แต่มองหน้ากันอย่างหนักใจ แค่ต้องมาไล่จับขโมยในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านก็ลำบากมากพอแล้ว นี่ยังต้องมาไกล่เกลี่ยคดีทะเลาะวิวาทอีก
“ความผิดเธอเหมือนกัน อุตริแต่งตัวเป็นชาย เสื้อผ้าที่สวมก็คล้ายขโมยนั่น ฉันก็ต้องเข้าใจผิดสิ”
“ฉันไม่ได้อุตรินะ คุณต่างหากที่คิดเองเออเอง ไม่ดูให้ดีก่อนแล้วมาใส่ความคนอื่น”
“นี่เธอ!”
“แล้วจะทำไม!”
“คุณทั้งสองครับ ถ้าจะแจ้งความ ขอเชิญที่โรงพักนะครับ”
เสียงที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้หญิงสาวเบือนหน้าไปมองสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจของนายตำรวจ ก่อนจะก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ นี่ก็เลยเวลาอาหารเย็นมาหลายชั่วโมงแล้ว ขืนเธอยังมัวชักช้าเสียเวลาอีก คงหารถโดยสารกลับบ้านไม่ได้แน่
“งั้นผมขอไม่แจ้งความละกันครับ ผมเองก็มีธุระต้องไปทำ” ชายหนุ่มตอบเสียงนิ่ง แล้วส่งกระเป๋าสะพายของกลางที่บริเวณตะขอเปรอะเปื้อนเลือดตนเองให้ตำรวจ “ถือว่าผมโชคร้ายละกันครับที่บังเอิญมาอยู่ที่นี่”
สายตาและคำพูดเสียดสีที่ส่งมาทำให้หญิงสาวแยกเขี้ยวกลับอย่างหงุดหงิด ขณะที่อีกฝ่ายเดินผ่านหน้าเธอไปอย่างไม่ไยดี พร้อมๆ กับที่หญิงสาวส่งสายตาไม่พอใจไล่หลังเขาไปจนลับสายตา
ผู้ชายโรคจิต! ขออย่าให้ได้พบได้เจอกันอีกเลย
ความคิดเห็น |
---|