1

บทที่ ๑ เด็กผู้หญิงในรูปถ่าย



บทที่ ๑ เด็กผู้หญิงในรูปถ่าย

 

หนึ่งสัปดาห์ก่อน

นัยน์ตาเรียวรีมองผลกำไรไตรมาสแรกของบริษัทด้วยแววตานิ่งสนิท ขณะที่คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นอย่างเคร่งเครียด แม้ตัวเลขบนเอกสารจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใด แต่กลับไม่มีแววยินดีฉายชัดบนใบหน้าคมคายแม้แต่น้อย

ชายหนุ่มละสายตาจากแฟ้มเอกสาร แล้วหยิบซองสีน้ำตาลขึ้นมาเปิดอ่านพินัยกรรมของบิดาที่มอบทรัพย์สินมากมายให้เขาและมารดา ขณะที่เนื้อความในย่อหน้าท้ายๆ คือสิ่งที่ชายหนุ่มอ่านทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

และขอยกอสังหาริมทรัพย์ และหุ้นทั้งหมดของบริษัทณรังค์กูลค้าไม้ ให้แก่หม่อมเจ้าอธิธัช ณรังค์กูล บุตรชายเพียงคนเดียวของข้าพเจ้า โดยมีเงื่อนไขตามตัวเลือกดังต่อไปนี้

๑. หม่อมเจ้าอธิธัช ณรังค์กูล จะต้องจดทะเบียนสมรสและใช้ชีวิตคู่ร่วมกับหม่อมราชวงศ์นรีรัตน์ วโรรส บุตรสาวของหม่อมเจ้านฤเบศ วโรรส โดยหลังจากจดทะเบียนสมรสแล้ว หม่อมเจ้าอธิธัชจะมีสิทธิ์ในทรัพย์สินทุกอย่างของข้าพเจ้าตามที่ได้ระบุข้างต้น

๒. หม่อมเจ้าอธิธัช ณรังค์กูล สามารถจดทะเบียนหย่ากับหม่อมราชวงศ์นรีรัตน์ วโรรส ได้ ก็ต่อเมื่อทั้งสองยินยอมพร้อมใจกัน และสามารถกระทำได้หลังจากระยะเวลาหกเดือนนับตั้งแต่เสร็จสิ้นพิธีสมรส โดยหม่อมเจ้าอธิธัชจะได้รับทรัพย์สมบัติเพียงหนึ่งส่วนสี่ของทั้งหมด และทรัพย์สินที่เหลือจะต้องบริจาคให้แก่องค์กรการกุศล

๓. ในกรณีที่หม่อมราชวงศ์นรีรัตน์ วโรรส ไม่ประสงค์ที่จะสมรสกับหม่อมเจ้าอธิธัช ณรังค์กูล หม่อมเจ้าอธิธัชจะไม่ได้รับทรัพย์สมบัติใดๆ ของข้าพเจ้า และทรัพย์สมบัติทั้งหมดจะต้องบริจาคให้องค์กรการกุศล

หากหม่อมเจ้าอธิธัช ณรังค์กูล ไม่ทำตามเงื่อนไขใดๆ ดังที่ได้กล่าวมานี้ ขอให้คำสั่งเสียในพินัยกรรมทั้งหมดนี้เป็นโมฆะ หม่อมเจ้าอธิธัช ณรังค์กูล จะไม่ได้รับทรัพย์สมบัติใดๆ ของข้าพเจ้า และทรัพย์สมบัติจะตกเป็นขององค์กรการกุศลทั้งหมด

ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ณ ขณะที่ได้ทำพินัยกรรมนี้ ข้าพเจ้ามีสติสัมปชัญญะครบถ้วนทุกประการ และข้าพเจ้าเห็นว่ามีข้อความถูกต้องตรงตามเจตนาของข้าพเจ้าแล้ว จึงได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญต่อหน้าพยาน

พระองค์เจ้าอติรุจ ณรังค์กูล

ผู้ทำพินัยกรรม

 

“กำลังอ่านอะไรอยู่หรือฝ่าบาท”

เสียงที่ดังขัดขึ้นทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าจากพินัยกรรมทันที ก่อนจะเอ่ยถามเลขาฯ คนสนิทด้วยสีหน้าราบเรียบว่า

“ได้เรื่องอะไรไหม”

“แหม่! อยากรู้จักว่าที่เมียขนาดนี้เชียว”

เลขาฯ หนุ่มพูดพร้อมกับวางเอกสารปึกหนาลงเบื้องหน้าผู้เป็นนายที่ยังคงมองเขาด้วยแววตาเคร่งขรึมเช่นเดิม สีหน้าทะเล้นของอีกฝ่ายทำให้ชายหนุ่มส่ายหัวอย่างอ่อนใจ ก่อนจะลดสายตามามองรูปถ่ายของเด็กหญิงที่ยืนยิ้มหวานตรงหน้า

‘ถ้าไม่อ่านหนังสือ คุณย่าจะไม่ให้กินไก่ต้มฝีมือคุณย่า ไม่เอาด้วยหรอก’

เสียงเจื้อยแจ้วที่ดังขึ้นมาในหัวทำให้มุมปากของชายหนุ่มยกสูงขึ้น ขณะที่ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นในหัวใจช้าๆ ทั้งที่เรื่องราวในวันนั้นผ่านมานานถึงสิบห้าปี แต่น่าแปลกที่เขากลับจำได้ไม่ลืมเลือน

“ว่าที่ภริยาแกสมบูรณ์แต่เด็กเลย” ภรพเย้าผู้เป็นเพื่อนอย่างสนุกสนาน ขณะที่รอยยิ้มที่มุมปากจางหายไปจากใบหน้าของราชนิกุลหนุ่มทันที “ฉันหาได้แค่รูปนี้เท่านั้น ก็คุณหญิงเธอเล่นไม่ออกงานเลยนี่หว่า แกอยากได้รูปตอนสี่เดือนไหม อ้วนๆ กลมๆ เหมือนกัน”

เป็นประโยคที่ทำให้เจ้านายผู้ทรงเสน่ห์ของเขาชะงัก แล้วเคาะนิ้วกับโต๊ะอย่างใช้ความคิด ท่าทางเคร่งขรึมราวกับกำลังประเมินผลกำไร-ขาดทุนของอีกฝ่ายทำให้ภรพลอบยิ้มมุมปากอย่างนึกขำ

“จริงๆ แล้วแกไม่เห็นต้องให้ฉันตามสืบให้เสียเวลาเลย ถามนายธรณ์เอาไม่ง่ายกว่าหรือ”

ทว่าเจ้านายของเขาก็ยังไม่ละสายตาจากภาพเด็กหญิงน้อยตรงหน้า ขณะที่รอยยิ้มบางๆ เผยให้เห็นบนใบหน้าหล่อเหลาที่ตรึงใจหญิงสาวทั่วพระนคร เด็กหญิงในรูปถ่ายจะรู้ตัวบ้างไหมว่า มีใครบางคนเฝ้ารอที่จะได้พบเธออย่างใจจดใจจ่อ

“ตอนนี้คุณหญิงรับตำแหน่งปลัดอำเภออยู่ที่เชียงใหม่ อายุแค่ยี่สิบสี่เท่านั้นเอง ท่าทางจะเก่งไม่เบา”

เสียงของเลขาฯ หนุ่มยังคงดังให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง ทว่าใบหน้าคมคายกลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ มือหนาพลิกเอกสารอ่านประวัติของหญิงสาวโดยละเอียด ก่อนที่คิ้วเรียวสวยจะขมวดมุ่น เมื่อเห็นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหน้าที่การงานของอีกฝ่าย

“ส่วนเรื่องที่แกให้ไปสืบเพิ่ม ฉันว่ามีคนในปล่อยข่าวออกไป แต่ตอนนี้ยังสืบไม่ได้ว่าเป็นใคร”

เป็นประโยคที่ทำให้ชายหนุ่มปิดเปลือกตาลงอย่างหนักใจ แม้ณรังค์กูลค้าไม้จะได้รับการยอมรับว่าเป็นบริษัทที่ไม่แสวงหากำไรจนเกินควร และมีความรับผิดชอบต่อการรักษาผลประโยชน์ด้านป่าไม้ของประเทศชาติ สมกับที่ได้รับสัมปทานป่าไม้จากรัฐบาล ทว่าในช่วงเวลาสามถึงสี่ปีที่ผ่านมา กลับมีข่าวลือหนาหูว่าบริษัทของเขากำลังลักลอบทำสิ่งผิดกฎหมายโดยใช้กิจการค้าไม้เป็นฉากบังหน้า แต่ตราบใดที่ไม่มีหลักฐาน ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์มากล่าวหาบริษัทของเขา

“วันเสาร์หน้าฉันจะไปเยี่ยมคุณย่าวรรณที่วังวโรรส ยกเลิกตารางนัดทุกอย่างของฉันด้วยนะ”

“จะไปยลโฉมว่าที่ภริยาละสิไม่ว่า” ภรพพูดต่อด้วยสีหน้าล้อเลียน ทว่าเจ้านายของเขาไม่ตอบรับอะไร ทำเพียงหันไปจับจ้องพินัยกรรมด้วยสีหน้าหนักใจ

 

เสียงฝีเท้าที่วิ่งอย่างรวดเร็วไปบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยเศษใบไม้และดินโคลนดังอย่างต่อเนื่องในป่าที่เงียบสงัด ก่อนที่เจ้าของนัยน์ตาคู่สวยจะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดลงเรื่อยๆ ด้วยแววตาหวาดหวั่น สองมือกำแน่นเพื่อระงับ

ความตื่นกลัวที่คุกรุ่นอยู่ภายในใจ เมื่อพบว่าเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้วที่เธอวิ่งวนไปวนมาอย่างไม่รู้จุดหมายอยู่ในป่าลึกแห่งนี้

ครืน...ครืน...

เสียงพิโรธของท้องฟ้าสลับกับเสียงสัตว์ป่าร้องระงมดังขึ้นเรียกสติหญิงสาว ร่างบางก้มลงหลบกิ่งไม้ที่เริ่มหนาแน่นขึ้น แล้วเข้าไปซ่อนตัวในถ้ำขนาดเล็กที่แฝงตัวอยู่ไม่ไกล หยาดเหงื่อไหลชโลมกาย ทว่าไม่สามารถระบายความร้อนรุ่มที่อยู่ภายในจิตใจได้แม้แต่น้อย

“โอ๊ย!” เจ้าตัวร้องอย่างเจ็บปวดเมื่อมือปัดไปโดนบาดแผลที่หัวไหล่ เลือดที่ยังคงไหลซึมทำให้หญิงสาวบีบไหล่ตัวเองเพื่อห้ามเลือด ขณะที่เสียงฝีเท้านับสิบที่ดังเข้ามาใกล้ทำให้เธอกัดริมฝีปากแน่น

“หายไปไหนวะ! ตะกี้ยังเห็นหลังไวๆ แท้ๆ”

“มันคงยังหนีไปได้ไม่ไกล ตามหาให้เจอ อย่าให้มันหนีไปได้!”

เสียงตอบรับดังแข็งขัน ก่อนที่เสียงฝีเท้าที่กำลังวิ่งระรัวจะค่อยๆ ไกลออกไป ร่างบางเอนหลังพิงผนังถ้ำอย่างอ่อนล้า สองปีเต็มกับการวิ่งไล่ตามผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ มาวันนี้เธอได้เบาะแสจนเกือบพบหัวหน้ารายใหญ่ ทว่าสุดท้ายกลับพลาดท่าจนต้องมาวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนอยู่แบบนี้

“ใครก็ได้...” หญิงสาวภาวนาพร้อมกับที่ความรู้สึกอ่อนแรงครอบคลุมไปทั่วร่าง บาดแผลจากการถูกยิงยังคงสร้างความปวดร้าวทรมานให้เธอ แม้จะรู้ดีว่าด้วยอาชีพและภารกิจที่ได้รับมอบหมายอาจทำให้ตัวเองต้องพบจุดจบเข้าสักวัน แต่เมื่อวันนี้มาถึงจริงๆ เธอกลับหวาดกลัวเกินกว่าจะยอมรับ

คิดถึงบ้าน...อยากกลับไปกอดคนที่บ้านเหลือเกิน

เสียงนกกางเขนดงที่ดังแว่วๆ ทำให้หญิงสาวลืมตาขึ้น แล้วลากขาอย่างเชื่องช้าไปทางปากถ้ำ ไม่ผิดแน่ เสียงนกกางเขนดงนี้เป็นของพรานป่าคนสนิทของเธออย่างแน่นอน

หญิงสาวทำเสียงนกกาเหว่าตอบกลับไป ขณะที่ใบหน้าเริ่มซีดลงเรื่อยๆ กลิ่นคาวเลือดจากไหล่ซ้ายทำให้ความมึนงงเข้าครอบงำไปทั่วร่าง ดูท่าบาดแผลจากการถูกยิงจะสร้างปัญหามากกว่าที่เธอคิดเสียแล้ว

“คุณปะฮัด!”

เสียงสวรรค์ของพรานคู่ใจดังขึ้น ก่อนที่มือหนาจะเข้ามาประคองร่างบางที่ทำท่าจะทรุดลงกับพื้น หญิงสาวนึกขอบคุณเจ้าป่าเจ้าเขาและเทวดาทั้งหลายที่ยังเห็นคุณค่าของการมีชีวิตของเธอ แล้วจับไหล่คนที่เข้ามาประคองเป็นหลักยึดพลางตอบเสียงสั่นระริกว่า

“ฉัน...ไม่เป็นไร พวก...พวกคุณต้องตามจับพวกมัน”

“แต่คุณปะฮัดกำลังบาดเจ็บ หมู่เฮาต้องพาคุณไปจากที่นี่”

“ฉัน...ทนได้”

แม้คำพูดจะสวนทางกับอาการอ่อนล้าที่แสดงออก แต่หญิงสาวก็ยังตอบอย่างหนักแน่นเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ

“คุณปะฮัด...”

“ตาม...มันไป” หญิงสาวอ้อนวอนเสียงแหบพร่า ขณะที่บุรุษทั้งสามมองใบหน้าที่ขาวจนซีดอย่างไม่สบายใจ ก่อนที่ดวงตาคู่สวยจะค่อยๆ หรี่ลงพร้อมกับที่สติทั้งหมดดับวูบ

 

นายทหารหนุ่มร่างสูงกำยำก้าวเท้าไปยังสวนด้านหลังซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านหลังเล็กที่แยกตัวออกมาจากวังใหญ่ด้วยท่าทางเร่งรีบ ใบหน้าคมคายแฝงความอ่อนล้า แววตาที่มักอบอุ่นอยู่เสมอมีริ้วของความกังวลอย่างชัดเจน

“นี่มันเรื่องอะไรกันครับ ทำไมถึงได้เร่งด่วนขนาดนี้”

หม่อมราชวงศ์หนุ่มเบือนหน้ามามองชายหนุ่มอีกคนที่ลุกขึ้นจากม้านั่งเดินมาหาเขาทันทีด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความแปลกใจไม่แพ้กัน ก่อนจะตอบผู้เป็นน้องเสียงขรึมว่า

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“ถ้าคุณย่าถึงกับต่อโทรศัพท์สายตรงถึงผมที่โรงพยาบาลให้วันนี้กลับเร็ว ก็คงเป็นเรื่องใหญ่พอตัวเลยละครับ”

“ชายธรณ์...” หม่อมราชวงศ์นทีกุลเอ่ยเรียกคนเป็นน้องที่พนมมือไหว้เขา ก่อนจะเดินเข้ามารวมกลุ่มด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สามหนุ่มแห่งวังวโรรสไม่ค่อยมีช่วงเวลาที่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเท่าไรนักในวันธรรมดา ถ้าไม่มีเรื่องราวสำคัญอย่างเช่นเวลานี้

“ผมมีลางสังหรณ์ไม่ดีอย่างไรไม่รู้” นภเกตน์พูดด้วยน้ำเสียงแฝงความกังวล ก่อนที่บทสนทนาจะหยุดลงเมื่อทั้งสามเข้าไปยังระเบียงด้านนอกของวังเล็ก

“เข้ามาสิ ย่ากำลังรออยู่เลย” หญิงชราที่นั่งอยู่บนโซฟารับแขกพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แล้ววางหนังสือที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะ ขณะที่คุณชายทั้งสามค่อยๆ คลานเข่าเข้าไปหา

หม่อมหลวงนภัสวรรณ วโรรส คือคุณย่าของหม่อมราชวงศ์ทั้งสี่ และเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดแห่งวังวโรรส แม้อายุจะล่วงเลยมาจนถึงเจ็ดสิบปี แต่หญิงชราก็ยังคงความแข็งแรงและมีความจำดีเลิศไม่แพ้คนหนุ่มสาว

“เมื่อวันก่อนย่าฝันถึงท่านพ่อของพวกหลาน...”

คำพูดที่เปรยขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยทำให้สามหนุ่มแห่งวังวโรรสมองหน้ากันอย่างเศร้าใจ

หม่อมเจ้านฤเบศ วโรรส คือโอรสเพียงองค์เดียวของพระองค์เจ้านเรศ วโรรส กับหม่อมหลวงนภัสวรรณ เพียงเกศ ผู้เป็นปู่และย่าของหม่อมราชวงศ์ทั้งสี่ หม่อมเจ้านฤเบศสิ้นชีพตักษัยลงด้วยโรคร้ายตอนที่หม่อมราชวงศ์นรีรัตน์ บุตรสาวคนเล็กอายุเพียงสิบขวบ ขณะที่หม่อมหลวงการะเกดผู้เป็นแม่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จากไปตั้งแต่คุณหญิงคุณชายยังจำความไม่ได้ ทิ้งให้ผู้เป็นย่าต้องเลี้ยงดูหลานทั้งสี่ที่ยังเล็กอยู่เพียงลำพัง

“คุณย่า...” นทีกุลกุมมือผู้เป็นย่าพร้อมกับบีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ ขณะที่หญิงชราเลื่อนสายตามองใบหน้าของหลานชายทีละคนก่อนจะพูดต่อ

“เมื่อสองวันก่อนท่านอธิบดีบอกย่าว่าหญิงนิดถูกยิงระหว่างปฏิบัติภารกิจ”

“อะไรนะครับ!” สามหนุ่มตะโกนขึ้นพร้อมกัน ขณะที่หม่อมหลวงนภัสวรรณถอนหายใจยาว

“หญิงนิดไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ย่าจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกแล้ว หญิงนิดต้องกลับมาพระนคร” หญิงชราพูดต่อ “แล้วเมื่อหลายคืนก่อน ย่าก็ได้หยิบจดหมายของท่านพ่อของหลานมาอ่านอีกครั้ง”

เป็นประโยคที่ทำให้คุณชายทั้งสามนิ่งขึงไปในทันที จดหมายของท่านพ่อระบุชัดถึงคำสั่งเสียสุดท้ายที่มอบให้แก่น้องสาวเพียงคนเดียวของพวกเขา...หม่อมราชวงศ์นรีรัตน์ วโรรส

“ปีนี้ พ.ศ. ๒๕๐๔ นับจากปีเกิด หญิงนิดก็อายุครบยี่สิบสี่แล้วสินะ ควรออกเรือนได้แล้ว”

“คุณย่าตั้งใจจะให้ยายนิด...” นรินธรณ์พูดเสียงแปร่ง ขณะที่สีหน้าของคุณชายอีกสองคนเจื่อนไป

“ใช่ ย่าส่งจดหมายไปหาหญิงนิดแล้ว เธอน่าจะถึงพระนครภายในเย็นวันอาทิตย์”

“อะไรนะครับ!” สามหนุ่มตะโกนพร้อมกัน ขณะที่หญิงชรามองท่าทางตื่นตะลึงของหลานชายทั้งสามด้วยแววตาเคร่งขรึม

“นี่เป็นทางดีที่สุดที่จะทำให้หญิงนิดยอมกลับมาอยู่ที่พระนคร ย่าจะไม่ยอมให้หลานสาวของย่าไปเสี่ยงอันตรายที่ไหนอีก”

“แต่คุณย่าครับ ผมเกรงว่า...” นทีกุลเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง แต่คุณย่าของพวกเขาตัดบทด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจทันทีว่า

“หญิงนิดจะต้องแต่งงานกับท่านชายอธิธัช ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งนั้น!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น