ตอนที่ 12 อนุญาต
แม่หญิงเกี้ยวจันทร์นั่งหยัดกายอยู่บนโขดหินก้อนเล็กๆ ริมธารน้ำตกสายใหญ่ปลายเท้าขาวตบผิวน้ำอย่างฉุนเฉียว ด้วยอารมณ์ไม่ดีแกมเบื่อหน่ายเมื่อได้ยินเสียงออดอ้อนออเซาะของชายวัยกลางคนผู้ซึ่งมีอายุอานามเพียงสี่สิบปีกลางๆ ทว่ากลับดูแก่กว่าสหายรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างนายห้างตันฉเว ถึงอย่างนั้นลีลาในการเกี้ยวพาราสีอีไพร่แพศยากลับยังดูมีชั้นเชิงอยู่ ส่วนนางไพร่ตัวดีก็ยังคงส่งเสียงหัวเราะชอบใจ หยอกล้อกลับด้วยน้ำเสียงหวานหยอดเยิ้ม กระเซ้าเย้าแหย่กันไปมาอยู่ในกระโจมเล็กของเมียมัน หารู้ไม่ว่าเกี้ยวจันทร์ลูกสาวนั่งเล่นน้ำอยู่ใกล้ๆ บริเวณ
ส่วนนายห้างตันฉเวผู้เป็นสหายแกบัดนี้เดินเข้าป่ามุ่งหน้าไปยังห่างเก่าที่ขึ้นยิงสัตว์ไปเมื่อวันก่อนพร้อมกับลูกๆ ทั้งสองคนของแก เพราะจำต้องพาวินทเวลูกชายคนเล็กขึ้นห้างส่องสัตว์ตามสัญญาที่ให้ไว้ สหายอย่างพ่อเปรมจึงมีโอกาสได้นอนกระจู๋กระจี๋ กะหนุงกะหนิงอยู่ในกระโจม
“บ่สนลูกสนเต้า ก็เห็นแก่เจ้าป่าเจ้าเขาเถอะอีพ่อ!” เกี้ยวจันทร์ลูกสาวสะฅ่วยแห่งเวียงเชียงใหม่แผดเสียงใส่เจ้าของกระโจม ที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันเสียจนกระโจมไหว เมื่อได้ยินเธอแผดเสียงใส่ กระโจมก็ถึงกับหยุดสั่นหยุดไหวในทันที
หากจะว่ากันตามตรงแล้ว ชายผู้นี้อาจเป็นหนึ่งในชายผู้โชคดีที่ได้แต่งเข้าเรือนสะฅ่วยของสาวชาวเวียง ทว่ากลับทำตัวโหลยโท่ยเสียจนถูกเฉดหัวให้ไปอยู่ยังตูบ (กระท่อม) ปลายนาเสียตั้งแต่ปีสองปีแรกๆ ที่อยู่กินกัน เมียสะฅ่วยไม่ยอมให้ร่วมหลับนอนหลังจากพบว่าผัวที่แต่งเข้าเรือนมาเป็นประเภทงานหนักไม่เอา งานเบาไม่สู้ แม้ปีแรกที่ร่วมหอจะมีลูกสาวด้วยกันแล้วหนึ่งคนก็ตาม แต่พ่อเปรมผู้นี้ก็ยังคงไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัวสะฅ่วยอยู่ดี
หลายปีต่อมาแม่เสี้ยวจึงยืนข้อเสนอให้พ่อเปรม แกจำต้องเลือกระหว่างจะกลับไปยังเมืองสยาม หาการหางานทำเพื่อเลี้ยงดูตัวเอง หรือจะอยู่ใช้ข้าวใช้เกลือบ้านสะฅ่วย แลกกับการทำงานหนัก แน่นอนว่าคนอย่างพ่อเปรมก็เลือกอย่างหลัง หน้าที่ของแกมีเพียงการนอนเฝ้านา หรือหากจะเรียกให้ถูก คงต้องเรียกว่าให้นาเฝ้าแกนอนไปวันๆ แม่เสี้ยวเองเลือกที่จะมองข้ามข้อเสียข้อนี้ไป เพราะอย่างน้อยพ่อเปรมก็เป็นคนที่แกเคยรัก และอาจยังรักอยู่จนกระทั่งแกตาย
แต่ถึงอย่างนั้นบุญคุณค่าข้าวค่าน้ำก็หาได้ทำให้พ่อเปรมรู้สึกสำนึกบุญคุณครอบครัวสะฅ่วยไม่ แกยังคงกินๆ นอนๆ ต่อไป กระทั่งถึงวันที่แกตัดสินใจปีนขึ้นไปขี้รดบนหลังคา ลักกินบ่าวไพร่หญิงสาวรุ่นราวคราวลูก ใช้ตูบปลายนาเป็นเรือนหอรอรักในทุกๆ ค่ำคืน กระทั่งปัจจุบันหลังจากเมียและแม่ยายตายไป แกก็แทบยกอีไพร่ขึ้นเทินหัว สถาปนาให้เป็นเมียรักแทนเมียหลวงที่ตายไปไม่ถึงเดือน
“แม่หญิงเกี้ยวจันทร์กาเจ้า อีพ่อของแม่หญิงบ่ได้อยู่นี่หรอกเจ้า” คำโกหกที่ไม่แนบเนียนที่สุดในโลกดังออกจากในกระโจมเล็ก แน่นอนว่ามันจะดีกว่าหากพวกแกหัดเงียบปากและกระทำรักกันไปเงียบๆ
“กูบ่ได้หูหนวกตาบอด อีฟอง จิ้นบ่เน่าหนอนบ่จี คำบ่มีเขาบ่ว่า เยียะ (ทำ) อะหยังกันมึงรู้อยู่แก่ใจ” มันเป็นเช่นคำของเธอ ‘จิ้นบ่เน่าหนอนบ่จี คำบ่มีเขาบ่ว่า’ นั้นหมายถึง เนื้อหากยังไม่เน่าก็คงไม่มีหนอนเข้าชอน เรื่องซุบซิบนินทาหากไม่มีมูลเล่ามา คนก็คงไม่เล่าต่อๆ กัน เป็นที่รู้ดีกันดีทั่วทั้งเรือนใหญ่ยังเวียง ว่าอีกฟองคำเป็นชู้กับพ่อเธอ
“อย่างใด ดักจื้อกื้อ (เงียบสนิท) อย่างคำเพิ่นว่า มดง่ามมักมันหมู สัตถู (ศัตรู) มักกล่าวโทษ โปรดฅนตุ๊กช่างลืมคุณ บุญคุณแม่กูหื้อน้ำหื้อข้าว หื้อที่ซุกหัวนอน มึงสำนึกสักน้อยก่ออีฟอง กินข้าวกินน้ำบ้านกูบ่พอท้องกา ต้องลักกินผัวเพิ่น อีเนรคุณ!”
เราคงปฏิเสธความจริงทั้งสามสิ่งที่แม่หญิงเกี้ยวจันทร์กล่าวออกไปไม่ได้ หนึ่งคือ ‘มดง่ามมักมันหมู’ มันคือความเป็นจริงที่ทุกครัวเรือนรับรู้ดีอยู่แล้ว ว่ามดง่ามนั้นมักชอบตอมน้ำมันหมู ‘สัตถูมักกล่าวโทษ’ อีกความเป็นจริงหนึ่งเกี่ยวกับศัตรู คือไม่ว่าจะทำอะไร หรือไม่ทำอะไร ศัตรูมักกล่าวโทษเราอยู่เสมอ มิมีใครกล่าวสรรเสริญศัตรู และมิมีศัตรูคนใดกล่าวสรรเสริญเยินยอเรา และในความเป็นจริงข้อสุดท้าย ‘โปรดฅนตุ๊กช่างลืมคุณ’ การแสดงความเมตตาต่อคนจนนั้นมักถูกหลงลืมได้โดยง่าย เปรียบเปรยกับอีฟองคำผู้ไม่เคยเห็นคุณค่าของความเมตตาจากแม่เสี้ยวของเธอ
สิ้นคำแม่หญิงเกี้ยวจันทร์ อีฟองคำในกระโจมคงเป็นเดือนเป็นร้อนอยู่เต็มอก ทว่าพ่อเปรมคงปิดปากป้องหูมัน ไม่ยอมให้มันแสดงอาการเดือดดาลใส่เธอ มิเช่นนั้นคงถูกสั่งเฆี่ยนจนหลังลายอีกคราเป็นแน่
“เกี้ยวจันทร์ พอเทอะ…” ตอนนั้นเองที่คนเป็นพ่อปรามเธอเบาๆ แสดงตัวและยอมรับแต่โดยดีว่าแกนั้นอยู่ในกระโจมกับเมียบ่าว กดเสียงให้ทุ้มต่ำลงอย่างกำลังแสดงอำนาจตัว ให้ดูเหมือนนายห้างตันฉเวที่ส่งเสียงปรามลูกชายแก ทว่ากลับตรงกันข้าม มันฟังดูคล้ายกับว่า แกกำลังร้องขอให้เกี้ยวจันทร์หยุดดุด่าเมียรักของแกเสียที
“อ้าว อีพ่อกา เห็นอีขี้ข้ามันบอกว่าอีพ่อบ่อยู่กับมัน ท่าจะวอกแลน (โกหกตอแหล) จนเป็นนิสัย”
เป็นที่รู้กันดีว่าคนเป็นพ่อนั้นหาได้มีอำนาจเท่าเทียมกับแม่หญิงเกี้ยวจันทร์ผู้เป็นถึงลูกหลานสะฅ่วยไม่ เพราะโดยธรรมเนียมปฏิบัติแต่เดิม หากลูกเขยที่แต่งเข้าเรือนโดยครอบครัวภรรยาไม่ยอมรับ มันผู้นั้นก็เป็นได้เพียงแค่แรงงานคนหนึ่ง สำหรับพ่อของเด็กแล้ว จะเป็นใครก็ย่อมได้ ปู่ ตา หรือแม้กระทั่งลุง หรือน้าก็ได้ทั้งนั้น ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขยผู้ไม่ได้ความ อีกอย่าง เงินทองและทรัพย์สมบัติทั้งหมดของแม่และยายก็เป็นของแม่หญิงเกี้ยวจันทร์แต่เพียงผู้เดียว อีกเหตุผลหนึ่งที่คนเป็นพ่อต้องร้องปรามเธอก็คงเพราะหากปล่อยให้บ่าวไพร่อย่างอีฟองคำต่อปากต่อคำกับแม่หญิงลูกสาวแก มันคงโดนมิเมตบปากเจ่อเอาเป็นแน่แท้เชียว
“ไปเทอะ มิเม ปล่อยหื้อหมามันร้อง ก็อย่างว่า อีพวกขี้ข้าอยากจองหองพองขน ทำตัวอย่างหนังแห้งบ่เคยพอง พอถึงคราวจะพองก็พองได้บ่สุด น่าสมเพช…” ร่างบางว่าจบก็พลันก้าวลงจากโขดหินเล็กกลับขึ้นฝั่ง มุ่งหน้าไปยังลานกระโจมใหญ่ของตัวเอง แม้จะยังอยากนั่งเล่นน้ำตกอยู่ก็ตามที
‘หนังแห้งบ่เคยพอง’ สุภาษิตดั้งเดิมที่ยังคงใช้ได้อยู่จนถึงทุกวันนี้ เป็นคำเปรียบเปรยที่ว่า คนไม่เคยมีอำนาจครั้นได้อำนาจมาไว้ในมือสักนิดสักหน่อยกลับใช้ข่มเหงรังแกผู้อื่น แต่อีฟองคำยังไม่ทันได้ข่มเหงใครก็ถูกแม่หญิงเกี้ยวจันทร์ด่ากลับมาเสียจนย่อยยับ จะโต้ตอบก็ทำไม่ได้ ด้วยตัวนั้นหาได้มีอำนาจแท้จริงไม่ เป็นเพียงแค่บ่าวไพร่ธรรมดาที่ไต่เต้าขึ้นมาได้แค่ระดับเมียบ่าวของพ่อเธอ
สีหน้าฉุนเฉียวของเกี้ยวจันทร์ทำให้สุ่นคำไม่กล้าเอื้อนเอ่ยคำใด ทำได้แต่เพียงแค่ก้าวเดินตามเกี้ยวจันทร์และมิเมไปอย่างเงียบๆ เท่านั้น
“อ่าว! ไอ้เงี้ยว ปิ๊กมา (กลับมา) แล้วกา?”
เมื่อก้าวเข้ามาถึงลานกองไฟหน้ากระโจม ทั้งสามสาวพบเข้ากับกายาใหญ่ผู้กำลังก้าวกลับเข้ามาพร้อมกับแปมพะหรือตะกร้าสานคาดหัวใบโต ภายในมีของป่าที่หามาได้ระหว่างทาง และอะไรบางอย่างที่ห่อมาในใบตอง
กายาใหญ่พยักหน้ารับแทนคำตอบ เขาปลดแปมพะออกจากศีรษะและวางพิงไว้กับขอนไม้ใหญ่ สุ่นคำที่สนใจของในแปมพะเหลือเกินจึงก้าวนำแม่หญิงเกี้ยวจันทร์เข้าไปดูใกล้ๆ เหตุเพราะของเหล่านี้จะเป็นมื้อเย็นให้ทุกคน รวมไปถึงหล่อนด้วยเช่นกัน เพียงแต่ดูเหมือนเจ้าของแปมจะหาได้สนใจสุ่นคำเลยสักเพียงนิด เพราะในขณะที่หล่อนค้นหาผลไม้ในแปม เจ้าของแปมเองกลับหันมองแต่เพียงแม่หญิงเกี้ยวจันทร์
“มองอะหยัง” เกี้ยวจันทร์ถึงกับร้องถาม ใบหน้าที่ยับยู่ยี่อยู่แล้วยิ่งดูโยเยเข้าไปใหญ่
“ไผทำให้ขุ่นเคืองใจ” ไอ้เงี้ยวเจ้าของลายสักขาแปลกตาผู้นั้นถาม หยิบคว้าเอาใบตองห่อใหญ่จากแปมออกมาไว้ในมือ
“บ่มี” แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ปฏิเสธ เธอหันหน้าหนี ไม่ยอมสบตากับเจ้าของใบหน้าคมเลยสักเพียงนิด ไม่รู้เพราะเหตุใดกัน ครั้นจ้องเข้าไปในดวงตาคมคู่นั้นทีไรก็พลอยแต่จะใจเต้นตลอด แขนเรียวกอดอกอิ่มของตัว และเผลอขบริมฝีปากของตัวเองอีกคราแล้ว
“ไอ้เงี้ยว!” สุ่นคำถึงกับร้องเอ็ดเบาๆ ด้วยหล่อนรับรู้ว่าแม่หญิงเกี้ยวจันทร์กำลังขุ่นเคืองใจ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม แต่บ่าวไพร่อย่างหล่อนและเขาไม่ควรไปยียวนเซ้าซี้เรื่องนาย ประเดี๋ยวจะโดนดุด่าเอาจริงๆ
“อยากได้สิ่งใด เราจักหามาให้” เจ้าของนัยน์ตาสุกใสดั่งน้ำค้างกลางไพรยังคงถาม แน่นอนว่าข้อเสนอนี้ทำให้แม่หญิงเกี้ยวจันทร์หันกลับมามองเขา
“เราใคร่ได้น้ำตกใหม่ เราใคร่อยากเล่นน้ำตก แต่น้ำตกแถวนี้มีแต่เปต (ผีเปรต) แต่โหง (ผีตายโหง)! เราบ่ใคร่เล่นตรงนี้” ความฉุนเฉียวเรื่องพ่อประกอบกับความต้องการของเธอทำให้สาวเจ้าแผดเสียงโวยวายลั่น คิ้วเรียวของเกี้ยวจันทร์ขมวดเข้าหากันจนแน่น ยิ่งนึกถึงเสียงอีฟองคำยิ่งแล้ว ยิ่งรู้สึกขุ่นข้องหมองใจเข้าไปใหญ่ แต่คำขอของเธอทำให้ทั้งมิเมและสุ่นคำถึงกับเบิกตาโพลง ใครเล่าจะหาน้ำตกใหม่ให้แม่หญิงคนดีได้ แต่ชายหนุ่มกลับยิ้มเอ็นดูในความเอาแต่ใจของเธอ
“น้ำตกทางบนบ่มีเปต บ่มีโหง” ไอ้เงี้ยวเสนอ เพราะคาดเดาได้จากท่าทีฉุนเฉียว หากมิใช่เรื่องถูกขัดใจ ก็คงเป็นเรื่องของพ่อเธอ อีกทั้งเสียงพูดคุยของนายเปรมและเมียรักตรงริมลำธาร เขาก็ได้ยินผ่านโสตที่ดีกว่ามนุษย์สองขาธรรมดา ยิ่งย้ำถึงสาเหตุที่ทำให้เกี้ยวจันทร์โมโหโกรธาได้ดีทีเดียว ชายหนุ่มยังคงจ้องมองเข้าไปในดวงตางามของเธอ เจ้าของดวงตาหวานฉ่ำที่เอาแต่ขบริมฝีปากตัวเองไม่เลิกเสียที
“แต่น้ำตกทางบนมีงู” เกี้ยวจันทร์ว่า นึกย้อนถึงเมื่อวันที่มาถึงวันแรก ภาพของเจ้างูจงอางสีขาวตัวมหึมาตัวนั้นยังคงติดตาเธออยู่เลย
“บ่มีแล้ว” กายาใหญ่เอ่ย
“รู้ได้อย่างใด” แม่หญิงไม่เชื่อใจเขา เพราะป่าเขาลำเนาไพรนั้นเป็นที่อยู่ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ตัวไหนจะมาหรือตัวไหนจะไป ก็คงไม่มีใครสั่งพวกมันได้ แล้วไอ้เงี้ยวผู้นี้เป็นใคร จึงได้เอ่ยอย่างมั่นใจว่างูจะไม่อยู่บริเวณนั้น
“เราไล่ไปแล้ว” ชายหนุ่มยังคงยืนยันคำตน
“แล้วมันจะบ่กลับมาหรือ สุ่นคำก็บอกว่าในป่าในดอยอย่างใดก็ต้องมีงู” แม่หญิงคนงามรีบเถียง เธอไม่อยากเสี่ยงไปเล่นน้ำบริเวณนั้นอีก เพราะหากจงอางตัวนั้นกลับมา ครานี้เธออาจไม่โชคดีเหมือนครั้งที่แล้ว
ในตอนที่สองหนุ่มสาวต่อล้อต่อเถียงกันอยู่นั้นเอง ความสงสัยก็เกิดขึ้นในใจของมิเม เพราะก่อนหน้านี้เกี้ยวจันทร์แม่หญิงของหล่อนแสดงท่าทีเกลียดชังไอ้เงี้ยวผู้นี้อย่างชัดเจน ทว่าเหตุใดกันวันนี้จึงเอ่ยเจรจาว่าความ ถามตอบกันไปมาอย่างไม่มีท่าทางขุ่นเคืองใจกัน ดวงตาดวงเล็กของมิเมเหลือบมองใบหน้างามของผู้เป็นนายที่แสดงออกชัดเจนว่าคาดหวังบางอย่างจากชายตรงหน้า
“บ่กลับ” เจ้าของกายาใหญ่ยืนยันคำเดิม
“เราบ่เชื่อ” เธอว่า คำตอบสั้นๆ มาพร้อมกับสีหน้าที่เศร้าหมองลงเรื่อยๆ มิวายคงได้นอนเล่นอยู่แต่ในกระโจมเป็นแน่แท้เชียว
“อย่างนั้นเราจะไปด้วย” ชายร่างใหญ่เสนอ ทำให้เกี้ยวจันทร์หันกลับมามองมิเมพี่เลี้ยงเธอในทันที
หญิงสาวทั้งสองจ้องมองกันอย่างกำลังถามความเห็น เพราะหากมิเมอนุญาตให้เธอไป เธอก็จะไป แต่หากมิเมปฏิเสธไม่ให้ไปเพราะห่วงใยความปลอดภัยของเธอ เธอก็จะยอมรับมัน เพียงแต่สำหรับมิเมแล้ว คงไม่มีเหตุผลใดที่หล่อนจะปฏิเสธ เพราะเห็นอยู่ตำตาแล้วว่าแม่หญิงเกี้ยวจันทร์อยากเล่นน้ำตกใจจะขาด แต่ที่ไม่ยอมเล่นน้ำที่ธารใสใกล้ๆ นี้ เพราะพ่อและชู้รักกำลังจู๋จี๋กันอยู่ยังบริเวณนั้น
“ก็ได้เจ้า ถ้ามีคนกอยไล่งูหื้อ (คอยไล่งูให้)” มิเมตอบตกลง หล่อนพยักหน้ารับเพื่อยืนยันว่า หล่อนอนุญาตให้แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ไปเล่นน้ำยังน้ำตกชั้นบน แต่มีข้อแม้อยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือไอ้เงี้ยวผู้นี้จะต้องไม่เข้าใกล้แม่หญิงของหล่อนมากจนเกินไป
แน่นอนว่าเพื่อให้เกี้ยวจันทร์ได้ไปเล่นน้ำตามใจเธอ เขาจำต้องยอมให้สัญญา
ความคิดเห็น |
---|