ตอนที่ 13 ข้างหลังม่าน
ดวงตะวันในยามบ่ายเคลื่อนพ้นยอดผาสูงของน้ำตกเกล็ดแก้วใหญ่แห่งนี้ไปแล้ว ร่มเงาจึงทอดลงแอ่งน้ำใสใต้น้ำตกหลวง ร่มรื่นพอจะเป็นที่พักพิงใจให้แก่แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ แม่หญิงคนงามผู้มาจากเวียงเชียงใหม่ เธอทิ้งความโกรธแค้นไว้เบื้องหลัง ไม่คุ้มค่าที่จะแบกมันขึ้นมายังผาน้ำตกชั้นบนแห่งนี้ ด้วยเพียงแค่แบกร่างกายตัวเองก็เหนื่อยล้าเต็มทน โชคยังดีที่พอมีมิเมพี่เลี้ยงสาวชาวมอญคอยประคองอยู่ไม่ห่างกาย จับมือจูงกันเดินขึ้นมาตามทางเดินหินที่สองข้างทางเต็มไปด้วยป่ากล้วยและไผ่กอเล็กๆ น่าแปลกที่มันไม่ยักเหนื่อยเท่ากับครั้งแรกที่มาถึง อาจเพราะมีคนคอยปูทางเดินให้ ไม่ต้องเดินย่ำก้าวใหญ่ข้ามหินสูง
สายลมเย็นโชยพัดพาละอองน้ำตกเข้าปะทะกับใบหน้าขาว รอยยิ้มพริ้มพรายประทับอยู่กับใบหน้างาม แตกต่างออกไปจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ดูอารมณ์ดี คอยวักน้ำสาดเล่นกับคนนั้นที คนนี้ที ตามแต่เธอพอใจ ในขณะที่สองเท้าย่ำไปกับน้ำใสเย็น เหนือหินแก้วกลมที่เรียงรายอยู่เต็มพื้นแอ่ง ซึ่งสีตัดกับตีนซิ่นต๋าสีดำสนิทที่ลอยกระเพื่อมกับผิวน้ำ ไหวระริกตามแรงตกกระทบของสายนที ก่อนมันจะไหลลงไปยังชั้นล่างต่อไป
เสียงหัวเราะของแม่หญิงเกี้ยวจันทร์เติมเต็มความงดงามของธรรมชาติแห่งนี้ และหัวใจของใครบางคนที่ยืนมองดูเธออยู่ห่างๆ
“มิเม บ่มาเล่นแล้วกา” เกี้ยวจันทร์เรียกหาพี่เลี้ยงเสียงหวาน ทว่ามิเมเป็นคนขี้หนาว จึงไม่ถูกกับน้ำเย็นเช่นแม่หญิง เกี้ยวจันทร์ก้าวย่ำไปจนแอ่งน้ำเย็นเฉียบทั่ว มองหาหินแก้วที่ต้องตามากที่สุด แม้จะหยิบคว้าติดตัวกลับไปด้วยไม่ได้ ด้วยเกรงว่าเจ้าป่าเจ้าเขาจะไม่ยินยอม แต่เธอมักจะนำหินแก้วเหล่านั้นไปกองไว้ยังจุดเดียวกันและหวังว่ามันจะยังคงอยู่ที่เดิม แต่แน่นอนว่าท้ายที่สุดแล้ว แรงปะทะของสายธาราจะทำให้มันกระจัดกระจายไป
“มิเมหนาวเจ้า ขอหิงไฟ (ผิงไฟ) สักกำเน่อ แล้วแม่หญิงบ่หนาวกา?” มิเมร้องถาม ในขณะที่นั่งอังมือลงกับกองไฟกองเล็กๆ หันใบหน้าจิ้มลิ้มมองเกี้ยวจันทร์อยู่เป็นระยะๆ
“บ่หนาว” เกี้ยวจันทร์ตะโกนบอก น้ำเสียงของเธอสดใสและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ไม่มีแม้แต่วินาทีใดเลยที่ใบหน้างดงามนี้จะปราศจากรอยยิ้มหวาน
ตอนนั้นเองที่แม่หญิงชาวเวียงหันมองไปยังกายาใหญ่ ชายผู้นั่งอยู่ริมกองไฟกองเล็กบนแท่นหินไม่ใกล้ไม่ไกลจากเธอมากนัก อะไรบางอย่างในห่อใบตองห่อใหญ่ถูกมัดไว้ด้วยตอกจนแน่นหนา อังไว้กับกองไฟเพื่อทำให้ของด้านในสุกด้วยความร้อน น่าแปลกที่บัดนี้เขาละสายตาไปจากเธอ และจ้องมองไอ้เจ้าห่อใบตองนั้นแทน อะไรที่ทำให้เขาละสายตาไปจากแม่หญิงคนงามคนนี้กัน
ดวงตากลมของเกี้ยวจันทร์เหลือบมองไปยังพี่เลี้ยงของเธอน้อยๆ ก่อนจะหันมาสนใจกับไอ้เงี้ยว หรือบางทีเขาอาจสนใจของบางอย่างในห่อใบตองห่อใหญ่นั้นมากกว่า
“บ่เล่นน้ำกา?” วินาทีนั้นเองเกี้ยวจันทร์ตะโกนถามกายาใหญ่ เขาคล้ายจะเพียงชายตามองเธอ แต่หญิงสาวเห็นมุมปากของเขาที่ยกขึ้นน้อยๆ ช่างน่าหมั่นไส้เหลือเกินชายผู้นี้ คิ้วเรียวของเกี้ยวจันทร์ผูกกัน ขบฟันซี่เล็กกับริมฝีปากล่างของเธออีกแล้ว
“เราถาม! บ่มีปากกา?” สาวเจ้าตะคอกใส่อย่างฉุนเฉียว คนอะไรพูดดีๆ ด้วยไม่ชอบ ชอบให้ขึ้นเสียงใส่
“บ่เล่น” เขาว่า แม้เสียงหัวเราะจะไม่ถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากบางๆ นั้น ทว่าน้ำเสียงกรุ้มกริ่มกลับมาพร้อมรอยยิ้มแสนพอใจ ดูพอใจที่ได้ยินเสียงแผดเล็กของเธอ
เกี้ยวจันทร์แทบอยากปาก้อนหินใส่ชายหนุ่ม เอาให้ดีดเข้ากลางหน้าผากของชายผู้น่าหมั่นไส้คนนั้น หากไม่ติดตรงที่เสียดายหินแก้วเหล่านี้ เธอก็คงปาใส่เขาไปแล้ว แม่หญิงคนดีจึงทำได้เพียงวักน้ำใส่อย่างฉุนเฉียว และตีผิวน้ำอย่างกำลังจินตนาการว่า มันคือใบหน้าของไอ้เงี้ยว
น้ำหยดเล็กๆ หยดแหมะลงกับแท่นหินขนาดใหญ่ บางหยดสาดกระเซ็นเข้าใส่กายาขาว แต่ถึงกระนั้นกลับหาได้รบกวนการทำงานของเขาไม่ ชายร่างใหญ่ส่ายหน้าอย่างเอ็นดู พลางยิ้มเยาะเธออยู่น้อยๆ ก่อนจะก้มลงสำรวจห่อใบตองตามเดิม แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ถึงกับแลบลิ้นใส่ ใช่ว่าเธอจะอยากเล่นน้ำด้วยเสียเมื่อไรกัน
“นิสัยบ่ดี” หญิงสาวบ่น แน่นอนว่าชายเจ้าของเรือนผมยาวที่เกล้ามวยสูงผู้นั้นหาได้สนใจเธอไม่ ยังคงนั่งชันเข่า โพกผ้าผืนขาว นุ่งผ้าเค็ดม่ามสีมอซอผืนเดิมๆ เผยให้เห็นรอยสักขาลายแปลกตาได้อย่างชัดเจน เกี้ยวจันทร์ที่ถูกขัดใจ ทำได้แต่เพียงเบ้ปากใส่ชายผู้ยียวน ก่อนจะหันหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าชายผู้นี้อีกแล้ว
สองขาเรียวใต้ผ้าซิ่นต๋าผืนงามก้าวไปยังหน้าผาสูง เงยใบหน้างามมองปลายยอดสุดของหน้าผาใหญ่ จ้องมองไปยังสายน้ำเย็นที่สาดกระเซ็นเป็นละอองฝอยต้องยอดไม้น้อยใหญ่ใบเขียวชอุ่ม มันไหวระริกในทุกคราที่กระแสน้ำเย็นสาดต้องใบ กระดิกไหวในทุกช่วงเวลาที่สายลมโบก มือเรียวปลดปิ่นเงินออกจากมวยผมใหญ่ เส้นผมยาวของเธอสยายลงปรกบ่า แผ่ลงไปตามแผ่นหลังขาว สุดปลายยาวจดใต้สะโพกอิ่ม เส้นผมสลวยค่อยๆ เปียกปอนไปทีละนิด ไม่ต่างอะไรกับเนื้อตัวของเธอ
“แม่หญิง! ผมเปียะ (เปียก) ระวังจะเม่ย (ไม่สบาย) เน่อเจ้า” มิเมร้องบอก ถึงอย่างนั้นเกี้ยวจันทร์กลับหาได้ฟังคำทัดทานของหล่อนไม่ หญิงสาวยังคงหัวเราะชอบใจ และเดินกลับไปหามิเมเพื่อฝากปิ่นน้อยในมือ
ผ้าฝ้ายสีขาวที่พันอกอิ่มบัดนี้เปียกชุ่มไปหมดแล้ว แต่เกี้ยวจันทร์ก็ยังรู้สึกว่าอยากจะลงไปเล่นน้ำให้สาแก่ใจตัว หญิงสาวย่ำเท้ากลับไปยังที่เดิม และกระโดดตูมตามตามใจตัว พี่เลี้ยงส่งเสียงร้องปรามอยู่เป็นระยะๆ ให้เธอสำรวมกิริยา เพราะถึงอย่างไรไอ้เงี้ยวก็เป็นผู้ชาย จะให้มาเห็นท่าทางกระโดกกระเดก เป็นม้าดีดกะโหลกคงไม่งามตา
“แม่หญิง!”
เสียงของมิเมทำเอาเกี้ยวจันทร์หัวเราะร่วน เธอชอบอกชอบใจใหญ่ที่ได้ยียวนหล่อน ก่อนจะเดินสำรวจน้ำตกแห่งนี้อย่างกับว่า มันเป็นน้ำตกของเธอแต่เพียงผู้เดียว มือเรียวลูบไปตามหินผาที่ทอดตัวขึ้นสูงสู่ฟ้า สัมผัสได้ถึงความลื่นของตะไคร่สีเข้ม และความนุ่มของมอสส์สีเขียวที่กระจายตัวออกเป็นผืนแพกว้าง มองไปก็คล้ายกำมะหยี่เขียวที่แม่เสี้ยวเคยนั่งเย็บต่อตีนซิ่นไทเขิน เข้ากับตีนบัว และปักประดับด้วยกะไหล่หมากดาวคำสมัยเมื่อครั้งแม่เสี้ยวยังมีชีวิตอยู่
“แม่จ๋า…กึดเติงหาอีแม่ขนาด…” เกี้ยวจันทร์เอ่ยกับตัวเอง แววตาสุกใสเมื่อครู่บัดนี้ฉาบชโลมด้วยน้ำตาฉ่ำ ถึงอย่างนั้นเกี้ยวจันทร์ก็คงไม่ยอมปล่อยให้มันไหลออกมาโดยง่าย ร่างงามก้าวเข้าใกล้สายธาราที่กำลังร่วงหล่นเป็นทาง ให้สายน้ำฉ่ำเย็นสาดกระเซ็นเข้ากระทบกับเปลือกตาบาง ทำทีอย่างกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าหัวใจเธอกำลังชุ่มโชก
มือเรียวขาวลูบผืนมอสส์นุ่มๆ แล้วป้องปิดใบหน้าของตัวเองอยู่น้อยๆ พยายามข่มใจไม่ให้แสดงความอ่อนแอมากนัก หญิงสาวสูดหายใจเข้าเต็มปอดอย่างปลอบใจตัว ก่อนจะพ่นถอนหายใจยืดยาว หันกลับไปมองมิเมที่ยังคงนั่งผิงไฟรอเธออยู่อย่างนั้น พลางเหลือบหันไปมองดูไอ้เงี้ยว
ทว่าตอนนั้นเองที่กายาใหญ่หายไปจากสายตาเธอ เหลือเพียงห่อใบตองพับหนาที่พิงไว้บนท่อนฟืนแดงที่ถูกกลบด้วยขี้เถ้า ใบหน้างามรีบหันกลับไปมองหายังฝั่งของมิเม ทว่าก็ไม่พบชายร่างใหญ่เลย
“ไหนบอกจะอยู่ตวย…คนขี้จุ๊” สาวเจ้าตัดพ้อเบาๆ พลางเดินไปตามผาสูงของน้ำตกใหญ่ วาดมือเรียวผ่านสายธาราเย็นฉ่าที่พรั่งพรมลงมาไม่ขาด ทว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งกลับพบว่าเบื้องหลังม่านน้ำแห่งนี้มีโพรงเล็กๆ อยู่ด้านหลัง สาวเจ้าถึงกับรีบชักมือกลับ ด้วยหวาดกลัวว่าจะมีสิ่งใดซ่อนเร้นอยู่ข้างใน
หัวใจดวงเล็กๆ ภายใต้อกอิ่มของเธอเต้นแรง ความหวาดหวั่นปะปนไปกับความอยากรู้อยากเห็น เธอจึงเดินอ้อมมันไปอีกด้านหนึ่ง ชะเง้อหน้ามองดูยังหลังม่านน้ำตกอย่างสนอกสนใจในที
ทว่าสิ่งเดียวที่ปรากฏอยู่ในโพรงห้องเล็กๆ นั้นกลับเป็นกายาใหญ่ที่หยัดกายยืนอยู่ แผ่นหลังกว้างของเขามีรอยปานขาวลายแปลก เฉกเช่นเดียวกับลายสักบริเวณหน้าขา เป็นลายเกล็ดงูสีขาว ชวนให้คิดถึงเกล็ดใหญ่ของผีเงือกในความฝันเมื่อคืนนั้นอย่างบอกไม่ถูก หัวใจดวงเล็กที่เต้นอยู่เบาๆ กลับเต้นแรงราวกับราวกลอง
“นะ…ไหนบอกบ่เล่นน้ำ” เกี้ยวจันทร์ร้องถามอย่างตกใจ ใบหน้างามของเธอแดงขึ้นระเรื่อในทันที
ตอนนั้นเองที่ใบหน้าคมหันกลับมามองเธอ…หญิงสาวผู้อยากรู้อยากเห็น ก่อนที่เขาจะยกนิ้วชี้แตะริมฝีปาก ทำให้เกี้ยวจันทร์ถึงกับยืนตัวแข็งทื่อ ลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างฝืดเคืองเมื่อรับรู้ได้จากท่าทีของเขา หญิงสาวเหลือบกลับไปมองยังมิเมที่ยังคงง่วนอยู่กับการผิงไฟและทำร่างกายให้อุ่น
“เราบ่เล่น” ชายเจ้าของเรือนผมยาวเอ่ย ผ้าเคียนหัวสีขาวถูกปลดออกไปแล้ว หลงเหลือไว้เพียงแต่เรือนผมยาวที่เปียกชุ่ม ลู่ลงกับเรือนกายเขา
เกี้ยวจันทร์ถึงกับหน้าแดงแจ๋ มือเรียวขยับขึ้นกุมอกอิ่มของตัวอย่างรู้สึกหวาดหวั่น วินาทีนั้นเองที่เขายื่นมือให้ เชื้อเชิญเธอด้วยแววตาที่คมกล้า เสียงจากหัวใจของเกี้ยวจันทร์ที่เต้นแรงถี่รัวบอกกับตัวของแม่หญิงผู้นี้ว่า หัวใจของเธอนั้นถูกฝ่ามือหนานั้นคว้าหมับเอาไว้แล้ว เพียงแต่ภาพของมิเมที่ยังคงปรากฏอยู่ยังหางตาคอยย้ำว่ามันไม่ควร
“มิเมบ่ให้เข้าใกล้…บ่ใช้กา?” เกี้ยวจันทร์เอ่ยเสียงสั่น สองขาเรียวพร้อมแล้วที่จะก้าวเข้าไปหา ทว่าสิ่งหนึ่งที่คอยฉุดรั้งและดึงหัวใจดวงนี้เอาไว้คือคำพูดของมิเม
“เราบ่ได้เข้าใกล้” น้ำเสียงทุ้มของกายาใหญ่แฝงไปด้วยความต้องการ ณ จุดที่ยืนอยู่ ไอ้เงี้ยวยังคงทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับมิเม ไม่ก้าวเข้าหา เพียงแต่เชื้อเชิญเธอให้มอบโอกาสนี้ให้เขาแทน ใจของเกี้ยวจันทร์นั้นแสนสับสน มันง่ายเหลือเกิน เพียงเธอก้าวเข้าไปหา ทว่าหากก้าวเข้าไปแล้ว การถอนตัวออกมาต่างหาก…ที่ยากเย็นยิ่งกว่า
ภายในโพรงห้องเล็กๆ ที่พออิงแอบแนบชิดกายกันได้พอดิบพอดี บัดนี้ยังคงเหลือที่ให้เธอ
“แม่หญิงเจ้า จะไปไปไก๋ (อย่าไปไกล) เน่อ มิเมไปหาสุ่นคำกำเดียว (แป๊บเดียว)” ตอนนั้นเองที่มิเมร้องบอกแม่หญิงของเธอ เกี้ยวจันทร์สะดุ้งโหยง ก่อนจะรีบขานรับกลับไปด้วยเสียงใส
“บ่ไปไก๋หรอก!” ชะเง้อใบหน้างามออกไปมองหล่อน ดวงตากลมโตของเธอจ้องมองแผ่นหลังบางของมิเม ไล่มองตามทุกๆ การก้าวเดิน กระทั่งหล่อนพ้นไปจากสายตา
สิ่งเดียวที่คอยฉุดรั้งเธอก้าวออกห่างไปแล้ว เกี้ยวจันทร์หันกลับมามองใบหน้าคมของชายผู้กำลังเชื้อเชิญ คำเตือนของมิเมที่คอยดึงสติบัดนี้ห่างไกลออกไปเฉกเช่นเดียวกัน ความต้องการทางอารมณ์อยู่เหนือเหตุผลทุกประการ และมันสั่งการให้สาวเจ้าก้าวเข้าไป วางมือเรียวลงกับฝ่ามือหนา และโผเข้าหากายาใหญ่
เสียงซ่าของสายธาราที่พรั่งพรมลงมาดังอื้ออึงภายในหู มันดังเสียจนแทบไม่ได้ยินเสียงสั่งจากจิตใต้สำนึกของตัวเอง ใบหน้างามของเกี้ยวจันทร์เงยมองเขา ในขณะที่ไอ้เงี้ยวจ้องมองแต่เพียงใบหน้าขาว ไล่สายตาลงจากหน้าผาก จดจ้องอยู่กับดวงตาระยิบพราว และปลายจมูกกระจิ๋วของเธอ กระทั่งหยุดอยู่กับริมฝีปากสีหวาน ชายหนุ่มยื่นมือเชื้อเชิญสาวเจ้าให้ก้าวเข้ามาหา ริมฝีปากอิ่มของเธอยั่วยวนเขาเสียจนแทบอดใจไม่ไหว
“มองอะหยัง” เกี้ยวจันทร์ถาม เสียงหวานของเธอแผ่วเบาเสียจนกายาใหญ่ต้องโน้มตัวเข้าหา เป็นจังหวะให้ฝ่ามือหนาช้อนลงกับสะโพกอวบอั๋น
ผ้าซิ่นที่เปียกชุ่มไปทั้งผืนนั้นทำให้ฝ่ามือร้อนผ่าวแนบสนิทอยู่กับเนื้อสาวของเธอ ห่างกันแค่เพียงซิ่นผ้าฝ้ายผืนเดียว ริมฝีปากนุ่มนิ่มของเกี้ยวจันทร์เผยอออกน้อยๆ ลมหายใจอุ่นๆ พ่นออกมาจากช่องว่างเล็กๆ ระหว่างริมฝีปากล่างกับฟันเรียงสวย ร่างบางลอบกลืนน้ำลายเหนียวอยู่เป็นระยะๆ ในขณะที่หัวใจเธอแทบระเบิดคาอก
“มองบ่ได้กา?” ไอ้เงี้ยวก้มลงกระซิบแผ่วกับใบหูเล็ก เสียงนุ่มลึกแทรกเสียงซ่าของสายธาราเสียจนเสียงเหล่านั้นแทบดับวูบ เธอไม่ได้ยินสิ่งใดเลยนอกจากเสียงกระซิบของชายคนนี้
“บ่ได้” แม่หญิงคนงามตอบพร้อมกับรอยยิ้มสู้ เป็นครั้งแรกที่เกี้ยวจันทร์พยายามขัดคำสั่งของมิเม และมันน่าตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกทีเดียว ริมฝีปากนุ่มของเธอสั่นระริก อกอิ่มขยับไหวตามแรงหายใจถี่
“แล้วอย่างนี้ได้ก่อ” เจ้าของเสียงทุ้มต่ำถาม ในขณะที่โน้มใบหน้าคมลงเข้าหาซอกคอขาว จดปลายจมูกเขาลงกับเนื้อสาวที่ขาวเนียนดั่งเม็ดข้าวสาร ใบหน้างามถึงกับเบี่ยงหนี มือเรียวยันแผ่นอกหนา ทว่ากลับหาได้ผลักไสอีกฝ่ายให้ออกห่างกายเธอไม่
“บ่…บ่ได้” เธอว่า ดวงตางามสั่นไหวระริก รับรู้ได้ถึงรสสัมผัสจากริมฝีปากเข้มที่จูบลงกับลำคอระหง แม่หญิงคนดีถึงกับหายใจถี่รัว รีบกระชับผ้ารัดอกผืนบาง
“แล้วอย่างนี้ลอ” ชายตรงหน้ายังคงถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทว่าฝ่ามือหนากลับกระชับเข้ากับสะโพกงอน โอบรับเนื้ออิ่มเอิบเข้าหาตัว และบดเบียดร่างงามกับผ้าเค็ดม่ามสีมอซอ ผ้าผืนยาวที่พันผูกไว้รอบบั้นเอวหนาซึ่งโอบรัดอยู่แต่เพียงความเป็นชายเขา ทว่าบัดนี้พญางูใหญ่คงตื่นขึ้นแล้ว
เสียงหวานของเกี้ยวจันทร์ลอดออกมาจากริมฝีปากอิ่ม ยามรู้สึกถึงผ้าหนาที่เสียดสีระหว่างเรียวขา บดเบียดแนบดอกไม้งามที่ซ่อนเร้นอยู่ใต้ผ้าซิ่นเปียกปอน
“บ่ได้…บ่ได้ ไอ้เงี้ยว…” เสียงครางหวานเล็ดลอดออกมาผ่านริมฝีปากอิ่ม ในขณะที่กายาใหญ่พยายามยกชายผ้าซิ่นผืนเดียวของตัวขึ้นอย่างช้าๆ แยกสองขาของเกี้ยวจันทร์ให้อ้าออกเพื่อเขา
ว่ากันว่าสำหรับแม่หญิงล้านนานั้น พวกเธอหวงเรียวขามากกว่าหน้าอกหน้าใจของตัวเองเสียอีก การเปลือยอกให้ใครเห็นนั้น จึงดูเป็นเรื่องธรรมดามากกว่าการเผยเรียวขาขาวของพวกเธอ สาวเจ้าจึงพยายามดึงชายผ้าซิ่นของตัวเองลงอยู่โดยตลอด
“แล้วอย่างนี้ลอ ได้ก่อ” เจ้าของรอยสักลายแปลกยังคงไม่ยอมเลิกรา พยายามสอดมือหนาลงใต้ผืนผ้าบาง ผ้ารัดอกอิ่มผืนงามร่นลงจากรอยเหน็บเดิมของมัน ปลดผืนผ้ายาวให้ค่อยๆ หลุดออกจากอกอิ่มเธอ ฝ่ามือหนาข้างหนึ่งผละออกจากสะโพกงอน และประคองดอกบัวดอกงามนี้เข้าทันที
ถึงอย่างนั้นฝ่ามือหนาของไอ้เงี้ยวผู้นี้กลับหยุดนิ่ง นัยน์ตาสุกใสดั่งน้ำค้างกลิ้งกลางใบบัวมองดวงตาใสของเธอ รอคำจากริมฝีปากสีหวาน ว่าจะเอ่ยอนุญาตหรือปัดปฏิเสธการกระทำของเขา หัวใจดวงโตเต้นเร่าอยู่ใต้แผ่นอกหนา เขาแทบอดใจไม่ไหวอยู่แล้ว ปทุมถันดอกงามถูกโอบอุ้มไว้ด้วยฝ่ามือร้อนผ่าว เนื้อสาวที่อวบเต่งของเธอคล้อยลงตามแรงโน้มถ่วง ไออุ่นจากอกอิ่มซ่านลงกับฝ่ามือหนา ในขณะที่ปลายยอดปทุมถันสีชมพูกระดกยกชูชี้งอน
“ถ้าบอกว่าบ่ได้…จะหยุดกา?” แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ถามออกไป พร้อมกับใบหน้างามที่แดงแจ๋เสียยิ่งกว่าลูกตำลึงสุก
“อยากให้หยุดกา?” ทว่าไอ้หนุ่มผู้นี้กลับเลือกที่จะตอบด้วยคำถาม
แม่หญิงคนงามขยับยิ้ม ลอบขบริมฝีปากล่างของตัวเองอีกครา วินาทีนั้นทั้งสองคนใจเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ ผู้หนึ่งโหยหาอยากครอบครอง และผู้หนึ่งยินยอมให้รับไป ทันทีที่เกี้ยวจันทร์ส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ ริมฝีปากกล้าจึงโอ้โลมลงกับเนื้อนุ่มของเธอในทันที ดูดดุนเนื้อสาวที่ไม่มีใครหน้าไหนเคยได้สัมผัสมันมาก่อน กลิ่นหอมจากกายขาวหอมฟุ้งตลบอบอวลทั่วโพรงด้านใน ไม่ต่างอะไรกับเสียงหวานที่ก้องกังวานอยู่ภายในโสต ยิ่งดูดดุนแรงขึ้นเท่าไร ร่างกายเธอก็พลอยกระตุกไหวไปทุกที
ลิ้นนุ่มกระหวัดรัดรึงเนื้อสาว ในขณะที่แขนแกร่งเขายังคงกระชับเกี้ยวจันทร์เข้าหา บีบเฟ้นเคล้นคลึงสะโพกอิ่มเข้ามาและบดเบียดความเป็นชายเขาเข้ารับสัมผัสเธอ ความเปียกชุ่มภายในผ้าซิ่นผืนบางทำเอาเกี้ยวจันทร์รู้สึกได้ในทันทีว่า ร่างกายของเธอพร้อมแล้ว เพียงแต่จะให้เอ่ยออกไปก็ดูจะไม่เหมาะไม่ควร เพราะนี่เป็นครั้งแรกของเธอ สาวเจ้าจึงประหม่าเหลือเกิน
“อะ…ไอ้เงี้ยว~” เกี้ยวจันทร์ครางหวานอย่างเผลอไผล ในขณะที่ขาเรียวแยกออกอย่างช้าๆ ให้กายาใหญ่แทรกลำขาแกร่งเข้ามา และช้อนร่างเธอขึ้นคร่อมขาข้างหนึ่งของเขา โดยมีเกี้ยวจันทร์เป็นฝ่ายรั้งชายผ้าซิ่นต๋าของตัวเองขึ้นแทน เขย่งน้อยๆ พร้อมๆ กับสองแขนที่ไขว่คว้าหาที่ยึด ฝ่ามือหนาจึงประคองบั้นเอวคอดเล็กและถอนริมฝีปากออกจากอกอิ่มเธอ
“บ่ชอบใจกา?” กายาใหญ่กระซิบถาม กระนั้นริมฝีปากเข้มกลับยังคงยกยิ้มยั่ว
“หากบ่ชอบใจ…จะหยุดกา?” เกี้ยวจันทร์ร้องถามเสียงกระเส่าอย่างออดอ้อนในที
“บ่หยุดได้ก่อหา…(ได้มั้ยนะ)” ชายเจ้าของเรือนผมยาวเจรจา
แม่หญิงเกี้ยวจันทร์พยักหน้าเธอ รอยยิ้มหวานอย่างกล้าๆ กลัวๆ ทำให้เกี้ยวจันทร์ดูเย้ายวนชวนฝัน ยิ่งขบฟันลงกับริมฝีปากอิ่ม ยิ่งทำให้ไอ้เงี้ยวผู้นี้ไม่อยากอดทนอดกลั้นอีกแล้ว
ฝ่ามือหนาประคองร่างเธอเข้าแนบชิด รับรู้ได้ถึงความร้อนระอุที่ปะทุอยู่กับหน้าขาเปลือยเปล่า รับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของดอกไม้ดอกหนึ่ง ดอกไม้ที่ยังไม่แย้มบาน ดอกไม้ที่ปิดหุบตูมสนิท ทว่าบัดนี้เปียกปอนชุ่มด้วยน้ำหวานฉ่ำ ไหลลื่นฉาบชโลมอยู่กับเนื้อขาหนุ่ม ยิ่งฝ่ามือเขากระชับร่างกายขาวของแม่หญิงเกี้ยวจันทร์เข้าหาตัวเป็นจังหวะ พุดซ้อนดอกขาวก็พลันเสียดสีกับกายาใหญ่ ถูไถดอกน้อยลงท่อนขาแกร่ง ใบหน้างามถึงกับเชิดหน้าขึ้นอย่างเผลอไผลในทันที ดวงตางามหรี่ลงอย่างพึงพอใจ
ครั้นเมื่อกายาใหญ่ขยับแรงเข้า สาวเจ้าก็พลันโบยบิน เริงระบำสั่นระริกอยู่บนลำขาแกร่ง กระตุกไหวรุนแรงเสียจนน้ำหวานฉ่ำกระฉอก
เกี้ยวจันทร์ฟุบลงกับแผ่นอกหนา ในขณะที่ไอ้เงี้ยวรีบประคองเธอเข้าหากายาเขา กระชับกอดร่างน้อยที่สั่นไหวและหอบพร่าอยู่ในที เธอเสร็จสมไปโดยที่พุดซ้อนดอกงามไม่ต้องบอบช้ำ และแอ่งน้อยยังไม่ถูกเติมเต็มด้วยน้ำขุ่นขาว
“แม่หญิงเจ้า!” ตอนนั้นเองที่มิเมร้องเรียกหา ด้วยกลับมาแล้วไม่เห็นแม่หญิง
เกี้ยวจันทร์ถึงกับรีบผละออกจากกายเขา ในขณะที่แขนแกร่งคอยประคองร่างสาวอยู่ไม่ให้ออกห่าง โหยหาสัมผัสของเนื้อนวลเสียยิ่งกว่าอะไรดี ด้วยบัดนี้ความเป็นชายคับแน่นอยู่เต็มผ้าเค็ดม่ามแล้ว เพียงแต่เจ้าของเอวบางกลับไม่ยอมให้เขาได้ปลดปล่อย มือเรียวกระชับผ้าพันอกมัดรวบอกอิ่มของตัวเองไว้อย่างลวกๆ สีหน้าเธอเปี่ยมไปด้วยความหวาดหวั่น ด้วยเกรงว่ามิเมและสุ่นคำจะรู้เห็นเรื่องของเธอ
“เราจะออกไปก่อน สูห้ามออกไป เข้าใจก่อ!” แม่หญิงเกี้ยวจันทร์กำชับแน่นหนัก ตอนนั้นเองที่ฝ่ามือหนาประคองแก้มอิ่มของเธอเอาไว้ เชยคางมนให้สาวเจ้าหันกลับมาหา ดวงตาสุกใสดั่งน้ำค้างกลางไพรคู่นั้นจ้องมองเข้ามาในดวงตากลม อ้อนวอนให้แม่หญิงเกี้ยวจันทร์อยู่ต่อ แม้จะรู้ตัวดีว่า เธอจะไม่มีวันทำตามคำขอ
“บ่อยากเข้าใจ” กายาใหญ่เอ่ยอย่างเอาแต่ใจตัว ทำเอาเกี้ยวจันทร์ถึงกับหน้าแดงแจ๋
“อู้ (พูด) บ่รู้เรื่องกา?” เกี้ยวจันทร์ต่อว่าด้วยเสียงกระซิบแผ่ว เธอรีบหันขวับกลับไปมองด้านนอกม่านน้ำตกใหญ่ ด้วยเสียงฝีเท้าของมิเมที่ใกล้เข้ามา พี่เลี้ยงสาวคงกำลังวิ่งฝ่าแอ่งน้ำใส เสียงน้ำแตกกระจายดังอยู่ตูมตามใกล้หู หัวใจของพี่เลี้ยงสาวคงเต้นโครมคราม หล่อนวิ่งตามหาเธอจ้าละหวั่น
“บ่รู้เรื่อง” ไอ้เงี้ยวยังคงยียวนไม่เลิก แขนแกร่งโอบรัดร่างงามเข้าหาเขาอีกครา ในขณะที่เธอร้อนรน
“ไอ้เงี้ยว!” เกี้ยวจันทร์ดุใส่ ทำเอาชายร่างใหญ่ถึงกับยกยิ้มยั่ว แววตาขุ่นเคืองจ้องมองเข้าไปในดวงตาเขา มือเรียวกำหมัดเล็กๆ ทุบลงกับแผ่นอกหนา คาดโทษเอาไว้ในใจแล้วว่า จะไม่ยอมตามใจเจ้าคนตัวใหญ่นี้อีกแล้ว
ไอ้เงี้ยวผู้นี้กอดกระชับเธอไว้แนบสนิท เนื้อกายของแม่หญิงชาวเวียงเชียงใหม่ผู้นี้นุ่มนิ่มชวนให้ใฝ่หา ครั้นได้มาโอบกอดไว้แนบกายก็ไม่อยากปล่อยให้ห่างตัว ฝ่ามือหนาข้างหนึ่งจึงเกลี่ยแก้มใส ก้มมองริมฝีปากอิ่มที่เขายังไม่ได้แตะต้องมันเลยเสียด้วยซ้ำ
“คืนนี้จะได้เจอก่อ” เจ้าของกายาใหญ่ถามเสียงแผ่ว รอยยิ้มบางๆ ยังคงประดับอยู่กับใบหน้าเขา
“ถ้าบ่ปล่อย ก็บ่ได้เจอ” เกี้ยวจันทร์ว่า ในขณะที่ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยความกังวลใจ เพราะหากมิเมมาพบเข้า คงไม่ยอมให้เธออยู่ห่างตัวหล่อนอีกเป็นแน่
“ถ้าบ่ปล่อย ก็บ่ได้ไป” ถึงอย่างนั้นกายาใหญ่ยังคงยียวน
“ไอ้เงี้ยว! ไอ้คนอู้บ่รู้เรื่อง!” เกี้ยวจันทร์ถึงกับกระทืบเท้าใส่ เสียงตูมตามทำให้มิเมรับรู้ว่ามีใครบางคนหลบซ่อนอยู่ยังด้านหลังม่านน้ำตก
“แม่หญิง! แม่หญิงเกี้ยวจันทร์เจ้า!” มิเมยังคงตะโกนร้องเรียกหา น้ำเสียงเล็กแหลมนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความกังวล ใบหน้าของคนเป็นพี่เลี้ยงบัดนี้ยับยู่เต็มที
“แม่หญิงเจ้า มิเมบ่เล่นหนา!” เสียงสะอื้นของมิเมทำให้เกี้ยวจันทร์เป็นห่วง คิ้วเรียวของแม่หญิงคนงามถึงกับขมวดแน่น เธอดูเป็นห่วงพี่เลี้ยง และไม่อยากปล่อยให้หล่อนเป็นห่วงมากจนเกินไป
แขนแกร่งจึงยอมคลายออก และปล่อยให้เกี้ยวจันทร์เป็นอิสระ เจ้าของใบหน้าคมยังคงแย้มยิ้ม แม้จะผิดหวังที่ได้คลอเคลียสาวเจ้าเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ยังคงหวังว่า คืนนี้แม่หญิงเกี้ยวจันทร์จะมีไมตรีต่อเขา และออกมาพบกันในค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวง
ทว่าก่อนที่สาวเจ้าจะก้าวออกไปจากโพรงห้องเล็กๆ นี้ หญิงสาวกลับเงยหน้ามองเขาก่อนจะรีบเขย่งขึ้นหอมแก้มกายาใหญ่ เธอแลบลิ้นใส่ชายผู้เอาแต่ใจตัวเอง ก่อนจะรีบเดินกลับออกไป ไม่รอให้ไอ้เงี้ยวได้ทันรั้งร่างเธอ มิเช่นนั้นมันคงไม่ยอมปล่อยเธอออกมาจากม่านน้ำตกเป็นแน่แท้เชียว
ความคิดเห็น |
---|