3

โรคจิต

Chapter 3

โรคจิต

 

            ฉีตงไม่ใช่คนหล่อเหลามากนัก แต่เขามีรูปร่างที่ดึงดูดเพศตรงข้าม ทำให้เขาเป็นที่น่าอิจฉาในหมู่ผู้ชายด้วยกัน ทุกคนต่างบอกว่าผู้หญิงมักจะหลงรักผู้ชายเลวๆ ฉีตงเองก็จัดอยู่ในผู้ชายประเภทที่ผู้หญิงก่นด่าว่าเลว แต่สุดท้ายพวกเธอก็จะตะเกียกตะกายเข้ามาในอ้อมกอดของเขา

            เปิดเทอมได้ไม่นาน คณะก็จัดการแข่งขันบาสเกตบอลต้อนรับนักศึกษา ฉีตงเป็นจุดศูนย์กลางความสนใจของบรรดาสาวๆ อีกครั้ง ในพริบตาเดียวก็มีผู้หญิงมากหน้าหลายตามารุมจีบ แม้กระทั่งตอนเดินอยู่ในมหาวิทยาลัยเขาก็ถูกขวางทางอยู่เสมอ

            นักเรียนหญิงหลายคนที่เข้าสู่วัยนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่ต่างอะไรกับเด็กสาวเรียบร้อยธรรมดาๆ กลายเป็นสาวเปรี้ยวและร้อนแรง จากที่แอบส่งจดหมายรักเงียบๆ ก็สารภาพรักต่อหน้า บางคนพาเพื่อนสนิทมาคอยเชียร์ด้วย ทำเหมือนกับว่ากลัวคนทั้งโลกไม่รู้อย่างไรอย่างนั้น

            ฉีตงไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนกับสาวๆ เหล่านั้น แต่ก็ไม่ได้ตอบรับตรงๆ ว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์กับพวกเธอ อีกทั้งมักจะมีใครบางคนโทร. หาเขาช่วงค่ำๆ เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ก็มีข่าวลือว่าฉีตงมีแฟนสาวที่สวยมากอยู่แล้ว เหล่านักศึกษาสาวๆ ในมหาวิทยาลัยเยียนซานจึงไม่อยู่ในสายตาเขา

            แม้ว่าจะมีข่าวลือแบบนี้ออกมา แต่ทุกคนก็ประหลาดใจเมื่อเฉินจิ้งมาปรากฏตัวเป็นครั้งแรกที่หอพักของฉีตง หญิงสาวสอบติดที่วิทยาลัยวิชาชีพแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่แถบชานเมือง ติดกับทะเลสาบ ใช้เวลาขับรถมากกว่าหนึ่งชั่วโมงมายังมหาวิทยาลัยเยียนซาน

            ฉีตงฝึกซ้อมอย่างหนัก เวลาว่างของเขาลดน้อยลงและไม่มีกะจิตกะใจที่จะสนใจเธอ จนกระทั่งทั้งสองคนเกือบจะเลิกกันแล้ว เฉินจิ้งรู้ดีว่าฉีตงไม่ใช่ผู้ชายที่จะผูกมัดได้ง่ายๆ แต่เธอก็ยังไม่ยอมปล่อยมือไปจากเขา หลังจากเปิดเทอมได้สักพัก เธอก็มักจะโทร. หาเขาโดยไม่ได้พูดอะไร และเริ่มคิดจะไปหาเขาที่มหาวิทยาลัยเยียนซาน

            ฉีตงไม่ใช่ผู้ชายที่ซื่อสัตย์ต่อความรัก เงื่อนไขที่เขามีต่อผู้หญิงมีอยู่สามข้อ

   ข้อแรกคือต้องสวย เหมือนกับเสื้อผ้านั่นแหละ เมื่อสวมแล้วต้องทำให้ตัวเองดูดีมีสง่าราศี ข้อสองคือต้องเปิดกว้างเรื่องบนเตียง นักกีฬามีฮอร์โมนพลุ่งพล่านคึกคัก แค่การฝึกซ้อมไม่ได้ใช้พลังงานร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงต้องหาทางระบายออกทางอื่น และข้อสุดท้ายคือต้องเพียบพร้อม ผู้ชายบางคนเกียจคร้าน ฉีตงเองก็ไม่ได้เป็นข้อยกเว้น ทุกวันหลังจากมองกองเสื้อผ้าที่ใช้ฝึกซ้อมก็ไม่อยากซัก แต่เขาต้องจำใจทำเอง

            ข้อแรกเฉินจิ้งผ่านไปได้อย่างสบายๆ ข้อสองจำใจเลือก ส่วนข้อสามนั้นให้ตายอย่างไรก็ไม่มีทางเกิดขึ้น ที่จริงแล้วฉีตงจะไม่เลือกเธอก็ได้ แต่ผู้หญิงที่สารภาพรักเขาก่อนหน้านั้นไม่ผ่านตั้งแต่ข้อแรก เขาจึงไม่มีโอกาสได้เล่นบทเฉินซื่อเหม่ย[1] เลย

            ความจริงแล้วเขาก็อยากหาผู้หญิงกร้านโลกสักคนมาขึ้นเตียง และหาผู้หญิงขยันหมั่นเพียรมาคอยซักเสื้อผ้าให้เขาอีกสักคน

            นี่คือครั้งแรกที่เฉินจิ้งมาที่มหาวิทยาลัยเยียนซาน เธอนั่งบนเตียงของฉีตงและหันไปพูดกับเขา “นายรู้หรือเปล่า หลิงเต้าซีห้องหนึ่งจากโรงเรียนเราสละสิทธิ์ที่เซินหลันถ แล้วมาสอบเข้าที่เยียนซานน่ะ”

            ตอนที่ทางโรงเรียนติดป้ายประกาศ ฉีตงไปฝึกซ้อมอยู่ข้างนอก ถึงเขาจะไม่เห็นรายชื่อในป้ายประกาศ แต่เฉินจิ้งเห็น นักเรียนจากโรงเรียนมัธยมปลายเมืองหลิงที่ได้รับการตอบรับนั้น คนหนึ่งคือฉีตง ส่วนอีกคนคือหลิงเต้าซี

            ฉีตงหัวเราะ “รู้แล้ว”

            “งั้นเจอเขาหรือยังล่ะ”

            ในจังหวะที่เฉินจิ้งถาม หลิงเต้าซีก็เดินเข้ามาพอดี ทำให้เธอตกใจมาก

   ฉีตงยิ้มมุมปากพลางปรายตามองหลิงเต้าซีแวบหนึ่ง และจงใจตอบ “เจอแล้ว”

   เฉินจิ้งคิดไม่ถึงว่าสองคนนี้จะเรียนที่เดียวกัน ทั้งยังได้เป็นรูมเมตกันด้วย ก่อนหน้านี้ที่เธอโทร. หาฉีตง เขาก็ไม่เคยบอกเธอเลย

   หลิงเต้าซีพบว่าห้องของตัวเองมีผู้หญิงนั่งอยู่หนึ่งคน แต่เขากลับนิ่งสงบ ไม่ได้แสดงออกว่าตกใจหรือแปลกใจแต่อย่างใด ทำราวกับว่าที่นั่งอยู่ไม่ใช่คน เป็นเพียงของตกแต่งชิ้นใหม่เท่านั้น เขามองเธอเพียงแวบเดียวก็ละสายตาไปทางอื่น

            “เฮ้ย!” ฉีตงพยักหน้าให้หลิงเต้าซี “ได้ยินว่าเย็นนี้มึงจะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดไม่ใช่เหรอ”

            คำพูดของฉีตงสื่อความหมายได้ชัดเจน แม้แต่คนโง่ยังรับรู้ถึงนัยที่แฝงไว้ เฉินจิ้งเองก็ไม่คิดว่าฉีตงจะบอกตรงๆ แบบนี้ต่อหน้าหลิงเต้าซี ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างไรกับเธอ

            เฉินจิ้งหน้าแดง

            หลิงเต้าซีคิดอยู่สองนาทีก่อนจะตอบ “ฉันมาเก็บของไม่ได้เหรอ”

            แม้เฉินจิ้งจะเขินอายกับคำพูดของฉีตง แต่ครู่เดียวเธอก็ต้องงุนงงเมื่อได้ยินคำถามแปลกประหลาดของหลิงเต้าซี แม้กระทั่งฉีตงเองก็ยังหัวเราะออกมา

   “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

            หลิงเต้าซีไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากเก็บหนังสือใส่กระเป๋า เขาก็หยิบเสื้อตัวนอกแล้วเดินออกจากห้องโดยที่ยังมีแก่ใจปิดประตูให้ฉีตงกับเฉินจิ้ง

            เฉินจิ้งไม่ได้เตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้ คิดว่าฉีตงจะพาเธอออกไปเปิดห้องที่อื่น ที่ไหนได้เขากลับให้รูมเมตออกไปข้างนอกแทน และอีกฝ่ายก็ไม่พูดอะไรสักคำ ทำให้เธออดที่จะแปลกใจไม่ได้

            “เป็นอะไรไป” ฉีตงเห็นท่าทางงุนงงของเฉินจิ้งก็ถามขึ้น ใครกำหนดกันว่าจะทำเรื่องอย่างว่าในห้องพักไม่ได้

            “นายไม่รู้สึกว่า... เขาเชื่อฟังนายมากไปหน่อยเหรอ” บอกให้ไปเขาก็ไป อย่างน้อยก่อนไปควรจะถามอะไรเสียหน่อยพอเป็นพิธี ให้เหมือนกับรูมเมตปกติไม่ใช่เหรอ

            ฉีตงนั่งพิจารณาชั่วครู่ ก็คิดว่าเป็นจริงอย่างที่แฟนสาวของเขาพูด

            เมื่อคิดไปถึงช่วงก่อนหน้านี้ แม้ว่าหลิงเต้าซีจะไม่ค่อยสนใจอะไรเขานัก แต่ไม่ว่าเขาจะบอกให้อีกฝ่ายทำอะไร หลิงเต้าซีก็จะทำตามอย่างไม่อิดออด มีครั้งหนึ่งฉีตงกลับมาจากการฝึกอย่างเหน็ดเหนื่อย และทำบัตรประชาชนของตนหาย ก็เป็นหลิงเต้าซีที่ไปช่วยหาโดยเขาไม่ต้องร้องขอ กระทั่งเรื่องล้อเล่นที่ทำให้เขาต้องเหยียบกระเป๋าของตัวเองเมื่อช่วงเปิดเทอมก็เช่นกัน แค่ครั้งสองครั้งเขาก็ยังไม่รู้สึกอะไร แต่พอเอาทุกอย่างมาพิจารณาร่วมกัน ก็กลายเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ

            ฉีตงไม่เข้าใจ และเขาไม่อยากจะคิดด้วย ชายหนุ่มหันกลับมามองเฉินจิ้งที่นั่งอยู่ข้างๆ ตอนนี้เขากับเธออยู่ด้วยกันตามลำพังในห้อง แต่เขากลับคิดไปถึงชายอีกคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย นี่มันจะดูบ้าไปหน่อยหรือเปล่า

            

เดิมทีเฉินจิ้งควรจะกลับไปตั้งแต่เมื่อคืน แต่เธอเพลียมากจนตื่นขึ้นมาในเช้าของอีกวัน ก่อนจะนึกได้ว่าเธอนอนอยู่ในห้องพักของแฟนหนุ่มทั้งคืน และเจ้าของเตียงฝั่งตรงข้ามก็ไม่ได้กลับมา

         หญิงสาวรู้สึกผิด และละอายใจที่จะเผชิญหน้ากับหลิงเต้าซี ฟ้ายังไม่สางเธอก็แอบออกไปจากห้อง เมื่อฉีตงตื่นขึ้นมาก็ไม่พบเฉินจิ้งเสียแล้ว

         ฉีตงเองก็ขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจว่าเฉินจิ้งไปไหน หลังจากเขานั่งพิงหัวเตียงอยู่ครู่หนึ่ง ก็ลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวสำหรับการฝึกช่วงเช้า เป็นจังหวะเดียวกับที่หลิงเต้าซีเปิดประตูเข้ามาพอดี

         ฉีตงลืมไปแล้วว่าอีกฝ่ายไม่อยู่ เมื่อเห็นหลิงเต้าซีกลับมา เขาก็เพิ่งนึกได้ว่าเมื่อคืนรูมเมตไม่ได้กลับมาที่ห้อง “มึงไปไหนมาเนี่ย”

         “ห้องเรียนยี่สิบสี่ชั่วโมง” มหาวิทยาลัยเยียนซานมีห้องเรียนยี่สิบสี่ชั่วโมงอยู่สองห้อง แม้จะเป็นเวลากลางคืนก็จะยังไม่ตัดไฟ แต่จะมีเพียงช่วงสอบปลายภาคเท่านั้นที่จะมีนักศึกษาเข้าไปโต้รุ่ง

         “เมื่อคืนมึงไม่ได้กลับมาเหรอ” ฉีตงถาม

         “ฉันเห็นว่าแฟนนายยังไม่กลับ เลยไม่ได้เข้ามา”

         “มึงรู้ได้ยังไงว่าเฉินจิ้งยังไม่กลับ”

         “ตอนออกไปฉันแปะโน้ตไว้ที่ประตู” หลิงเต้าซีแบมือ ทำให้เห็นกระดาษโน้ตที่ถูกขยำเป็นก้อนอยู่บนฝ่ามือของเขา

         เมื่อวานฉีตงมีความสุขมาก ไม่รู้ว่าจะประเมินค่าหลิงเต้าซีอย่างไรดี จมูกเขาได้กลิ่นอะไรบางอย่างล่องลอยในอากาศ เนื่องจากเมื่อวานเขาใช้พลังงานไปเยอะ ทำให้รู้สึกหิวขึ้นมา จนกระทั่งเห็นว่าหลิงเต้าซีถืออาหารเช้าเข้ามาด้วย

         หลิงเต้าซีวางอาหารเช้าสองกล่องไว้บนหัวเตียงของฉีตงเงียบๆ

         ฉีตงหยิบกล่องหนึ่งมากินอย่างไม่เกรงใจสักนิด พลางถามหลิงเต้าซี “มึงไม่กินเหรอ”

         “ฉันกินมาแล้ว”

         “อ้าว แล้วมึงซื้อมาทำไมสองกล่อง”

         “ฉันคิดว่าเธอยังไม่กลับ”

         ฉีตงตกตะลึงจนหยุดเคี้ยวข้าวไปชั่วขณะ ไอ้เวรนี่มันรักเฉินจิ้งจริงๆ เหรอเนี่ย!

         ผู้หญิงที่ตัวเองชอบมาขึ้นเตียงกับผู้ชายคนอื่น นอกจากจะเสียสละสถานที่ให้ วันต่อมายังมีแก่ใจซื้อข้าวเช้ามาให้อีก จะจิตใจดีอะไรขนาดนั้นวะ

         ที่ผ่านมาฉีตงรู้สึกว่าหลิงเต้าซีใจแคบ ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายคงไม่โกรธเกลียดเขานานขนาดนี้ แต่เรื่องในวันนี้ทำให้เขามองหลิงเต้าซีเปลี่ยนไปอย่างมาก

         หากวันหนึ่งเขากับเฉินจิ้งเลิกกัน เขาเองก็อยากจับคู่ให้สองคนนี้จริงๆ

         หลังจากปลดปล่อยความสุขไปเมื่อวาน ฉีตงก็เผชิญกับความยากลำบากในวันนี้ เขาถูกลงโทษด้วยการให้วิ่งเพิ่มอีกสามพันเมตร เนื่องจากเข้าซ้อมสายในช่วงเช้า ส่วนในระหว่างการฝึกซ้อมช่วงบ่าย ฉีตงก็ขาพลิกจนข้อเท้าบวมเป่ง และถูกเพื่อนร่วมทีมแบกมาส่งที่ห้องพัก

         อย่าว่าแต่เดินเลย ตอนนี้ข้อเท้าขวาของเขาแตะพื้นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เมื่อหลิงเต้าซีเห็นสภาพของฉีตง เจ้าตัวก็เดินหายออกไปจากห้องทันที หลังจากนั้นไม่นานก็กลับมาพร้อมกับถุงน้ำแข็งและขวดสเปรย์ในมือ

         เพื่อนร่วมทีมรอให้หลิงเต้าซีเดินออกไปเอาน้ำ ก่อนจะหันมาถามฉีตงเสียงเบา “กูได้ยินข่าวลือว่ามึงกับรูมเมตเข้ากันไม่ค่อยได้ พอเห็นงี้แล้วกูว่าพวกข่าวลือมันคงไม่จริงแน่เลย ใช่ป้ะ”

         “มึงไม่รู้อะไร” ฉีตงพลิกเท้าด้วยความรำคาญ เมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมทีมยังมีกะจิตกะใจมาซุบซิบคนอื่น ก่อนจะพูดขึ้น “พวกมึงทั้งหลายครับ ไม่นินทาชาวบ้านได้ไหมครับ”

         เพื่อนร่วมทีมกำลังจะแย้ง แต่เห็นหลิงเต้าซีเดินถือกะละมังกลับเข้ามาเสียก่อน จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้วพ่อคนมีคุณธรรมจะกินข้าวยังไงเหรอครับ”

         ฉีตงกลอกตา “มึงซื้อใส่กล่องกลับมาให้กูได้ป้ะ”

         “แหม พวกกูอยู่กันคนละฟากกับมึงเลยเพื่อน” เพื่อนร่วมทีมกวาดสายตาไปทั่วห้อง ก่อนจะไปหยุดที่หลิงเต้าซี “เฮ้ย นาย ไอ้ตงมันเดี้ยงอะ ช่วงนี้ก็ฝากนายดูมันหน่อยนะ”

         “อื้อ” หลิงเต้าซีเทน้ำแข็งลงในกะละมังและตอบรับอย่างเฉยเมย มองไม่ออกว่าจำใจหรือเต็มใจกันแน่

         “โอเค... กูกลับไปซ้อมแล้วนะ” เพื่อนร่วมทีมตบบ่าฉีตง “แบบนี้ก็ได้พักละดิ มึงไม่ต้องมาซ้อมตั้งหนึ่งสัปดาห์ เป็นกูนะ ดีใจตายห่าไปแล้ว”

         “งั้นให้กูหักขามึงดีไหม มึงจะได้ดีใจไปสักเดือน” ฉีตงตอบอย่างหยาบคาย

         เพื่อนร่วมทีมวิ่งออกไปชนิดไม่เห็นฝุ่น จากนั้นฉีตงก็เอาเท้าแช่ลงไปในอ่างน้ำผสมน้ำแข็ง ก่อนจะสบถออกมาเมื่อรู้สึกถึงความเย็น

         หลิงเต้าซีรอให้ฉีตงแช่เท้าไปสักพักค่อยส่งผ้าขนหนูให้ แล้วหันไปหยิบผ้าอีกผืนมาห่อไอซ์แพ็ก

         “ให้ช่วยไหม”

         “ไม่ต้อง” เขาเจ็บขานะ ไม่ได้เจ็บมือเสียหน่อย

         ฉีตงหันไปรับไอซ์แพ็กจากมือหลิงเต้าซี แล้วใช้ประคบบริเวณข้อเท้า หลังจากผ่านการแช่เท้าและประคบเย็นแล้ว เขาก็รู้สึกสบายมากยิ่งขึ้น

            

ผ่านไปหลายวัน ฉีตงใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมากกว่าที่ผ่านมา เพราะเท้าเจ็บเขาจึงไม่ต้องไปซ้อมและไม่ต้องเข้าเรียน อาหารก็มีคนคอยส่งให้ถึงมือ หรือการเปลี่ยนเสื้อผ้าไปจนกระทั่งซักผ้า หลิงเต้าซีก็คอยช่วยเหลือ ฉีตงทำเพียงอย่างเดียวคือเล่นเกมหรือไม่ก็ดูหนังบนเตียง

         ทุกเย็นหลิงเต้าซีจะเอากะละมังใส่น้ำมาวางไว้ที่หน้าเตียงเขาเสมอ รอจนกว่าเขาแช่เท้าเสร็จแล้วจึงเอาน้ำไปทิ้ง หลิงเต้าซีดูแลเขาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง จนฉีตงแอบคิดในใจว่า หากเปลี่ยนเป็นหลิงเต้าซีที่เจ็บเท้า เขาคงไม่ทำอะไรอย่างนี้เด็ดขาด

         ตอนแรกฉีตงสบายใจกับการเป็นผู้รับ เขารู้สึกสนุกอยู่ช่วงหนึ่ง แต่พอผ่านไปสักพักเขาก็เริ่มรู้สึกลำบากใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออาการดีขึ้นจนสามารถขึ้นลงบันไดได้เอง แต่หลิงเต้าซีก็ยังคงดูแลเขาต่อไป ทำให้คนเข้าใจผิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

         หลังจากนั้นทุกครั้งที่หลิงเต้าซีเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉีตง เขาจะทำหน้าตาบอกบุญไม่รับเสมอ และเขาเองก็ไม่เชื่อว่าคนฉลาดอย่างหลิงเต้าซีจะไม่รู้หรือว่าดูไม่ออก แต่อีกฝ่ายทำเป็นมองข้ามไป

         ความขัดแย้งค่อยๆ สะสมจนระเบิด ในที่สุดวันหนึ่งฉีตงก็กระชากกะละมังในมือหลิงเต้าซีและเขวี้ยงมันทิ้ง

“มึงคิดจะทำอะไรกันแน่ มึงบ้าไปแล้วเหรอ”

         กะละมังตกกระทบพื้นห้องเสียงดังลั่น มันหมุนเป็นวงกลมก่อนจะค่อยๆ หยุดนิ่ง จากนั้นทั้งห้องก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ

         หลิงเต้าซีไม่พูดอะไร ฉีตงก็เงียบเพราะอยากจะรู้นัก ว่าหลิงเต้าซีคิดจะทำอะไรกันแน่

         หลังจากความเงียบปกคลุมคนทั้งคู่สักพัก จู่ๆ หลิงเต้าซีก็เดินมาหยุดตรงหน้าฉีตง คุกเข่าลง และเงยหน้าขึ้นมอง ในแววตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว

“ผมมันบ้าไปแล้วจริงๆ ที่อยากจูบเท้าของนายท่าน”


 


[1] ราชบุตรเขยเฉินซื่อเหม่ย (陈世美) เป็นตัวร้ายในละครงิ้วเรื่อง เปาบุ้นจิ้น มีนิสัยทะเยอทะยาน ทิ้งลูกทิ้งภรรยา เป็นคำอุปมาอุปไมยใช้ด่าผู้ชายที่มีพฤติกรรมทอดทิ้งภรรยา

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น