4

เชื่อง

Chapter 4

เชื่อง

 

         ฉีตงเบิกตากว้าง ไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินคำพูดของหลิงเต้าซี

“มึงพูดว่าอะไรนะ”

         หลิงเต้าซีไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เขาใช้การกระทำของตัวเองให้คำตอบแก่อีกฝ่ายแทน ชายหนุ่มค่อยๆ โน้มตัวลงและอมนิ้วเท้าของฉีตง!

         ฉีตงสูดลมหายใจเอาอากาศเย็นๆ เข้าไปในปอด รู้สึกราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นตั้งแต่ปลายนิ้วเท้า ผ่านจุดตันเถียน[1] จนกระทั่งถึงบริเวณหน้าผาก เขาแทบจะอดใจไม่ไหวจนเกือบเผลอครางออกมา

         รู้สึกดีเป็นบ้า

         เขามีอะไรกับผู้หญิงครั้งแรกตอนอายุสิบห้าปี ยังไม่รู้สึกดีเท่านี้ ฉีตงนั่งลงพลางเหยียดเท้าไปข้างหน้า

         การกระทำของฉีตงกลายเป็นการสนับสนุนหลิงเต้าซีไปโดยปริยาย หลิงเต้าซีดูดนิ้วเท้าของอีกฝ่าย ลิ้นของเขาชอนไชไปตามซอกนิ้วอย่างแข็งขัน ไล่มาจนกระทั่งถึงจุดกลางฝ่าเท้า และคราวนี้ฉีตงทนไม่ไหวจึงครางออกมา ส่วนหนึ่งของร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน

         ฉีตงเป็นคนที่ทำตามความต้องการของร่างกายส่วนล่างเท่านั้น แค่เขามีความสุข ก็ไม่มานั่งไตร่ตรองถึงความเหมาะสมหรือว่าควรไม่ควร เขารู้ดีว่าพฤติกรรมของหลิงเต้าซีนั้นวิปริต แต่กลับไม่คิดจะห้ามอีกฝ่ายสักนิด ยังปล่อยให้หลิงเต้าซีเลียเท้า และมีอารมณ์มัวเมาราวกำลังเมกเลิฟกับผู้หญิงที่ตัวเองรัก

         เวลาที่ฉีตงอยู่กับเหล่าเพื่อนผู้ชายคนอื่นๆ เขามักจะพูดคำหยาบคายอย่าง ‘มาเลียตีนกูนี่’ หรือ ‘เดี๋ยวกูจะเหยียบน้องชายมึงให้เละ’ ซึ่งเป็นคำหยาบคายติดปากพอๆ กับคำว่า ‘ระยำ’ ทุกคนก็พูดกันทั้งนั้น แต่ไม่มีใครทำ

         หากวันนี้ไม่เจอกับตัวเอง ฉีตงคงคิดว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นแค่ถ้อยคำเพ้อเจ้อไร้สาระตลอดไป เขาก้าวข้ามความแปลกใจในชั่วพริบตา แล้วซึมซาบความเพลิดเพลินทางร่างกายรวมทั้งความสุขสุดยอดภายในจิตใจ

         คนตรงหน้าไม่ใช่ใครอื่น เป็นหลิงเต้าซี ไอ้คนที่ทำตัวจองหองต่อหน้าเขาและดูถูกคนอื่น

         หลิงเต้าซีจอมหยิ่ง วันนี้กลับอยู่ใต้ฝ่าเท้าเขาอย่างนอบน้อม เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉีตงก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก เขาออกแรงเหยียบใบหน้าหลิงเต้าซีโดยไม่รู้ตัว ทำให้อีกฝ่ายชะงักทันที ราวกับว่าหยุดหายใจไปชั่วครู่ ก่อนที่ร่างกายจะเริ่มผ่อนคลายและหายใจอย่างหนักหน่วง

         การตอบสนองทางด้านร่างกายของหลิงเต้าซี มีหรือที่ฉีตงจะไม่เข้าใจ

“มึงเสร็จแล้วเหรอ”

         หลิงเต้าซีก้มหน้า ทำให้ฉีตงไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย เขาจึงตัดสินจากการที่เห็นไหล่กับหน้าอกของหลิงเต้าซียกขึ้นลง เขาไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ

“แค่นี้มึงยังเสร็จได้?”

         หลิงเต้าซีไม่ปฏิเสธ และก้มหน้าลงอีกเล็กน้อย

         “หึๆ” ฉีตงหัวเราะในลำคอ คนคนนี้ไม่ได้มีปัญหาแค่เรื่องทางจิต แต่รวมถึงร่างกายด้วย แค่เลียเท้าก็ทำให้ตัวเองเสร็จได้ เพียงครู่เดียวฉีตงก็ได้รู้จักกับโลกใบใหม่

         เขาไม่ได้สนใจแรงกระตุ้นทางกายภาพที่หลิงเต้าซีมอบให้ กลับพิงหัวเตียงอย่างขี้เกียจ และเอาขาทั้งสองข้างพาดทับกันไว้

“ไหนบอกกูซิ มันเกิดอะไรขึ้น”

         หลิงเต้าซีค่อยๆ ปรับตัวจากจุดสูงสุดของห้วงอารมณ์ ผู้ชายบางคนเวลามีความต้องการทางเพศก็สามารถทำเรื่องที่เหลือเชื่อได้ทั้งนั้น หลังจากปลดปล่อยอารมณ์เสร็จสมแล้วนั่นแหละ ภายในเวลาสั้นๆ ก็จะมีสติสัมปชัญญะขึ้นมาอีกครั้ง

         ศีลธรรม ความรับผิดชอบ และความละอายจะหลั่งไหลเข้ามาโดยไม่หยุดยั้ง ฉีตงมีประสบการณ์เรื่องพวกนี้อย่างโชกโชน ดังนั้นเขาจึงเข้าใจมากกว่าหลิงเต้าซี

         หลิงเต้าซีผู้มีจิตใจเปราะบางยังคงก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไร ใจของเขาสับสนวุ่นวายราวกับมีคนทำศึกสงครามอยู่ภายใน ตอนนี้ความเด็ดเดี่ยวแบบเมื่อครู่ไม่มีอีกแล้ว เขาอดทนต่อแรงปรารถนามาเป็นเวลานาน เมื่อได้รับการกระตุ้นเพียงนิดเดียว ก็เดินไปบนถนนที่ไม่อาจหันหลังกลับ

         ฉีตงยังจดจ้องรอคำตอบ สำหรับหลิงเต้าซีแล้ว ระเบิดความเงียบแบบนี้มีอานุภาพทำลายล้างยิ่งกว่าคำพูดใดๆ เสียอีก เขากำมือแน่น ในที่สุดก็เอ่ยขึ้น

         “ช่วงมัธยมปลาย ตอนที่นายท่านเหยียบผมครั้งแรก ตอนนั้นผมก็เริ่มรู้สึกบางอย่าง”

         เมื่อเห็นว่าฉีตงไม่พูดอะไร หลิงเต้าซีก็กัดฟันพูดต่อ “นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมมีการตอบสนองบางอย่าง”

         ฉีตงตกใจ นั่นมันเรื่องตอนไหนกัน มัธยมปลายปีสามหรือเปล่า เด็กหนุ่มคนหนึ่งเพิ่งเริ่มมีอารมณ์ทางเพศตอนมัธยมปลายปีสามเนี่ยนะ

         “หมายความว่าก่อนหน้านี้ มึงไม่เคยมีอารมณ์เหรอ”

          หลิงเต้าซีเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเขินอาย

         “ฮ่าๆๆ” ฉีตงหัวเราะจนไหล่สั่น เขาเกิดมาเกือบยี่สิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องตลกขนาดนี้

         ฉีตงฝันเปียกตอนอายุสิบสามปี พออายุได้สิบห้าปี เขาก็กล่าวอำลาความบริสุทธิ์ของตัวเอง ตลอดช่วงชีวิตวัยรุ่น ความต้องการทางเพศของเขาพลุ่งพล่านเป็นอย่างมาก เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าวัยรุ่นคนหนึ่งซึ่งอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีที่ยังไม่มีอารมณ์ทางเพศนั้นจะมีสภาพจิตใจเป็นอย่างไร

         คนคนนั้นจะต้องเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ พ่ายแพ้ และหวาดกลัวว่าคนอื่นจะล่วงรู้เรื่องนี้แน่ๆ

         ในที่สุดฉีตงก็รับรู้ว่าที่เขาต่อต้านเด็กนักเรียนดีเด่นนั้น ที่จริงแล้วเป็นเพียงความอิจฉา อิจฉาหลิงเต้าซีที่มีมันสมองดีซึ่งเขาไม่มี ทำให้ครูต่างห้อมล้อม ทุกคนยกเป็นแบบอย่าง และคอยพูดกรอกหูเขาอยู่เสมอว่าต้องเรียนรู้จากหลิงเต้าซี

         เขาปฏิเสธความอิจฉาของตัวเอง และจิตใจก็ค่อยๆ ผิดเพี้ยนกลายเป็นความรังเกียจ ไม่ว่าหลิงเต้าซีจะทำอะไร ก็จะไม่เข้าตาเขาเสียทุกครั้ง ทุกครั้งที่อีกฝ่ายแสดงความรู้สึกอะไรออกมา ฉีตงก็จะรู้สึกว่านั่นเป็นการดูถูกเขา

         อย่างไรก็ตาม ชั่วพริบตาที่หลิงเต้าซีสารภาพกับเขา ความอิจฉาก็เลือนหายไปทันที

         ทุกคนต่างเกิดอารมณ์ด้านลบเนื่องจากคนอื่น อารมณ์แบบนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อคนรอบกาย แต่กลับกดดันผู้เป็นเจ้าของร่างและจิตใจนั้นเสียเอง และเมื่ออารมณ์เหล่านั้นถูกดึงออกไป ความสบายใจที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ก็จะค่อยๆ แทรกซึมเข้ามา

         ฉีตงเคยอิจฉาหลิงเต้าซีที่เป็นผู้ชายยอดเยี่ยมกว่าเขา แต่ต่อให้ยอดเยี่ยมแค่ไหน หากเรื่องพื้นฐานที่สุดยังทำไม่ได้ ก็คงไม่นับว่าเป็นผู้ชาย

         ชายหนุ่มคิดแบบนี้ ขณะที่ท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงอมส้ม แสงอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้าเต็มที บรรยากาศเปลี่ยนไป เจือไปด้วยกลิ่นอายความอ่อนโยน แม้แต่ความอิจฉาที่มีต่อหลิงเต้าซีก็เปลี่ยนไปเป็นความสงสาร

         “มึงจะบอกว่า เมื่อก่อนตอนอยู่มัธยม มึงตายด้านมาตลอด แต่เพราะกูไปเหยียบมึง เลยทำมึงตื่นอย่างไม่ได้ตั้งใจงั้นเหรอ”

          หลิงเต้าซีพยักหน้าอีกครั้ง

         “จากนั้นมึงเลยแอบมองกู หมกมุ่นอยู่กับกู เอากูไปจินตนาการว่าเป็นคู่นอนของมึง?” ฉีตงพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างไม่สุภาพ เห็นสีหน้าของหลิงเต้าซีแย่ลงเรื่อยๆ

          เขารู้สึกว่าตัวเองโคตรโง่ ถูกคนอื่นจินตนาการถึงขนาดนั้นมาเป็นปี แต่กลับไม่รู้เรื่องเลย เขาคิดว่าหลิงเต้าซีมองเฉินจิ้งมาโดยตลอด พอตอนนี้มานั่งคิดๆ ดู กลับกลายเป็นว่าความคิดของเฉินจิ้งในตอนนั้นดันเป็นเรื่องจริงขึ้นมา

          “เดี๋ยวนะ...” จู่ๆ ฉีตงก็คิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ที่ถุงเท้าของกูหายคือมึง... คงไม่ใช่มึงหรอกนะ”

          “ผมไม่คิดว่าจู่ๆ นายท่านจะกลับมาแบบนั้น ผมเลยเอากลับไปวางที่เดิมไม่ทัน”

          ฉีตงใช้นิ้วชี้ลูบริมฝีปากตัวเอง ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือโกรธอีกฝ่ายดี ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน ไอ้คนประเภทที่ว่าขโมยชุดชั้นในหรือถุงน่องของสาวๆ แต่เขาไม่คิดว่าตัวเองจะอยู่ร่วมห้องกับคนโรคจิตคนหนึ่งมานานขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคือ เขาไม่คิดว่าถุงเท้าของตัวเองจะมีค่าให้ใครมาขโมย

          “งั้นแปลว่าที่มึงสละสิทธิ์เซินหลัน เพราะรู้ว่ากูติดเยียนซาน?”

          “ครับ” หลิงเต้าซีผ่านพ้นจุดที่น่าอับอายที่สุดไปแล้ว จึงกลับมาเย็นชาเหมือนเดิม

          “ตอนสอบเข้ามึงตั้งใจให้กูลอกข้อสอบหรือเปล่า”

          “ผมเองก็ไม่คิดว่ามันจะบังเอิญขนาดนั้นเหมือนกันครับ เหมือนกับเป็นความตั้งใจของสวรรค์เลย”

          “ที่มึงกับกูเรียนคณะเดียวกัน มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหม”

          “ผมเห็นใบสมัครของนายท่านในห้องพักครูครับ”

          “มีอะไรที่กูยังไม่รู้อีกบ้าง”

          หลิงเต้าซีนิ่งคิดครู่หนึ่ง “ผมไปขอร้องให้รูมเมตคนเก่าย้ายห้อง แลกกับการที่ผมเลี้ยงมื้อเที่ยงเขาหนึ่งเดือน”

          ฉีตงคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะทำทุกวิถีทางในการเข้าใกล้เขาแบบนี้ “มึงทำขนาดนี้ แล้วจะแกล้งถือตัวให้ใครดูล่ะ”

          “ผมเปล่านะครับ ก็นายท่านมีอคติกับผม” สีหน้าของหลิงเต้าซีเปลี่ยนไปในพริบตา “เรื่องฟ้องคุณครูตอนนั้นก็ไม่ใช่ผมด้วย”

          หากหลิงเต้าซีไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ฉีตงก็คงจำไม่ได้ “งั้นถ้าตอนแรกเยียนซานไม่ตอบรับกูล่ะ มึงจะอยากตามไปเรียนที่วิทยาลัยวิชาชีพไหม”

          หลิงเต้าซีส่ายหน้า “ไม่ครับ ผมคงยอมแพ้ ทีแรกผมคิดว่ามันจะจบไปตั้งแต่สมัยมัธยมปลายแล้ว ผมกับนายท่านคงไม่มีโอกาสพูดคุยกันอยู่ดี เดี๋ยวผมก็คงลืมไปเอง แต่วันนั้นที่ผมได้ยินข่าวว่านายท่านได้เรียนที่นี่ ผมก็รู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่ฟ้าประทานให้ แม้ว่าอาจจะถูกนายท่านปฏิเสธ แต่ผมก็อยากจะลองเสี่ยงดู”

          นี่เป็นครั้งแรกที่ฉีตงได้ยินหลิงเต้าซีพูดยาวขนาดนี้ อีกฝ่ายเหมาะสมกับการเป็นนักเรียนมากความสามารถจริงๆ แม้กระทั่งคำพูดยังลื่นไหลน่าฟัง เขาเริ่มจะสนใจหลิงเต้าซีมากขึ้น

          “งั้นมึงจินตนาการถึงกู อยากเลียเท้ากูเหรอ”

          “ครับ”

          “อยากถูกกูเหยียบย่ำ?”

          “ครับ”

          “อยากโดนกูเหยียดหยาม?”

          “ครับ”

          “อยากคุกเข่าอยู่แทบเท้า เป็นหมาของกู?”

          หลิงเต้าซีหลับตาลงอย่างทุกข์ทรมาน ก่อนจะกลืนน้ำลาย แล้วตอบด้วยความสัตย์จริง “ครับ”

          ฉีตงหัวเราะ “มึงนี่มันสุดๆ เลยว่ะ”

          หลิงเต้าซีก้มหน้างุด ทีแรกฉีตงคิดว่าอีกฝ่ายคงอับอายจนทนไม่ได้ แต่เมื่อเขามองสำรวจ กลับพบว่ามือที่กำแน่นของหลิงเต้าซีนั้นสั่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

          ฉีตงเข้าใจว่าคนทั่วไปไม่สามารถเข้าใจคนอย่างหลิงเต้าซีได้ เมื่อคุณด่าเขา เขาจะมีความสุข ในขณะที่คนอื่นๆ อาจจะอับอาย แต่สำหรับหลิงเต้าซีอาจเรียกได้ว่ามันคือรางวัลชิ้นงาม

          เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉีตงก็โล่งใจ เขาลุกขึ้นไปปัดเตียงเตรียมตัวนอนอย่างมีความสุข ทำให้หลิงเต้าซีกลายเป็นอากาศธาตุ

หลิงเต้าซีรู้ว่าฉีตงเจตนาแบบนั้น แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา จะให้เขาอยู่ก็ไม่ใช่ จะให้ออกไปก็ไม่เชิง ทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาจนถึงขีดสุด

ฉีตงรู้ว่าตัวเองทำเหมือนอีกฝ่ายเป็นเพียงธาตุอากาศ แต่แกล้งทำเป็นเพิ่งรับรู้ ก่อนจะพูดอย่างเย้ยหยัน “จะนั่งคุกเข่าอยู่ทำไมเล่า ทำไมยังไม่ไปอีก”

หลิงเต้าซีถอนหายใจ จากนั้นก็คำนับให้ฉีตงแล้วถอยออกไป

            

สองวันต่อมา ฉีตงเมินเฉยหลิงเต้าซี ทำราวกับว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตนอยู่ในห้อง

         วันที่หลิงเต้าซีคุกเข่าต่อหน้าเขานั้น ความกล้าหาญที่อีกฝ่ายสั่งสมมาได้หมดลง ไม่ว่าเขาจะปฏิเสธอย่างเด็ดขาดหรือยินดีจะรับไว้ สำหรับหลิงเต้าซีล้วนเป็นความโล่งอก แต่จากนั้นฉีตงก็เย็นชา ทำราวกับแขวนหลิงเต้าซีไว้ที่เดิม ไม่ดึงขึ้นหรือปล่อยลง ไม่ต่างอะไรกับการแล่เนื้อหนังไปเรื่อยๆ ทำให้จิตใจของหลิงเต้าซีใกล้จะแตกสลายลงทุกที

         ฉีตงสนุกกับการทรมานเหยื่ออย่างช้าๆ จากประสบการณ์การอยู่ในตำแหน่งพอยต์การ์ดอันยาวนาน ทำให้เขาอ่านสถานการณ์ออกตั้งแต่ต้นจนจบ และหาจุดอ่อนของแนวป้องกันฝ่ายตรงข้ามได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเริ่มโจมตี

         สำหรับคนอื่นๆ ก็ไม่ต่างกัน เขามักจะจับจุดเปราะบางของอีกฝ่ายได้ตามสัญชาตญาณ และปาระเบิดออกไปได้อย่างแม่นยำที่สุด เขาต้องการให้อีกฝ่ายรู้ว่าใครกันแน่คือผู้กุมอำนาจ และใครที่เป็นแค่ลูกไก่ในกำมือ

         เขาเกิดมาเพื่อเป็นนักล่าที่สมบูรณ์แบบ อดทนรอให้ถึงจังหวะที่เหมาะสม ค่อยลงมืออย่างรวดเร็ว ล็อกเป้าหมาย และฆ่าให้ตายในคราวเดียว

         ตอนที่หลิงเต้าซีคุกเข่า แววตาของอีกฝ่ายดูยินยอมและเต็มไปด้วยความต้องการ แต่จิตใจกลับหยิ่งทะนง เขาจึงจำเป็นต้องขัดเกลาเสียก่อน

         ทว่าสงครามเย็นล่วงเลยมาจนถึงวันที่สาม ฉีตงขวางหลิงเต้าซีอยู่ที่ประตู นัยน์ตาจดจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ผิดกับหลิงเต้าซีที่เงียบสงบในอดีต ตอนนี้นัยน์ตากลับสั่นไหว ในที่สุดก็ไม่กล้าสบตากับฉีตง

         ฉีตงรอแค่ครู่เดียวเท่านั้น เปลือกที่หลิงเต้าซีใช้เป็นเกราะหุ้มตัวเองก็เกิดรอยร้าวขนาดใหญ่ เพียงเคาะเบาๆ ความภาคภูมิใจที่เหลืออยู่ก็จะแตกสลายในทันที

         เขาลดระดับสายตามองลงด้านล่าง หลิงเต้าซีก็ก้มหน้าลงตาม เพียงครู่เดียวก็เข้าใจความหมายของฉีตง

         แม้ว่าหลิงเต้าซีจะทำเรื่องอุกอาจมากกว่านี้มาแล้ว แต่กลไกการป้องกันภายในจิตใจของคนเราตอนหุนหันพลันแล่นกับตอนมีสติมันต่างกัน หลิงเต้าซี้ทำสีหน้าราวกับฝืนทนอย่างเจ็บปวดที่สุดในชีวิต แต่สุดท้ายเขาก็คุกเข่าลงอย่างช้าๆ และยื่นมือออกไปผูกเชือกรองเท้าให้ฉีตง

         และในชั่วพริบตา ฉีตงก็ชักเท้ากลับ ปล่อยให้มือของหลิงเต้าซีค้างอยู่กลางอากาศ

         “ใครสั่งให้มึงจับ”

เสียงของฉีตงดังขึ้นเหนือศีรษะหลิงเต้าซี ทำให้เขาตกใจจนมือไม้อ่อน ก่อนจะชักมือกลับมาอย่างเก้อเขิน

         “ก้มหัวลงมา” ฉีตงพูดขึ้นอีกครั้ง

         หลิงเต้าซีโน้มตัวไปข้างหน้าอย่างว่าง่าย

         เท้าข้างหนึ่งของฉีตงเหยียบลงบนหลังคอของหลิงเต้าซี เขาผูกเชือกรองเท้าข้างหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน ผูกอีกข้างอย่างเรียบร้อย จากนั้นก็ก้าวข้ามตัวอีกฝ่าย และออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมามองสักนิด ไม่ต่างอะไรกับปีที่แล้วที่เกิดเรื่องนั้นขึ้นในห้องน้ำ

ปัง!

เสียงปิดประตูดังขึ้น

ฉีตงเดินออกมาจากกรงที่ขังสัตว์เลี้ยงของตัวเองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากวันนี้เขายังมีเวลาเล่นสนุกกับอีกฝ่ายไปอีกนาน


 


[1] จุดตันเถียน (丹田) มีสามจุด ได้แก่ บริเวณท้องน้อย ทรวงอก และระหว่างคิ้ว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น