8

ตอนที่ 8

 

ปัง! ปัง! ปัง!

ชลาลัยสะดุ้งและลืมตาโพลงขึ้นด้วยความตกใจ ทว่าเมื่อเธอรับรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่มในห้องนอนที่เงียบสงบ ร่างกายที่เกร็งและความตื่นตระหนกในใจนั้นก็พลันหายไป

หญิงสาวก็เป่าปากออกมาด้วยความโล่งใจ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งพลางใช้มือลูบหน้าเพื่อปลอบขวัญตัวเอง รู้สึกไม่เข้าใจเลยที่ระยะหลังเธอเริ่มกลับไปฝันร้ายซ้ำๆ กับเมื่อตอนอายุหกปีอีกครั้ง

หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นกับครอบครัวของเธอ ชลาลัยในวัยหกปีก็ตกอยู่ในอาการหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา เธอฝันร้ายทุกคืน จนกระทั่งภาสพงษ์ตัดสินใจพาเธอไปพบจิตแพทย์เด็ก เธอรักษาสภาพจิตใจอยู่หลายปีกว่าจะดีขึ้น และไม่เคยฝันร้ายอีกเลย

เมื่อเธอไปเรียนที่สหรัฐอเมริกากับน่านตะวัน เธอแทบลืมฝันร้ายเหล่านั้นไปอย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งวันที่เธอตัดสินใจกลับเมืองไทย ฝันร้ายก็กลับมาเยือนเธออีกครั้ง และยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อเธอกลับมาถึงบ้านเกิดเมืองนอน

แต่เธอกลับจำไม่ได้ว่าฝันเห็นอะไร รู้เพียงแต่ว่ามันเป็นฝันร้ายที่น่าสยดสยองเหลือเกิน

หญิงสาวถอนใจเฮือก ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ แล้วปลดเปลื้องเสื้อผ้าทีละชิ้นจนร่างกายเปลือยเปล่า เธอมองดูตัวเองในกระจกบานใหญ่อย่างภูมิใจในตัวเอง ทุกส่วนสัดดูสมส่วน ไม่ว่าจะเป็นทรวงอกอวบอิ่ม หน้าท้องแบนราบ และขายาวเรียวงาม ทุกอย่างทำให้เธออดอมยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงแต่ละคำพูดของน่านตะวัน

บิกินีมันโป๊ กระโปรงสั้นไป และอีกหลากหลายคำที่หลุดจากปากของเขายามที่เธอสวมชุดที่อวดเนื้อหนัง

แค่นึกถึงพี่ชายก็ทำให้เธออารมณ์ดีแล้ว เธอยิ้มให้แก่ตัวเองแล้วเดินไปใต้ฝักบัว และปล่อยให้สายน้ำเย็นฉ่ำชโลมร่างกายที่ร้อนรนจากฝันร้ายให้สงบลง

พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ชลาลัยก็ออกไปที่ห้องครัว เธอพบว่ามันว่างเปล่า มีแค่โน้ตเล็กๆ ติดเอาไว้ที่ตู้เย็นว่าน่านตะวันมีประชุมต้องรีบไปออฟฟิศแต่เช้า และมีอาหารเช้าที่ทำเอาไว้อยู่ในตู้เย็นพร้อมอุ่นกิน

“หลบหน้าหลบตาจริงแฮะ กลัวเราถามเรื่องแฟนอีกละสิ”

ชลาลัยกลอกตา ก่อนจะเอาสปาเกตตีออกจากตู้เย็นมาอุ่นกิน จากนั้นก็ออกจากคอนโดมิเนียมขึ้นรถไฟฟ้าไปออฟฟิศ 

เธอมาถึงที่ทำงานราวครึ่งชั่วโมงก่อนจะเริ่มงาน ตอนนั้นยังไม่มีใครมาทำงานเลย มีเพียงฟ้าครามเท่านั้นที่กำลังนั่งหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะทำงาน เธอจึงเดินไปนั่งที่โต๊ะ เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ และเริ่มค้นคว้าข้อมูลและข้อกฎหมายสำหรับนำมาใช้ออกแบบโครงการใหม่ที่ได้รับมอบหมาย

ครู่หนึ่งประตูห้องทำงานของฟ้าครามก็เปิดออก ชลาลัยหันซ้ายหันขวาไม่เห็นคนอื่นๆ ก็รู้สึกใจแป้ว กลัวว่าเขาจะมาถามคำถามเดิม ซึ่งเธอเองยังไม่พร้อมที่จะตอบคำถามเขา

“พวกนั้นยังไม่มาทำงานจนกว่าจะเก้าโมง”

“ค่ะ” เธอตอบสั้นๆ อย่างประหม่า

“ถึงจะมีเวลาเข้าออกงานเหมือนออฟฟิศทั่วไป แต่ฝ่ายออกแบบของเราก็ไม่ได้เคร่งครัดอะไรนัก เราดูกันที่เนื้องานเป็นหลัก ถ้าส่งงานแบบไม่สุกเอาเผากินทันเวลาก็ไม่มีปัญหาอะไร”

“เข้าใจค่ะ”

“กลางวันนี้ไปกินข้าวกันนะ”

“ค่ะ...” ชลาลัยเผลอรับปาก ก่อนจะชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาเปลี่ยนมาคุยเรื่องส่วนตัวแบบไม่ให้เธอทันตั้งตัว 

“คะ”

“ผมจะเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่สักหน่อย”

“แต่เมื่อคืนก็เลี้ยงไปแล้วนี่คะ”

เขายักไหล่ “เมื่อคืนผมไม่ได้ไปเลี้ยงคุณนี่”

“แล้วคนอื่นล่ะคะ”

“เฉพาะคุณกับผม”

“เอ่อ...อย่างนั้นไม่ดีมั้งคะ เดี๋ยวใครเห็นจะนินทาเอาได้”

“ถ้าไม่อยากให้ใครเห็น อืม...” เขากอดอกอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเผยยิ้ม “งั้นตอนเที่ยงไปรอผมที่ดาดฟ้าก็แล้วกัน”

“ดาดฟ้า” ชลาลัยทวนคำด้วยความงงงวย “ทำไมคะ ดาดฟ้ามีอะไรหรือไง”

“ยังไม่บอกตอนนี้ แต่ผมรับรองว่าไม่มีใครเห็นเรากินข้าวด้วยกันแน่”

“แต่...”

“เอาตามนี้แหละ” ฟ้าครามไม่เปิดโอกาสให้เธอปฏิเสธ ก่อนจะหันหลังให้เธอแล้วเดินกลับเข้าห้องทำงานของตัวเอง

“อะไรกัน เอาแต่ใจชะมัด”

 

ชลาลัยใช้เวลาช่วงเช้าวุ่นอยู่กับการหาข้อมูลและศึกษาข้อกฎหมาย เพื่อนำไปคิดหาคอนเซปต์ดีไซน์เกี่ยวกับโครงการคอนโดมิเนียมหรูส่งฟ้าคราม แต่กลับไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไร เพราะสมองดันคิดวนเวียนอยู่ว่าเจ้านายเธอนัดขึ้นไปบนดาดฟ้าทำไม 

อาจเป็นไปได้ว่าเขาจะพาเธอขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปกินอาหารหรูๆ สักที่

“อ่านนิยายมากไปมั้งเรา” ชลาลัยงึมงำ

“น้องน้ำมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ” ชุมพลหันมาถามหลังจากได้ยินเสียงบ่นแว่วๆ

“เอ่อ...ปละ...เปล่าค่ะ” หญิงสาวส่งยิ้มเจื่อนให้เขา “สงสัยคิดงานดังไปหน่อย”

เขายิ้ม “มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ”

“ขอบคุณค่ะ”

ชุมพลพยักหน้า เกือบจะหันไปทำงานต่อ แต่ต้องชะงักเมื่อเจ้านายเปิดประตูออกมาจากห้องแล้วยื่นซองเอกสารให้เขา

“BOQ ที่นายให้ฉันตรวจ”

“โอเคไหมครับบอส” สถาปนิกหนุ่มเอ่ยถามขณะรับเอกสารแสดงราคากลางของโครงการออกแบบที่รับผิดชอบอยู่ไป

“ดำเนินการได้เลย” ฟ้าครามพยักหน้าตอบ “อ้อ...เดี๋ยวฉันจะไปพบท่านประธานหน่อยนะ คงจะกลับเข้ามาหลังพักเที่ยงโน่นเลย มีอะไรโทร. เข้ามือถือก็แล้วกัน”

ชลาลัยทำปากเบ้เมื่อได้ยินเช่นนั้น ‘อะไรกันนัดเราไว้ไม่ใช่หรือ หรือว่าลืม’ 

พอฟ้าครามเอ่ยกับชุมพลแล้ว เขาก็เดินออกไปจากห้องโดยไม่หันมามองเธอเลยแม้แต่หางตา

‘อะไรกันเนี่ย ตกลงยังไง’

ทันทีที่หัวหน้าออกไป ธนาวุฒิก็เลื่อนเก้าอี้ออกมากลางห้อง “เฮ้ย! พวกเราเที่ยงนี้กินอะไรดีวะ”

“ขาหมูเจ๊จูนไหม” ชุมพลหันไปตอบ

“เออ...ดีๆ”

“ฉันสั่งข้าวกล่องไปแล้ว” ป้องที่นั่งอยู่ใกล้ทางออกที่สุดเอ่ยโดยไม่เงยหน้าจากแบบแปลนบนโต๊ะ

ธนาวุฒิหันไปมองก่อนจะไล่ถามคนอื่น มีสองสามคนขอตามไปด้วย แต่ก็ยังมีอีกจำนวนหนึ่งที่สั่งอาหารมารับประทานในออฟฟิศ

แต่ก่อนที่ธนาวุฒิจะไล่ถามมาถึงชลาลัย ก็มีสัญญาณเตือนข้อความดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ เธอจึงหยิบมันมาเปิดดู

BlueSky : อย่าลืมนัดนะ

‘อะไรเนี่ย ไหนบอกไปพบท่านประธาน’

ชลาลัยย่นจมูกใส่โทรศัพท์ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อธนาวุฒิหันมายิ้มแฉ่งให้

“น้องน้ำไปกินขาหมูด้วยกันไหมครับ”

“เอ่อ...ไม่ดีกว่าค่ะ ขาหมูไขมันเยอะ” ชลาลัยยิ้มเจื่อน รู้สึกผิดที่ต้องโกหกออกไป

“งั้นไปร้านเฮลท์ตีฟูดดีไหมจ๊ะ สายคลีนอย่างน้ำต้องชอบแน่” นิกรเสนอขึ้น

“อี๋...อาหารคลีนไม่เห็นอร่อยเลย” ธนาวุฒิค้าน

“ไอ้อ้วนเอ๊ย หัดกินอะไรที่มันมีประโยชน์ซะมั่งดิวะ กินแต่อาหารมันๆ เลี่ยนๆ เดี๋ยวไขมันจุกคอตายหรอก” นิกรหันไปแซว

ทั้งคู่มักแซวกันไปกันมาอย่างไม่ถืออะไร เพราะสนิทกันมาก เรียนมาด้วยกันตั้งแต่มัธยมจนกระทั่งจบมหาวิทยาลัยเดียวกัน แล้วยังได้มาทำงานที่เดียวกันอีก แถมธนาวุฒิก็ไม่ได้คิดว่าความอ้วนของตัวเองเป็นปมด้อยอะไรด้วย

“ไม่เอา ไม่อร่อย กินขาหมูแหละดีแล้ว”

“พี่ๆ คะ ไม่ต้องเถียงกันค่ะ” ชลาลัยโบกมือห้ามทัพ “พวกพี่ไปกินกันเถอะ น้ำยังไม่หิวเท่าไร อยากจะศึกษาข้อมูลพวกนี้ให้เสร็จก่อนน่ะค่ะ”

“มันไม่ได้เร่งไม่ใช่หรือ กินอาหารไม่ตรงเวลา เดี๋ยวจะเป็นโรคกระเพาะเอานะ” ชุมพลเตือนด้วยความหวังดี

“พอดีมันติดพันอะค่ะ เอาไว้พรุ่งนี้ละกันนะคะ”

“งั้นรีบไปกันดีกว่าว่ะ เวลาเหลือจะได้ไปหาของหวานกินที่เต็นท์ขายของ” ธนาวุฒิรีบเสนอด้วยความไม่อยากรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพเท่าไรนัก

“คิดแต่เรื่องกินนะไอ้อ้วน” นิกรแขวะ “รอให้เที่ยงก่อน เดี๋ยวบอสเข้ามาจะโดนเฉ่งกันทั้งทีม”

“บอสบอกไปหาท่านประธาน ไม่ได้ยินหรือไงไอ้หัวสก๊อตช์ไบรต์ กว่าจะกลับก็คงบ่ายแก่ๆ โน่น”

“แกสองคนจะเถียงกันทำไมวะ อีกแค่สิบนาทีเอง รอหน่อยเถอะ” ชุมพลเสนอตัวเป็นกรรมการห้ามมวยคู่เอก

หลังจากนั้นไม่กี่นาทีก็ถึงเวลาพักเที่ยง บรรดาสถาปนิกหนุ่มต่างทยอยกันออกไปรับประทานอาหารกลางวันกัน เหลือเพียงไม่กี่คนที่สั่งอาหารมารับประทานที่โต๊ะ

ชลาลัยหันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบกระเป๋าสะพายเดินไปห้องน้ำ จากนั้นก็หยิบเครื่องสำอางออกมาแต่งหน้าเพียงเบาบาง และเติมสีให้แก่ริมฝีปากสดใส ก่อนจะหมุนตัวอยู่หน้ากระจกสองสามรอบเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกจากห้องน้ำไปที่หน้าออฟฟิศ

“อ้าว คุณน้ำไม่ได้ออกไปกินข้าวกับพวกนั้นหรือคะ” พนักงานต้อนรับสาวสวยเอ่ยทัก

ชลาลัยชะงัก เพราะไม่คิดว่าจะมีคนอยู่ตอนพักกลางวัน “พอดีงานติดพันนิดหน่อยค่ะ เลยให้ไปกันก่อน แล้วคุณเอมไม่ไปกินข้าวหรือคะ”

หญิงสาวยิ้มแฉ่งพร้อมยกกล่องข้าวขึ้นโชว์ “พกมาจากบ้านค่ะ ประหยัด”

“ดีจัง” สถาปนิกสาวยิ้ม “งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”

“กินให้อร่อยนะคะ”

ชลาลัยค้อมศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะรีบเดินไปที่โถงกลางแล้วกดปุ่มเรียกลิฟต์ พอประตูเปิดก็รีบเข้าไปกดปุ่มชั้นบนสุดของอาคารทันที

ประตูทางขึ้นชั้นดาดฟ้าอยู่ตรงข้ามกับประตูลิฟต์พอดี สถาปนิกสาวจึงเปิดประตูบานนั้นก้าวขึ้นไปยังลานกว้างที่มีอักษรภาษาอังกฤษตัวเอชใหญ่เบ้อเริ่มอยู่กลางวงกลมบนพื้นคอนกรีต

“นี่อย่าบอกนะว่าจะพาขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปกินข้าวกลางวันจริงๆ” หญิงสาวงึมงำ นึกถึงนิยายโรแมนติกที่เคยอ่าน

เมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วไม่เห็นฟ้าคราม เธอจึงเดินไปวางแขนกับราวกันแล้วทอดสายตามองทิวทัศน์เมืองหลวงอันวุ่นวายอย่างรอคอย

จากมุมนี้เธอสามารถเห็นอาคารที่น่านตะวันเช่าทำออฟฟิศได้ เพราะมันเป็นอาคารที่ค่อนข้างโดดเด่นด้วยความสูงและรูปลักษณ์กว่าหมู่ตึกในละแวกนั้น

“พี่น่านกำลังทำอะไรอยู่น้า”

ชลาลัยยิ้มเมื่อนึกถึงพี่ชาย เขาอยู่ในความคิดถึงของเธอเสมอ เพราะตั้งแต่เธอจำความได้ เขาก็อยู่เคียงข้างเธอตลอด ในยามที่เธอหวาดกลัวเขาจะคอยปลอบขวัญเธอ ในยามที่เธอตกอยู่ในอันตราย เขาก็จะปกป้องเธอ และแม้เธอจะจำเหตุการณ์วันที่บิดากับมารดาเสียชีวิตไม่ได้ แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เธอจำได้เสมอเมื่อนึกถึงก็คือ หากวันนั้นไม่มีอ้อมกอดของน่านตะวัน เธอก็อาจไม่รอดจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมายืนอยู่ตรงนี้ก็ได้

“คิดอะไรอยู่หรือครับ”

เสียงของฟ้าครามเล่นเอาเธอสะดุ้งเฮือก เธอหันไปมองเขาก่อนจะส่งยิ้มให้

“มาซะเงียบเลยนะคะ”

“ผมว่าคุณกำลังใช้ความคิดมากกว่า ก็เลยไม่ได้ยินเสียงผม”

หญิงสาวไหวไหล่ “คิดอะไรเพลินๆ น่ะค่ะ บนนี้วิวสวยแล้วก็ลมแรงดีนะคะ”

“ครับ” ฟ้าครามพยักหน้าพลางเอนตัวพิงราวกันตก ท่ามกลางลมแรงผมเรียบแปล้ของเขาก็ยังแค่กระดิกเพียงเล็กน้อย “บ่อยครั้งที่ผมคิดอะไรไม่ออก ผมก็มักจะพาตัวเองไปอยู่ในที่โล่งกว้าง ความที่ไม่มีกำแพงและเพดานปิดกั้น มันทำให้ผมรู้สึกเป็นอิสระ ไร้กรอบกีดขวางดีครับ”

“แล้วนี่ชวนฉันขึ้นมาเปิดสมองด้วยหรือคะ”

ฟ้าครามหัวเราะ ก่อนจะล้วงมือลงในถุงผ้าสีฟ้าที่เขาถือขึ้นมาด้วยแล้วนำอาหารกล่องจากร้านสะดวกซื้อออกมายื่นให้เธอ “ผมลืมถามว่าคุณอยากกินอะไร”

เธอมองดูกล่องอาหารที่เขายื่นให้แล้วยิ้ม “สปาเกตตีคาโบนาราก็โอเคค่ะ”

“ค่อยยังชั่วหน่อย” เขาเอ่ยอย่างโล่งใจ “ทีนี้เราก็กินอาหารกลางวันด้วยกันโดยไม่มีใครรู้ได้แล้วใช่ไหมครับ”

“คุณนี่ร้ายจริงๆ เลยนะคะ” เธอหัวเราะ น่านตะวันมองคนไม่ผิดจริงๆ ฟ้าครามเป็นพวกเสือซ่อนเล็บอย่างที่เขาว่าไว้เป๊ะ “แต่เลี้ยงแค่โฟลเซนฟูดจากร้านสะดวกซื้อ มันไม่สมฐานะรองกรรมการเลยนะคะ”

“อ่า...ผมนี่แย่จริง”

“ฉันล้อเล่นน่ะค่ะ” ชลาลัยหัวเราะคิกคัก

“ถ้างั้นคุณจะว่าอะไรไหมล่ะ ถ้าผมจะชวนคุณมากินอาหารกลางวันบนนี้ด้วยกันบ่อยๆ”

“ไม่ดีมั้งคะ” หญิงสาวรีบส่ายหน้า “ใครรู้เข้าจะโดนนินทาเอานะคะ คุณเป็นหัวหน้าฉันโดยตรง ฉันไม่อยากให้ใครคิดว่าฉันมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นน่ะค่ะ”

“บนนี้ไม่มีใครสักหน่อย”

“ก็ถ้าฉันไม่ไปกินข้าวกับคนอื่นเลย มันจะน่าสงสัยนะคะ พานจะหาว่าฉันเป็นคนไม่เอาเพื่อนอีก”

“ถ้าเป็นสัปดาห์ละครั้งล่ะครับ” ฟ้าครามตื๊อ ก่อนจะยกมือห้ามเมื่อเธออ้าปากจะพูด “ห้ามบอกว่ามากไปนะครับ”

“แหม...ดักคอเก่งนะคะ” ชลาลัยค้อนควัก “แต่ถึงอย่างไรฉันก็ว่าไม่เหมาะหรอก แอบมากินข้าวกันสองคนแบบนี้ เหมือนลักลอบทำผิดยังไงไม่รู้ เกิดใครเห็นเข้ามันจะไม่ดีต่อทั้งคุณและฉันนะคะ”

ชายหนุ่มถอนใจ “งั้นถ้าเป็นอาหารเย็นหรือวันหยุดล่ะครับ”

“นี่ฉันคงปฏิเสธคุณไม่ได้เลยใช่ไหมคะ”

“ผมเป็นคนช่างตื๊อ” เขาเอ่ยหน้าตาย

หญิงสาวเห็นสายตาและรอยยิ้มเขาแล้วก็ใจอ่อนอย่างบอกไม่ถูก “งั้นขอดูเป็นเคสๆ ไปดีกว่าค่ะ”

“ตกลงตามนั้น” เขาหัวเราะด้วยน้ำเสียงสดใส ก่อนจะดึงแผ่นพลาสติกเล็กๆ สองใบออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต “ผมมีตั๋วดูละครเวทีของวันพรุ่งนี้อยู่สองใบ คุณสนใจไหมครับ”

ชลาลัยหันไปจ้องมองเขา “ละครเวทีหรือคะ”

“ใช่ครับ” ฟ้าครามพยักหน้า “หรือคุณไม่ชอบ”

“ใครบอกล่ะคะ ชอบที่สุดเลยแหละ สมัยอยู่อเมริกาก็ไปดูกับเพื่อนบ่อยๆ”

“แล้วตกลงว่า...”

ชลาลัยนิ่งคิด ความจริงแล้วเธอชอบดูละครเวทีมาก นับได้ว่าเขามาถูกทาง แต่จะให้เธอตอบตกลงทันทีก็ดูจะไม่งามสักเท่าไร

“ขอฉันคิดดูก่อนได้ไหมคะ”

“แต่มันพรุ่งนี้แล้วนะครับ”

“มีเวลาอีกตั้งหนึ่งคืน” เธอย้อน ก่อนจะทำเป็นหลิ่วตามองเขา “หรือว่าถ้าฉันไม่ไป คุณจะได้ไปชวนผู้หญิงคนอื่นได้ทันคะ”

เขาหัวเราะ “มีคนอื่นที่ไหนกันล่ะครับ ถ้าคุณไม่ไป ผมจะได้ให้ตั๋วเพื่อนไปน่ะ”

“งั้นคงรอได้มั้งคะ”

“โอเคครับ งั้นผมจะรอจนถึงพรุ่งนี้เช้า”

ชลาลัยยิ้ม ก่อนจะหันไปตักสปาเกตตีกินอย่างเอร็ดอร่อยท่ามกลางบรรยากาศอันแจ่มใสของวัน ซึ่งทำให้รสชาติของอาหารดีขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว

 

ช่วงบ่ายการทำงานทำให้เวลาของชลาลัยผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาบนจอคอมพิวเตอร์ หลังจากได้ยินเสียงข้อความแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันสนทนา ก็พบว่าเป็นเวลาเกือบจะหกโมงเย็นแล้ว

“เอ๋!”

คิ้วโก่งขมวดมุ่นเมื่อเหลือบไปมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือแล้วเห็นว่ามีข้อความจากฟ้าครามเข้ามาในห้องสนทนาส่วนตัว เธอหันไปมองชุมพลแวบหนึ่งอย่างระวังตัว ก่อนจะหันไปมองเจ้าของข้อความผ่านผนังกระจกใสก็เห็นเขากำลังนั่งคร่ำเคร่งอยู่ตรงโต๊ะเขียนแบบกลางห้อง

‘อะไรกันเนี่ย’

สถาปนิกสาวจึงรีบหยิบโทรศัพท์มาเปิดแอปพลิเคชันเพื่อดูข้อความที่ถูกส่งมาด้วยความสงสัย

BlueSky : ใกล้ค่ำแล้ว ยังไม่กลับหรือ

Nahm : ทำงานจนลืมเวลาเลยค่ะ 

Nahm : <สติกเกอร์หัวเราะแหะๆ>

BlueSky : ขยันแบบนี้สงสัยต้องขึ้นเงินเดือนให้

ชลาลัยกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่ายให้แก่ข้อความกึ่งประชด ก่อนจะหันไปมองเขาอีกครั้งก็ยังเห็นเขาทำท่าทางเหมือนกำลังยุ่งกับงานอยู่

Nahm : ว่างหรือคะ

BlueSky : <สติกเกอร์หัวเราะ>

BlueSky : กลับบ้านได้แล้ว ค่ำมืดอันตราย

Nahm : คนอื่นยังนั่งอยู่เลย ออกไปก่อนน่าเกลียดแย่

จริงอยู่ที่บริษัทนี้มีเวลาเริ่มงานและเลิกงานแน่นอน คือเริ่มงานแปดโมงเช้า และเลิกห้าโมงเย็น แต่ก็เป็นกฎที่ตั้งไว้อย่างนั้นเองสำหรับฝ่ายออกแบบและเขียนแบบ เพราะมีหลายครั้งที่ต้องเร่งส่งงาน หลายคนจึงต้องทำงานล่วงเวลาจนถึงดึกดื่น บางทีอาจถึงเช้า และอาศัยใต้โต๊ะเป็นที่นอน

ครู่หนึ่งก็มีเสียงจากโทรศัพท์มือถือของชุมพลดังขึ้น สถาปนิกหนุ่มมาดเนี้ยบหยิบมันขึ้นอ่าน ก่อนจะหันมายิ้มให้เธอ

“น้ำ...อยากจะกลับก็กลับได้เลยนะครับ เดี๋ยวดึกกว่านี้จะลำบาก เป็นผู้หญิงเสียด้วย”

“นี่บอสสั่งให้พี่พลพูดหรือเปล่าคะ”

ชายหนุ่มยิ้มแฉ่ง “บอสไม่บอก พี่ก็ว่าจะพูดอยู่แล้ว พอดีทำงานเพลินไปหน่อย บอสก็เลยตัดหน้า”

นิกรที่ได้ยินบทสนทนาก็รีบชะโงกหน้ามาเสริม “แล้ววันอื่นก็ไม่ต้องเกรงใจพวกเรานะ อยากจะกลับก็กลับได้เลย”

“ใช่ๆ โน่นเห็นไหม ไอ้ป้องมันเก็บของแล้ว เดี๋ยวมันก็เผ่น” ธนาวุฒิเสริมอีกคน ก่อนจะป้องปากทำเป็นกระซิบ “ไอ้ป้องนี่ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ มันไม่ทำโอทีเลย มันกลัวเมียแพ่นกบาลถ้ากลับบ้านผิดเวลา”

“ได้ยินนะโว้ย” ป้องเอ่ยลอยๆ พลางเก็บของใส่กระเป๋าสะพายอย่างรีบเร่ง

“วันนี้พี่ว่าจะโต้รุ่งด้วย ขืนน้ำรอกลับเป็นคนสุดท้ายคงไม่ได้กลับแน่” นิกรบอก

ชลาลัยชะงักอิดออด ก่อนจะถอนใจเบาๆ “งั้น...ก็ได้ค่ะ”

หญิงสาวหันไปเก็บของลงกระเป๋าสะพาย ระหว่างนั้นก็ไม่วายหันไปมองค้อนคนที่ใช้อำนาจบีบให้คนอื่นมาไล่เธอกลับบ้าน

ติ๊ง!

BlueSky : ผมไปส่งไหมครับ

Nahm : ไม่รบกวนค่ะ

Nahm : <สติกเกอร์แมวควันออกหู>

BlueSky : <สติกเกอร์สุนัขหัวเราะ>

BlueSky : อย่าลืมเรื่องละครเวทีนะครับ

ชลาลัยหันไปส่งค้อนให้คนทำทีเป็นตั้งใจทำงานแต่ส่งข้อความมาไม่หยุด ก่อนจะลุกขึ้นแล้วสะพายกระเป๋าออกจากห้องทำงาน และเดินทางกลับคอนโดมิเนียมโดยใช้รถไฟฟ้า

 

เช้าวันต่อมา ชลาลัยมาถึงออฟฟิศก่อนเวลาแปดโมงเล็กน้อย ซึ่งเป็นเวลาที่เช้ามากสำหรับเหล่าสถาปนิก ห้องทำงานจึงเงียบเชียบ แต่เมื่อเธอเดินผ่านโต๊ะของนิกร หญิงสาวก็ถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆ ก็มีศีรษะโผล่ออกมาจากช่องว่างระหว่างเก้าอี้กับใต้โต๊ะ

“ว้าย!”

“ไม่ต้องตกใจ...พี่เอง”

พอมองดูดีๆ ชลาลัยก็เห็นว่าเป็นศีรษะของนิกรนั่นเอง ตอนนี้ผมเผ้าหยิกหย็องของเขายิ่งยุ่งเหยิงเข้าไปใหญ่ แถมเสื้อผ้าก็ยังคงเป็นชุดเดียวกันกับเมื่อวานนี้

“ตกใจหมดเลยค่ะ”

ชายหนุ่มค่อยๆ มุดออกจากใต้โต๊ะขึ้นมายืดแขนขาพลางเปิดปากหาวหวอด ก่อนจะหยิบแว่นตากลมโตมาสวม

“นี่ตกลงโต้รุ่งจริงๆ หรือคะ”

“ใช่สิ ต้องส่งงานให้ลูกค้าวันนี้อะ”

หญิงสาวยิ้มพร้อมยกกำปั้นขึ้นชู “สู้ๆ นะคะ”

“ขอบใจ” นิกรยิ้มงัวเงีย “ตามสบายนะ พี่ไปแปรงฟันอาบน้ำก่อน”

“เชิญค่ะ” ชลาลัยบอก ก่อนจะเดินไปนั่งประจำที่ จากนั้นก็เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เริ่มหาข้อมูลด้านการออกแบบจากสิ่งที่ลูกค้าต้องการ รวมทั้งศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับโครงการ เพราะกฎหมายเมืองไทยกับที่อเมริกาต่างกันค่อนข้างมาก จึงต้องลงรายละเอียดลึกหน่อย กว่าจะรู้ตัวอีกทีคนก็มานั่งทำงานกันเต็มห้องแล้ว

ติ๊ง!...เสียงเตือนข้อความเข้าดึงความสนใจของชลาลัยให้หันไปมอง พอเห็นว่าเป็นข้อความจากฟ้าคราม เธอก็อดหันไปมองเขาด้วยสายตาขุ่นไม่ได้ แต่เขาก็กลับทำเป็นนั่งคร่ำเคร่งกับเอกสารบนโต๊ะทำงานโดยไม่สนใจโลกภายนอกอยู่ดี

BlueSky : ตกลงว่าเย็นนี้ไปดูละครเวทีกันไหมครับ

ชลาลัยอมยิ้ม ก่อนจะวางโทรศัพท์โดยไม่ตอบคำถามเขาทั้งที่มีคำตอบอยู่ในใจแล้ว เธอทิ้งช่วงเวลาไปอีกหลายนาที กว่าจะตอบกลับไป

Nahm : ตกลงค่ะ

BlueSky : <สติกเกอร์สุนัขยิ้ม>

BlueSky : งั้นไปรถผมนะ

ชลาลัยหันไปมองเขา แต่ก็เหมือนเดิม เขายังคงทำเป็นนั่งหน้าเครียดจดจ่ออยู่กับแบบแปลนบนโต๊ะราวกับไม่ได้เป็นคนส่งข้อความมา

Nahm : อย่าดีกว่าค่ะ เดี๋ยวคนอื่นเห็นจะนินทาเอา

BlueSky : แล้วคุณจะไปยังไง

Nahm : รถไฟฟ้าไงคะ

BlueSky : ทำไมต้องทำอะไรให้ยุ่งยากครับ

Nahm : ถ้ามีคนเห็นฉันขึ้นรถคุณจะยุ่งยากกว่านี้นะคะ

BlueSky : ผมละยอมใจคุณจริงๆ

BlueSky : ตกลงครับ ผมจะไปรอคุณที่หน้าโรงละครก็แล้วกัน

Nahm : <สติกเกอร์แมวยิ้ม>

 

ตอนเย็นชลาลัยไม่ได้รีรอที่จะเลิกงานตรงเวลาอีก เธอรีบเก็บของและออกจากออฟฟิศหลังเวลาห้าโมงเย็นเล็กน้อย โดยไม่กังวลใจว่าใครจะสงสัยอะไร เพราะฟ้าครามออกจากออฟฟิศไปประชุมที่โครงการก่อสร้างแห่งหนึ่งตั้งแต่ตอนบ่ายสามแล้ว

ระหว่างเดินทางโดยรถไฟฟ้า รถเกิดเสียและหยุดอยู่บนรางราวสิบนาที ทำให้เมื่อไปถึงสถานีชลาลัยต้องรีบโผออกจากรถทันทีที่ประตูเปิดออก ก่อนจะรีบวิ่งกระหืดกระหอบไปยังโถงลิฟต์ของห้างสรรพสินค้าและกดปุ่มเรียก แต่การเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าของลิฟต์ก็ทำให้เธอต้องตัดสินใจวิ่งไปขึ้นบันไดเลื่อนอย่างเร่งร้อนแทน

เมื่อมาถึงหน้าโรงละครที่อยู่ชั้นบนสุดของห้างสรรพสินค้า เธอก็เห็นฟ้าครามยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางผู้คนด้วยความสูงเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรของเขา จึงรีบวิ่งเข้าไปหาแล้วยกมือไหว้ปลกๆ

“ขอ...โทษ...ค่ะ...” หญิงสาวเอ่ยพลางหอบฮัก

“ใจเย็นๆ ครับ หายใจลึกๆ”

เธอทำตามที่เขาบอก สูดลมหายใจเข้าและระบายออกมาหลายๆ ครั้ง จนอาการหอบเริ่มทุเลาลง

“ขอโทษจริงๆ นะคะ พอดีรถไฟฟ้าเสียกลางทาง นี่ค้างเติ่งอยู่บนรางลอยฟ้าตั้งสิบนาทีแน่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ ยังพอมีเวลา” ฟ้าครามดูนาฬิกาแล้วยิ้มให้เธอ “บอกให้มากับผมก็ไม่เชื่อ”

“ฉันไม่อยากเป็นขี้ปากใครนี่คะ”

ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ “งั้นเข้าไปกันเถอะ เดี๋ยวจะพลาดช่วงเปิดตัว”

“ค่ะ” เธอพยักหน้าแล้วเดินตามเขาเข้าไปในโรงละคร

ภายในมีผู้ชมแน่นขนัดมาก ที่นั่งของเธอกับเขาอยู่เกือบหน้าสุดทำให้เห็นทุกอย่างบนเวทีได้อย่างชัดเจน นักแสดงทุกคนเล่นกันอย่างเต็มที่ เรื่องราวความรักของราชนิกุลหนุ่มที่ต้องการค้นหารักแท้ให้แก่ตัวเอง จนกระทั่งได้พบกับสาวชาวป่าซึ่งปรากฏภายหลังว่าเธอเป็นเจ้าหญิงที่พลัดถิ่นมาจากภัยสงครามจึงดูสมจริงไม่น้อย

ผู้ชมในโรงละครต่างก็หัวเราะร่าน้ำตารินไปกับบทบาทของนักแสดงกันทั่วหน้า ไม่เว้นแม้แต่ชลาลัยที่ไม่คิดว่าตัวเองจะอ่อนไหวต่อความรักของพระนางขนาดนี้ก็ถึงกับน้ำตาคลอไปด้วย

“ซับน้ำตาเสียหน่อยสิครับ” ฟ้าครามยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้เธอ

ชลาลัยค้อมศีรษะแล้วรับผ้าผืนนั้นมาอย่างเขินๆ หลังจากละครรูดม่านลง ผู้ชมต่างลุกขึ้นยืนตบมือให้ นักแสดงและทีมงานทุกคนต่างออกจากหลังเวทีมาโค้งขอบคุณ ก่อนที่ผู้ชมจะพากันทยอยออกจากโรงละครมาจนเต็มลานด้านหน้า

“สนุกจังเลยนะคะ คนไทยนี่ก็เก่งไม่แพ้พวกฝรั่งต่างชาตินะคะ เล่นกันได้ดีทีเดียว”

“ถ้าคุณชอบ วันหลังมากันอีกนะ”

ชลาลัยเหลือบมองเขายิ้มๆ “ถ้าอยากได้เพื่อนดูละครด้วยก็ได้ค่ะ ฉันไม่มีปัญหา”

“แล้วถ้าต้องการมากกว่าความเป็นเพื่อนละครับ”

เธอค้อนเขาอย่างทีเล่นทีจริง ก่อนจะอมยิ้มแล้วเดินหนีไปดื้อๆ

“ไปกินอะไรกันก่อนไหมแล้วค่อยกลับ ผมชักหิวแล้วสิ” ฟ้าครามพูดพลางลูบท้องไปพลาง

หญิงสาวก้มดูนาฬิกาข้อมือก่อนพยักหน้า “ได้ค่ะ นี่ก็ยังไม่ดึกมาก คงไม่เป็นไร”

เมื่อเธอตอบตกลง ฟ้าครามจึงพาเธอไปรับประทานอาหารญี่ปุ่นที่อยู่อีกชั้นหนึ่ง ต่างคนต่างก็พูดถึงความประทับใจในละครเวทีวันนี้ในคนละแง่มุมอย่างถูกคอ จนกระทั่งอิ่มแล้วเธอจึงชวนเขากลับ

“คราวนี้จะให้ผมไปส่งได้หรือยัง” ฟ้าครามเอ่ยถามหลังจากออกมาจากร้านอาหารแล้ว

“จริงๆ ฉันกลับรถไฟฟ้าก็ได้นะคะ สะดวกดีออก คุณจะได้ไม่ต้องขับรถวนไปวนมา”

“คุณนี่ดื้อจริงๆ” เขาส่ายหน้า ก่อนจะคว้ามือเธอไปกุมไว้ดื้อๆ

“นะ...นี่คุณจะทำอะไรคะ” ชลาลัยร้องถามด้วยความประหลาดใจ

“พาคุณกลับบ้านน่ะสิ”

“ดะ...เดี๋ยวค่ะ”

ฟ้าครามไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น เขาเดินจูงมือเธอตรงดิ่งไปยังลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า ตอนแรกชลาลัยก็รู้สึกขุ่นใจเล็กน้อยที่จู่ๆ เขาก็ฉวยโอกาสจับมือเธอแบบนี้ เพราะหลังจากพ่อกับแม่เสียชีวิต ผู้ชายคนเดียวที่เดินจูงมือเธอก็มีเพียงน่านตะวันเท่านั้น เธอไม่เคยเดินจับมือกับใคร และไม่เคยยอมให้ผู้ชายคนไหนทำอย่างนี้มาก่อน

ทุกครั้งที่มีผู้ชายมาพยายามจับมือเธอ ชลาลัยจะรู้สึกเหมือนถูกคุกคาม เธอจะต่อต้านผู้ชายคนนั้น เพราะคิดว่าคนเดียวที่มีสิทธิ์คือน่านตะวัน แต่กับฟ้าครามเธอกลับรู้สึกแปลกไป กระแสอะไรบางอย่างที่อบอุ่นแผ่ซ่านมาจากฝ่ามือใหญ่และนิ้วยาวของเขาที่กำลังโอบรอบมือเธอ มันทำให้เธอรู้สึกได้ถึงการปกป้องเหมือนกับที่เคยรู้สึกกับน่านตะวัน

ครู่เดียวชลาลัยก็อมยิ้ม พลางมองดูมือตัวเองที่ซุกอยู่ในมือของฟ้าครามอย่างเขินๆ สองเท้าก้าวตามเขาไปอย่างว่าง่ายและไม่อิดออดอีก

ฟ้าครามกุมมือเธอเดินผ่านร้านรวงต่างๆ ก่อนจะก้าวออกไปยังลานจอดรถ เขาปล่อยมือเธอตอนที่เปิดประตูรถให้

“เชิญครับคุณผู้หญิง”

ชลาลัยก้มหน้าร้อนวูบวาบแล้วพาตัวเองเข้าไปนั่งในรถคันหรู หัวใจของเธอเต้นรัวขณะมองเขาปิดประตูให้แล้วเดินอ้อมหน้ารถมานั่งหลังพวงมาลัย ก่อนจะสตาร์ตรถและพาเธอออกจากห้างสรรพสินค้ามุ่งหน้าสู่คอนโดมิเนียมสุดหรูของน่านตะวัน

 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น