7

ตอนที่ 7

 

รถเมอร์เซเดส-เบนซ์สีขาวแล่นไปตามถนนที่เต็มไปด้วยรถรา รถเคลื่อนตัวได้ค่อนข้างช้าในสภาพการจราจรแบบนี้ แต่ท่าทางของฟ้าครามกลับไม่เครียดเลย บางครั้งเขาก็ฮัมเพลงตามเสียงดนตรีที่ดังออกมาจากลำโพงพร้อมกับเคาะนิ้วยาวๆ ของเขาบนพวงมาลัยเป็นจังหวะ

“คุณเล่นดนตรีหรือเปล่าคะ”

“เปียโนครับ”

“คิดไว้อยู่แล้ว”

“ทำไมครับ”

“นิ้วคุณเหมือนนิ้วของพี่น่านเลย เขาเล่นเปียโนเก่งมาก”

“จริงหรือครับ แหมชักอยากฟังเสียแล้ว”

“คงจะยากนิดหนึ่ง” ชลาลัยหัวเราะคิกคัก เพราะดูจากการพบกันล่าสุดของทั้งคู่แล้วก็ไม่น่าจะเป็นไปได้สักเท่าไร อีกทั้งเธอก็ไม่เห็นพี่ชายแตะต้องเปียโนอีกเลยนับตั้งแต่กลับมาจากอเมริกา

“คุณแม่ของพี่น่านเป็นนักเปียโนค่ะ ก็เลยได้ฝึกตั้งแต่เด็ก แล้วคุณฟ้าครามล่ะคะ เล่นเพราะอะไร”

“ถูกพ่อบังคับให้เรียนตั้งแต่เด็กๆ น่ะครับ” เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ตอนนั้นเป็นเด็กก็อิดออดงอแงบ่อยๆ แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยก็รู้สึกว่าการถูกบังคับแบบนั้นมันก็มีข้อดีเหมือนกัน เพราะผมได้ตั้งวงกับเพื่อนๆ ไปร้องตามผับตามบาร์ต่างๆ ในลอนดอน มันทำให้ผมผ่อนคลายจากการเรียน ได้รู้จักคนเยอะ ได้ทั้งความสนุกและได้เงินด้วยครับ”

“ดีจัง” ชลาลัยมองเขาด้วยความชื่นชม เพราะตัวเองเอาแต่เรียนและทำงาน ไม่ค่อยจะได้ไปเที่ยวหรือทำกิจกรรมที่ไหนเลย

“แล้วคุณล่ะ เล่นเปียโนเป็นด้วยหรือเปล่าครับ” เขาหันมาถามเธอ คงเพราะคิดว่าเธอเป็นน้องสาวน่านตะวัน

หญิงสาวหัวเราะ “อย่าว่าแต่เครื่องดนตรีเลยค่ะ แค่ร้องคาราโอเกะยังผิดคีย์”

“ไม่มีใครเก่งไปเสียทุกอย่างหรอกครับ” เขาเอ่ยปลอบยิ้มๆ

“คุณไงคะ” เธอย้อน

“ผมน่ะเหรอ”

“ดีกรีนักเรียนอังกฤษ จบออกมาก็เป็นสถาปนิกใหญ่อยู่ในบริษัทระดับโลกหลายปี กลับมาก็เป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่โต ดนตรีก็เล่นได้ ต่อยมวยก็เก่ง” ชลาลัยทำท่าชกลม ก่อนจะหันไปมองเขาด้วยสายตาชื่นชม “หน้าตาก็หล่อเหลา รูปร่างก็ดี อย่างนี่ไม่เรียกเพอร์เฟกต์แล้วจะเรียกว่าอะไรล่ะคะ”

ฟ้าครามหัวเราะเขินๆ “ชมแบบนี้ผมชักจะตัวลอยเสียแล้วสิ”

“ฉันพูดความจริงนะคะ” ชลาลัยยืนยัน “ว่าแต่คุณทำอาหารเป็นด้วยไหม”

“ก็พอได้ครับ ตอนไปอยู่อังกฤษต้องทำอะไรเอง ก็เลยต้องหัดทำไว้”

“นั่นไง” เธอดีดนิ้วดังเป๊าะ “จะมีใครที่เพอร์เฟกต์ไปกว่านี้อีกคะ”

เขาทำสีหน้าคิด “เท่าที่นึกได้ก็ยังมีอีกคนนะครับ”

“ใครหรือคะ”

“พี่ชายคุณไง”

ชลาลัยนึกขึ้นได้ และก็เห็นจริงอย่างที่ฟ้าครามเอ่ย เพราะนอกจากจะมีรูปลักษณ์ภายนอกที่สมบูรณ์แบบแล้ว น่านตะวันยังทำงานเก่ง ทำอาหารก็เก่ง เล่นดนตรีก็ได้ กีฬาก็ดี เขาแทบไม่ต่างอะไรกับผู้ชายที่นั่งขับรถอยู่ข้างๆ เธอคนนี้เลย

“เขาทำอาหารได้ด้วยไหมครับ”

“อร่อยระดับเชฟมิชลินเลยละค่ะ” ชลาลัยเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “จริงๆ ด้วยสิ คุณกับพี่น่านนี่มีอะไรเหมือนกันจริงๆ”

“ท่าทางคุณน่านตะวันจะรักและเป็นห่วงเป็นใยคุณมากนะครับ”

ชลาลัยฟังแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ เพราะฟ้าครามเคยพบน่านตะวันแค่ครั้งเดียว คำพูดของเขาจึงน่าจะอ้างอิงมาจากเรื่องที่พี่ชายของเธอดูไม่ค่อยเป็นมิตรกับเขาในงานแต่งงานคืนนั้นสักเท่าไร

“พี่น่านก็อย่างนี้แหละค่ะ เป็นพี่ที่แสนดีของฉันเสมอ” หญิงสาวอมยิ้มเมื่อนึกถึงเขา “เวลาเห็นผู้ชายมาใกล้ฉันเป็นไม่ได้ ต้องเข้ามาขวางแล้วก็ทำทุกวิถีทางเพื่อไล่ตะเพิดผู้ชายพวกนั้นออกไปทุกที คุณก็เจอฤทธิ์เดชของพี่น่านแล้วนี่”

“ครับ” เขาหัวเราะเบาๆ

“นั่นยังอยู่ในขั้นปรานีนะคะ บางคนเจอหนักกว่านี้อีก”

แล้วเธอก็เล่าวีรกรรมของน่านตะวันให้ฟ้าครามฟัง ตั้งแต่วางกับดักแปรงลบกระดานบนประตูห้องเรียนเพื่อแกล้งเด็กหนุ่มที่มาจีบเธอตอนเรียนชั้นประถมปีที่ห้า ใช้กาวดักหนูละเลงบนเก้าอี้ประธานนักเรียนหนุ่มสมัยเธอเรียนชั้นประถมปีที่หก เทน้ำถูพื้นจากชั้นสองใส่นักฟุตบอลโรงเรียน และอื่นๆ อีกมากมายสมัยเรียนอยู่ที่อเมริกา ทำเอาคนฟังถึงกับเลิกคิ้วอ้าปากหวอด้วยความแปลกใจ

“แล้วคุณโอเคหรือครับ”

“ก็โอเคนะคะ” เธอยักไหล่ “ดีเสียอีกที่มีคนที่รักและดูแลฉันขนาดนั้น”

“อย่างนี้คุณก็ไม่เคยมีแฟนละสิครับ”

ชลาลัยหันมองเขาอย่างแปลกใจที่เขาถามอะไรตรงๆ แบบนั้น ก่อนจะฝืนหัวเราะกลบเกลื่อน 

“ก็อย่างที่บอกแหละค่ะ ใครเข้ามาก็โดนพี่น่านจัดการทุกราย และจริงๆ แล้วฉันเองก็ยังไม่ได้คิดเรื่องมีแฟนเหมือนกันค่ะ เมื่อก่อนก็อยากเรียนให้จบได้เกรดดีๆ ตอนนี้ก็อยากทำงานให้ประสบความสำเร็จสูงๆ ฉันอยากให้พี่น่านภูมิใจในตัวฉันค่ะ”

“ดูท่าทางคุณเองก็แคร์ความรู้สึกคุณน่านตะวันมากเหมือนกันเลยนะครับนั่น”

“ทำไงได้ล่ะคะ เขารักฉันออกขนาดนั้น แล้วตั้งแต่พ่อกับแม่เสียไป ก็มีแต่เขากับพ่อแม่ของเขาที่ดูแลฉันเป็นอย่างดี ทุกคนปฏิบัติกับฉันราวกับเป็นสมาชิกในครอบครัวจริงๆ จะไม่ให้ฉันแคร์ความรู้สึกพวกเขาได้ยังไงกันล่ะคะ โดยเฉพาะพี่น่านที่รักและปกป้องดูแลฉันอย่างดีมาตลอด”

ฟ้าครามฟังแล้วก็พยักหน้า “ผมว่าผมก็ชอบเขานะ”

“เอ๋!” เธอเงยหน้ามองเขาด้วยความแปลกใจ

“เอ๊ะ!” ฟ้าครามสะดุ้งแล้วเงยหน้ามองเธอ ก่อนจะโบกมือเป็นพัลวัน “ผมไม่ได้หมายความในแง่นั้นนะครับ คือผมแค่ชอบเขาที่เป็นพี่ชายที่แสนดี รักน้องสาวมากขนาดนั้นน่ะครับ”

“อ๋อ...ค่ะ เล่นเอาใจหายเชียว” เธอหัวเราะคิกคักอย่างทีเล่นทีจริง

“ผมไม่เคยมีน้องสาวน่ะครับ” ฟ้าครามยกมือคลำท้ายทอยอย่างขัดเขิน “ก็เลยไม่รู้ว่าถ้ามี ผมจะรักน้องสาวได้เท่าคุณน่านตะวันหรือเปล่า”

“ฉันว่าคุณฟ้าครามต้องทำได้แน่ค่ะ” ชลาลัยเอ่ยอย่างให้กำลังใจ

“ขอบคุณครับ” เขายิ้ม ก่อนจะถอนใจเบาๆ “แต่ตอนนี้คงสายไปแล้วละครับ เพราะพ่อกับแม่ของผมท่านอายุมากแล้ว ไม่มีทางมีน้องให้ผมได้แน่ คงเหลืออีกทางเดียวที่พอจะมีหวัง”

“ทางไหนหรือคะ”

“มีลูกสาวกับใครสักคนที่ผมรักไงครับ” ฟ้าครามตอบเสียงนุ่มนวลชวนฝัน และส่งสายตาหวานฉ่ำให้เธออย่างมีนัย

ดวงตาที่ทอประกายแห่งความหวานของเขาทำเอาชลาลัยรู้สึกประหม่า นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกหวั่นไหวจนต้องรีบก้มหน้าลงพลางใช้นิ้วกรีดปอยผมขึ้นไปทัดหูอย่างขัดเขิน

“มีผลงานวิจัยว่าผู้หญิงมักจะมองหาคู่ครองที่เหมือนพ่อหรือพี่ชาย คุณเป็นอย่างนั้นไหมครับ”

“ไม่รู้เหมือนกันสิคะ อย่างที่บอก ฉันยังไม่เคยคิดเรื่องแฟนเลย” หญิงสาวเอ่ยอย่างสงวนท่าที พลางคิดไปถึงคำพูดของธนากรที่เคยพูดกับเธออยู่บ่อยๆ ว่าใครจะเป็นแฟนเธอได้คงต้องมีทุกอย่างเหมือนหรือเหนือกว่าพี่ชายของเธอเท่านั้น

“คุณบอกว่าผมเหมือนพี่ชายคุณ ถ้าอย่างนั้นผมพอจะอยู่ในสายตาคุณไหมครับ”

“อ๋า...” ชลาลัยชะงักด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าเขาจะถามอะไรตรงๆ แบบนี้ คำถามนั้นทำเอาแก้มนวลของเธอร้อนซู่ขึ้นมาทีเดียว

“ทำไมถึงถามอย่างนั้นล่ะคะ”

“ผมอยากรู้ว่าผมพอจะมีสิทธิ์ไหมถ้าผมคิดจะจีบคุณ”

“อ่า...” ชลาลัยชะงักไปอีก รู้สึกเหมือนถูกเขาปล่อยหมัดเข้าใส่จนมึนงงไปหมด

“คุณรู้ไหม คุณคือ Love at First Sight ของผมเลยนะ”

“แหม...อย่าพูดเล่นแบบนี้สิคะ” หญิงสาวใจเต้นระทึก ร่างกายร้อนวูบวาบแปลกๆ

“ผมไม่ได้พูดเล่นนะครับ” ฟ้าครามบอกน้ำเสียงจริงจัง “ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมพบคุณตอนเครื่องบินตกหลุมอากาศ ผมก็ตกหลุมรักคุณทันที”

หญิงสาวเบิกตากว้าง ก่อนจะหันไปมองหน้าเขาอย่างตกตะลึง สมองค่อยๆ ดึงความทรงจำออกมาทีละเล็กละน้อย จนกระทั่งเหตุการณ์ที่เธอเสียหลักล้มลงไปนั่งบนตักชายหนุ่มหล่อเหลาสไตล์เกาหลีบนเครื่องบินจะผุดขึ้นมาในความคิด

“จริงด้วย ฉันถึงว่าทำไมคุ้นหน้าคุณจังตอนเห็นคุณในห้องสัมภาษณ์”

“วันนั้นผมถูกพ่อเรียกเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ ยังไม่ทันเห็นรูปคุณในใบสมัคร พอคุณเดินเข้ามาในห้องสัมภาษณ์ ผมก็ตกใจเหมือนกันนะครับ ไม่คิดว่าโลกจะกลมแบบนี้”

“ใช่ค่ะ โลกกลมจริงๆ”

ชลาลัยหัวเราะเก้อๆ เพราะไม่เพียงบนเครื่องบินกับห้องสัมภาษณ์ ยังมีอีกตั้งหลายครั้งที่เธอกับเขาได้พบกันโดยบังเอิญ ทั้งที่หน้าบาร์ ในห้างสรรพสินค้า และที่งานแต่งงาน

พอรถติดสัญญาณไฟแดง ฟ้าครามก็หันมาจ้องมองเธอด้วยสายตาเชื่อมฉ่ำ สายตาคู่นั้นทำให้เธอต้องหลบตาเขาด้วยความขัดเขิน อย่างไม่เคยมีผู้ชายคนไหนที่ทำให้เธอหวั่นไหวได้อย่างนี้มาก่อน

“แต่บางคนเขาก็เรียกมันว่า ‘บุพเพสันนิวาส’ นะครับ”

“...”

เป็นอีกครั้งที่ชลาลัยรู้สึกเหมือนโดนหมัดเด็ดจากฟ้าคราม เขาสมเป็นนักมวยจริงๆ เพราะรัวกำปั้นเสียจนทำให้เธอเมาหมัดไปเลยทีเดียว

“จะเป็นอะไรไหมถ้าผมจะจีบคุณ”

หากนี่เป็นสังเวียนมวยจริงๆ หมัดนี้คงเป็นหมัดน็อกแน่ๆ คำถามนั้นทำเอาชลาลัยถึงกับช็อก

“คือ...ฉัน...เอ่อ...”

“ยังไม่ต้องตอบผมตอนนี้ก็ได้นะครับ” ฟ้าครามแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ผมรู้ว่ามันยังเร็วไปหน่อย เราเพิ่งพบกันไม่กี่ครั้ง คุณคงต้องการเวลา ที่ผมต้องการก็แค่อยากให้คุณรู้ไว้ว่าผมชอบคุณ และอยากเอาชนะหัวใจคุณให้ได้”

แก้มนวลร้อนซู่ขึ้นมาอีก หัวใจสาวเต้นรัวเร็วขึ้น เพราะไม่เคยมีผู้ชายคนไหนที่บอกรักเธอแล้วทำให้เธอหวั่นไหวมาก่อน แม้คำรักของธนากร เธอก็ไม่เคยรู้สึกอะไรได้แบบนี้

“ถึงแล้ว เราลงไปกินข้าวกันเถอะ” ฟ้าครามบอก ก่อนจะจอดรถแล้วลงมาเปิดประตูให้เธอ

ชลาลัยยังรู้สึกช็อกไม่หาย ระหว่างที่เดินไปยังโต๊ะอาหารเธอแทบไม่รู้สึกตัวเลย ยังดีที่เขาให้โอกาสเธอได้หายใจหายคอบ้างโดยไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกเลยตลอดมื้อกลางวัน แต่หลังจากนี้ หากเขาถามขึ้นมาอีก เธอจะตอบเขาว่าอย่างไรดี

 

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ชลาลัยกับฟ้าครามก็เข้าประชุมกับลูกค้าตลอดบ่าย ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งเสร็จสิ้น

พอออกจากห้องประชุม ชลาลัยก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิด ก่อนจะพบว่ามีข้อความเข้ามามากมาย จึงค่อยๆ ไล่เปิดอ่านดู

“คุณพลถามเข้ามาในไลน์กลุ่มว่าเราจะกลับเข้าออฟฟิศไหมน่ะค่ะ”

“ผมต้องเข้าไปเคลียร์งาน คุณล่ะจะเข้าด้วยไหม นี่มันก็สี่โมงกว่าแล้ว ใกล้ได้เวลาเลิกงาน ผมไปส่งคุณที่คอนโดก่อนได้นะ”

“คุณหงวนบอกว่าจะเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่อะค่ะ สงสัยต้องกลับเข้าออฟฟิศมั้งคะ”

ฟ้าครามหัวเราะ “เจ้าพวกนี้นี่จริงๆ เลย เรื่องสังสรรค์นี่ขอให้บอก”

“งั้นฉันก็ควรกลับออฟฟิศใช่ไหมคะ”

“ก็แล้วแต่คุณนะ พวกนี้มันกินกันได้ทุกวันแหละ ถ้าไม่สะดวกเอาไว้พรุ่งนี้ก็ได้”

ชลาลัยทำท่าคิดระหว่างเดินไปที่รถ “กลับก็กลับค่ะ ฉันเพิ่งมาใหม่ ไม่อยากทำตัวเรื่องมาก”

“โอเค” ฟ้าครามรับ ก่อนจะขับรถมุ่งหน้ากลับสู่อาคารเอดีทาวเออร์

ร้านที่ทุกคนพาชลาลัยไปเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่เป็นร้านบุฟเฟต์หมูกระทะที่มีผู้คนค่อนข้างหนาตาทีเดียว ร้านอยู่ใกล้กับอาคารเอดีทาวเออร์จึงไม่ต้องใช้รถ ทุกคนยกเว้นฟ้าครามที่อ้างว่ามีงานต้องสะสางต่างก็เดินเรียงแถวจนกระทั่งไปนั่งรวมตัวกันที่โต๊ะต่อยาวเหยียดในร้าน

เครื่องดื่มที่ทุกคนสั่งเป็นเบียร์วุ้นเย็นฉ่ำซึ่งเหมาะกับการกินหมูกระทะเป็นอย่างดี แต่เครื่องดื่มของชลาลัยกลับเป็นแค่เพียงน้ำอัดลม เพราะทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า...

“บอสห้ามน้องน้ำดื่ม”

ชลาลัยยิ้มแบบเซ็งๆ ทุกคนถูกภาพลักษณ์ทางเพศหลอกกันหมด พวกเขาคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงและกลับบ้านด้วยบริการรถสาธารณะ จึงกลัวว่าจะไม่มีสติพอหากดื่มแอลกอฮอล์ แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่าเธอคือสาวคอแข็งที่สุดในรุ่นแล้ว แม้ธนากรที่ว่าดื่มแอลกอฮอล์เป็นน้ำก็ยังสู้ไม่ได้

แต่ก็เอาเถอะ วันนี้เธอไม่มีอารมณ์จะดื่มเท่าไร เพราะหัวสมองยังคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องที่ฟ้าครามสารภาพความในใจกับเธอเมื่อกลางวันอยู่เลย

หลังจากอิ่มหนำสำราญกันแล้ว สถาปนิกบางส่วนก็ต้องกลับไปทำงานที่ออฟฟิศต่อ แต่บางคนก็ถือโอกาสกลับบ้านเลย เพราะไม่ได้มีงานเร่งด่วนอะไร ซึ่งชลาลัยก็รวมอยู่ในกลุ่มหลัง เธอจึงเดินมุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟฟ้าที่อยู่กึ่งกลางระหว่างร้านอาหารกับที่ทำงาน

ทว่าตอนที่เธอกำลังจะก้าวขึ้นบันได เสียงแตรรถกลับดึงความสนใจของเธอให้หันไปมอง ปรากฏว่านั่นเป็นเสียงที่ดังมาจากรถเมอร์เซเดสเบนซ์ของฟ้าคราม หญิงสาวจึงเดินเข้าไปหาเขา

“ผมไปส่ง”

“ฉันนึกว่าคุณทำงานอยู่ที่ออฟฟิศเสียอีก”

“งานเสร็จแล้วครับ” เขาบอกพร้อมโบกมือ “ขึ้นมาเถอะ”

ชลาลัยจึงเปิดประตูรถขึ้นไปนั่ง ก่อนที่รถคันงามจะแล่นไปตามถนนอย่างนิ่มนวล

“งานเลี้ยงสนุกไหม”

“ก็ดีค่ะ เสียอย่างเดียว...”

“อะไรครับ”

“มีคนห้ามฉันกินเบียร์”

ฟ้าครามหัวเราะ “ผมกลัวว่า...”

“ฉันเป็นผู้หญิงกลับบ้านคนเดียวอันตราย” เธอแทรกขึ้นอย่างกะบึงกะบอน “นี่มันเหยียดเพศชัดๆ”

“ผมเปล่าเหยียด ผมแค่เป็นห่วงคุณ”

ชลาลัยชะงัก รู้สึกหัวใจเต้นรัวขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเขาช่างห่วงใยเสียจริงๆ

“ขอบคุณนะคะ แต่ฉันอยากบอกคุณว่าฉันคอแข็งไม่แพ้ผู้ชายหรอกนะคะ”

“อย่างนั้นเชียว”

“ค่ะ...เวลาเลี้ยงฉลองกัน เกมที่ทุกคนอยากเล่นกับฉันคือดวลเหล้า”

“จริงหรือ” เขาหันมามองอย่างไม่เชื่อหู

“จริงสิคะ ฉันเป็นมือวางอันดับหนึ่งเลยนะ”

“ตรงข้ามกับผม ผมแพ้แอลกอฮอล์”

“หรือคะ”

เขาพยักหน้า “ครับ ดื่มทีไรผื่นจะขึ้นทั้งตัวเลย ก็เลยไม่เคยดื่ม”

“น่าเสียดายนะคะ”

“ผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าเสียดายนะครับ ดีเสียอีกที่มันทำให้ผมมีสติตลอดเวลา”

“คุณนี่เป็นผู้ชายในฝันของผู้หญิงจริงๆ นะคะ”

“รวมถึงคุณด้วยหรือเปล่าครับ” เขาหันมามองเธอด้วยสายตาอยากรู้จริงๆ

นั่นทำให้ชลาลัยรู้สึกว่าตัวเองตกหลุมพรางที่ขุดไว้เองเข้าเสียแล้ว จึงได้แต่ยิ้มและไม่ตอบอะไร ก่อนจะหันไปมองวิวนอกรถ

ฟ้าครามไม่พูดอะไรต่อ ชลาลัยเองก็ไม่กล้าหันไปมองเขา จิตใจรู้สึกสับสนแปลกๆ เธอพยายามค้นใจตัวเองดูว่าคิดอย่างไรกับคำถามนั้น จนได้พบกับคำตอบที่เขาเองน่าจะพึงพอใจ แต่เธอคงพูดออกไปไม่ได้ เพราะอยากจะใช้เวลาอีกสักระยะมากกว่า

ในที่สุดรถก็มาจอดที่หน้าคอนโดมิเนียมสุดหรู ชลาลัยจึงหันไปยิ้มให้เขา

“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง”

“อย่าลืมคิดเรื่องที่ผมพูดนะครับ”

แก้มของชลาลัยร้อนซู่ขึ้นมาอีก เธอหันรีหันขวางอย่างทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะรีบเปิดประตูลงจากรถ และไม่รอส่งเขาเหมือนครั้งก่อน จากนั้นก็รีบวิ่งเข้าอาคารไปอย่างรวดเร็ว

ระหว่างที่อยู่ในลิฟต์ หัวใจของชลาลัยยังคงเต้นแรงตลอด แม้ฟ้าครามจะไม่ได้อยู่ใกล้แล้ว สมองของเธอปั่นป่วนไปหมดกับคำถามที่เขาฝากเอาไว้ให้คิด ทำเอาแทบสะดุ้งเมื่อสัญญาณเตือนว่าลิฟต์ถึงที่หมายแล้วดังขึ้น

ชลาลัยก้าวออกจากลิฟต์ไปที่ห้องชุดสุดหรูของน่านตะวัน ตอนเธอเปิดประตูเข้าไปเขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าโน้ตบุ๊กที่ตั้งอยู่บนโต๊ะกลางโซฟา เขาหันมายิ้มให้เธอก่อนจะเหลือบไปมองนาฬิกาที่ผนัง

“วันแรกก็กลับดึกเลยนะเรา”

เธอเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟาข้างๆ เขา “ก็น้ำไลน์บอกพี่น่านแล้วไงคะว่าเพื่อนร่วมงานพาไปเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่น่ะค่ะ”

พี่ชายพยักหน้า “แล้วเพื่อนร่วมงานนี่ผู้ชายเยอะไหม”

“ผู้ชายล้วนๆ ค่ะ สิบเอ็ดคน มีน้ำเป็นไข่แดงคนเดียว”

“อะไรนะ ไม่มีผู้หญิงเลยหรือ”

“ฝ่ายออกแบบไม่มีค่ะ”

“แล้วพวกมันมีใครทำเจ้าชู้ใส่น้ำหรือเปล่า”

ชลาลัยชะงักไปเล็กน้อย เพราะฟ้าครามเพิ่งจะสารภาพความในใจกับเธอหมาดๆ แต่เขาก็ไม่ใช่สิบเอ็ดคนที่เธอพูดถึงนี่นา

“ไม่มีหรอกค่ะ”

“จริงเรอะ” น่านตะวันหลิ่วตามองอย่างจับพิรุธ

“จริงสิคะ” เธอย้ำอย่างหนักแน่น แม้จะเป็นการโกหกก็ตาม

“แล้วไอ้ฟ้าฝ่าโครมครามนั่นล่ะ”

ชลาลัยสะดุ้ง ชนักที่ติดหลังทำเอาแทบเก็บอาการไม่ทัน ก่อนจะหัวเราะออกมากลบเกลื่อน

“ทำไมไปเรียกเขาอย่างนั้นล่ะคะ เขาชื่อฟ้าครามเฉยๆ”

“ชื่ออะไรก็ช่างมันเถอะ มันมายุ่งกับน้ำอีกหรือเปล่า”

“ก็...เอ่อ...ยุ่งค่ะ ยุ่งมากด้วย วันนี้น้ำก็ไปกินอาหารกลางวันกับเขามา”

“จริงเรอะ หน็อย...พี่จะไปอัดมัน” น่านตะวันขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางชกฝ่ามือตัวเองด้วยความโมโห

“ขืนทำอย่างนั้นน้ำได้ตกงานพอดีสิคะ”

“ก็มันอยากมายุ่งกับน้ำก่อนนี่นา”

“มันเป็นหน้าที่เขานี่คะ”

น่านตะวันชะงัก “หน้าที่”

“คุณฟ้าครามเขาเป็นหัวหน้าฝ่ายออกแบบเต็กนี่คะ เขาเป็นหัวหน้าของน้ำโดยตรง จะไม่ให้เกี่ยวข้องกันคงไม่ได้หรอกค่ะ”

“อะไรนะ!” น่านตะวันโพล่งขึ้น “ไหนว่ามันเป็นรองกรรมการบริษัทไงล่ะ”

“ก็ควบสองตำแหน่งไงคะ” เธอชูสองนิ้ว “แล้วที่บอกไปกินอาหารกลางวันกันก็เพราะต้องไปประชุมกับลูกค้าเรื่องโปรเจกต์ใหม่ที่น้ำต้องรับผิดชอบ”

น่านตะวันแยกเขี้ยว “แล้วมันทำเจ้าชู้ใส่น้ำเหมือนคืนนั้นด้วยหรือเปล่า” 

“คืนนั้นเขาไม่ได้เจ้าชู้ใส่น้ำเสียหน่อย ก็แค่ทักทายกันธรรมดา” เธอตอบเฉไฉ

“ใครจะไปรู้ หน้าตาขี้หลีแบบนั้น”

“พี่น่านก็พูดไป ท่าทางเขาดูเป็นคนเนิร์ดๆ เอาจริงเอาจังออก”

“อย่าไว้ใจพวกนี้มันเสือซ่อนเล็บ”

“เอาอีกแล้ว ไปว่าเขาเป็นเสือซ่อนเล็บอีกแล้ว” ชลาลัยส่ายหน้า ก่อนจะตัดสินใจว่าควรรีบถอยไปตั้งหลักก่อนจะดีกว่า เพราะขืนนั่งอยู่ต่อไปคงโดนน่านตะวันคาดคั้นจนหลุดปากอะไรไปแน่

“พี่น่านเนี่ย อะไรก็ไม่รู้ น้ำไปอาบน้ำสระผมดีกว่า พวกพี่ๆ เขาพาไปกินหมูกระทะมา ผมเหม็นตัวเหนียวไปหมดแล้ว”

“อะไรกัน ยังไม่ตอบคำถามเลย”

“ไม่รู้ไม่ชี้” ชลาลัยส่ายหน้า ก่อนจะรีบลุกจากโซฟาแล้วเดินอย่างรวดเร็วเข้าไปในห้องนอนทันที

 

น่านตะวันมองตามหลังน้องสาวไปอย่างนึกขุ่นใจ การทำงานใกล้ชิดกันของชลาลัยกับฟ้าครามทำให้เขารู้สึกหวั่นใจ หากสองคนนี้เกิดสปาร์กกันขึ้นมาละก็ เขาคงขาดใจตายแน่ๆ

หลังอาบน้ำเสร็จ ชลาลัยก็เดินตัวหอมฟุ้งกลับมานั่งขัดสมาธิข้างๆ เมื่อเขาได้กลิ่นหอมกรุ่นจากเธอและได้เห็นเธอในชุดเสื้อยืดแขนกุดกับกางเกงขาสั้น หัวใจของเขาก็เต้นรัวขึ้นมาอีกครั้ง ยิ่งเมื่อน้องสาวคนสวยเอนศีรษะซบลงบนไหล่ด้วยแล้ว ความแนบชิดก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่น้อย

ความจริงแล้วชลาลัยก็เคยนั่งซบไหล่เขาอยู่บ่อยๆ จนกลายเป็นเรื่องปรกติไปแล้ว แต่เมื่อความคิดในหัวสมองของเขาเปลี่ยนไป ก็ดูเหมือนอารมณ์และความรู้สึกของเขาจะกลับกลายเป็นไม่ปรกติสักอย่าง

“งาน...” น่านตะวันเริ่มต้นด้วยเสียงแหบพร่า ทำให้ต้องกระแอมออกมาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “งานเป็นยังไงบ้างล่ะวันนี้”

“นึกว่าจะไม่ถามเสียอีก”

“ช่างประชดจังนะเรา” เขาหัวเราะไม่เต็มเสียง พยายามสนใจหน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า แต่ก็กลับห้ามจมูกไม่ให้สูดกลิ่นกายสาวได้เลย

“งานก็ดีค่ะ ไปถึงคุณฟ้าครามก็ให้โปรเจกต์ใหญ่ทำเลย วันนี้ก็ไปคุยกับลูกค้ามา ไอเดียเขาดีมากเลยนะคะ งานนี้ต้องสนุกแน่”

น่านตะวันได้ยินชื่อนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที ความที่ไม่อยากให้มีผู้ชายคนไหนมาเข้าใกล้น้องสาว ผนวกกับการที่ฟ้าครามเป็นลูกชายของคนใจคออำมหิตโหดเหี้ยมอย่างอดุลย์ ก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกไม่ชอบขี้หน้ามากขึ้น

“เห็นน้ำมีความสุขกับงาน พี่ก็สบายใจ แต่ทำไมหมอนั่นต้องมาเป็นหัวหน้าของน้ำด้วยนะ”

“หัวหน้าคนก่อนลาออกไปตั้งบริษัทตัวเองค่ะ ดึงลูกน้องคนสนิทไปด้วย คุณอดุลย์ก็เลยดึงลูกชายกลับจากอังกฤษมารับหน้าที่นี้แทน แล้วคุณฟ้าครามก็เลยต้องควบตำแหน่งรองกรรมการบริหารในฐานะลูกชายไปด้วยเลย ส่วนน้ำก็ได้งาน”

น่านตะวันส่ายหน้า เพราะรู้เหตุผลนั้นดีอยู่แล้ว แต่ที่เขาหมายถึงก็คือบริษัทออกแบบสถาปัตยกรรมมีมากมายเกลื่อนเมืองไทย ทำไมฟ้าต้องลิขิตให้ชลาลัยไปสมัครงานที่นั่นด้วย

“พี่ว่าแค่งานบริหารอย่างเดียวก็ยุ่งจะตายอยู่แล้ว ไม่น่าควบสองตำแหน่งเลย ยุ่งยากเปล่าๆ”

ชลาลัยเงยหน้ามองเขาด้วยความแปลกใจ ดวงตากลมโตและผิวแก้มนวลผ่องของเธอทำเอาน่านตะวันถึงกับสะดุ้ง หัวใจเต้นโครมครามขึ้นจนแทบจะวายตายเสียให้ได้

“อะ...อะไร มองหน้าพี่ทำไม”

“น้ำไม่เคยเห็นพี่น่านกลัวผู้ชายคนไหนที่เข้ามาใกล้ชิดน้ำเท่าคุณฟ้าครามเลย”

“กะ...กลัวเรอะ ฮ่าๆๆ” ผู้เป็นพี่ชายทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน “คนอย่างน่านตะวันหรือจะกลัวใคร”

ชลาลัยจ้องเขาเขม็ง สายตาคู่นั้นและกลิ่นหอมหวนจากกายสาว ทำให้น่านตะวันรู้สึกประหม่าจนถึงกับหลบสายตาน้องสาวไปทางอื่น

“แน่ะ...ดูสิ เดี๋ยวนี้พี่น่านทำตัวแปลกๆ ชอบหลบหน้าหลบตาน้ำ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

“มะ...ไม่มี้ เป็นอะไร ไม่ได้เป็น”

ชลาลัยบีบแก้มเขาแล้วดึงหน้าของเขาให้หันไปมองสบตาเธอ “พี่น่านมีพิรุธ”

“กะ...ก็บอกว่าไม่มี้”

“ทำไมเสียงสูง” เธอหรี่ตามองเขาอย่างจับผิด ริมฝีปากเม้มสนิทแน่นอย่างเอาจริงเอาจัง ทำให้หัวใจน่านตะวันยิ่งเต้นรัวเข้าไปใหญ่ ก่อนจะรีบปัดมือเธอออกแล้วทำทีเป็นหันไปสนใจงานในหน้าจอโน้ตบุ๊ก

“ไร้สาระน่า”

“ไม่มีอะไรจริงอะ”

“ก็จริงน่ะสิ”

“ไม่อะ น้ำว่าต้องมีอะไร เพราะตั้งแต่กลับจากทะเล พี่น่านก็ทำตัวแปลกๆ หลบหน้าหลบตาน้ำยังไงก็ไม่รู้” 

น่านตะวันใจเต้นรัว แม้จะทำเป็นจ้องมองหน้าจอโน้ตบุ๊กอย่างตั้งใจ แต่เขาก็รู้ว่าชลาลัยยังคงจ้องเขาเขม็ง เพราะรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจนเขาขนลุกขนชันไปหมด

“รู้แล้ว!”

เสียงของชลาลัยที่จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาทำให้น่านตะวันถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนจะหันไปมองน้องสาวอย่างหวั่นเกรงว่าเธออาจรู้ความลับในใจของเขาว่ากำลังคิดอะไรกับเธออยู่

“อะ...อะไร รู้อะไร”

ชลาลัยยกนิ้วขึ้นชี้หน้าเขา สีหน้าของเธอเอาจริงเอาจังและมีแววตาที่เต็มไปด้วยความน่ากลัวจนเขาอยากจะหายตัวหนีไปเสียเดี๋ยวนี้

“พี่น่านแอบมีแฟนแล้วไม่บอกน้ำใช่ไหม”

น่านตะวันชะงักไปชั่วครู่อย่างงงงวย ต้องใช้เวลาพักใหญ่ทีเดียวกว่าจะปะติดปะต่อเรื่องราวที่แตกกระจายเป็นชิ้นเป็นอันด้วยความตกใจได้

“ใช่แน่ๆ” ชลาลัยย้ำอย่างมั่นใจ “พี่น่านกลัวน้ำรู้แล้วจะกันท่าเหมือนที่ตัวเองทำใช่ไหม ก็เลยหลบหน้าหลบตาน้ำ”

“อ่า...” ชายหนุ่มอ้าปากค้าง

“ไม่ยุติธรรมเลย” หญิงสาวแยกเขี้ยว “ผู้หญิงคนไหน บอกมาซะดีๆ”

น่านตะวันจนด้วยความคิด ก็เลยคิดว่าจะยอมรับสมอ้างไปก่อน เพื่อให้หลุดจากสถานการณ์ล่อแหลมนี้ แล้วค่อยไปคิดหาทางออกอีกทีน่าจะดีกว่า

“เอ่อ...ก็ทำนองนั้น”

“นั่นไง” หญิงสาวดีดนิ้วดังเป๊าะ “ใครคะ น้ำรู้จักไหม”

“น้ำไม่รู้จักหรอก” เขาบ่ายเบี่ยงไป เพราะสมองตอนนี้ก็นึกชื่อผู้หญิงที่ไหนมาอ้างไม่ได้เลย

“ไม่รู้จักก็พามาแนะนำให้รู้จักสิคะ”

“พี่...เอ่อ...ยังไม่แน่ใจน่ะ ตอนนี้อยู่ในช่วงดูๆ กันอยู่ ก็เลยยังไม่อยากบอก เดี๋ยวผู้หญิงเขาจะเสียหาย”

“บอกน้องนุ่งไม่เป็นไรหรอกม้าง” ชลาลัยตื้อ

‘น้องนุ่งไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าน้องไม่นุ่งท่าจะแย่’ น่านตะวันหันไปงึมงำเบาๆ

“อะไรนะคะ”

ชายหนุ่มสะดุ้งโหยง รีบหันไปส่งยิ้มเจื่อนให้น้องสาว “ไม่มีอะไรจ้ะ เอาไว้พี่แน่ใจแล้วจะบอกน้ำเป็นคนแรกเลยดีไหม”

“แต่น้ำอยากรู้นี่”

“นั่นไง ถ้าพี่บอกแล้วน้ำก็งอแงแบบนี้ พี่ก็เลยไม่อยากบอกจนกว่าจะแน่ใจไง” น่านตะวันรีบพลิกกลับไปคุมเกม “เอาไว้พี่แน่ใจก่อนดีกว่านะ ไม่อยากหน้าแตกภายหลัง”

“โหย...ใจร้าย”

“อย่ามาบ่น” น่านตะวันยื่นมือไปยีผมเธอด้วยท่าทางเอ็นดูเหมือนเคย แต่ในใจกลับว้าวุ่นชอบกล

“ไม่เอาละ พี่ไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้มีประชุมแต่เช้า” เขาตัดสินใจปลีกตัว คิดว่าถอยไปตั้งหลักก่อนน่าจะดีกว่า ขืนนั่งอยู่แบบนี้มีหวังโดนชลาลัยคาดคั้นเอาความจริงได้แน่ๆ

ทว่าพอเขาลุกขึ้น น้องสาวตัวดีกลับกระโดดเกาะแขนเขาแน่น

“คืนนี้น้ำนอนด้วยสิ”

“เฮ้ย!” น่านตะวันสะดุ้งเฮือก ก่อนจะโพล่งออกไปแบบเสียงหลง “ไม่ได้!”

“ทำไมอะ น้ำไม่ได้นอนกอดพี่น่านตั้งนานแล้วนะ”

“ไม่ได้ๆ” เขายืนกรานเสียงแข็ง หัวใจเต้นรัวราวกลองรบที่ลั่นอยู่กลางศึกสงคราม พลางนึกไปถึงฝันเมื่อวันก่อน “ระ...เราน่ะโตเป็นสาวแล้ว จะมานอนกอดผู้ชายได้ยังไงกัน”

“แหม...พี่น่านก็ไม่ใช่ผู้ชายที่ไหนนี่ นอนกอดพี่ชายมันจะเป็นอะไรไปคะ”

“ไม่ได้ก็คือไม่ได้”

“โธ่...มีแฟนแล้วเล่นตัวจัง” ชลาลัยทำหน้างอ

“อย่ามางอแง” น่านตะวันแกะมือน้องสาวออกแล้วรีบถอยห่างออกมา “เราก็รีบไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้าไม่ใช่หรือ”

พูดจบน่านตะวันก็รีบหมุนตัวแล้วเดินตรงดิ่งไปเข้าห้องนอน ก่อนจะปิดประตูล็อกห้องอย่างแน่นหนา แล้วหันหลังพิงประตูพลางยกมือขึ้นกุมหน้าอกข้างซ้ายด้วยความตื่นเต้น

“ให้ตายสิ! นี่มันอะไรกันวะ”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น