1

ตอนที่ 1


แสงแดดที่ค่อนข้างแรงส่องผ่านผ้าม่านสีอ่อนเข้ามาในห้องนอนกว้าง ตกกระทบลงบนเฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ที่ถูกออกแบบมาให้เข้าชุดกันราวกับห้องของเจ้าหญิงในเทพนิยาย ข้าวของเกือบทุกชิ้นเป็นสีชมพูและสีโทนพาสเทล เผยให้เห็นรสนิยมที่หวานจนเกือบเลี่ยนของเจ้าของห้อง

หญิงสาวร่างบางที่ยังหลับสนิทนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา ผมยาวสลวยกระจัดกระจายไปทั่วหมอนใบใหญ่ รอบๆ ตัวนั้นมีหมอนอีกหลายสิบใบที่กระจายไปรอบทิศ บางส่วนก็ตกจากเตียงขนาดคิงไซซ์สีขาวนวลเพราะการนอนดิ้นของเจ้าตัว เมื่อแสงแดดเริ่มส่องใบหน้าจนทนนอนต่อไม่ไหว หญิงสาวจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วกะพริบถี่ๆ เพื่อปรับสายตาให้คุ้นชินกับความสว่างของเช้าวันใหม่...แต่ด้วยนิสัยขี้เซา แสงแดดแค่นี้ไม่มีทางทำอะไรเธอได้อย่างแน่นอน

สุริวัสสาพลิกตัวนอนคว่ำ เตรียมจะกลับสู่ห้วงนิทราอีกครั้งถ้าไม่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก่อน ในคราวแรกมือบางคว้ามากดปิดโดยอัตโนมัติ แต่เมื่อปลายสายโทร.กลับมาอีกรอบอย่างต่อเนื่อง เธอจึงกระชากสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดออกมาจากสายชาร์จอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะรับสายด้วยเสียงงัวเงีย

“อืม” สุริวัสสากรอกเสียงลงไปอย่างหงุดหงิด...ใครโทร.มานะ ไม่รู้หรือไงว่าเธออนุญาตให้ติดต่อได้หลังเที่ยงวันเท่านั้น คอยดูนะ ถ้าไม่ใช่เรื่องด่วนจริงๆ แม่จะวีนให้หน้าหงายไปเลย

“อืม? อืมอะไรครับ”

น้ำเสียงเข้มอันเป็นเอกลักษณ์นั้นทำให้หญิงสาวเด้งตัวขึ้นมานั่งบนเตียงโดยอัตโนมัติ มืออีกข้างรีบเสยผมลวกๆ แล้วขยี้ตาก่อนจะเพ่งไปที่หน้าจอโทรศัพท์

รุจน์รวิน...ชื่อที่ปรากฏอยู่ทำให้หญิงสาวรีบกระแอมพลางหันไปดูนาฬิกา เมื่อเห็นว่าเข็มสั้นกำลังจะเดินไปถึงเลขสิบเอ็ด ร่างบางในชุดนอนกรุยกรายก็รีบกระโดดลงจากเตียงราวกับติดสปริง ก่อนจะวิ่งตรงเข้าห้องน้ำจนเกือบสะดุดชายชุดนอนตัวเอง

“สวัสดีค่ะ คุณรุจน์ อยู่ไหนแล้วคะ” เสียงหวานถูกปรับให้ฟังดูสดชื่นที่สุดขณะที่บีบยาสีฟันพร้อมแปรงฟันหลังชายหนุ่มวางสาย ไม่อยากให้เขารู้ว่าเพิ่งตื่นเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน

“ผมถึงหน้าหมู่บ้านแล้ว เดี๋ยวออกมารอข้างหน้าบ้านเลย ผมไม่อยากจอดรอนาน”

เสียงกุกกักเบาๆ ดังมาจากปลายสาย...เขาคงกำลังแลกบัตรเข้าหมู่บ้าน

ได้ยินเพียงเท่านั้น หญิงสาวก็ยิ่งลนลานเผลอทำโทรศัพท์ตกลงบนพื้นห้องน้ำ เมื่อเห็นว่าอีกห้านาทีจะถึงเวลานัด เธอถึงกับสบถออกมาเบาๆ นึกโกรธตัวเองที่เมื่อคืนนอนดูซีรีส์ย้อนหลังจนดึกดื่น สุริวัสสาทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้แบบนั้นด้วยความเร่งรีบ เธอแทบจะกระโจนเข้าไปในห้องอาบน้ำ จัดการธุระส่วนตัวพลางตะโกนเข้าไปในโทรศัพท์

“เดี๋ยวคุณรอประมาณสิบนาทีนะคะ คือ...คือฉันมีงานด่วนเข้า ต้องเคลียร์งานแป๊บนึง” หัวสมองของเธอยังทำงานได้ไม่เต็มที่ ทั้งนอนไม่พอ ทั้งเพิ่งตื่น ไม่อย่างนั้นข้ออ้างคงสมเหตุสมผลกว่านี้

สุริวัสสารีบจนไม่ได้วางสาย ดังนั้นเสียงเปิดปิดประตูและเสียงโครมครามจึงทำให้รุจน์รวินเดาได้ไม่ยากว่าเหตุการณ์จริงเป็นอย่างไร...ชายหนุ่มกดตัดสาย แค่วันแรกที่นัดกัน สุริวัสสายังไร้ความรับผิดชอบขนาดนี้ เขาไม่อยากคิดเลยว่าต่อไปจะเจอเรื่องปวดหัวอีกมากแค่ไหน

รุจน์รวินจอดรถสปอร์ตคู่ใจหน้าประตูใหญ่ หลังจากกดกริ่งไม่นาน หญิงแม่บ้านวัยกลางคนก็ออกมาต้อนรับแล้วพาเขาเข้าไปรอด้านใน...บ้านของสุริวัสสาถือว่าใหญ่เกินไปสำหรับการอยู่คนเดียว รสนิยมของเจ้าของบ้านนั้นชัดเจนมาก ตั้งแต่ทางเข้าบ้าน สวนเล็กๆ และโถงบ้านจนเลยมาถึงห้องรับแขก ของตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าบ้านตุ๊กตาสีหวานที่ถูกขยายให้กลายมาเป็นบ้านคนจริงๆ ทุกมุมที่มองไป อย่างน้อยต้องเจอดอกไม้สีขาวในแจกันเล็กๆ ผ้าลูกไม้ หรือไม่ก็ของตกแต่งที่เขาเองก็ไม่เข้าใจว่ามันมีประโยชน์อะไร นอกจากความสวยงามที่ค่อนไปทางเกะกะสำหรับตน เมื่อสำรวจได้สักพักชายหนุ่มจึงเดินกลับไปนั่งที่โซฟาสีขาวนวล หยิบน้ำเย็นบนโต๊ะขึ้นมาดื่มเพื่อระงับความหงุดหงิดที่เริ่มคุกรุ่นในใจ

หลังจากแม่บ้านขึ้นมารายงานว่ารุจน์รวินนั่งรออยู่ข้างล่าง สุริวัสสาก็มาถึงขั้นตอนสุดท้ายก่อนการออกจากห้องในทุกๆ วัน นั่นคือการหมุนตัวหน้ากระจกบานใหญ่เพื่อสำรวจดูความเรียบร้อยของตน เมื่อมั่นใจในชุดเดรสลำลองสีแดงสดแล้ว เธอจึงคว้ากระเป๋าถือราคาหกหลักใบโปรด วิ่งลงบันไดชนิดที่ว่าขาทั้งสองข้างแทบจะพันกัน แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างสูงยืนเอามือล้วงกระเป๋ารออยู่ ซ้ำยังจ้องเธอด้วยสายตาจับผิด เพียงเท่านั้นจากท่าทีเร่งรีบก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ร่างบางยืดตัวขึ้น เชิดหน้าแล้วค่อยๆ เดินลงบันไดสามขั้นสุดท้ายลงมา ด้วยมาดนางพญาหงส์ที่ได้เห็นบ่อยๆ เวลาออกงาน

รุจน์รวินส่ายหน้าเบาๆ รอฟังคำขอโทษจากสุริวัสสา แต่แล้วก็ผิดคาดเมื่อเธอกลับยิ้มให้เหมือนมันเป็นเรื่องปกติเสียเต็มประดาที่เขาต้องมาเสียเวลานั่งรอเกือบหนึ่งชั่วโมง นี่อาจเป็นเรื่องปกติของพวกคนดัง แต่แน่นอนว่าไม่ใช่สำหรับนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบเขาที่รู้สึกว่าทุกนาทีนั้นมีค่ายิ่งกว่าทอง

จะว่าไป ถ้าตัดอคติที่เขามีต่อเธอออก ชายหนุ่มก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหญิงสาวตรงหน้าถึงเป็นผู้มีหน้ามีตาในแวดวงสังคม ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูสวยสง่า บุคลิกภาพดี และเป็นต่อด้วยหุ่นที่สูงโปร่ง ใบหน้ารูปไข่รับกับคิ้วโก่ง ดวงตาโตทั้งคู่ถูกเขียนให้เฉี่ยวคม นัยน์ตาสีเข้มของเธอเต็มไปด้วยความมั่นใจ ไล่ลงมาก็ปากนิดจมูกหน่อย ผมสีดำหนายาวเลยบ่าถูกดัดเป็นลอนใหญ่ที่สะบัดไปมาตามการเคลื่อนไหวของเจ้าตัว ผิวนวลสีแทนอ่อนนั้นทำให้เธอยิ่งดูน่าค้นหา มากกว่าความสวยแบบพิมพ์นิยมที่เขากลับคิดว่ามันจืดชืดและไม่มีความดึงดูดเอาเสียเลย

สุริวัสสาส่งยิ้มหวานนำทัพไปก่อน เธอค่อนข้างมั่นใจในเสน่ห์ของตน แต่เมื่อยังเห็นคนตรงหน้ายืนหน้าบูด เธอจึงแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ เดินไปหยิบอาหารเช้าในครัวที่แม่บ้านทำใส่กล่องเอาไว้ให้ตามที่เธอสั่ง จะว่าไปวันนี้เขาก็มาด้วยลุคลำลองแบบที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นบ่อยนัก ซึ่งเธอคิดว่ามันกลับทำให้ชายหนุ่มดูมีเสน่ห์ขึ้นมามากกว่าตอนที่เขาใส่เสื้อเชิ้ตกับสูทเป็นไหน ๆ ยิ่งวันนี้เขาไม่ได้เซตผมแบบปกติจึงค่อยดูเป็นคนสบายๆ ขึ้นมาหน่อย

“กระเป๋าเสื้อผ้าล่ะครับเจ้าหญิง” น้ำเสียงเข้มนั้นออกแนวประชดเสียมากกว่า

“อ้อ อยู่ข้างบันไดข้างบนค่ะ จะรบกวนไปไหมถ้าจะฝากคุณยกลงมา เอ๊ะ แต่ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเกรงใจ เดี๋ยวให้พี่บุศย์ขึ้นไปยกลงมาก็ได้” สุริวัสสาแกล้งพูดเสียงหวาน รู้ทันว่าเขาไม่มีทางยอมให้ผู้หญิงเดินยกของขึ้นลงแน่ๆ ถึงจะเป็นแม่บ้านของเธอก็เถอะ

และแล้วก็เป็นไปตามคาด เมื่อหญิงสาวเดินออกมาจากในครัวพร้อมแก้วกาแฟร้อน เธอก็เห็นร่างสูงเดินลงมาจากบันไดพร้อมกระเป๋าเดินทางสีชมพูสดสองใบใหญ่ด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ สุริวัสสาแอบเห็นเขามีอาการหอบเล็กน้อยเมื่อกระแทกกึ่งโยนกระเป๋าของเธอลงกับพื้นบ้านอย่างไม่ไยดี

“นี่คุณ วางเบาๆ หน่อยสิ สองใบนี้เกือบสองแสนนะยะ” เจ้าของกระเป๋าปรี่เข้ามากอดกระเป๋าตัวเองไว้ แล้วมองมาด้วยสายตาเอาเรื่อง ราวกับว่าเขาเพิ่งรังแกเด็กหรือไม่ก็คนชราไร้ทางสู้

“สองแสน? แค่กระเป๋าเนี่ยนะสองแสน ประคบประหงมขนาดนี้ เอาขึ้นหิ้งเลยไหมคุณ” รุจน์รวินกลอกตาทันทีที่เห็นท่าทางคนตรงหน้า

สุริวัสสาหรี่ตาลงนิดหน่อย รู้สึกเจ็บแทน ‘ลูกรัก’ ที่ถูกเขาโยนอย่างไม่มีความทะนุถนอมเลยสักนิด

“นี่ แล้วในสัญญาของเรา คุณกลับบ้านได้ทุกวันอาทิตย์นะ นี่เอาเสื้อผ้าไปเหมือนจะไปอยู่เป็นปี เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า หรือนึกว่าจะไปแฟชั่นวีก”

“ก็นี่แหละค่ะ สำหรับอาทิตย์เดียว แปลกตรงไหน” สุริวัสสาลุกขึ้นยืน หันไปหยิบแก้วกาแฟมาจิบช้าๆ ยิ้มตาใส ตั้งใจรวนคนตรงหน้า

“เสื้อผ้าสำหรับอาทิตย์เดียว?” ดวงตาคมมองกวาดไปยังกระเป๋าเดินทางด้วยสายตาเหมือนกำลังมองของประหลาด “แบกอะไรไปเยอะแยะ บ้านผมก็อยู่ในกรุงเทพฯ เนี่ยแหละคุณ รู้หรือยังว่าน้ำไฟเข้าถึง นี่ถ้าไม่บอกว่าเสื้อผ้า คงนึกว่าแบกกระเป๋าหิน”

ท้ายประโยคทำให้คนที่กำลังยิ้มตาใสส่งค้อนวงโตไปให้จนหน้าคว่ำ

“ก็ฉันเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม ให้ใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นซ้ำๆ ไม่ได้หรอก เดี๋ยวนักข่าวมาเจอ ถ่ายรูปไปลงก็แย่สิ”

“ใครมันจะมาถ่ายคุณ” เขาพึมพำกับตัวเอง นึกขันที่เจ้าตัวไม่ได้ยิน ไม่อย่างนั้นคงได้แว้ดขึ้นมาอีกชุดใหญ่ “แล้วผมได้บอกหรือเปล่าว่าเดี๋ยวเราจะตรงไปบ้านผมเลย ไม่ได้แวะที่ไหน” รุจน์รวินจงใจมองชุดที่เธอกำลังใส่อยู่

“บอกแล้วค่ะ ทำไมคะ นี่ชุดอยู่บ้านของฉัน” หญิงสาวก้มลงมองเดรสสีแดงสดของตนบ้างอย่างภูมิใจ

รุจน์รวินทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างต่อ แต่แล้วก็สูดหายใจเข้าลึกคล้ายพยายามระงับอารมณ์เต็มที่ เขาไม่เข้าใจเลยว่านิสัยของคนตรงหน้านั้นทำให้เธอโด่งดังในแวดวงสังคมได้อย่างไร...ไม่สิ อย่าว่าแต่แวดวงสังคมเลย เขาควรจะถามว่าคนรอบตัวของเธอทนได้อย่างไรมากกว่า ไม่รู้จักสำนึกผิดยังไม่พอ ยังจะรวนแถมยัง ‘เยอะ’ กว่าใครๆ ที่เขาเคยเจอมา

“สงสัยจะไม่อยากเจอว่าที่คู่หมั้นตัวเองอีกแล้วละมั้ง” เสียงเข้มพูดเรียบๆ แต่แค่ฟังดูก็รู้ว่าเขาเริ่มอดทนไม่ไหว ที่เห็นสุริวัสสายืนจิบกาแฟไปเรื่อยๆ แบบไม่ทุกข์ร้อน

เพียงเท่านั้น มือบางก็วางแก้วกาแฟลงอย่างรวดเร็วจนแทบจะกลายเป็นกระแทก แล้วหยิบกระเป๋าถือใบโปรด เดินนำออกไปหน้าบ้าน ปล่อยให้ชายหนุ่มเดินตามมาพร้อมกระเป๋าเดินทาง ซึ่งหน้าที่ยกกระเป๋ากลายเป็นของเขาโดยปริยาย

‘เจอฤทธิ์ฉันแค่นี้ยังกัดฟันกรอดขนาดนั้น คอยดูเถอะคุณรุจน์ ฉันจะทำให้คุณไล่ฉันออกจากบ้านแทบไม่ทัน อย่าให้ฉันรู้เชียวนะว่ากีรวิชญ์หายไปไหน’ สุริวัสสาคิดอย่างไม่สบอารมณ์ เปิดประตูเข้าไปนั่งในรถคันหรู ขาเรียวยกขึ้นไขว่ห้างตามความเคยชิน รอเจ้าของรถนำสัมภาระของเธอไปไว้หลังรถ

หลังจากชายหนุ่มเข้ามานั่งแล้วเริ่มออกรถ บรรยากาศเงียบสนิทก็ทำให้สุริวัสสาอึดอัดอยู่บ้างจนต้องเสมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง สักพักจึงแอบสำรวจคนขับใกล้ๆ ระหว่างที่เขามองตรงไปยังถนนด้านหน้า เธอเคยเจอหนุ่มเนื้อหอมอย่างรุจน์รวินมามาก แต่ในคราวนี้เธอกลับรู้สึกไม่เหมือนกัน เพราะนอกจากเสน่ห์ที่เขามีจนเหลือล้นแล้ว ดวงตาเข้มของเขายังดูเด็ดขาดและมีอำนาจ แถมยังซ่อนความเจ้าชู้ไว้ลึกๆ ผมของเขาตัดสั้นพร้อมเซตตามสมัยนิยม ใบหน้าคมได้รูปรับกับจมูกโด่ง ส่วนคิ้วเข้มนั้นดึงดูดให้เจ้าตัวดูมีเสน่ห์มากกว่าเดิม...เธอไล่สายตาเรื่อยลงมาจนหยุดอยู่ที่ริมฝีปากที่เม้มเป็นเส้นตรงของเขาสักพัก

“มองขนาดนั้น สงสัยอะไรถามผมได้นะ”

ได้ยินเช่นนั้นเธอก็รีบละสายตา ทำเป็นมองข้างหน้า เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พูดอะไรอีก หญิงสาวจึงเริ่มเปิดกล่องข้าวกินบนรถ ข้างในเป็นขนมปังทาแยมสองแผ่น

“จะกินอะไรขอเจ้าของรถหรือยัง” น้ำเสียงเข้มห้วนขึ้นเล็กน้อย

“สัญญาว่าไม่ทำหกหรอกค่ะ ปกติฉันขับรถไป ก็กินข้าวไป แต่งหน้าไป ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร เวลาคนกรุงเทพฯ มันน้อย บางเรื่องก็ต้องประหยัดเวลา”

“มันน้อยเพราะคุณบริหารไม่เป็นน่ะสิ อย่างเมื่อเช้า” ก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดจบ หญิงสาวก็แทรกขึ้นมา

“คุณช่วยอธิบายคร่าวๆ เรื่องคนที่บ้านคุณหน่อยได้ไหม แล้วหน้าที่ของฉันต้องทำอะไรบ้าง” สุริวัสสารู้ดีว่าหากพูดเรื่อง ‘สนธิสัญญา’ ระหว่างเธอกับเขา ชายหนุ่มจะต้องรีบตรงเข้าประเด็น และลืมความผิดของเธอเมื่อเช้าไปชั่วขณะอย่างแน่นอน

ก่อนที่รุจน์รวินจะเริ่มเข้าเรื่อง สุริวัสสาก็แอบกลอกตาด้วยความเบื่อหน่าย แค่วันแรกเธอกับเขายังตึงใส่กันขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าวันต่อๆ ไป ทั้งเจอหน้ากัน ทั้งอยู่บ้านเดียวกัน เธอจะต้องเจอกับปัญหาอีกมากมายขนาดไหน ไหนยังจะปัญหาต่างๆ ที่เธอต้องเข้าไปสะสางอีก แม้ตอนนี้ยังรู้จักกันไม่ดีพอ แต่เธอก็สัมผัสได้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา นอกจากจะปากจัด ฉลาดและรู้ทันเธอแล้ว เขายังเป็นนักจับผิดที่หาตัวจับยากอีกด้วย

สุริวัสสาลอบถอนหายใจเบาๆ พลางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อสามอาทิตย์ก่อนแล้วอยากจะเอาหัวโขกกระจกรถให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าวันนั้นติณห์ไม่สะเพร่าใจร้อนจนความแตก ชีวิตดาวค้างฟ้าของเธอก็คงไม่พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ตกเป็นลูกไก่ในกำมือของรุจน์รวินแบบนี้หรอก

 

สามอาทิตย์ก่อน

ร่างบางในชุดเกาะอกราตรียาวสีเข้มพราวระยับกำลังนั่งแต่งหน้าอยู่ในห้องเสื้อผ้า ซึ่งถูกแบ่งออกมาเป็นสัดส่วนจากห้องนอนเพื่อการแต่งตัวและแต่งหน้าทำผมโดยเฉพาะ รอบกายของเธอรายล้อมไปด้วยกระจกเล็กใหญ่หลายบาน ด้านหน้าเป็นโต๊ะเครื่องแป้งขนาดใหญ่ซึ่งมีเครื่องสำอางกว่าร้อยชนิดวางเรียงกันเป็นระเบียบ กระจกและไฟรอบๆ นั้นถูกออกแบบมาอย่างมืออาชีพให้ส่องมาที่เจ้าตัว

ใบหน้าหวานหันซ้ายขวาให้กระจกอยู่หลายที เมื่อแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อย เธอจึงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้สไตลิสต์ส่วนตัวออกไปจากห้องได้

มือบางเริ่มทาลิปสติกสีแดงสดอย่างประณีตเป็นอย่างสุดท้าย ผมของเธอถูกรวบตึงเป็นหางม้าตรง เผยช่วงลำคอระหง พร้อมสำหรับการอวดเครื่องประดับราคากว่าแปดหลักซึ่งกำลังเดินทางมาพร้อมกับกีรวิชญ์ คนรักของเธอ

ทันทีที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเบาๆ สุริวัสสาก็กดรับทันทีโดยไม่ต้องมองว่าใครโทร.มา ระหว่างนั้นดวงตากลมก็เหลือบออกไปมองนอกหน้าต่าง ฟ้าข้างนอกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม บ่งบอกว่าใกล้ถึงเวลานัดเต็มที

“ถึงแล้วหรือคะ” สุริวัสสากรอกเสียงหวานลงโทรศัพท์

“เสร็จหรือยัง เดี๋ยวไปไม่ทันช่วงเปิดตัวนะ” กีรวิชญ์ตอบกลับมาด้วยเสียงเรื่อยๆ ขัดกับประโยคที่พูด เขาชินกับความช้าในการแต่งตัวของแฟนสาว ยิ่งวันนี้เป็นงานเปิดตัวเครื่องเพชรของบริษัทชั้นนำ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการรวมเหล่าดาราและเซเลบริตีมาเจอกัน เขารู้ดีว่าสุริวัสสาไม่มีทางยอมให้ตัวเองโดนกลบรัศมีง่ายๆ อย่างแน่นอน

ในเวลานี้ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก Wedding Planner สาวสวยที่มีงานอดิเรกคือการเขียนบล็อก ชื่อเสียงโด่งดังเป็นอันดับต้นๆ ในโลกอินเทอร์เน็ตอย่าง สุริวัสสา ถ้าพูดถึงบล็อกของเธอที่คนทั้งประเทศต่างจับตามอง คำว่า ‘วสาฟีเวอร์’ มันยังน้อยไป เพราะสุริวัสสาเป็นคนที่ครบเครื่องและมีพร้อมในทุกด้าน ทั้งรูปร่างหน้าตา หน้าที่การงาน การศึกษา ชื่อเสียงในแวดวงสังคมที่กว้างขวาง ดังนั้นชีวิตของเธอจึงถือว่าเป็นชีวิตในฝันของใครหลายๆ คน แต่ประเด็นสำคัญที่ทำให้เธอเป็นผู้หญิงที่น่าอิจฉาที่สุดในเวลานี้ คือการที่เธอเป็น ‘ว่าที่สะใภ้สุดที่รัก’ ของตระกูลมหาเศรษฐี เจ้าของห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ

กีรวิชญ์ คนรักของเธอนั้นก็ไม่ได้มีคุณสมบัติด้อยไปกว่ากัน ทั้งคู่จึงถูกขนานนามว่าเป็น ‘กิ่งทองใบหยก’ ประจำแวดวงไฮโซ และเป็นอีกหนึ่งคู่ขวัญที่คนในสังคมจับตามองอย่างใกล้ชิด ทั้งคู่ไม่เคยมีข่าวเสียหายออกมาให้เห็น นับว่าเป็นคู่รักตัวอย่างของคนในวงการเลยก็ว่าได้

ชายหนุ่มในชุดทักซิโดยืนถือกล่องเครื่องเพชรรออยู่ในห้องรับแขก สักพักสุริวัสสาก็เดินลงมาจากบันได หลังจากทั้งสองทักทายกันไม่กี่คำ ร่างบางก็เดินเข้ามายืนหันหลังให้เขาสวมเครื่องเพชรให้เพื่อเตรียมออกไปที่งานด้วยกัน

“เป็นไง วันนี้ทีมคุณปุ๊กกี้ไม่ว่าง เราเลยให้ทีมคุณแววมาแทน แต่งหน้าทำผมออกมาถูกใจรึเปล่า” กีรวิชญ์ถามถึงสไตลิสต์ที่เขาส่งมา เนื่องจากคนที่มาประจำนั้นติดธุระด่วน

“ก็โอเคนะ เราว่าวิชญ์บอกรายละเอียดครบอยู่แล้วว่าเราชอบอะไรไม่ชอบอะไร หรือไม่จริง”

คำถามนั้นทำให้ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ...สุริวัสสารู้ทันว่าเขาใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงเพื่อบอกรายละเอียดต่างๆ ของหญิงสาวให้สไตลิสต์ฟัง ซึ่งสิ่งที่เขาบอกนั้นไม่ใช่แค่สไตล์ที่เธอชอบ แต่รวมถึงนิสัยส่วนตัวของเธอว่าชอบอะไรหรืออะไรที่ทำแล้วจะขัดใจเธอ

“เราเลี่ยงปัญหาไง รู้ว่าขืนทำไม่ถูกใจก็โดนไล่ตะเพิดน่ะสิ โดนไล่ไม่พอ เดี๋ยวมาบ่นให้เราฟังจนหูชาอีก” เขาแกล้งแซ็ว

“กินน้ำก่อนไหม เดี๋ยวเราให้พี่บุศย์เอามาให้” หญิงสาวถามขณะขยับเครื่องเพชรให้เข้าที่ เธอสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองและเขาอีกครั้ง วันนี้กีรวิชญ์ดูเนี้ยบเป็นพิเศษ ผมสีดำสนิทของเขาถูกเซตเป็นทรง เปิดให้เห็นใบหน้าได้รูปที่ค่อนไปทางเชื้อสายญี่ปุ่นอย่างเห็นได้ชัด จุดเด่นที่สุดของเขาคือสันจมูกที่โด่งคมซึ่งประสานกับองค์ประกอบอื่นๆ ได้อย่างลงตัว

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปกินที่งาน” เขายิ้มบางๆ พร้อมแกล้งผายมือ เชิญให้เธอเดินนำออกไปที่รถ

“กว่าจะได้กิน ต้องฝ่าดงนักข่าวไปอีกกี่ด่านก็ไม่รู้ เดี๋ยวก็เหมือนคราวที่แล้วอีกหรอก” เสียงหวานพูดกลั้วหัวเราะ เธอยังจำได้ว่าคราวก่อนกีรวิชญ์บ่นอุบเมื่อต้องตอบคำถามนักข่าวจนคอแห้ง โดนดักแล้วดักอีกจนแทบจะไม่มีอะไรตกถึงท้อง

“คราวนี้เราสองคนไม่น่าตกเป็นเป้าหรอก” ชายหนุ่มจับชายกระโปรงที่ยาวลากพื้นของเธอให้เข้ามาในรถแล้วจึงปิดประตูให้ ก่อนจะเดินอ้อมมาฝั่งคนขับ

“ถ้าคราวนี้นักข่าวถามเรื่องแต่งงานอีกล่ะ คราวก่อนเราก็เฉไฉกันไปทีนึงแล้ว” สุริวัสสาถามขึ้นหลังจากที่เขาออกรถ

กีรวิชญ์จับถึงความกังวลในน้ำเสียงนั้นได้ และตัวเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน

“ก็บ่ายเบี่ยงเหมือนเดิมนั่นแหละ อย่าเพิ่งไปตอบอะไร” เขาตอบนิ่งๆ ในขณะที่กำลังมุ่งหน้าไปงานเลี้ยง

ระหว่างทางทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกัน สุริวัสสามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างที่ชอบทำ เธอถอนหายใจยาวทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องที่เริ่มบานปลายออกไปทุกทีๆ

            ความจริงลับหลังสื่อคือเธอและเขาเป็นเพียงเพื่อนสนิทกัน แต่ด้วยกระแสจากสังคมเมื่อปีก่อนๆ ทำให้เธอและเขาตกลงออกสื่อว่าคบหากันเนื่องจากต่างคนต่างได้ประโยชน์จากรักโพรโมตครั้งนี้ โดยคิดว่าเมื่อเวลาผ่านไปสักพักแล้วกระแสต่างๆ เบาลง ทั้งสองก็จะเลิกกันเงียบๆ ตอนที่ไม่ได้มีคนจับตามองมากมายนัก แต่แล้วก็ผิดคาด เมื่อคู่ของเธอและเขาต่างถูกจับตามองมากขึ้นทุกทีๆ ทำให้นับวันความสัมพันธ์กลับยิ่งยากที่จะถอนตัวออกมา

สำหรับทั้งสองคนแล้ว หน้าตาในสังคมนั้นมาเป็นอันดับแรกก่อนความสุขส่วนตัวเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นความรักกำมะลอครั้งนี้ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนคราวก่อนเริ่มมีนักข่าวสร้างประเด็นถามเรื่องการแต่งงานระหว่างทั้งสองคน และเมื่อมีคนหนึ่งสร้างประเด็นขึ้นมาแล้ว แน่นอนว่าเธอและเขาจะเจอคำถามนี้ไปอีกนาน

            สำหรับสุริวัสสาแล้ว แม้อาชีพของเธอนั้นต้องเกี่ยวข้องกับความรักและการแต่งงานตลอดเวลา แต่ในความจริง สุริวัสสาค่อนข้างมีอคติ เธอไม่ค่อยเห็นความสำคัญของมันที่มีต่อชีวิตของตนสักเท่าไหร่ และไม่เชื่อว่าความรักแบบไม่หวังอะไรตอบแทนนั้นมีอยู่จริง ความเหมาะสมเท่านั้นที่เป็นเครื่องชี้วัด ไม่ใช่ความรักอย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ

            คนเรามันก็ต้องเห็นแก่ผลประโยชน์กันทั้งนั้น เรื่องความอบอุ่นในครอบครัวก็ไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับเธอเลยเช่นเดียวกัน ขนาดพ่อแม่ของเธอแยกไปกันคนละทาง เธอก็ยังโตมากับคุณยาย ซึ่งเป็นคนที่หญิงสาวเชื่อว่ารักเธอมากที่สุด และเป็นคนที่ทำให้ทุกวันนี้เธอมีชีวิตที่ดีและได้ดั่งใจทุกอย่าง สุริวัสสาชอบการแข่งขัน ซึ่งความรู้สึกสนุกในทุกการแข่งขันนั่นแหละที่ผลักดันให้เธอชนะเกือบทุกครั้ง

การใช้ชีวิตในเมืองหลวงท่ามกลางสังคมของคนที่คอยจับผิดกันตลอดเวลา ทำให้สุริวัสสาถูกฝึกมาโดยอัตโนมัติให้เป็นคนที่ซ่อนความรู้สึก และมีไฟที่ผลักดันตัวเองในสังคมที่ต้องแก่งแย่งความเป็นที่หนึ่งกันเกือบตลอดเวลา เธอเรียนรู้อะไรหลายอย่างจากความโหดร้ายของโลกแห่งความจริง ส่งผลให้ในบางมุมเธอกลายเป็นคนที่แข็งกระด้าง ไม่มีความอ่อนโยนเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ

เรื่องของหัวใจก็เช่นกัน ด้วยความที่ตั้งมาตรฐานไว้สูง ทำให้สุริวัสสา ‘เขี่ย’ คนที่เข้ามาจีบเธอทิ้งอย่างไม่ไยดีตั้งแต่ตอนแรกหากเขาคนนั้นมีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมไม่พอ ส่วนหลายคนที่ผ่านด่านแรกก็มักจะทนนิสัยเธอไม่ได้ เพราะเจ้าตัวถือว่ายังไม่เจอใครที่ทำให้เธอรู้สึกว่าอยากปรับตัวเองให้เข้ากับเขา

ใช่ เธอมองคนที่ภายนอกเป็นสำคัญ! กีรวิชญ์ถือว่าดีเกินกว่ามาตรฐานที่เธอคัดไว้หลายเท่า เขาเพียบพร้อมทั้งหน้าตา ฐานะ ชาติตระกูล การศึกษา ครบสูตรด้านการวางตัวในสังคมที่แทบจะเป็นแบบอย่าง มีภาพพจน์ที่ดีและไม่เคยมีข่าวเสียหาย ที่สำคัญคือเข้ากับนิสัยของเธอได้ ส่วนธุรกิจของเขาก็ได้ประโยชน์จากภาพพจน์และชื่อเสียงของเธอเช่นกัน

            ดังนั้นหากสุดท้ายแล้วเธอจำเป็นต้องแต่งงานกับใครสักคน และคนนั้นเป็นคนที่ ‘เหมาะสม’ เธอก็ไม่ได้รู้สึกอะไรหากต้องอยู่ด้วยความสัมพันธ์แบบเพื่อน ดีเสียอีกที่ต่างฝ่ายต่างมีอิสระ อยากทำอะไรก็ได้ทำ

            แต่จากคราวก่อนที่คุยกัน ดูท่าทางกีรวิชญ์จะหนักใจกว่าเธออยู่มากนัก ทั้งๆ ที่เขาเป็นฝ่ายชายและน่าจะได้เปรียบมากกว่าเธอเสียด้วยซ้ำ ส่วนสาเหตุที่เขากังวลนั้นก็มีอยู่อย่างเดียว คือเขายังคงยึดติดกับรักแรก และไม่มีทางลืมมันไปได้ง่ายๆ ชายหนุ่มไม่ยอมบอกว่าเธอคนนั้นเป็นใคร เขาพูดเพียงว่าทุกอย่างสายเกินแก้ไปแล้ว

“วสา ฟังอยู่รึเปล่า” เสียงเรียกที่ดังขึ้นกว่าปกติ ทำให้ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองที่ต้นเสียง

“คะ?”

“นั่งเหม่ออยู่นั่น เราถามว่าวันนี้จะไปต่อที่ไหนรึเปล่า เดี๋ยวเราไปส่ง”

“แหม...รู้ใจดีจริงๆ ไปๆ เรานัดติณห์ไว้ เอาชุดมาเปลี่ยนแล้ว” หญิงสาวหันไปยิ้มกว้าง ยังไงก็ตาม กีรวิชญ์ก็เป็นหนึ่งในคนที่รู้ใจเธอมากที่สุด

“เรื่องเที่ยวขอให้บอก เตรียมพร้อมตลอด” เสียงเข้มพูดล้อประโยคที่สุริวัสสาชอบพูด เพียงเท่านั้นทั้งสองคนก็หัวเราะออกมา พอดีกับรถคันหรูเลี้ยวเข้าไปจอดเทียบพรมหน้าโรงแรมที่ใช้จัดงาน

            กีรวิชญ์เปิดประตูลงมาจากที่คนขับ เขาส่งกุญแจรถให้แก่คนขับรถประจำตัวที่มายืนรออยู่ก่อนแล้ว จากนั้นจึงเดินอ้อมมาเปิดประตูให้สุริวัสสา การแสดงออกของคนทั้งคู่เปลี่ยนไปทันทีที่ต้องออกสู่สังคมทั้งสายตาและท่าทาง ซึ่งทั้งสองแสดงละครออกมาได้อย่างแนบเนียน

“เชิญครับ ที่รัก” เสียงทุ้มพูดเบาๆ เป็นเชิงล้อเลียนพอให้ได้ยินกันสองคน ริมฝีปากได้รูปสีแดงสดยิ้มกว้างเป็นการตอบรับ แล้วขยิบตาให้เขาเร็วๆ ครั้งหนึ่ง และนั่นก็เป็นภาพแรกที่นักข่าวเก็บได้ ตามด้วยแสงแฟลชที่สะท้อนเข้าหาคนทั้งคู่อีกเป็นร้อยอย่างต่อเนื่อง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น