2

ตอนที่ 2


 

“มาแล้วๆ”

เสียงกระซิบเบาๆ ปากต่อปากในกลุ่มนักข่าวค่อยๆ แพร่กระจายเป็นวงกว้าง เมื่อเห็นรถรุ่นใหม่ล่าสุดที่มีเพียงไม่กี่คันในประเทศไทยแล่นเข้ามาจอดเทียบพรมหน้างาน สักพักจึงเห็นร่างสูงในชุดทักซิโดสุดเนี้ยบเดินลงมาจากฝั่งคนขับ ขายาวก้าวอย่างคล่องแคล่ว อ้อมไปเปิดประตูให้แก่คนนั่งเหมือนทุกครั้ง ซึ่งภาพนี้เป็นภาพที่นักข่าวเห็นได้เป็นประจำ

            ร่างบางค่อยๆ ก้าวออกมาจากรถอย่างมีมาด ชุดราตรีสีเข้มพราวระยับยิ่งขับผิวนวลให้ดูเด่นขึ้นกว่าปกติเนื่องจากเจ้าตัวรวบผมขึ้นอวดลำคอระหง ส่งผลให้เครื่องเพชรน้ำงามยิ่งสะท้อนกับแสงแฟลชเป็นประกายระยิบระยับ ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างเป็นธรรมชาติก่อนที่สุริวัสสาจะคล้องแขนแฟนหนุ่ม เดินเข้าไปในงานโดยที่ไม่ได้มีท่าทีเคอะเขินหรือประหม่าที่ตกเป็นเป้าสายตาของนักข่าวทั้งหมด

            สุริวัสสาและกีรวิชญ์ยิ้มให้กล้องอย่างชำนาญ เมื่อนักข่าวเริ่มตั้งคำถาม ชายหนุ่มจึงเป็นฝ่ายปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ โดยอ้างว่าถึงเวลาเข้าไปร่วมงานด้านใน ซึ่งทุกอย่างราบรื่นกว่าที่ทั้งสองคนคิดไว้ในตอนแรก

“พี่วิชญ์” เสียงแหลมที่เรียกชื่อของชายหนุ่มทำให้ทั้งสองที่กำลังยืนจิบไวน์หันไปหาต้นเสียงพร้อมกัน สุริวัสสาแอบกลอกตาเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนเรียกชื่อคนรักกำมะลอของเธอ หญิงสาวไม่ค่อยถูกกับว่าที่น้องสามีเท่าไหร่ เพราะชื่อเสียงในแง่พลังเหวี่ยงและวีน ทำให้กานต์พิชชาเป็นที่รู้จักอย่างดีในแวดวงสังคม เนื่องจากเธอเคยสร้างประวัติการเหวี่ยงใส่นักข่าวจนวงแตกหลายรอบ ทำให้ไม่ค่อยมีนักข่าวคนใดกล้าสัมภาษณ์เธอเท่าไหร่

“อ้าว ไหนตอนแรกบอกจะไม่มาไง ถ้ารู้ว่าเราจะมาแบบนี้พี่จะได้อยู่บ้าน” กีรวิชญ์นึกประหลาดใจที่เจอน้องสาวในงาน ทั้งๆ ที่ตอนแรกเจ้าตัวปฏิเสธเข้าร่วมงานโดยทันทีเพราะต้องไปงานเลี้ยงส่งเพื่อน ฝ่ายสุริวัสสานั้นก็แสร้งยิ้มตามมารยาท ถึงเธอจะไม่ค่อยกินเส้นกับคนตรงหน้า แต่ก็อดนึกชมหุ่นนางแบบของอีกฝ่ายไม่ได้ กานต์พิชชาดูสง่าในชุดราตรีสีแดงสดเปลือยหลัง ที่แม้แต่ผู้หญิงด้วยกันเองยังต้องแอบมองตามความเย้ายวนอันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว สุริวัสสายกมือรับไหว้ผู้มาใหม่พอเป็นพิธี และเธอก็มองออกว่ากานต์พิชชาก็แสร้งยิ้มกลับมาเช่นกัน

“กานต์เข็ดจากงานประมูลรูปการกุศลครั้งที่แล้ว ที่มีคนอยากได้หน้า ประมูลแข่งจนได้รูปโง่ๆ ราคาหลายล้านมาตั้งในห้องเก็บของ” ยังไม่ทันจะได้พูดทักทาย กานต์พิชชาก็ตั้งใจเปิดศึกด้วยน้ำเสียงเย็นๆ ใบหน้าที่แต่งเข้มจัดยิ้มกริ่มเสมือนกำลังเล่าเรื่องที่น่ายินดี ผิดกับความโมโหที่คุกรุ่นอยู่ข้างในตั้งแต่งานที่แล้ว

ยังจำได้ว่าคืนนั้น ทันทีที่รู้เรื่องเธอก็แทบเต้นเป็นเจ้าเข้า เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา ร้อยวันพันปีสุริวัสสาไม่เคยสนใจเรื่องศิลปะ เพียงแค่วันนั้นเกิดอารมณ์อยากเอาชนะไฮโซลูกเกดที่เคยเขม่นกันมา สุริวัสสาจึงตั้งใจประมูลแข่งจนราคารูปนั้นขึ้นเป็นหลักล้าน ด้วยคติส่วนตัวที่ว่า ‘เสียเงินไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้’ ส่วนพี่ชายของเธอนั้นก็เอาไม่อยู่ คราวนี้เธอจึงตั้งใจมาคอยขัดไม่ให้สุริวัสสาทำตามใจตัวเองอีก

“แหม...น้องกานต์อย่าพูดแบบนั้นสิคะ เดี๋ยวคนมาได้ยินก็เข้าใจผิดหรอก ว่ารวยล้นฟ้าแต่ขนาดทำบุญยังมานั่งนับทุกบาททุกสตางค์” สุริวัสสาพยายามควบคุมเสียงให้ดูเป็นมิตร สีหน้าของเธอยังยิ้มไม่เปลี่ยน ทั้งๆ ที่ในใจก็เหนื่อยกับการพูดและขี้เกียจอธิบายอะไรให้คนตรงหน้าเข้าใจ

หญิงสาวยอมรับว่าส่วนหนึ่งในวันนั้นคืออยากเอาชนะ แต่ก็ยังมีเหตุผลบางอย่างที่คนตรงหน้าไม่ยอมรับฟัง ถึงกานต์พิชชาจะมองเธอในแง่ร้ายและตั้งใจจับผิด ขุดเรื่องต่างๆ มาพูดให้ดูไม่ดี แต่สุริวัสสาก็มั่นใจว่าจากการตัดสินใจทำอะไรทุกครั้ง โดยเฉพาะในนามของเครือบริษัทของเขา เธอได้คิดดีแล้วถึงผลที่ตามมา...และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ไม่ว่ากานต์พิชชาจะยุคุณหญิงกนกรักษ์ผู้เป็นมารดาอย่างไร คุณหญิงก็จะพูดเสมอว่าสุริวัสสาเป็นคนฉลาดและรอบคอบ เพราะหลายครั้งที่สุริวัสสาทำอะไรที่ดูไม่มีเหตุผล แต่หากวิเคราะห์จริงๆ แล้ว ผลที่ตามมานั้นคือประโยชน์ด้านธุรกิจที่หลายคนไม่ทันคิดทั้งนั้น

“เอาน่า ถึงรูปมันจะราคาสูงเกินไปก็จริง แต่เบื้องหลังของงานนั้นมันไม่ใช่การประมูลรูปทั่วไป กานต์ก็เห็นไม่ใช่หรือ ว่าวันต่อๆ มา ข่าวก็ลงถึงห้างเราในแง่ดีทั้งนั้น ราคาหุ้นก็สูงขึ้น ภาพลักษณ์ของเครือบริษัทเราก็ดีขึ้น แถมพี่ยังได้คอนเนกชันมากขึ้นอีก ตอนนี้กำไรก็คุ้มราคารูปแล้ว จะชวนเค้าทะเลาะทำไม” กีรวิชญ์ส่ายหน้าเบาๆ ไม่มีครั้งไหนที่สองคนนี้เจอกันแล้วจะไม่มีเรื่องให้ประชันฝีปาก

“ก็แค่ฟลุก” คนอายุน้อยกว่าแบะปาก

“ถ้าวันนั้นห้างของคุณลูกเกดได้รูปนั้นไป ถึงเราจะไม่เสียหายอะไร แต่ทางนั้นจะได้โอกาสและคอนเนกชันเพิ่มขึ้นอีกเยอะ ซึ่งมันส่งผลต่อเราในระยะยาว” กีรวิชญ์พูดส่งท้าย แต่ดูท่าทางว่าคนเป็นน้องจะไม่ยอมจบง่ายๆ

เห็นดังนั้นสุริวัสสาจึงขอตัวออกมา เลี่ยงการปะทะโดยอ้างว่าต้องไปทักทายแขกในงานอีกหลายคน ซึ่งบังเอิญว่างานนี้เป็นงานเปิดตัวเครื่องเพชร สุริวัสสาจึงเจอคนในแวดวงแฟชั่นหลายคนที่เธอรู้จัก หญิงสาวยิ้มละไม เดินเข้าไปทักคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยความเคยชิน ซึ่งบทสนทนาก็มักเป็นเรื่องเดิมๆ หนีไม่พ้นการชมกันไปมาหรือพูดจาหวานใส่กันเพื่อสร้างมิตร สำหรับเธอแล้ว คำชมเหล่านี้ไม่ได้ออกมาจากใจของเธอเลยด้วยซ้ำ และเธอก็ชินชากับคำชมเสียแล้ว ทุกครั้งที่เข้างานสังคมแบบนี้ นับครั้งได้ที่คำหวานเหล่านั้นจะออกมาจากใจของคนพูดจริงๆ

            หลังจากพูดคุยกันสักพัก สุริวัสสาก็ปลีกตัวออกมาที่ห้องน้ำด้านนอกงาน เธอเดินเล่นโทรศัพท์เพื่อนัดหมายเวลาและสถานที่เที่ยวกับติณห์ เพื่อนหนุ่มใจสาวที่สนิทกันมากที่สุด จนกระทั่งทำธุระเสร็จ เธอก็นั่งกดโทรศัพท์คุยกับเพื่อนอยู่ในห้องน้ำจนติดลม ซึ่งห้องที่เธอเลือกนั้นอยู่ด้านในสุด หากไม่สังเกตดีๆ ก็คงไม่ทันเห็นว่ามีอีกห้องหลบอยู่ สักพักหญิงสาวก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา ฟังจากเสียงฝีเท้าแล้ว จึงเดาได้ว่าน่าจะมีมากกว่าหนึ่งคน

            สุริวัสสานั่งนิ่งเงียบทันทีโดยสัญชาตญาณ เวลานี้จะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการรู้ความลับต่างๆ โดยบังเอิญเพราะความลับนั้นไม่เคยเป็นความลับ โดยเฉพาะในห้องน้ำหญิง

เสียงลงกลอนประตูทางเข้าห้องน้ำหญิงที่ดังขึ้นนั้น เปรียบเสมือนสัญญาณบ่งบอกให้คนที่กำลังแอบฟังว่าเรื่องเริ่มมีความสำคัญขึ้นมาแล้ว ส่งผลให้สุริวัสสาเริ่มใจเต้นขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“คุณจะเอายังไงคะ คุณรุจน์” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นมา สุริวัสสาไม่คุ้นน้ำเสียงนั้นเอาเสียเลย

            แต่แล้วสิ่งที่ทำให้เธอต้องเบิกตากว้าง ก็คือเสียงที่ตอบกลับมานั้นกลับเป็นเสียงเข้มของผู้ชาย แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องนินทาตามประสากลุ่มผู้หญิงทั่วไปแน่นอน

“เรื่องนี้เราไปพูดกันทีหลังได้ไหม คุณจะทำให้เสียบรรยากาศทำไม แล้วนี่ดูดีหรือยังว่าไม่มีใครเห็นว่าคุณลากผมเข้ามาในนี้” น้ำเสียงเข้มนั้นเต็มไปด้วยความหงุดหงิด ท้ายประโยคนั้นห้วนขึ้นเรื่อยๆ แสดงถึงความรำคาญเต็มแก่

“ดูแล้วค่ะ ณัฐรอคุณอยู่สักพักแล้ว” 

สงสัยสุริวัสสาจะเข้ามาก่อนที่ผู้หญิงคนนี้จะมาดักเจอเขาแน่นอน

“ผมไม่อยากให้มีข่าวเสียหายออกไป” เขาตัดรำคาญ

“จะเสียหายได้ยังไง ก็คุณคบกับณัฐอยู่ ทำไมต้องไปบอกใครต่อใครว่าโสด พอนักข่าวถามเมื่อครู่นี้ คุณก็ยืนยันนักหนาว่าเพื่อนกัน เมื่อไหร่เรื่องของเราจะเปิดเผยได้สักที!”

“ผมว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะว่าคุณต้องการอะไร ผมต้องการอะไร”

“เรียกว่าเคยรู้เรื่องดีกว่าค่ะ เพราะคุณมันไม่รู้จักพอไง ณัฐถึงทนไม่ได้แบบนี้ ติดที่แค่ไม่เคยจับได้คาหนังคาเขาเท่านั้นแหละว่าคุณมีคนอื่น”

“พูดอะไรระวังด้วยนะณัฐ อย่ามากล่าวหาผมเสียๆ หายๆ ผมไม่ชอบ!” เสียงเข้มกระแอมนิดหน่อยเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอขึ้นเสียง ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาขึ้นอีกระดับ “ถึงผมจะมีใครที่ไหน คุณก็ไม่มีสิทธิ์มาจับผิดอะไรผมทั้งนั้น เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน”

            ฟังถึงประโยคนี้สุริวัสสาก็ยิ้มมุมปาก ส่ายหน้าเบาๆ อย่างเอือมระอา สำหรับเธอ ผู้ชายก็เป็นเหมือนกันหมด ยิ่งคนไหนที่คุณสมบัติเพียบพร้อมจนหาที่ติแทบไม่เจอ ก็ยิ่งเหมือนแม่เหล็กแรงสูงที่ดูดผู้หญิงให้เข้าหานับไม่ถ้วน และคนเหล่านี้ก็จะตอบสนองไมตรีเธอเหล่านั้นอย่างเป็นมิตร เพราะไม่อยากปฏิเสธให้เสียน้ำใจ คนไหนถูกใจก็ควงอยู่นานหน่อยเท่านั้นเอง...คิดแล้วก็ย้อนนึกถึงคนใกล้ตัว เธอยังเคยสงสัยเลยว่าน่าแปลกที่กีรวิชญ์กลับไม่เป็นอย่างนั้น

“คุณไปสงบสติอารมณ์แล้วคิดดีๆ นะณัฐนิช คุณเข้าหาผมเพราะอะไรทำไมผมจะรู้ไม่ทัน ทำไม คิดจะทวงหารักแท้ ทวงความเป็นเจ้าของอะไรตอนนี้ ผมบอกไว้ก่อนเลยนะว่าคุณไม่มีสิทธิ์มาออกคำสั่ง หรือทำตัวเป็นเจ้าข้าว...” แน่นอนว่าประโยคนั้นไม่ได้จบลงแค่นั้น แต่เจ้าตัวหยุดพูดลงกลางคันเพราะได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากห้องน้ำด้านใน

‘จะโทร.มาทำไมตอนนี้นะวิชญ์!’ สุริวัสสาหน้าซีด หัวใจตกไปถึงตาตุ่มเมื่อโทรศัพท์สั่น เธอรีบกดตัดสายแต่ดันทำหลุดมือไปครั้งหนึ่ง สักพักอีกฝ่ายก็ยังจะโทร.มาตามอีก หญิงสาวกลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาทางห้องที่เธอนั่งอยู่ สุริวัสสารีบยกเท้าขึ้นจากพื้น นั่งนิ่งที่สุดจนแทบจะกลั้นหายใจ

            หญิงสาวเหลือบมองเงาบนพื้นที่หยุดลงหน้าห้องของเธอ หัวใจดวงน้อยเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่แล้วนับว่าโชคยังเข้าข้าง เมื่อมีเสียงเคาะประตูจากด้านนอกห้องน้ำ ส่งผลให้เจ้าของเงานั้นรีบเดินเข้าไปหลบในห้องข้างๆ เธออย่างรู้งานด้วยความรวดเร็ว สุริวัสสาแอบได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างหัวเสียจากเจ้าตัว

“อ้าว ขอโทษด้วยนะคะ สงสัยเผลอไปล็อกประตูเข้า” เสียงผู้หญิงคนนั้นที่เป็นคนลงกลอนเปลี่ยนเป็นหวานจ๋อยราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เมื่อผู้มาใหม่พากันเดินเข้ามา สุริวัสสาก็อาศัยช่วงที่ได้ยินฝีเท้าคนเดินเข้าออกเยอะๆ เพื่อเดินเนียนออกไปกับกลุ่มคน

“วิชญ์! จะโทร.มาตามเราทำไม เราบอกแล้วไงว่าเราไปเข้าห้องน้ำ” เมื่อเจอต้นเหตุที่เกือบทำให้ความแตก หญิงสาวจึงต่อว่าเขาทันที

“ก็คนเค้าทยอยกลับกันแล้ว งานเลิกเร็วกว่ากำหนด” มิน่า อยู่ดีๆ คนไปเข้าห้องน้ำถึงเยอะขึ้นมา ขอบคุณสวรรค์ที่ช่วยเธอเอาไว้

“ทีหลังไม่ต้องโทร.ตามนะ รู้ไหมว่าเราเกือบซวย”

“ก็หายไปนานขนาดนั้น เราก็ห่วงนึกว่าเป็นอะไรไปหรือเปล่า ทำไม ทำหน้าแบบนี้ไปทำอะไรผิดมาแน่ๆ”

สุริวัสสาไม่ตอบ เธอเดินนำไปด้านล่าง รู้ดีว่ากีรวิชญ์ให้คนขับรถมารอเพราะเขาก็ดื่มในงานไปมากพอสมควร

“คุณกีรวิชญ์! คุณสุริวัสสา!” คราวแรกเธอว่าจะเดินเนียนๆ ขึ้นรถแล้วเชียว แต่ดันมีนักข่าวคนหนึ่งเรียกขึ้นมาเสียก่อน ทำให้นักข่าวคนอื่นๆ หันมามองและถือไมโครโฟนเดินตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ตามด้วยกล้องจากแต่ละสำนักข่าวที่ถูกเตรียมพร้อมอย่างว่องไว

            ดวงตากลมหันไปสบตาแฟนหนุ่มเพื่อขอความช่วยเหลือ เขาเองก็มองกลับมาเป็นเชิงว่า ‘ทำอะไรไม่ได้แล้ว’ เพราะเธอและเขาโดนล้อมอย่างรวดเร็ว ทั้งสองจำใจฉีกยิ้มและควบคุมสติในการตอบคำถามนักข่าว จนเมื่อเห็นว่าความสนใจของนักข่าวเริ่มซาลง กีรวิชญ์จึงรีบพาสุริวัสสาขึ้นรถที่จอดรออยู่ด้านหน้า

“รู้แบบนี้น่าจะออกประตูข้างหลัง” สุริวัสสาบ่นเบาๆ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบผิดจากปกติที่จะต่อบทสนทนา ใบหน้าหวานจึงหันไปมองด้วยความสงสัย...กีรวิชญ์นั่งนิ่ง สีหน้าเคร่งเครียดแบบที่เธอไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก คราวนี้ชายหนุ่มคงเริ่มคิดถึงอนาคตความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธออย่างจริงจัง

“เราไม่อยากทำลายอนาคตของเราสองคนไปตลอดชีวิต” อยู่ๆ เสียงทุ้มก็โพล่งขึ้น ใจเขานั้นอยากแถลงข่าวยุติความสัมพันธ์เต็มแก่ แต่ทางครอบครัวของเขาคงไม่ยอมแน่หากเลิกกันตอนที่กระแสกำลังถึงจุดสูงสุดแบบนี้ จะว่าไป กระแสรักโพรโมตของเขาและเธอก็อยู่บนจุดสูงสุดมาเป็นปีๆ แล้ว และการถูกจับตามองนั้นทำให้ทุกอย่างถลำลึกลงไปทุกที ดังนั้นยิ่งนานวันโอกาสในการถอนตัวก็ริบหรี่ลงเรื่อยๆ

สุริวัสสาไม่ได้มีท่าทีทุกข์ร้อนอะไร เธอจะกังวลแค่ตอนต้องตอบคำถามนักข่าวเท่านั้น กีรวิชญ์รู้ว่าเธอเป็นคนที่ใช้เหตุและผลกับเรื่องของหัวใจ ไม่บูชาความรักหรือทำตามความรู้สึกอย่างที่ผู้หญิงหลายคนเป็น ดังนั้นในเวลานี้หากแต่งงานกับเขาหรือคบกันต่อไป ผลประโยชน์ที่เธอจะได้นั้นนับได้ว่ามากเสียยิ่งกว่ามาก แต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่า หากเขาจำต้องยุติความสัมพันธ์ สุริวัสสาก็จะเข้าใจและไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพียงแต่กระแสสังคมในช่วงสั้นอาจจะกระทบชีวิตของเธอไปบ้าง

            คำถามที่ยิงกระหน่ำจากนักข่าวเมื่อครู่ก็เหมือนกระสุนที่พร้อมจะยิงทะลุขีดจำกัดของเขาอยู่หลายครั้ง กีรวิชญ์ต้องใช้ความอดทนอย่างมากในการคิดคำตอบที่ตรงไปตรงมา ที่สำคัญคือต้องเป็นคำตอบที่นักข่าวไม่สามารถเอาไปนั่งเทียนเขียนต่อจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้

“เราว่าอยู่แบบเพื่อนไปก็ไม่เห็นจะเสียหาย ดีซะอีกที่ต่างฝ่ายต่างมีอิสระ ความรักแบบที่คิดมันไม่มีอยู่จริงหรอก จะมีก็แค่ผลประโยชน์” ท้ายประโยคนั้นเสียงหวานทอดอ่อนลงเมื่อเห็นชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิม

“มันมี” เขาตอบสั้นๆ แต่เด็ดขาด...มันจะไม่มีได้อย่างไร ในเมื่อเขาเคยผ่านมันมาแล้ว!

            บรรยากาศในรถเริ่มมาคุ สุริวัสสาจึงตัดสินใจนั่งเงียบ เล่นโทรศัพท์และอ่านเรื่องราวในโซเชียลต่อ จำได้ว่ากีรวิชญ์เคยเล่าถึงรักแรกของเขาให้ฟัง แต่ชายหนุ่มก็เล่าคร่าวๆ ว่าเขาเคยรักกับคนคนหนึ่งสมัยที่เรียนด้วยกัน และทุกวันนี้ก็ยังลืมไม่ได้ นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่สุริวัสสาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับความรัก เพราะเธอไม่อยากมีจุดอ่อนแบบนี้

“แล้วคืนนี้กลับกับใคร หรือไปนอนบ้านติณห์” กีรวิชญ์ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง หลังจากรถของเขาวนเข้าไปในที่จอดรถของสถานบันเทิงชื่อดังแห่งหนึ่ง

“เดี๋ยวก็มีคนไปส่งที่บ้านเองแหละ ไม่ต้องห่วง” เธอหันมายิ้มขณะถอดสร้อยเพชรและเครื่องประดับทั้งหมดออก ก่อนจะเก็บใส่กล่อง ส่งคืนให้เขาอย่างรวดเร็ว

“ระวังตัวด้วยล่ะ” กีรวิชญ์มักเตือนเธอแบบนี้เสมอ เขาเองเป็นคนไม่เที่ยวกลางคืน และเขาก็ไม่ชอบให้เธอไปเช่นกัน แต่เมื่อห้ามกันไม่ได้จึงต้องปล่อยเลยตามเลย

            สุริวัสสาพยักหน้ารับก่อนเดินลงมาจากรถแล้วตรงเข้าไปด้านในสถานบันเทิงอย่างรวดเร็ว เพื่อน ‘กลุ่มเก้งกวาง’ ของเธอรออยู่ตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงก่อน หญิงสาวไม่อยากจะคิดเลยว่าต้องฟังทุกคนบ่นจนหูชาขนาดไหน

“กว่าจะเสด็จนะคะเจ้าหญิง” เสียงห้าวตะโกนทักขึ้นเมื่อเธอเดินเข้าไปใกล้โต๊ะ สำหรับเธอแล้ว เธอไม่เคยมองผู้ชายอกสามศอกสี่คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นว่าเป็นผู้ชายเลยจริงๆ ถึงทุกคนจะมีหุ่นล่ำสูงเกินร้อยแปดสิบ ดูภายนอกแล้วเท่สมาร์ตจนมีผู้หญิงหลายคนหลงชอบ แต่เมื่อเปิดปากพูดเมื่อไหร่ก็เป็นอันว่าหมดกัน

“โอ๊ย! วันนี้ไม่เมาไม่เลิกนะทุกคน ฉันเครียด” หญิงสาวทำหน้าเบ้ กระแทกกระเป๋าลงบนโต๊ะอย่างหมดแรง

“เดี๋ยวก่อนนะ แกมาผับ จำเป็นไหมที่ต้องเล่นใหญ่ลากชุดราตรีมาแบบนี้ ไปเปลี่ยนค่ะ ให้เวลาสิบนาที” ร่างบางโดนผลักให้ลุกก่อนที่เธอจะทิ้งตัวลงบนโซฟาเสียด้วยซ้ำ หญิงสาวคว้าชุดที่เตรียมมาแล้วตรงไปที่ห้องน้ำ ไม่นานก็กลับมาอีกครั้งด้วยเสื้อสายสปาเกตตี้เข้าชุดกับกางเกงขายาวตามสมัยนิยม พอถึงโต๊ะ เธอก็เห็นทุกคนกำลังจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์มือถือของติณห์เป็นตาเดียว

“ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากำลังอ่านข่าวอะไรกัน” สุริวัสสาถอนหายใจยาว นักข่าวสมัยนี้ทำไมขยันเขียนข่าวกันจัง นี่เพิ่งให้สัมภาษณ์ไปไม่ถึงชั่วโมงก็เริ่มมีกระแสลงไปในโลกโซเชียลแล้ว

“จะแต่งจริงหรือแก ไหนบอกรักโพรโมต” เบ๊นซ์ เพื่อนหน้าหนวดใจสาวถามเสียงสูง

“เบ๊นซ์คะ ช่วยดูหน้ามันก่อน ถ้ามันอยากแต่งจริง มันคงนัดพวกเรามาพร้อมหน้าแบบนี้หรอก” กวงรีบเหน็บเมื่อสบโอกาส

“ฉันชื่อเบเบ้” เบ๊นซ์ท้วง

“โอ๊ย! วันก่อนแกก็เปลี่ยนเป็นบาร์บี้ ฉันเรียกชื่อเดิมแกนั่นแหละ เล่นเปลี่ยนชื่อทุกไตรมาส ฉันตามไม่ทัน” ทันทีที่กวงพูดจบก็เรียกเสียงหัวเราะจากคนทั้งวง เบ๊นซ์ส่งค้อนวงโตไปให้จนหน้าคว่ำ แบะปากแล้วมองด้วยสายตาที่แปลได้ว่า น่าจะมีศึกประชันฝีปากเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

“เฮ้อ...ฉันน่ะเฉยๆ แต่งก็ได้ ไม่แต่งก็ได้ แต่ฝ่ายผู้ชายเนี่ยสิ ยึดติดอะไรกับรักแรกนักหนาก็ไม่รู้” สุริวัสสาพูดเสียงห้วนแทรกขึ้นมา ก่อนที่เพื่อนจะเถียงกันไปยาวกว่านี้ มือบางหยิบแก้วเพื่อนมาดื่มจนหมดในคราวเดียวแล้วจึงทำหน้าเบ้ด้วยความรู้สึกบาดคอ

“แหม...ใครมันจะอยากมีภาระ มีห่วงมัด” ติณห์พยายามให้เหตุผล

“คือฉันก็บอกไปแล้วไงว่าถึงแต่งกันไป มันก็เป็นแค่เอกสาร ชีวิตจริงเราจะทำอะไรก็ได้ ไม่เห็นเป็นอะไร อิสระไม่ต่างจากตอนโสดหรอก”

“ใจคอแกนี่ไม่คิดจะให้เขาได้แต่งงาน มีลูก มีครอบครัวกับคนที่เขารักบ้างหรือวะ ถ้าวันนึงเขาหรือแกไปเจอคนที่ใช่แล้วจะทำยังไง หย่าไม่ได้อีกเดี๋ยวก็เป็นข่าว” เบ๊นซ์ไม่เห็นด้วย ถึงกับวางโทรศัพท์ลงเพื่อเถียงกับเพื่อนสาว ทั้งๆ ที่เขาเองก็เคยพูดเรื่องนี้ไปหลายครั้งแล้ว

“ก็เพราะมันไม่มีรักท้งรักแท้อะไรนั่นไง จบ! เปลี่ยนเรื่องค่ะเพื่อน เครียด!”

“ฉันเตือนแกไว้ก่อนเลยนะ การแต่งงานไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แกอาจจะชินเพราะทำงานด้านนี้ เจอคนแต่งงานกันไม่รู้วันละกี่คู่” ติณห์พูดเสียงนิ่ง หน้าตาจริงจัง “แต่สำหรับคนหนึ่งคนมันเป็นเรื่องสำคัญมากนะ ใครมันจะอยากแต่งหลายครั้งกันวะ ความรู้สึกของงานแรกมันมักจะดีและพิเศษเสมอ จะให้เค้าแต่งกับแกโดยที่ไม่ได้อินอะไรเลยแล้วหย่า  แล้วค่อยไปแต่งกับคนที่เขารัก มันใช่เรื่องที่ต้องทำให้ชีวิตวุ่นวายขนาดนั้นไหม”

“ข่าวว่าเลิกกัน ยังดีกว่าข่าวหย่ากันในอนาคตนะ” เคน เพื่อนอีกคนในกลุ่มถือโอกาสเสริม

“เห็นด้วยค่ะ แล้วสมมุติแต่งไป คนก็ลุ้นให้มีลูกอีก แกก็ต้องไปผลิตลูกตามกระแสสังคมเหรอ”

“หรือไม่ ในอนาคตใครจะไปรู้ ถึงตอนนี้แกจะไม่เชื่อเรื่องความรัก แต่อีกหน่อย แกอาจจะเจอคนที่ถูกใจ อยากแต่งงานใช้ชีวิตอยู่ด้วยจริงๆ แต่ก็ติดที่แต่งงานไปแล้ว ดังนั้นถ้าหย่า แกก็ได้ชื่อว่าเคยแต่งงานมาก่อนแล้ว สเปกแกก็สูง แปลว่าผู้ชายคนนั้นก็มีสิทธิ์เลือกเยอะ เขาก็เลือกคนที่โสดๆ ซิงๆ มาไม่ดีกว่าเหรอ”

หญิงสาวนั่งนิ่งแล้วกระดกเหล้าแก้วที่สองเข้าปากอย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เพื่อนสนิทเตือนเธอแบบนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่คนทั้งกลุ่มเริ่มจริงจังและเริ่มไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของเธอโดยพร้อมเพรียง

“ปล่อยวางบ้างเถอะไอ้เรื่องชื่อเสียงน่ะ ห่วงอะไรมันมากมาย แกก็เป็นคน รักได้ก็เลิกได้ จะไปผูกเงื่อนแน่นให้ตัวเองดิ้นไม่หลุดทำไม เพอร์เฟกต์ไปสุดท้ายก็ตายบนคาน ดูอย่างพวกฉันสิ อยู่สวยๆ ใช้ผู้ชายเหมือนใช้ทิชชู” ติณห์พูดตบท้าย อยากให้เพื่อนได้คิด

“เออ รู้แล้วน่า” หญิงสาวบอกตัดรำคาญ สีหน้าเริ่มอยากกลับบ้านเมื่อโดนเพื่อนรุม เห็นดังนั้นทุกคนจึงได้แต่ถอนหายใจ รู้ว่าเพื่อนเป็นคนดื้อจึงทำได้มากที่สุดก็คือการเตือนอย่างที่กำลังชักแม่น้ำทั้งห้ากันอยู่

“มาๆ เปลี่ยนเรื่อง มาข่าวดีบ้างดีกว่า” ติณห์เปลี่ยนเรื่องเพราะบรรยากาศเริ่มตึงเครียดก่อนจะพูดต่อ “ฉันหาลูกค้าใหม่ให้แกได้อีกแล้ว”

เพียงเท่านั้นใบหน้าหวานหันไปมองต้นเสียง ดวงตาเปลี่ยนเป็นประกายวาววับ ลืมเรื่องที่กำลังหนักใจอยู่ไปชั่วขณะ ติณห์รีบหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้ มือบางยื่นไปรับแล้วพับใส่กระเป๋าถือของตนด้วยความรวดเร็ว

“เดี๋ยวนะ ท่าทางลับๆ ล่อๆ แบบนี้ ไม่ใช่ลูกค้าทั่วไปอีกแล้วใช่ไหม” เบ๊นซ์เน้นคำว่า ‘ทั่วไป’ เป็นพิเศษ

“เออสิ ถ้าเป็นทั่วไป ลูกค้าก็ติดต่อบริษัทฉันโดยตรงสิคะ จะมาติดต่อฝากเอกสารไปๆ มาๆ ผ่านนังติณห์มันทำไม” ดวงตากลมขยิบเร็วๆ ยิ้มกว้างเมื่อคิดถึงเงินก้อนที่จะได้เป็นค่าตอบแทน กระเป๋าแบรนด์เนมคอลเล็กชันใหม่จะต้องเป็นของเธอ

“นี่พวกแกสองคนยังไม่เลิกทำแบบนี้อีกเหรอ!” เคนร้องเสียงหลง ถึงเห็นเที่ยวเก่งแบบนี้แต่ในวันหยุดเขาก็ทำบุญเข้าวัดฟังธรรม ถือศีลอยู่เสมอ ดังนั้นเคนจึงเป็นคนแรกที่ต่อต้านอาชีพลับๆ ที่ผิดจริยธรรมของสุริวัสสาอย่างหัวชนฝา

“ชู่! แกจะร้องให้คนอื่นหันมามองเราทำไม” กวงซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามเอ็ดเสียงเข้ม เขาหันไปมองรอบๆ โดยสัญชาตญาณ

“นี่แก เงินที่ได้เนี่ย แค่แกบอกคุณวิชญ์แป๊บเดียวเงินก็เข้าบัญชีแล้ว บ้านเขาก็รวยจะตาย แค่นี้ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก จะทำแบบนี้ทำไม” เคนเบาเสียงลงมาหน่อย แต่ก็ยังเป็นจุดสนใจอยู่ดี

“มันไม่เหมือนกัน ฉันก็มีความสามารถนะยะ ไม่ใช่งอมืองอเท้าขอเขาไปวันๆ เงินจากที่ทำบริษัทปกติมันไม่พอใช้ เข้าใจไหม”

“แต่แกไม่ควรเอาความสามารถมาใช้ในทางที่ผิดแบบนี้” เคนส่ายหน้าเบาๆ อย่างเหนื่อยใจ เพราะเพื่อนทั้งสองไม่เคยฟังสิ่งที่เขาเตือนเลยสักครั้ง

            นี่ถือเป็นอีกหนึ่งความลับสำคัญของสุริวัสสาที่มีเพียงเพื่อนกลุ่มนี้ที่รู้ ความจริงแล้วการที่เธอเป็นเจ้าของสตูดิโอแต่งงานและอาชีพ Wedding Planner ที่มีคนจองคิวเธอยืดยาวเป็นปีๆ เป็นเพียงงานที่สร้างรายได้เสริมเท่านั้น ส่วนรายได้หลักมาจากความสามารถพิเศษในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า รวมถึงการวางแผนทั้งระยะสั้นและยาว ทำให้เธอได้สร้างอาชีพใหม่ให้ตัวเอง ซึ่งนั่นก็คือการรับจ้างวางแผนสับรางหรือวางแผนตารางออกเดตให้แก่กลุ่มเสือหนุ่มโสดเจ้าสำราญกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเธอไม่เคยเปิดเผยตัวตนกับพวกเขา และใช้ธุรกรรมการติดต่อทุกอย่างผ่านในนามของติณห์ เพื่อนสนิทที่เธอไว้ใจมากที่สุด

            บริการสับรางของเธอนั้นสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าเป็นอย่างมาก เพียงแค่ให้ข้อมูลจำนวนแฟนหรือผู้หญิงของพวกเขาที่ต้องการจะสับราง เวลาว่าง และข้อกำหนดหรือข้อแม้ต่างๆ สุริวัสสาก็วางแผนให้พวกเขาเดือนต่อเดือน และงานของเธอไม่เคยพลาดแม้แต่ครั้งเดียว!

            ข้อแม้อย่างเดียวของเธอคือติณห์ต้องทำการสืบและยืนยัน ว่าพวกเขายังไม่ได้แต่งงานและไม่มีพันธะอะไรผูกมัดทั้งสิ้น เพราะเธอไม่ต้องการทำให้ครอบครัวของใครต้องแตกแยก ฝ่ายติณห์ ด้วยอาชีพดีไซเนอร์ไฟแรงในวงการบันเทิง เขาก็มักจะเจอคนใหม่ๆ อยู่เสมอ ทำให้ลูกค้าลับๆ ของเธอเดินสายมาไม่ขาด

            คนส่วนใหญ่ในกลุ่มที่เธอและติณห์ตั้งชื่อให้ว่ากลุ่มเสือ ล้วนเป็นคนดังในแวดวงสังคม เขาเหล่านี้มีหญิงสาวเข้ามาพัวพันมากมาย แต่ด้วยงานประจำหรือธุรกิจที่ต้องดูแลนั้นทำให้พวกเขายุ่งเหยิงจนจัดการแทบไม่ไหว พวกเขาจึงต้องสรรหาบริการเสริมจากสุริวัสสา นั่นคือการวางแผนสับรางที่ถูกแนะนำต่อๆ กันปากต่อปากว่าไม่มีวันพลาด ซึ่งแลกกับค่าจ้างราคาสูงลิบที่พวกเขายินดีจะจ่าย

สุริวัสสาชอบอาชีพลับๆ ของเธอมาก เพราะค่าจ้างนั้นนับว่าสูงพอสมควรหากเทียบกับเวลาเพียงน้อยนิดที่เธอเสียไป การเสียเวลาสักสองสามชั่วโมงวางแผนให้คนในกลุ่มเสือหนึ่งคน เงินที่ได้นั้นเกือบเท่ากับการวางแผนการแต่งงานให้คู่แต่งงานสามคู่ ซึ่งเสียทั้งเวลา เสียทั้งแรง ไหนจะต้องคอยประนีประนอมเมื่อว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวตกลงกันไม่ได้ หรือเจอกับคู่ที่ตระหนี่ ประหยัดนั่นนี่แต่หวังงานแต่งงานใหญ่ระดับคับเมือง

สิ่งที่เธอทำนั้นขัดแย้งกันเองโดยสิ้นเชิง อาชีพหนึ่งก็ทำให้คนรักกันได้แต่งงานกันมีความสุข แต่อีกอาชีพหนึ่งกลับเป็นการส่งเสริมความเจ้าชู้ ส่งเสริมการนอกใจ แน่นอนว่าทุกคนในกลุ่มรุมประณามเธออย่างหนักว่าไร้มนุษยธรรมและจริยธรรมเป็นที่สุด แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ติณห์และสุริวัสสาหยุด เพราะทั้งสองถือคติว่าไม่ได้ไปทำให้ครอบครัวของใครแตกแยก เนื่องจากผู้ชายที่รับบริการนี้ล้วนเป็นหนุ่มโสดทั้งนั้น ซึ่งพวกเขาก็ยังมีสิทธิ์ในการใช้ชีวิตตามที่ตนอยากใช้

นี่จึงเป็นอีกปัจจัย ที่ทำให้สุริวัสสายิ่งไม่เชื่อเรื่องความรัก เธอมีความเชื่อมาตลอดว่าผู้ชายเกือบทุกคนล้วนเห็นแก่ผลประโยชน์ เจ้าชู้ และไม่มีใครจริงใจ ซึ่งเธอคงไม่โชคดีถึงขั้นเจอผู้ชายส่วนน้อยที่พร้อมจะรักเธอจริง

“เงียบทำไมยะ คิดอะไรอยู่ หรือจะไม่เอาก็ได้นะ แต่ฉันบอกเลยว่าคนนี้เด็ด” ติณห์ทำท่าจะขอซองเอกสารคืน

“เอาสิ จะไม่เอาได้ยังไง” สุริวัสสารีบตอบทันควัน เรียกรอยยิ้มมุมปากของอีกฝ่ายได้ทันที

“ระวังเถอะ สักวันกรรมมันจะตามสนอง ไปทำให้ใครเขาเสียใจตั้งเท่าไหร่” เคนพูดพึมพำ กลอกตาไปมาด้วยความเอือมระอา ที่เพื่อนสองคนนี้ทำตัวเหมือนบัวใต้น้ำ ไม่ว่าจะกรอกหูไปสักกี่ทีให้เลิกทำก็ไม่เป็นผล

“นี่ยายวสา แกรักฉันไหม” อยู่ดีๆ ติณห์ก็ถามขึ้นกลางวง

“รักสิ ถามมาได้” หญิงสาวหัวเราะ ไม่รู้ว่าเพื่อนจะมาไม้ไหนอีก

“เออ ฉันก็รักตัวเองเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคนนี้แกต้องรอบคอบให้มากๆ นะ เป็นถึงนายแบบและพิธีกรในวงการ ตอนนี้ฉันเป็นสไตลิสต์ส่วนตัวให้เขาอยู่ ข้อแม้เยอะมาก แถมถ้าความแตกขึ้นมา คนที่จะซวยที่สุดคือฉัน คงโดนเลิกจ้างแน่”

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ทำมากี่งานๆ แกเคยเห็นฉันพลาดสักครั้งไหมล่ะ” ริมฝีปากแดงสดยิ้มกริ่ม เมื่อเพื่อนเริ่มชวนกันคุยเรื่องอื่นที่เธอไม่ได้สนใจ หญิงสาวจึงเอนตัวพิงกับพนักโซฟา หยิบซองกระดาษนั้นขึ้นมาแง้มดูชื่อลูกค้าคนใหม่ด้วยความอยากรู้ เพราะปกติติณห์ไม่เคยย้ำหลายครั้งขนาดนี้ จนกระทั่งสายตาของเธอกวาดไปสะดุดกับชื่อของเขา

ภาคิน

            สุริวัสสาอ่านทวนชื่ออีกครั้ง ลางสังหรณ์แปลกๆ บางอย่างเริ่มประดังเข้ามาในจิตใจ แต่เธอก็รีบสะบัดหน้าไล่ความรู้สึกนั้นออกไปก่อนจะเก็บซองลงไปในกระเป๋าตามเดิม เธอไม่เชื่อในสิ่งที่สวรรค์กำลังเตือนเป็นครั้งสุดท้าย นึกปลอบใจตัวเองว่ามันคงเป็นเพราะเธอเครียดมาทั้งวัน พอได้มานั่งดื่มนั่งฟังเพลง ใจมันเลยแกว่งๆ หวิวๆ พิกล

            นี่ก็แค่ลูกค้าคนใหม่อีกคน ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติเลยสักนิด

            สุริวัสสาตัดเรื่องงานออกจากสมองโดยทันที เธอโน้มตัวมานั่งเท้าคางที่โต๊ะเพื่อกลับเข้าสู่วงสนทนาที่กำลังดุเด็ดเผ็ดมัน เมื่อเบ๊นซ์กำลังเล่าถึงประสบการณ์ล่าสุดที่เขาได้เจอหลังจากนัดพบกับผู้ชายคนหนึ่งผ่านแอปพลิเคชันในมือถือ

            เธอไม่รู้เลยว่าผู้ชายที่ชื่อเรียบๆ ว่า ภาคิน คนนี้ กำลังจะทำให้ชีวิตดาวค้างฟ้าของเธอเปลี่ยนไป อย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยทีเดียว


 

สองอาทิตย์ต่อมา

ร่างบางในชุดนอนกระโปรงยาวเดินลงมาจากชั้นบน ผมของเธอถูกรวบเป็นมวยไว้ด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้าที่ดูเก๋ไปอีกแบบเวลาไม่ได้รับการแต่งเติมอะไร เธอชอบวันเสาร์ที่สุด เพราะเป็นเพียงวันเดียวที่เธอได้พักผ่อนจริงๆ นอกจากจะมีเหตุเร่งด่วนที่คนทางสตูดิโอจัดการกันไม่ได้

สุริวัสสาเปิดบริษัทวางแผนแต่งงานซึ่งเปิดทำงานวันจันทร์ถึงศุกร์ คิวของลูกค้านั้นเรียกได้ว่าต้องจองล่วงหน้ากันเป็นปีๆ เพราะบริการของเธอนั้นครบถ้วน สร้างความพึงพอใจและดูแลรายละเอียดให้ทุกอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งความผิดพลาดนั้นเกิดขึ้นน้อยมาก และหากเกิดขึ้น ลูกค้าก็มั่นใจได้ว่าเธอจะแก้ปัญหาได้เสมอ ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์นั้นงานจะหนักไปทางส่วนของสตูดิโอ ที่รับถ่ายภาพ ทำอัลบัม และทำวิดีโอไว้ใช้ในงานเลี้ยง และเนื่องจากสตูดิโอเปิดทำการเจ็ดวัน จากประสบการณ์ที่ผ่านมา วันอาทิตย์เป็นวันที่มักจะเจอปัญหามากที่สุด ดังนั้นเธอจึงต้องเข้าไปทำงานและดูแลความเรียบร้อย นอกจากว่าจะมีเหตุให้ไปไม่ได้จริงๆ

แม่และยายของเธอเพิ่งย้ายไปอาศัยอยู่ต่างประเทศ ดังนั้นบ้านหลังนี้จึงเหลือเพียงเธอกับแม่บ้านเท่านั้น หลังจากชงกาแฟเสร็จ หญิงสาวก็เดินกลับไปที่ห้องรับแขก เปิดโทรทัศน์ดูระหว่างรอพี่บุศย์ แม่บ้านที่เธอสนิทเหมือนเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งยกถาดอาหารเช้าเข้ามาให้ เมื่อเจอช่องที่ถูกใจแล้ว มือบางก็เอื้อมไปคว้าโทรศัพท์มือถือมาเช็กข้อความ น่าแปลกที่กีรวิชญ์ไม่ได้อ่านข้อความของเธอตั้งแต่ช่วงบ่ายเมื่อวาน พอโทร.ไปก็ปิดเครื่อง สุริวัสสาคิดในใจว่าเขาคงลืมบอกเธอว่าต้องไปประชุมที่ไหนสักที่ เดี๋ยวเย็นนี้ก็คงติดต่อกลับมาเอง

ไม่รู้ว่าป่านนี้ลูกค้าคนล่าสุดของเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง หลังจากวันนั้นที่สุริวัสสากลับมาถึงบ้าน วันรุ่งขึ้นเธอก็รีบสะสางงานโดยเริ่มจากการวางแผนให้ภาคิน แล้วส่งโดยใช้ชื่อของติณห์แบบที่ทำมาตลอด พอเมื่อวานเธอโทร.ไปถามติณห์ ก็เห็นบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่ไม่รู้ทำไมเรื่องมันถึงคาใจจนทำให้เธอนึกกังวลถึงตลอดเวลาแบบที่ไม่เคยเป็นกับลูกค้ารายไหนมาก่อน ทั้งๆ ที่พอวางแผนจริงๆ ตารางชีวิตของภาคินก็ค่อนข้างเรียบง่าย ลูกค้าหลายรายที่วางแผนอยู่ในขั้นที่เสี่ยงกว่านี้เธอก็ทำมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะกังวลทำไม

            แต่แล้วดูเหมือนวันนี้จะไม่ใช่วันหยุดแบบที่หญิงสาวฝันไว้อีกต่อไป เพราะในขณะที่อาหารเช้ายังไม่ทันพร่องไปถึงครึ่ง โทรศัพท์ของเธอก็สั่นไม่หยุด ดวงตากลมหลับลงพลางถอนหายใจหลังจากเห็นหน้าจอขึ้นเป็นเบอร์โทรศัพท์ของสตูดิโอ

“จ๋า” เสียงหวานกรอกลงไปอย่างเหนื่อยหน่าย เมื่อได้ยินปลายสายกระซิบกระซาบเล่าเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว เธอจึงรู้ว่าปัญหาวันนี้คงหนีไม่พ้นลูกค้าขี้วีนที่ทำให้การทำงานของร้านสะดุดเป็นแน่

“อีกครึ่งชั่วโมงพี่น่าจะถึง บอกพวกเขาให้ใจเย็นๆ ก่อน” เธอตอบกลับไปอย่างใจเย็นแล้วจึงกดตัดสาย ทิ้งข้าวเช้าไว้กลางคันแบบนั้นก่อนจะวิ่งขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างทำเวลาที่สุด สุดท้ายก็คว้ากระเป๋าเครื่องสำอางแบบพกพาขึ้นรถไปด้วยกันเพราะไม่อยากให้ลูกค้ารอนาน

            รถยุโรปสีขาวมุกวนเข้าไปในที่จอดของสตูดิโอ สุริวัสสาเขียนคิ้วเติมให้เสร็จหลังจากขับรถไปแต่งหน้าไปตลอดทาง เธอคว้ากระเป๋าถือแล้วเดินเข้าไปในร้าน น่าแปลกที่ทุกอย่างดูปกติ ไม่ได้มีสถานการณ์เลวร้ายอย่างที่เธอคิดไว้ระหว่างทางที่ขับมา แต่หญิงสาวก็สังเกตได้ถึงสีหน้าโล่งใจของพนักงานหน้าร้าน เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาเหมือนเป็นผู้ช่วยชีวิต ทั้งหมดรีบยกมือไหว้ก่อนที่จะชี้ไปทางห้องด้านในที่มีไว้รับรองลูกค้า ซึ่งเป็นชุดรับแขกที่ใช้นั่งเลือกและคุยเกี่ยวกับแผนแต่งงานและแพ็กเกจต่างๆ

“เหนื่อยหน่อยนะวันนี้ ยายหยกเค้าโทร.มาบอกพี่เมื่อคืนว่าขอลา” เธอทักทายพนักงาน ดูจากสภาพแต่ละคนแล้วทุกคนคงจะต้องวิ่งไปมาตั้งแต่เช้า เพราะนอกจากวันนี้จะเป็นวันหยุด ทำให้ลูกค้าเยอะแล้ว ยังมีพนักงานคนหนึ่งในร้านที่ขอลาอีกด้วย

“สวัสดีค่ะ” หลังจากสูดหายใจเข้าลึก สุริวัสสาก็ทอดเสียงหวานนำเข้าไปในห้องก่อนที่เธอจะก้าวเข้าไป เมื่อฝ่ายที่นั่งหันหลังอยู่ได้ยินจึงรีบหันมาทางต้นเสียง เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายแล้ว เจ้าของร้านกลับเป็นฝ่ายประหลาดใจเสียงเองที่ได้พบกับบุคคลที่เธอไม่คิดว่าจะได้เจอที่นี่

“ฮายค่ะ” กานต์พิชชาโบกมือทักกลับแบบสมัยนิยม พลางลุกขึ้นยืนแล้วผายมือเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกัน ท่าทางเหล่านี้แลดูเป็นมิตรและเป็นกันเอง จนสุริวัสสางงว่าเธอไปสนิทกับคนตรงหน้าตอนไหน ไม่สิ ต้องระแวงมากกว่าว่ากานต์พิชชามาหาเธอถึงที่แบบนี้แสดงว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ เพราะคราวก่อนที่เจอกันยังตั้งใจเปิดศึกอยู่โต้งๆ ยังไม่นับที่เขียนเหน็บแนมเธอในโซเชียลอีก

“อ้าว ทำไมไม่โทร.บอกก่อนล่ะว่าจะมา ดีนะที่พี่ต้องเข้ามาดูลูกค้า ไม่งั้นคงไม่ได้เจอ” สุริวัสสาแสร้งพูดตามมารยาทแล้วก็คิดติในใจ มาถึงร้านแล้วยังจะมาวีนมาเหวี่ยงอะไรอีก เพราะหญิงสาวค่อนข้างมั่นใจว่าลูกน้องของตนได้รับการอบรมงานมาอย่างดี ไม่น่าจะทำหน้าที่อะไรบกพร่อง

“เซอร์ไพรส์แบบนี้สิคะถึงจะดี เผื่อมีอะไรซ่อนอยู่จะได้รู้” ฟังดูก็รู้ว่าสาวเปรี้ยวตรงหน้าจงใจหาเรื่องพูดกระทบแม้แกล้งทำให้ดูเป็นเรื่องตลกก็ตาม คนฟังฉุนขึ้นมานิดหน่อยก่อนจะปรับอารมณ์เป็นปกติโดยไม่นึกถือโทษคำพูดของคนตรงหน้า แต่จากการประเมินสถานการณ์ ฟังถึงจุดนี้สุริวัสสาก็ยังไม่เข้าใจว่ากานต์พิชชาสร้างปัญหาให้ร้านเธอตรงไหน เพราะหล่อนก็ดูอารมณ์ดีไม่ได้มีปัญหาอะไรอย่างที่เด็กในร้านรายงานทางโทรศัพท์

“แล้ววันนี้มีอะไรกับพี่รึเปล่า พอดีพี่งานยุ่งๆ อาจจะอยู่คุยไม่ได้นาน” ถึงอยู่ได้ก็ไม่อยากอยู่ ประโยคสุดท้ายถูกต่อขึ้นในใจ หญิงสาวพยายามหลีกเลี่ยงการสนทนาหรือตอบโต้ว่าที่น้องสามีมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการกินข้าวกับที่บ้านของกีรวิชญ์หรือนัดไปไหนมาไหน เธอรู้ว่ากานต์พิชชาไม่ค่อยชอบเธอเท่าไหร่ ส่วนเธอเองก็ไม่อยากมีเรื่องจึงพยายามไม่ถือ และไม่เก็บคำพูดที่คอยเหน็บแนมหรือกล่าวหามาเป็นเรื่องให้รกสมอง ดังนั้นวันนี้ถือว่ากานต์พิชชามาแปลกมากพอสมควร เพราะการที่อีกฝ่ายตั้งใจมาหาเธอขนาดนี้ ทำให้ลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างของสุริวัสสาคอยเตือนขึ้นมาเป็นระยะ

“ขออนุญาตนะคะ คุณวสาคะ” พนักงานหน้าร้านเดินค้อมตัวเข้ามาด้านใน ขัดจังหวะการพูดคุยกะทันหัน “ลูกค้าที่ว่า อยู่ในห้องสตูดิโอค่ะ” พูดจบก็ผายมือไปทางประตูด้านในซึ่งเป็นทางทะลุไปทางสตูดิโอถ่ายภาพ เพียงเท่านั้นสุริวัสสาก็สปริงตัวขึ้นจากเก้าอี้แล้วจึงขอตัวเดินเข้าไปสะสางปัญหาก่อน

“อ้าว เธอชี้มาทางนี้ พี่ก็นึกว่าเป็นคุณกานต์ที่มีปัญหา” เธอกระซิบเบาๆ พอให้ได้ยินกันกับพนักงานเพียงสองคน พนักงานสาวยิ้มแห้งๆ กลับมาเป็นคำตอบ เมื่อเปิดประตูเข้าไปในสตูดิโอจึงพบว่าปัญหาที่แท้จริงคือคู่ถ่ายภาพพรีเวดดิงด้านใน ที่วีนช่างกล้องทุกรายละเอียดจนงานถ่ายภาพเลยเวลาที่จองไว้ไปแล้วเกือบสองชั่วโมง กว่าสุริวัสสาจะจัดการได้ก็เกือบครึ่งชั่วโมงเข้าไปแล้ว

            หลังจากเดินออกมาอีกครั้งก็ยังเห็นกานต์พิชชานั่งอ่านนิตยสารรออยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม แต่คราวนี้กลับมีชายหนุ่มอีกคนนั่งอยู่ด้วย รูปร่างหน้าตาของเขาค่อนไปทางพระเอกซีรีส์เกาหลีที่เธอกำลังติดอยู่ หญิงสาวเริ่มเอะใจ นึกระแวงไปมากมายด้วยอคติว่ากานต์พิชชาต้องนำความเดือดร้อนมาให้เธอเป็นแน่

“กลับมาพอดีเลย พี่วสาคะ นี่ คิม เพื่อนของกานต์ คิมคะ นี่พี่วสา เจ้าของที่นี่”

ชายหนุ่มที่ชื่อคิมยกมือไหว้สุริวัสสาอย่างเก้ๆ กังๆ

“คิมเป็นคนเกาหลีน่ะค่ะ ทำธุรกิจอยู่ในไทย พูดไทยได้นิดหน่อย”

ระหว่างที่กานต์พิชชากำลังแนะนำเพื่อนอยู่นั้น คู่แต่งงานที่มีปัญหาในสตูดิโอก็เดินออกมาหลังจากถ่ายงานเสร็จ สุริวัสสาไม่แน่ใจว่าตัวเองคิดไปเองหรือเปล่าที่เห็นผู้หญิงคนนั้นหันมามองกานต์พิชชา แวบหนึ่งนั้นเหมือนคนทั้งคู่รู้จักกันมาก่อน

“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ เอ่อ แล้วสรุปที่กานต์มาวันนี้ มีเรื่องอะไรให้พี่ช่วยหรือเปล่า” สุริวัสสารีบตรงเข้าประเด็น เมื่อกานต์พิชชามีท่าทีจะชวนคุยนอกเรื่องเพิ่มเติมอีก ซึ่งยิ่งผิดวิสัยตั้งแต่เธอรู้จักมา

“เปล่าหรอกค่ะ พอดีจะมาขอคำปรึกษานิดหน่อย คิมกำลังจะแต่งงานกับแฟน นี่แฟนเค้าสวยมากเลยนะ เดี๋ยวจะเปิดรูปให้ดู” กานต์พิชชาเลื่อนรูปในโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ

“กานต์ วันนี้ลูกค้าพี่เยอะมาก เดี๋ยวอาจจะอยู่คุยได้ไม่นาน” สุริวัสสาทำท่าจะตัดบทเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ยอมเข้าเรื่องเสียที

“อ้อๆ ได้ค่ะ คือคิมเขาอยากมาหาข้อมูลพวกแพ็กเกจอะไรแบบนี้ไว้ ชื่อเสียงของพี่วสาก็ดังเป็นอันดับต้นๆ เลยพาเค้ามา”

“พรีม ไปเอาตัวแพ็กเกจมาเลย” สุริวัสสาหันไปเรียกพนักงานหน้าร้านให้นำของเข้ามา เตรียมพร้อมนำเสนอลูกค้า

“ผมสนใจธีมแบบนี้ครับ” คิมเลื่อนดูรูปในแท็บเล็ตอยู่สักพักก่อนจะเจอสถานที่และข้อเสนอที่ถูกใจ

            และนั่นก็เป็นการเริ่มต้นของหนึ่งในบทสนทนาที่ยุ่งยากที่สุดในชีวิตการทำงานของเธอ เพราะข้อแม้ของชายหนุ่มคนนี้เยอะไปหมดในทุกๆ เรื่อง และอุปสรรคทางภาษาก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การคุยงานครั้งนี้ต้องอาศัยสมาธิอย่างมาก ส่วนพนักงานในร้านก็ผลัดกันวิ่งเข้าวิ่งออกห้องรับรองจนเหนื่อยไปตามๆ กัน เนื่องจากต้องคอยบริการทั้งลูกค้าและเพื่อนของลูกค้า ซึ่งดูรวมๆ แล้วมีปัญหามากกว่าตัวลูกค้าเองเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นการขอน้ำ ขอของว่าง ขอเปลี่ยนหมอนอิง หรือแม้กระทั่งเรียกพนักงานมาปรับแอร์ทั้งๆ ที่รีโมตก็วางอยู่ข้างตัว

            ระหว่างการคุย สุริวัสสาต้องคอยเหลือบมองหน้าร้านเป็นระยะ เพราะนอกจากพนักงานของเธอจะต้องคอยบริการคนตรงหน้าแล้ว ยังต้องคอยบริการลูกค้าที่นัดไว้ พาเดินขึ้นลง แก้ปัญหาในสตูดิโอ นับว่าแทบไม่ได้นั่งพักกันเลยทีเดียว ส่งผลให้หน้าร้านไม่มีคนเฝ้าเลยสักคน ด้วยความเป็นเจ้าของร้านเลยกลัวเรื่องขโมยขโจรเป็นธรรมดา เพราะในวันหยุดแบบนี้มีคนเดินเข้าเดินออกหน้าร้านของเธอพลุกพล่านพอสมควร ดังนั้นก็ไม่ยากเลยถ้าจะฉกฉวยอะไรจากหน้าร้านและห้องโชว์ติดไม้ติดมือไป

“แล้วคุณคิมวางแผนว่าจะแต่งประมาณเดือนไหน ปีไหนคะ” เจ้าของร้านถามซ้ำเป็นครั้งที่ห้าหลังจากเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ผู้ชายคนนี้มาแปลกจริงๆ แทนที่จะตกลงเรื่องวันเวลาให้เรียบร้อยก่อน กลับมัวแต่สนใจรายละเอียดยิบย่อยจุกจิก พอถามเรื่องวันกลับไม่ยอมตอบสักที

“อีกหนึ่งเดือนครับ” คำตอบนั้นทำให้คิ้วสวยขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ

“เดือนเดียวไม่น่าจะทันนะคะ ปกติต้องจองคิวล่วงหน้าอย่างน้อยๆ ก็เกือบๆ ปี อย่างปีนี้ก็น่าจะเต็มจนถึง...” สุริวัสสาพูดขณะเปิดดูปฏิทินคิวงานที่พนักงานเอามาให้ แต่แล้วประโยคของเธอก็ต้องชะงักลงเมื่อเสียงแหลมของอีกฝ่ายดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

“หนึ่งเดือนค่ะ” กานต์พิชชารีบโพล่งขึ้นมาเสียงดัง

“คือมันไม่น่าจะ...” เสียงหวานพยายามคุมให้นิ่ง แม้จะตกใจที่อยู่ดีๆ อีกฝ่ายขึ้นเสียงขึ้นมาเสียดื้อๆ จนลูกค้าคนอื่นในร้านหันมามองเป็นตาเดียว

“หนึ่งเดือนค่ะ” เธอพูดซ้ำอีกรอบด้วยเสียงที่แข็งขึ้นมาอีกระดับ สุริวัสสาสูดหายใจเข้าลึก แล้วเงยหน้าจากสมุดบันทึกคิวงาน

“กานต์ เอาจริงๆ คือบริษัทพี่ทำงานเป็นระบบ มีคิว มีการวางแผน เพราะงานจะได้ออกมาดีที่สุด”

“กานต์บอกว่าหนึ่งเดือน ก็หนึ่งเดือนสิคะ ทีมงานพี่วสามีตั้งเยอะ เวลาก็มีถมเถ”

“แต่ภายในหนึ่งเดือนนี้ไม่ได้มีแค่คู่คุณคิมคู่เดียวนะจ๊ะ” สุริวัสสาเริ่มเสียงแข็ง แล้วทำไมอีตาคิมอะไรนี่ต้องรีบขนาดนั้น จากประสบการณ์ของเธอ คู่ไหนที่มาแบบรีบๆ กะทันหันแนวนี้นี่มักไม่ใช่เรื่องที่ดี

“ก็ลัดคิวสิคะ จ่ายเพิ่มไม่อั้นอยู่แล้ว” ดูเหมือนกานต์พิชชาจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนตัวเจ้าบ่าวเหลือเกิน สุริวัสสาไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่าย เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา แต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวเริ่มไม่พอใจคือการไม่เคารพกฎกติกาต่างหาก

“แหม...ไหนๆ พาเพื่อนมาแล้ว เค้าก็ดูสนใจมาก กานต์ก็ต้องต่อรองให้เพื่อนสิ” กานต์พิชชาตั้งใจยื้อต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังไม่ยอมตอบรับอะไร จนกระทั่งสุริวัสสาทนไม่ไหว เริ่มรู้สึกว่าเธอกำลังเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะกานต์พิชชาไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้น

“พี่ขอโทษด้วยจริงๆ ร้านเราไม่เคยมีมาตรการลัดคิวให้ลูกค้าคนไหน ถึงจะเป็นคนรู้จักกันก็ตาม” เธอตั้งใจเน้นคำว่าคนรู้จักให้ได้ยินชัดๆ ขนาดเพื่อนของเธอบางคนที่รู้จักกันมานานยังไม่กล้ามาสั่งแบบนี้เลย แล้วผู้หญิงตรงหน้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าเธอจะยอมทำให้ ทั้งๆ ที่ปกติก็ไม่ได้ญาติดีกันเท่าไหร่เสียด้วย

            กานต์พิชชามีท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสุริวัสสาไม่สนใจ เธอคิดไว้แล้วไม่ผิดว่ากิตติศัพท์ของหญิงสาวคนนี้ไม่ได้มาจากการนั่งเทียนเขียนข่าวลือแน่นอน เนื่องจากหลายคนคงเคยเจอฤทธิ์ความเอาแต่ใจมาแล้วโดยเฉพาะคนรอบตัว

“ถ้าคุณคิมอยากจัดงานภายในหนึ่งเดือน วสาแนะนำให้ลองไปติดต่อร้านอื่นดูนะคะ ขอบคุณนะคะที่ให้เกียรติมา” หญิงสาวหันไปกล่าวตัดบท เพราะกลัวเรื่องจะใหญ่โตไปมากกว่านี้ ลึกๆ แล้วก็แอบนึกเสียดายเวลาและพลังสมองที่ใช้ในการตกลงกันตั้งนาน

“เดี๋ยวก่อนค่ะ” กานต์พิชชายังไม่ยอมง่ายๆ มือบางคว้าแขนเจ้าของร้านเอาไว้ แววตาดูมีความกังวลฉายขึ้นมาแวบหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด

“ขอโทษจริงๆ ที่พี่ทำตามที่ขอไม่ได้ ถ้าไม่มีอะไรแล้วพี่ขอตัวไปคุยกับลูกค้าก่อนนะ ถึงเวลานัดพอดี” คนพูดยิ้มหวานปิดท้ายก่อนจะดึงมือออกอย่างสุภาพ เธอลุกขึ้นกล่าวขอโทษพอเป็นมารยาทแล้วจึงผละออกมา จากหางตาจึงเห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่งชักสีหน้า ไม่ได้สนใจการที่เธอเดินออกมาเลยแม้แต่น้อย

            แต่เมื่อสุริวัสสาหันหลังแล้วเดินออกไป คนที่นั่งชักสีหน้าอยู่กลับมีแววตาพอใจวาววาบขึ้นมาครู่หนึ่ง แผนของกานต์พิชชาสำเร็จไปหนึ่งขั้นโดยหวังว่าสุริวัสสาจะไม่ทันสังเกตอะไร

 

ในช่วงบ่าย สุริวัสสาก็ถือโอกาสนั่งทำงานที่สตูดิโอไปพลางๆ ตึกของเธอมีสี่ชั้น ชั้นแรกเป็นหน้าร้านซึ่งมีไว้สำหรับการรับรองลูกค้าและเป็นสตูดิโอถ่ายรูป ด้านในสุดของชั้นนี้ถูกกั้นไว้เพื่อใช้เป็นที่วางโต๊ะทำงานของพนักงาน รวมถึงโต๊ะทำงานของเธอด้วย ชั้นสองและสามเป็นที่เก็บและลองเสื้อผ้า ซึ่งชุดเจ้าสาวนั้นกินที่มากพอสมควร นอกจากนั้นก็มีสตูดิโอเล็กๆ อีกสองห้อง ส่วนชั้นบนสุด สุริวัสสาตั้งใจตกแต่งเป็นคอนโด เผื่อวันไหนที่เธอทำงานดึกจะได้พักที่นี่ได้เลย

            หญิงสาวเริ่มเป็นห่วงกีรวิชญ์ขึ้นมาตงิดๆ เมื่อเช้าก็มัวแต่ยุ่งจนลืมถามกานต์พิชชา เพราะจนตอนนี้มือถือของเขาก็ยังปิดเครื่อง ติดต่อทางไหนไม่ได้เลยสักทาง เมื่อกลางวันเธอโทร.ไปหาเลขาฯ ของเขา แต่ทางนั้นก็บอกว่าไม่ทราบลูกเดียว รู้เพียงว่ากีรวิชญ์ไม่ได้มีงานหรือมีประชุมตามที่เธอสันนิษฐานไว้

“พี่นัทคะ ติดต่อคุณวิชญ์ได้รึยังคะ” สุริวัสสาโทร.หาเลขานุการของกีรวิชญ์อีกครั้ง เธอตัดสินใจเก็บของเพื่อไปตามหาเขาที่บ้านก่อนที่จะไม่มีเวลา คืนนี้เธอและเขาต้องออกงานด้วยกัน เพราะบริษัทในเครือของเขาเพิ่งเปิดคอมมูนิตีมอลล์ที่ใหม่ใจกลางเมือง แน่นอนว่ากีรวิชญ์ต้องไปร่วมงานในฐานะรองประธานบริษัทใหญ่ และคุณกนกรักษ์ ว่าที่แม่สามีของเธอก็ออกคำสั่งกลายๆ มาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วว่าให้ใช้งานนี้เป็นการประกาศวันหมั้นและวันแต่งงานไปเลย

“ยังเลยค่ะคุณวสา พี่โทร.ตามจนถึงที่บ้านก็ไม่มีใครรู้ว่าไปไหน” เลขาฯ วัยกลางคนประจำตัวกีรวิชญ์พูดเสียงเหนื่อย เธอพยายามอย่างสุดความสามารถก็ยังไม่เจอตัวกีรวิชญ์ ทั้งๆ ที่เมื่อเช้าเขายังส่งอีเมลมาสั่งงานเธออยู่เลย น่าแปลกที่สุริวัสสากลับบอกว่าติดต่อเขาไม่ได้ตั้งแต่เมื่อวาน

            รถยุโรปของเธอแล่นออกจากสตูดิโออย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าตรงไปยังคฤหาสน์ใจกลางเมือง ดวงตากลมเหลือบมองนาฬิกาบนรถด้วยความกังวล ตอนนี้เวลาใกล้สี่โมงแล้ว โชคดีที่เธอถือโอกาสช่วงที่ช่างแต่งหน้าในสตูดิโอว่าง ให้ทำผมและแต่งหน้า ช่วยกันกับสไตลิสต์ที่เลขาฯ ของกีรวิชญ์ส่งมา ดังนั้นการแต่งตัวจึงเร็วขึ้นกว่าปกติ

ชุดสำหรับการออกงานคืนนี้ยังแขวนอยู่หลังรถ ตอนนี้เธอต้องออกตามหาว่าที่เจ้าบ่าวในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงขาสั้นไปก่อน นึกแล้วสุริวัสสาก็ต้องถอนหายใจยาวเป็นครั้งที่ร้อยของวัน เมื่อนึกย้อนไปถึงพฤติกรรมของเขาเมื่อหลายวันก่อน เธอก็เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี กีรวิชญ์ดูเงียบขรึมกว่าปกติ เหม่อลอยบ่อย และใช้โทรศัพท์ตลอดเวลา

            เมื่อเลี้ยวรถเข้าจอดในที่จอดประจำที่บ้านของกีรวิชญ์ สุริวัสสาก็ก้าวฉับๆ เข้าไปในตัวคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว เธอถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปในห้องรับแขกแอร์เย็นฉ่ำที่คุณกนกรักษ์หรือแม่ของเขา และกานต์พิชชาซึ่งเป็นน้องสาวกำลังนั่งแต่งหน้า โดยมีช่างแต่งหน้ารุมกันอยู่สามสี่คน

“อ้าว พี่วสา ทำไมมาที่นี่ล่ะคะ นึกว่าจะไปเจอกันที่งาน” กานต์พิชชาถามด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะหลับตาลงให้ช่างแต่งหน้าแต่งเปลือกตาต่อ ไม่ได้สนใจผู้มาใหม่ผิดกับน้ำเสียงที่ทักออกมา

“วิชญ์เขาออกไปรับหนูตั้งแต่เช้าแล้วนี่ลูก” คุณกนกรักษ์ยืนยันว่าลูกชายของตนออกจากบ้านไปเมื่อเช้า โดยอ้างว่าจะรับแฟนสาวไปแก้ชุด และแต่งหน้าทำผมสำหรับคืนนี้

“เปล่านี่คะ คือวสาติดต่อเขาไม่ได้ตั้งแต่เมื่อวาน” เธอรีบพูดด้วยความร้อนใจ ทำไมข้อมูลที่แต่ละคนรู้นั้นไม่ตรงกันเลยสักคน น่าแปลกใจที่หลังจากได้ยินดังนั้น กนกรักษ์และกานต์พิชชายังคงนั่งแต่งหน้าไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีท่าทีทุกข์ร้อนอะไร มีเพียงเธอเท่านั้นที่ร้อนใจอยู่คนเดียว

“เดี๋ยวพี่วิชญ์ก็กลับมาเองแหละค่ะ พี่วสาไปเอาชุดมาเปลี่ยนดีกว่า แล้วเดี๋ยวเราจะได้ไปงานพร้อมกัน” กานต์พิชชาพูดปลอบเมื่อเห็นสุริวัสสาเดินไปเดินมาจนเธอเริ่มเวียนหัว เธอกับแม่มั่นใจว่ากีรวิชญ์ไม่ใช่คนเหลวไหล เขาอาจจะต้องไปสะสางงานอะไรสักที่ เดี๋ยวก็กลับมาทันเวลา

 

สุริวัสสานั่งหน้าบอกบุญไม่รับระหว่างทางขากลับจากงานเปิดตัว ส่วนครอบครัวของชายหนุ่มก็นั่งหน้าเครียด ไม่มีใครพูดอะไรกันในรถสักคำ เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ทุกคนรอเขาจนเวลาจวนตัวเพราะติดต่อทางไหนก็ไม่ได้ สุดท้ายจึงต้องตัดสินใจไปที่งาน ที่แย่ไปกว่านั้นคือสคริปต์ทั้งหมดที่กีรวิชญ์จะต้องเป็นคนกล่าว ถูกส่งต่อมาให้กานต์พิชชาพูดแทนในฐานะรองประธานอีกคน ซึ่งเธอก็พูดได้ติดๆ ขัดๆ เพราะไม่ได้เตรียมมาก่อน

            แต่สิ่งที่แย่ที่สุดซึ่งเป็นเหตุผลให้เธอนั่งขมวดคิ้วจนแทบจะชนกัน นั่นก็คือ กนกรักษ์แอบไปกระซิบนักข่าวตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เรื่องว่าจะแถลงเรื่องงานแต่งงานแบบเป็นทางการวันนี้ และเมื่อมาถึง นักข่าวก็เตรียมทำข่าวไว้แล้ว สุดท้ายจึงกลายเป็นเธอต้องแถลงเรื่องงานแต่งงานคนเดียว โดยอ้างว่ากีรวิชญ์ติดงานสำคัญ!

มีผู้หญิงที่ไหนในโลกบ้าง ที่ยืนแถลงข่าวเรื่องงานแต่งงานของตัวเองเป็นเรื่องเป็นราว โดยมีว่าที่แม่สามีคอยพูดเสริมถึงรายละเอียดวันแต่งงานซึ่งตัวเธอเองก็เพิ่งรู้พร้อมนักข่าวในเวลานั้น ทุกอย่างถูกจัดการโดยปราศจากเงาของว่าที่เจ้าบ่าว! นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กนกรักษ์มัดมือชกใช้เธอเป็นเครื่องมือแบบนี้ ยิ่งนึกก็ยิ่งโกรธ ทันทีที่รถแล่นเข้ามาจอดในรั้วบ้าน สุริวัสสาก็ก้าวลงจากรถแล้วเดินตรงไปที่รถตัวเองเลย เธอไม่มีอารมณ์จะล่ำลาหรือหันกลับไปมองใครทั้งนั้น

            แต่ทันทีที่เธอกำลังจะออกรถ แม่บ้านคนหนึ่งก็วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปหาครอบครัวของกีรวิชญ์ซึ่งกำลังจะเดินเข้าไปในตัวบ้าน มองจากมุมนี้จึงเห็นหล่อนส่งกระดาษใบหนึ่งให้ ทั้งสามคนดูนิ่งไปทันที

            ปฏิกิริยาของพวกเขาทำให้ความสังหรณ์ใจของสุริวัสสาแรงขึ้นเรื่อยๆ เธอตัดสินใจถอยรถกลับเข้ามาให้ใกล้ที่สุด ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหา กานต์พิชชาส่งกระดาษแผ่นนั้นให้เธอดูในขณะที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ

“เจอวางไว้บนเตียงในห้องค่ะ เสื้อผ้าก็หายไป” แม่บ้านคนเดิมรีบรายงาน บิดาของกีรวิชญ์รีบประคองภรรยาเข้าไปในตัวบ้าน ส่วนกานต์พิชชานั้นยังคงยืนนิ่งอยู่เป็นเพื่อนเธอ

            สุริวัสสากวาดตาไปบนกระดาษอย่างลวกๆ ภายในเขียนด้วยลายมือบรรจงเสมือนว่าเจ้าตัวได้วางแผนมาสักพักแล้ว เนื้อหามีเพียงไม่กี่บรรทัด ทั้งสั่งงานและมอบอำนาจการตัดสินใจทั้งหมดในบริษัทให้แก่กานต์พิชชา ท้ายจดหมายค่อยมีเขียนถึงเธอ

วสา เราขอโทษที่ทำแบบนี้ เรื่องมันบานปลายเกินกว่าที่เราสองคนคิดไว้ตั้งแต่แรก เรายอมรับว่าเราหนีปัญหา แต่เราทนแรงกดดันจากทุกด้านไม่ไหวจริงๆ

            สุริวัสสารู้ทันทีว่าแรงกดดันส่วนใหญ่ที่กีรวิชญ์ได้รับนั้นมาจากใคร ใจหนึ่งเธอก็โกรธเขาที่ทิ้งเธอให้เผชิญปัญหาคนเดียว แต่อีกใจหนึ่งก็เข้าใจว่าเขาคงเจอความกดดันมากจริงๆ ไม่รู้ว่าตลอดสองอาทิตย์ทีผ่านมา กีรวิชญ์ต้องเจอแรงกดดันจากมารดาตัวเองขนาดไหน

            ทุกอย่างคงจะดีกว่านี้ ถ้าจดหมายฉบับนี้ถูกเจอเมื่อสี่ชั่วโมงก่อน ก่อนที่เธอจะแถลงข่าวเรื่องงานแต่งงานที่คุณหญิงกนกรักษ์ยืนยันหนักแน่นเหลือเกินว่ากำลังจะเกิดขึ้น!

            ตอนนี้ข่าวการให้สัมภาษณ์คงกำลังกระจายไปทั่วโลกออนไลน์ ถ้าอยู่ดีๆ สุริวัสสาทะเล่อทะล่าออกไปแถลงคนเดียวอีกรอบโดยมีเนื้อหาขัดแย้งกับสิ่งที่พูดไปวันนี้โดยสิ้นเชิง ความน่าเชื่อถือของเธอต้องลดลงอย่างแน่นอน และมันก็จะส่งผลต่อธุรกิจและชื่อเสียงของเธอด้วย

“เราต้องตามพี่วิชญ์กลับมา อย่างน้อยก็ให้เขามาช่วยแก้ข่าว ระหว่างนี้เราก็ค่อยๆ ปล่อยข่าวไปก่อนว่าพี่วิชญ์ไปต่างประเทศ ไปดูแลโพรเจกต์ด่วนอะไรก็ว่าไป กระแสเรื่องแต่งงานจะได้ซาลงด้วย” กานต์พิชชาช่วยคิดอีกแรง ก่อนจะเอื้อมมือมาบีบต้นแขนว่าที่พี่สะใภ้เบาๆ เป็นการให้กำลังใจ เธอเองก็ไม่คิดว่ากีรวิชญ์จะหนีปัญหาดื้อๆ เสียแบบนี้ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมา ที่ทั้งสองพูดดีต่อกันโดยไม่ได้มีความหมายโดยนัยแอบแฝงเพื่อประชดหรือแกล้งพูดกระทบกันอย่างที่ผ่านๆ มา

“ใช่ ฉันจะโดนประโคมข่าวว่าเป็นม่ายขันหมากไม่ได้!” สุริวัสสากัดฟันแน่นขณะพูดพึมพำกับตัวเอง ในตอนนี้หญิงสาวไม่มีเวลามานั่งกลุ้มใจอะไรทั้งนั้น เธอจะต้องตามตัวเขากลับมาเพื่อสะสางเรื่องที่ค้างมานานให้จบลงโดยเร็วที่สุด!

            สุริวัสสาเดินนำเข้าไปในตัวบ้านทันทีที่ตั้งสติได้ เบาะแสสำคัญๆ มักจะอยู่ในห้องนอนเสมอ คิดได้ดังนั้นจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปค้นข้าวของในนั้น แต่ปรากฏว่ากีรวิชญ์ทำลายหลักฐานได้ดีใช้ได้ ขนาดขยะในถังยังเอาไปทิ้งจนเกลี้ยง!

            แต่แล้วก็เหมือนโชคชะตายังเข้าข้างเธออยู่บ้าง เมื่อกานต์พิชชาเข้ามาช่วยอีกแรง จนสุดท้ายก็ค้นลิ้นชักที่หัวเตียงแล้วเจอโทรศัพท์มือถือของเขานอนนิ่งสนิทอยู่ในนั้น เจ้าตัวคงปิดเครื่องทิ้งไว้ เพราะไม่น่าจะได้ใช้ระหว่างที่หนีหายไปแบบนี้

            หญิงสาวสองคนทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงก่อนจะเปิดโทรศัพท์ด้วยใจระทึก และแล้วหัวใจที่ห่อเหี่ยวของเธอก็เต้นแรงขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ตั้งรหัสผ่านในโทรศัพท์ และลืมลบข้อมูลการโทร.ออก เบอร์ล่าสุดที่เขาโทร.หานั้นคือเมื่อเช้ามืดและเขาก็คุยเป็นเวลากว่าสามชั่วโมง สุริวัสสารีบวิ่งไปหาปากกากับกระดาษแถวนั้นมาจดทันที

“รุจน์รวิน กานต์รู้จักไหม ทำไมพี่ไม่เคยได้ยินวิชญ์พูดถึงคนนี้เลย” สุริวัสสามัวแต่จดเบอร์และชื่อเจ้าของเบอร์ เธอจึงไม่ทันสังเกตเห็นใบหน้าของกานต์พิชชาที่เจื่อนลง ก่อนจะปรับกลับมาเป็นสีหน้าปกติอย่างรวดเร็ว

“เอ่อ ไม่ค่ะ ไม่รู้จัก น่า...น่าจะเป็นเพื่อนเก่าพี่วิชญ์มั้งคะ” เธอตอบตะกุกตะกัก เริ่มเดาออกว่าสาเหตุอีกอย่างที่ทำให้กีรวิชญ์หนีไปคืออะไร เธอว่าแล้ว พี่ชายของเธอไม่น่าเตลิดไปแบบนี้เพียงแค่โดนพ่อแม่กดดัน

“พี่ว่าคนนี้แหละที่จะช่วยเราได้”

“ช่วยได้ แต่จะช่วยหรือเปล่านั่นอีกเรื่องนึง” กานต์พิชชาบ่นเบาๆ กับตัวเอง ความหวังที่จะเจอกีรวิชญ์ริบหรี่ลงทันทีที่เธอเห็นชื่อของคนคนนี้

“เมื่อกี้กานต์พูดว่าอะไรนะ”

“ปละ...เปล่า พี่วสารีบกลับบ้านนอนเถอะ นี่ก็ดึกแล้ว เหนื่อยมาทั้งวัน เดี๋ยวกานต์ไปส่งที่รถ”

สุริวัสสาเดินออกไปหน้าบ้าน นึกแล้วก็อยากจะขำออกมา เธอกับกานต์พิชชาเขม่นกันมาตลอด แต่พอมีสถานการณ์คับขันเกิดขึ้น จากศัตรูกลายๆ ก็กลับกลายเป็นต้องร่วมมือกันเสียอย่างนั้น

สุริวัสสากลับบ้านมาพลางนึกถึงชื่อใหม่ที่เธอเพิ่งรู้จัก แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก หญิงสาวแน่ใจว่ากีรวิชญ์ไม่เคยเล่าถึงเพื่อนคนนี้ให้ฟังแน่ๆ เมื่อกดรีโมตเปิดประตูบ้าน เธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นไฟในบ้านเปิดอยู่ ทันใดนั้นหัวใจที่กำลังห่อเหี่ยวก็เต้นระทึกขึ้น แอบคิดเข้าข้างตัวเองว่ากีรวิชญ์จะเปลี่ยนใจ ตัดสินใจกลับมาแก้ปัญหาไปกับเธอ แต่เมื่อร่างบางก้าวเข้ามาในบ้าน หัวใจที่พองโตก็เหี่ยวเฉาลงอีกรอบ เมื่อคนที่นั่งรออยู่นั้นกลับเป็นติณห์ เพื่อนสนิทที่มาหาเธอถึงบ้านทั้งที่สวมชุดนอน

ลางสังหรณ์ร้ายเริ่มโหมกระหน่ำเข้ามาอีกครั้ง

“แหม! เจอเพื่อนแล้วหน้าหุบเลยนะยะ” ติณห์ได้ทีประชดเสียงเนือย เมื่อเห็นผู้มาใหม่หน้าสลดลงทันทีที่เห็นว่าตนนั่งอยู่

“แหงสิแก ว่าที่สามีหายไปทั้งคน” สุริวัสสาพูดตอกกลับ นึกขำในโชคชะตาตัวเองด้วยความหดหู่

“แกว่าอะไรนะ” ติณห์กระโดดขึ้นไปนั่งยองๆ บนโซฟาด้วยความตกใจข่าวใหม่ที่เพิ่งได้รับ

“เออ วิชญ์หายตัวไป ปล่อยฉันแถลงข่าวกับว่าที่แม่สามี ตลกไหมล่ะ บางอย่างฉันก็เพิ่งรู้พร้อมนักข่าวเนี่ยแหละ นางจัดการให้หมด”

“ฉันก็ว่าแล้วเชียวว่ามันต้องมีอะไร โอ๊ย! นึกถึงหน้าคุณหญิงกนกรักษ์อะไรนั่นแล้วหงุดหงิด แย่งแกพูดอย่างกับตัวเองจะแต่งเองแบบนั้นแหละ”

“เรื่องนั้นไว้ทีหลัง ฉันว่าฉันพอจะมีทางจัดการอยู่ แกพูดเรื่องของแกมา” ร่างบางทิ้งตัวลงบนโซฟาข้างๆ ปลดซิปด้านหลังชุดออกนิดหน่อยเพื่อจะได้หายใจสะดวกขึ้น

“แกพร้อมฟังจริงๆ เหรอ” หลังจากที่รู้ว่าเพื่อนกำลังเผชิญหน้ากับอะไร ติณห์ก็อยากจะกลืนเรื่องที่ตนกำลังจะเล่าลงไปให้หมด

“ฉันรู้ว่าถ้าแกมาสภาพนี้ มันต้องเป็นเรื่องคอขาดบาดตายแน่นอน ปกติแค่ออกไปหน้าปากซอยนี่แทบจะใส่ชุดราตรี” หลังจากพูดจบ เธอก็กลอกตาด้วยความเหนื่อยใจ ภาวนาขอให้เรื่องที่ติณห์กำลังจะพูดนั้นไม่เกี่ยวข้องกับตน แค่นี้ชีวิตของเธอก็วุ่นวายพออยู่แล้ว

“โอเค แกตั้งสติดีๆ นะ”

“พร้อม”

“คุณภาคิน” ได้ยินเพียงเท่านั้นสุริวัสสาก็หลับตาแน่น ขอให้เรื่องที่เธอสังหรณ์ใจนั้นเป็นเพียงฝันร้าย

“คือฉันเพิ่งสืบเจอว่าคุณภาคินแต่งงานมีลูกมีเมียอยู่แล้ว! ตอนนี้ซวยกว่าเดิมคือดันประมาท เผลอไม่ทำตามแผนแก”

“ขอร้อง อย่าให้...”

“เมียเขาเลยจับได้ ขู่จะฟ้องหย่า แล้วเรื่องมันกำลังจะสาวมาถึงเรา!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น