3

ตอนที่ 3


 

สองอาทิตย์ต่อมา

ร่างบางในชุดนอนกระโปรงยาวเดินลงมาจากชั้นบน ผมของเธอถูกรวบเป็นมวยไว้ด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้าที่ดูเก๋ไปอีกแบบเวลาไม่ได้รับการแต่งเติมอะไร เธอชอบวันเสาร์ที่สุด เพราะเป็นเพียงวันเดียวที่เธอได้พักผ่อนจริงๆ นอกจากจะมีเหตุเร่งด่วนที่คนทางสตูดิโอจัดการกันไม่ได้

สุริวัสสาเปิดบริษัทวางแผนแต่งงานซึ่งเปิดทำงานวันจันทร์ถึงศุกร์ คิวของลูกค้านั้นเรียกได้ว่าต้องจองล่วงหน้ากันเป็นปีๆ เพราะบริการของเธอนั้นครบถ้วน สร้างความพึงพอใจและดูแลรายละเอียดให้ทุกอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งความผิดพลาดนั้นเกิดขึ้นน้อยมาก และหากเกิดขึ้น ลูกค้าก็มั่นใจได้ว่าเธอจะแก้ปัญหาได้เสมอ ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์นั้นงานจะหนักไปทางส่วนของสตูดิโอ ที่รับถ่ายภาพ ทำอัลบัม และทำวิดีโอไว้ใช้ในงานเลี้ยง และเนื่องจากสตูดิโอเปิดทำการเจ็ดวัน จากประสบการณ์ที่ผ่านมา วันอาทิตย์เป็นวันที่มักจะเจอปัญหามากที่สุด ดังนั้นเธอจึงต้องเข้าไปทำงานและดูแลความเรียบร้อย นอกจากว่าจะมีเหตุให้ไปไม่ได้จริงๆ

แม่และยายของเธอเพิ่งย้ายไปอาศัยอยู่ต่างประเทศ ดังนั้นบ้านหลังนี้จึงเหลือเพียงเธอกับแม่บ้านเท่านั้น หลังจากชงกาแฟเสร็จ หญิงสาวก็เดินกลับไปที่ห้องรับแขก เปิดโทรทัศน์ดูระหว่างรอพี่บุศย์ แม่บ้านที่เธอสนิทเหมือนเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งยกถาดอาหารเช้าเข้ามาให้ เมื่อเจอช่องที่ถูกใจแล้ว มือบางก็เอื้อมไปคว้าโทรศัพท์มือถือมาเช็กข้อความ น่าแปลกที่กีรวิชญ์ไม่ได้อ่านข้อความของเธอตั้งแต่ช่วงบ่ายเมื่อวาน พอโทร.ไปก็ปิดเครื่อง สุริวัสสาคิดในใจว่าเขาคงลืมบอกเธอว่าต้องไปประชุมที่ไหนสักที่ เดี๋ยวเย็นนี้ก็คงติดต่อกลับมาเอง

ไม่รู้ว่าป่านนี้ลูกค้าคนล่าสุดของเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง หลังจากวันนั้นที่สุริวัสสากลับมาถึงบ้าน วันรุ่งขึ้นเธอก็รีบสะสางงานโดยเริ่มจากการวางแผนให้ภาคิน แล้วส่งโดยใช้ชื่อของติณห์แบบที่ทำมาตลอด พอเมื่อวานเธอโทร.ไปถามติณห์ ก็เห็นบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่ไม่รู้ทำไมเรื่องมันถึงคาใจจนทำให้เธอนึกกังวลถึงตลอดเวลาแบบที่ไม่เคยเป็นกับลูกค้ารายไหนมาก่อน ทั้งๆ ที่พอวางแผนจริงๆ ตารางชีวิตของภาคินก็ค่อนข้างเรียบง่าย ลูกค้าหลายรายที่วางแผนอยู่ในขั้นที่เสี่ยงกว่านี้เธอก็ทำมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะกังวลทำไม

        แต่แล้วดูเหมือนวันนี้จะไม่ใช่วันหยุดแบบที่หญิงสาวฝันไว้อีกต่อไป เพราะในขณะที่อาหารเช้ายังไม่ทันพร่องไปถึงครึ่ง โทรศัพท์ของเธอก็สั่นไม่หยุด ดวงตากลมหลับลงพลางถอนหายใจหลังจากเห็นหน้าจอขึ้นเป็นเบอร์โทรศัพท์ของสตูดิโอ

“จ๋า” เสียงหวานกรอกลงไปอย่างเหนื่อยหน่าย เมื่อได้ยินปลายสายกระซิบกระซาบเล่าเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว เธอจึงรู้ว่าปัญหาวันนี้คงหนีไม่พ้นลูกค้าขี้วีนที่ทำให้การทำงานของร้านสะดุดเป็นแน่

“อีกครึ่งชั่วโมงพี่น่าจะถึง บอกพวกเขาให้ใจเย็นๆ ก่อน” เธอตอบกลับไปอย่างใจเย็นแล้วจึงกดตัดสาย ทิ้งข้าวเช้าไว้กลางคันแบบนั้นก่อนจะวิ่งขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างทำเวลาที่สุด สุดท้ายก็คว้ากระเป๋าเครื่องสำอางแบบพกพาขึ้นรถไปด้วยกันเพราะไม่อยากให้ลูกค้ารอนาน

        รถยุโรปสีขาวมุกวนเข้าไปในที่จอดของสตูดิโอ สุริวัสสาเขียนคิ้วเติมให้เสร็จหลังจากขับรถไปแต่งหน้าไปตลอดทาง เธอคว้ากระเป๋าถือแล้วเดินเข้าไปในร้าน น่าแปลกที่ทุกอย่างดูปกติ ไม่ได้มีสถานการณ์เลวร้ายอย่างที่เธอคิดไว้ระหว่างทางที่ขับมา แต่หญิงสาวก็สังเกตได้ถึงสีหน้าโล่งใจของพนักงานหน้าร้าน เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาเหมือนเป็นผู้ช่วยชีวิต ทั้งหมดรีบยกมือไหว้ก่อนที่จะชี้ไปทางห้องด้านในที่มีไว้รับรองลูกค้า ซึ่งเป็นชุดรับแขกที่ใช้นั่งเลือกและคุยเกี่ยวกับแผนแต่งงานและแพ็กเกจต่างๆ

“เหนื่อยหน่อยนะวันนี้ ยายหยกเค้าโทร.มาบอกพี่เมื่อคืนว่าขอลา” เธอทักทายพนักงาน ดูจากสภาพแต่ละคนแล้วทุกคนคงจะต้องวิ่งไปมาตั้งแต่เช้า เพราะนอกจากวันนี้จะเป็นวันหยุด ทำให้ลูกค้าเยอะแล้ว ยังมีพนักงานคนหนึ่งในร้านที่ขอลาอีกด้วย

“สวัสดีค่ะ” หลังจากสูดหายใจเข้าลึก สุริวัสสาก็ทอดเสียงหวานนำเข้าไปในห้องก่อนที่เธอจะก้าวเข้าไป เมื่อฝ่ายที่นั่งหันหลังอยู่ได้ยินจึงรีบหันมาทางต้นเสียง เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายแล้ว เจ้าของร้านกลับเป็นฝ่ายประหลาดใจเสียงเองที่ได้พบกับบุคคลที่เธอไม่คิดว่าจะได้เจอที่นี่

“ฮายค่ะ” กานต์พิชชาโบกมือทักกลับแบบสมัยนิยม พลางลุกขึ้นยืนแล้วผายมือเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกัน ท่าทางเหล่านี้แลดูเป็นมิตรและเป็นกันเอง จนสุริวัสสางงว่าเธอไปสนิทกับคนตรงหน้าตอนไหน ไม่สิ ต้องระแวงมากกว่าว่ากานต์พิชชามาหาเธอถึงที่แบบนี้แสดงว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ เพราะคราวก่อนที่เจอกันยังตั้งใจเปิดศึกอยู่โต้งๆ ยังไม่นับที่เขียนเหน็บแนมเธอในโซเชียลอีก

“อ้าว ทำไมไม่โทร.บอกก่อนล่ะว่าจะมา ดีนะที่พี่ต้องเข้ามาดูลูกค้า ไม่งั้นคงไม่ได้เจอ” สุริวัสสาแสร้งพูดตามมารยาทแล้วก็คิดติในใจ มาถึงร้านแล้วยังจะมาวีนมาเหวี่ยงอะไรอีก เพราะหญิงสาวค่อนข้างมั่นใจว่าลูกน้องของตนได้รับการอบรมงานมาอย่างดี ไม่น่าจะทำหน้าที่อะไรบกพร่อง

“เซอร์ไพรส์แบบนี้สิคะถึงจะดี เผื่อมีอะไรซ่อนอยู่จะได้รู้” ฟังดูก็รู้ว่าสาวเปรี้ยวตรงหน้าจงใจหาเรื่องพูดกระทบแม้แกล้งทำให้ดูเป็นเรื่องตลกก็ตาม คนฟังฉุนขึ้นมานิดหน่อยก่อนจะปรับอารมณ์เป็นปกติโดยไม่นึกถือโทษคำพูดของคนตรงหน้า แต่จากการประเมินสถานการณ์ ฟังถึงจุดนี้สุริวัสสาก็ยังไม่เข้าใจว่ากานต์พิชชาสร้างปัญหาให้ร้านเธอตรงไหน เพราะหล่อนก็ดูอารมณ์ดีไม่ได้มีปัญหาอะไรอย่างที่เด็กในร้านรายงานทางโทรศัพท์

“แล้ววันนี้มีอะไรกับพี่รึเปล่า พอดีพี่งานยุ่งๆ อาจจะอยู่คุยไม่ได้นาน” ถึงอยู่ได้ก็ไม่อยากอยู่ ประโยคสุดท้ายถูกต่อขึ้นในใจ หญิงสาวพยายามหลีกเลี่ยงการสนทนาหรือตอบโต้ว่าที่น้องสามีมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการกินข้าวกับที่บ้านของกีรวิชญ์หรือนัดไปไหนมาไหน เธอรู้ว่ากานต์พิชชาไม่ค่อยชอบเธอเท่าไหร่ ส่วนเธอเองก็ไม่อยากมีเรื่องจึงพยายามไม่ถือ และไม่เก็บคำพูดที่คอยเหน็บแนมหรือกล่าวหามาเป็นเรื่องให้รกสมอง ดังนั้นวันนี้ถือว่ากานต์พิชชามาแปลกมากพอสมควร เพราะการที่อีกฝ่ายตั้งใจมาหาเธอขนาดนี้ ทำให้ลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างของสุริวัสสาคอยเตือนขึ้นมาเป็นระยะ

“ขออนุญาตนะคะ คุณวสาคะ” พนักงานหน้าร้านเดินค้อมตัวเข้ามาด้านใน ขัดจังหวะการพูดคุยกะทันหัน “ลูกค้าที่ว่า อยู่ในห้องสตูดิโอค่ะ” พูดจบก็ผายมือไปทางประตูด้านในซึ่งเป็นทางทะลุไปทางสตูดิโอถ่ายภาพ เพียงเท่านั้นสุริวัสสาก็สปริงตัวขึ้นจากเก้าอี้แล้วจึงขอตัวเดินเข้าไปสะสางปัญหาก่อน

“อ้าว เธอชี้มาทางนี้ พี่ก็นึกว่าเป็นคุณกานต์ที่มีปัญหา” เธอกระซิบเบาๆ พอให้ได้ยินกันกับพนักงานเพียงสองคน พนักงานสาวยิ้มแห้งๆ กลับมาเป็นคำตอบ เมื่อเปิดประตูเข้าไปในสตูดิโอจึงพบว่าปัญหาที่แท้จริงคือคู่ถ่ายภาพพรีเวดดิงด้านใน ที่วีนช่างกล้องทุกรายละเอียดจนงานถ่ายภาพเลยเวลาที่จองไว้ไปแล้วเกือบสองชั่วโมง กว่าสุริวัสสาจะจัดการได้ก็เกือบครึ่งชั่วโมงเข้าไปแล้ว

        หลังจากเดินออกมาอีกครั้งก็ยังเห็นกานต์พิชชานั่งอ่านนิตยสารรออยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม แต่คราวนี้กลับมีชายหนุ่มอีกคนนั่งอยู่ด้วย รูปร่างหน้าตาของเขาค่อนไปทางพระเอกซีรีส์เกาหลีที่เธอกำลังติดอยู่ หญิงสาวเริ่มเอะใจ นึกระแวงไปมากมายด้วยอคติว่ากานต์พิชชาต้องนำความเดือดร้อนมาให้เธอเป็นแน่

“กลับมาพอดีเลย พี่วสาคะ นี่ คิม เพื่อนของกานต์ คิมคะ นี่พี่วสา เจ้าของที่นี่”

ชายหนุ่มที่ชื่อคิมยกมือไหว้สุริวัสสาอย่างเก้ๆ กังๆ

“คิมเป็นคนเกาหลีน่ะค่ะ ทำธุรกิจอยู่ในไทย พูดไทยได้นิดหน่อย”

ระหว่างที่กานต์พิชชากำลังแนะนำเพื่อนอยู่นั้น คู่แต่งงานที่มีปัญหาในสตูดิโอก็เดินออกมาหลังจากถ่ายงานเสร็จ สุริวัสสาไม่แน่ใจว่าตัวเองคิดไปเองหรือเปล่าที่เห็นผู้หญิงคนนั้นหันมามองกานต์พิชชา แวบหนึ่งนั้นเหมือนคนทั้งคู่รู้จักกันมาก่อน

“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ เอ่อ แล้วสรุปที่กานต์มาวันนี้ มีเรื่องอะไรให้พี่ช่วยหรือเปล่า” สุริวัสสารีบตรงเข้าประเด็น เมื่อกานต์พิชชามีท่าทีจะชวนคุยนอกเรื่องเพิ่มเติมอีก ซึ่งยิ่งผิดวิสัยตั้งแต่เธอรู้จักมา

“เปล่าหรอกค่ะ พอดีจะมาขอคำปรึกษานิดหน่อย คิมกำลังจะแต่งงานกับแฟน นี่แฟนเค้าสวยมากเลยนะ เดี๋ยวจะเปิดรูปให้ดู” กานต์พิชชาเลื่อนรูปในโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ

“กานต์ วันนี้ลูกค้าพี่เยอะมาก เดี๋ยวอาจจะอยู่คุยได้ไม่นาน” สุริวัสสาทำท่าจะตัดบทเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ยอมเข้าเรื่องเสียที

“อ้อๆ ได้ค่ะ คือคิมเขาอยากมาหาข้อมูลพวกแพ็กเกจอะไรแบบนี้ไว้ ชื่อเสียงของพี่วสาก็ดังเป็นอันดับต้นๆ เลยพาเค้ามา”

“พรีม ไปเอาตัวแพ็กเกจมาเลย” สุริวัสสาหันไปเรียกพนักงานหน้าร้านให้นำของเข้ามา เตรียมพร้อมนำเสนอลูกค้า

“ผมสนใจธีมแบบนี้ครับ” คิมเลื่อนดูรูปในแท็บเล็ตอยู่สักพักก่อนจะเจอสถานที่และข้อเสนอที่ถูกใจ

        และนั่นก็เป็นการเริ่มต้นของหนึ่งในบทสนทนาที่ยุ่งยากที่สุดในชีวิตการทำงานของเธอ เพราะข้อแม้ของชายหนุ่มคนนี้เยอะไปหมดในทุกๆ เรื่อง และอุปสรรคทางภาษาก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การคุยงานครั้งนี้ต้องอาศัยสมาธิอย่างมาก ส่วนพนักงานในร้านก็ผลัดกันวิ่งเข้าวิ่งออกห้องรับรองจนเหนื่อยไปตามๆ กัน เนื่องจากต้องคอยบริการทั้งลูกค้าและเพื่อนของลูกค้า ซึ่งดูรวมๆ แล้วมีปัญหามากกว่าตัวลูกค้าเองเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นการขอน้ำ ขอของว่าง ขอเปลี่ยนหมอนอิง หรือแม้กระทั่งเรียกพนักงานมาปรับแอร์ทั้งๆ ที่รีโมตก็วางอยู่ข้างตัว

        ระหว่างการคุย สุริวัสสาต้องคอยเหลือบมองหน้าร้านเป็นระยะ เพราะนอกจากพนักงานของเธอจะต้องคอยบริการคนตรงหน้าแล้ว ยังต้องคอยบริการลูกค้าที่นัดไว้ พาเดินขึ้นลง แก้ปัญหาในสตูดิโอ นับว่าแทบไม่ได้นั่งพักกันเลยทีเดียว ส่งผลให้หน้าร้านไม่มีคนเฝ้าเลยสักคน ด้วยความเป็นเจ้าของร้านเลยกลัวเรื่องขโมยขโจรเป็นธรรมดา เพราะในวันหยุดแบบนี้มีคนเดินเข้าเดินออกหน้าร้านของเธอพลุกพล่านพอสมควร ดังนั้นก็ไม่ยากเลยถ้าจะฉกฉวยอะไรจากหน้าร้านและห้องโชว์ติดไม้ติดมือไป

“แล้วคุณคิมวางแผนว่าจะแต่งประมาณเดือนไหน ปีไหนคะ” เจ้าของร้านถามซ้ำเป็นครั้งที่ห้าหลังจากเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ผู้ชายคนนี้มาแปลกจริงๆ แทนที่จะตกลงเรื่องวันเวลาให้เรียบร้อยก่อน กลับมัวแต่สนใจรายละเอียดยิบย่อยจุกจิก พอถามเรื่องวันกลับไม่ยอมตอบสักที

“อีกหนึ่งเดือนครับ” คำตอบนั้นทำให้คิ้วสวยขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ

“เดือนเดียวไม่น่าจะทันนะคะ ปกติต้องจองคิวล่วงหน้าอย่างน้อยๆ ก็เกือบๆ ปี อย่างปีนี้ก็น่าจะเต็มจนถึง...” สุริวัสสาพูดขณะเปิดดูปฏิทินคิวงานที่พนักงานเอามาให้ แต่แล้วประโยคของเธอก็ต้องชะงักลงเมื่อเสียงแหลมของอีกฝ่ายดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

“หนึ่งเดือนค่ะ” กานต์พิชชารีบโพล่งขึ้นมาเสียงดัง

“คือมันไม่น่าจะ...” เสียงหวานพยายามคุมให้นิ่ง แม้จะตกใจที่อยู่ดีๆ อีกฝ่ายขึ้นเสียงขึ้นมาเสียดื้อๆ จนลูกค้าคนอื่นในร้านหันมามองเป็นตาเดียว

“หนึ่งเดือนค่ะ” เธอพูดซ้ำอีกรอบด้วยเสียงที่แข็งขึ้นมาอีกระดับ สุริวัสสาสูดหายใจเข้าลึก แล้วเงยหน้าจากสมุดบันทึกคิวงาน

“กานต์ เอาจริงๆ คือบริษัทพี่ทำงานเป็นระบบ มีคิว มีการวางแผน เพราะงานจะได้ออกมาดีที่สุด”

“กานต์บอกว่าหนึ่งเดือน ก็หนึ่งเดือนสิคะ ทีมงานพี่วสามีตั้งเยอะ เวลาก็มีถมเถ”

“แต่ภายในหนึ่งเดือนนี้ไม่ได้มีแค่คู่คุณคิมคู่เดียวนะจ๊ะ” สุริวัสสาเริ่มเสียงแข็ง แล้วทำไมอีตาคิมอะไรนี่ต้องรีบขนาดนั้น จากประสบการณ์ของเธอ คู่ไหนที่มาแบบรีบๆ กะทันหันแนวนี้นี่มักไม่ใช่เรื่องที่ดี

“ก็ลัดคิวสิคะ จ่ายเพิ่มไม่อั้นอยู่แล้ว” ดูเหมือนกานต์พิชชาจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนตัวเจ้าบ่าวเหลือเกิน สุริวัสสาไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่าย เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา แต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวเริ่มไม่พอใจคือการไม่เคารพกฎกติกาต่างหาก

“แหม...ไหนๆ พาเพื่อนมาแล้ว เค้าก็ดูสนใจมาก กานต์ก็ต้องต่อรองให้เพื่อนสิ” กานต์พิชชาตั้งใจยื้อต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังไม่ยอมตอบรับอะไร จนกระทั่งสุริวัสสาทนไม่ไหว เริ่มรู้สึกว่าเธอกำลังเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะกานต์พิชชาไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้น

“พี่ขอโทษด้วยจริงๆ ร้านเราไม่เคยมีมาตรการลัดคิวให้ลูกค้าคนไหน ถึงจะเป็นคนรู้จักกันก็ตาม” เธอตั้งใจเน้นคำว่าคนรู้จักให้ได้ยินชัดๆ ขนาดเพื่อนของเธอบางคนที่รู้จักกันมานานยังไม่กล้ามาสั่งแบบนี้เลย แล้วผู้หญิงตรงหน้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าเธอจะยอมทำให้ ทั้งๆ ที่ปกติก็ไม่ได้ญาติดีกันเท่าไหร่เสียด้วย

        กานต์พิชชามีท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสุริวัสสาไม่สนใจ เธอคิดไว้แล้วไม่ผิดว่ากิตติศัพท์ของหญิงสาวคนนี้ไม่ได้มาจากการนั่งเทียนเขียนข่าวลือแน่นอน เนื่องจากหลายคนคงเคยเจอฤทธิ์ความเอาแต่ใจมาแล้วโดยเฉพาะคนรอบตัว

“ถ้าคุณคิมอยากจัดงานภายในหนึ่งเดือน วสาแนะนำให้ลองไปติดต่อร้านอื่นดูนะคะ ขอบคุณนะคะที่ให้เกียรติมา” หญิงสาวหันไปกล่าวตัดบท เพราะกลัวเรื่องจะใหญ่โตไปมากกว่านี้ ลึกๆ แล้วก็แอบนึกเสียดายเวลาและพลังสมองที่ใช้ในการตกลงกันตั้งนาน

“เดี๋ยวก่อนค่ะ” กานต์พิชชายังไม่ยอมง่ายๆ มือบางคว้าแขนเจ้าของร้านเอาไว้ แววตาดูมีความกังวลฉายขึ้นมาแวบหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด

“ขอโทษจริงๆ ที่พี่ทำตามที่ขอไม่ได้ ถ้าไม่มีอะไรแล้วพี่ขอตัวไปคุยกับลูกค้าก่อนนะ ถึงเวลานัดพอดี” คนพูดยิ้มหวานปิดท้ายก่อนจะดึงมือออกอย่างสุภาพ เธอลุกขึ้นกล่าวขอโทษพอเป็นมารยาทแล้วจึงผละออกมา จากหางตาจึงเห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่งชักสีหน้า ไม่ได้สนใจการที่เธอเดินออกมาเลยแม้แต่น้อย

        แต่เมื่อสุริวัสสาหันหลังแล้วเดินออกไป คนที่นั่งชักสีหน้าอยู่กลับมีแววตาพอใจวาววาบขึ้นมาครู่หนึ่ง แผนของกานต์พิชชาสำเร็จไปหนึ่งขั้นโดยหวังว่าสุริวัสสาจะไม่ทันสังเกตอะไร

 

ในช่วงบ่าย สุริวัสสาก็ถือโอกาสนั่งทำงานที่สตูดิโอไปพลางๆ ตึกของเธอมีสี่ชั้น ชั้นแรกเป็นหน้าร้านซึ่งมีไว้สำหรับการรับรองลูกค้าและเป็นสตูดิโอถ่ายรูป ด้านในสุดของชั้นนี้ถูกกั้นไว้เพื่อใช้เป็นที่วางโต๊ะทำงานของพนักงาน รวมถึงโต๊ะทำงานของเธอด้วย ชั้นสองและสามเป็นที่เก็บและลองเสื้อผ้า ซึ่งชุดเจ้าสาวนั้นกินที่มากพอสมควร นอกจากนั้นก็มีสตูดิโอเล็กๆ อีกสองห้อง ส่วนชั้นบนสุด สุริวัสสาตั้งใจตกแต่งเป็นคอนโด เผื่อวันไหนที่เธอทำงานดึกจะได้พักที่นี่ได้เลย

        หญิงสาวเริ่มเป็นห่วงกีรวิชญ์ขึ้นมาตงิดๆ เมื่อเช้าก็มัวแต่ยุ่งจนลืมถามกานต์พิชชา เพราะจนตอนนี้มือถือของเขาก็ยังปิดเครื่อง ติดต่อทางไหนไม่ได้เลยสักทาง เมื่อกลางวันเธอโทร.ไปหาเลขาฯ ของเขา แต่ทางนั้นก็บอกว่าไม่ทราบลูกเดียว รู้เพียงว่ากีรวิชญ์ไม่ได้มีงานหรือมีประชุมตามที่เธอสันนิษฐานไว้

“พี่นัทคะ ติดต่อคุณวิชญ์ได้รึยังคะ” สุริวัสสาโทร.หาเลขานุการของกีรวิชญ์อีกครั้ง เธอตัดสินใจเก็บของเพื่อไปตามหาเขาที่บ้านก่อนที่จะไม่มีเวลา คืนนี้เธอและเขาต้องออกงานด้วยกัน เพราะบริษัทในเครือของเขาเพิ่งเปิดคอมมูนิตีมอลล์ที่ใหม่ใจกลางเมือง แน่นอนว่ากีรวิชญ์ต้องไปร่วมงานในฐานะรองประธานบริษัทใหญ่ และคุณกนกรักษ์ ว่าที่แม่สามีของเธอก็ออกคำสั่งกลายๆ มาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วว่าให้ใช้งานนี้เป็นการประกาศวันหมั้นและวันแต่งงานไปเลย

“ยังเลยค่ะคุณวสา พี่โทร.ตามจนถึงที่บ้านก็ไม่มีใครรู้ว่าไปไหน” เลขาฯ วัยกลางคนประจำตัวกีรวิชญ์พูดเสียงเหนื่อย เธอพยายามอย่างสุดความสามารถก็ยังไม่เจอตัวกีรวิชญ์ ทั้งๆ ที่เมื่อเช้าเขายังส่งอีเมลมาสั่งงานเธออยู่เลย น่าแปลกที่สุริวัสสากลับบอกว่าติดต่อเขาไม่ได้ตั้งแต่เมื่อวาน

        รถยุโรปของเธอแล่นออกจากสตูดิโออย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าตรงไปยังคฤหาสน์ใจกลางเมือง ดวงตากลมเหลือบมองนาฬิกาบนรถด้วยความกังวล ตอนนี้เวลาใกล้สี่โมงแล้ว โชคดีที่เธอถือโอกาสช่วงที่ช่างแต่งหน้าในสตูดิโอว่าง ให้ทำผมและแต่งหน้า ช่วยกันกับสไตลิสต์ที่เลขาฯ ของกีรวิชญ์ส่งมา ดังนั้นการแต่งตัวจึงเร็วขึ้นกว่าปกติ

ชุดสำหรับการออกงานคืนนี้ยังแขวนอยู่หลังรถ ตอนนี้เธอต้องออกตามหาว่าที่เจ้าบ่าวในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงขาสั้นไปก่อน นึกแล้วสุริวัสสาก็ต้องถอนหายใจยาวเป็นครั้งที่ร้อยของวัน เมื่อนึกย้อนไปถึงพฤติกรรมของเขาเมื่อหลายวันก่อน เธอก็เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี กีรวิชญ์ดูเงียบขรึมกว่าปกติ เหม่อลอยบ่อย และใช้โทรศัพท์ตลอดเวลา

        เมื่อเลี้ยวรถเข้าจอดในที่จอดประจำที่บ้านของกีรวิชญ์ สุริวัสสาก็ก้าวฉับๆ เข้าไปในตัวคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว เธอถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปในห้องรับแขกแอร์เย็นฉ่ำที่คุณกนกรักษ์หรือแม่ของเขา และกานต์พิชชาซึ่งเป็นน้องสาวกำลังนั่งแต่งหน้า โดยมีช่างแต่งหน้ารุมกันอยู่สามสี่คน

“อ้าว พี่วสา ทำไมมาที่นี่ล่ะคะ นึกว่าจะไปเจอกันที่งาน” กานต์พิชชาถามด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะหลับตาลงให้ช่างแต่งหน้าแต่งเปลือกตาต่อ ไม่ได้สนใจผู้มาใหม่ผิดกับน้ำเสียงที่ทักออกมา

“วิชญ์เขาออกไปรับหนูตั้งแต่เช้าแล้วนี่ลูก” คุณกนกรักษ์ยืนยันว่าลูกชายของตนออกจากบ้านไปเมื่อเช้า โดยอ้างว่าจะรับแฟนสาวไปแก้ชุด และแต่งหน้าทำผมสำหรับคืนนี้

“เปล่านี่คะ คือวสาติดต่อเขาไม่ได้ตั้งแต่เมื่อวาน” เธอรีบพูดด้วยความร้อนใจ ทำไมข้อมูลที่แต่ละคนรู้นั้นไม่ตรงกันเลยสักคน น่าแปลกใจที่หลังจากได้ยินดังนั้น กนกรักษ์และกานต์พิชชายังคงนั่งแต่งหน้าไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีท่าทีทุกข์ร้อนอะไร มีเพียงเธอเท่านั้นที่ร้อนใจอยู่คนเดียว

“เดี๋ยวพี่วิชญ์ก็กลับมาเองแหละค่ะ พี่วสาไปเอาชุดมาเปลี่ยนดีกว่า แล้วเดี๋ยวเราจะได้ไปงานพร้อมกัน” กานต์พิชชาพูดปลอบเมื่อเห็นสุริวัสสาเดินไปเดินมาจนเธอเริ่มเวียนหัว เธอกับแม่มั่นใจว่ากีรวิชญ์ไม่ใช่คนเหลวไหล เขาอาจจะต้องไปสะสางงานอะไรสักที่ เดี๋ยวก็กลับมาทันเวลา

 

สุริวัสสานั่งหน้าบอกบุญไม่รับระหว่างทางขากลับจากงานเปิดตัว ส่วนครอบครัวของชายหนุ่มก็นั่งหน้าเครียด ไม่มีใครพูดอะไรกันในรถสักคำ เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ทุกคนรอเขาจนเวลาจวนตัวเพราะติดต่อทางไหนก็ไม่ได้ สุดท้ายจึงต้องตัดสินใจไปที่งาน ที่แย่ไปกว่านั้นคือสคริปต์ทั้งหมดที่กีรวิชญ์จะต้องเป็นคนกล่าว ถูกส่งต่อมาให้กานต์พิชชาพูดแทนในฐานะรองประธานอีกคน ซึ่งเธอก็พูดได้ติดๆ ขัดๆ เพราะไม่ได้เตรียมมาก่อน

        แต่สิ่งที่แย่ที่สุดซึ่งเป็นเหตุผลให้เธอนั่งขมวดคิ้วจนแทบจะชนกัน นั่นก็คือ กนกรักษ์แอบไปกระซิบนักข่าวตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เรื่องว่าจะแถลงเรื่องงานแต่งงานแบบเป็นทางการวันนี้ และเมื่อมาถึง นักข่าวก็เตรียมทำข่าวไว้แล้ว สุดท้ายจึงกลายเป็นเธอต้องแถลงเรื่องงานแต่งงานคนเดียว โดยอ้างว่ากีรวิชญ์ติดงานสำคัญ!

มีผู้หญิงที่ไหนในโลกบ้าง ที่ยืนแถลงข่าวเรื่องงานแต่งงานของตัวเองเป็นเรื่องเป็นราว โดยมีว่าที่แม่สามีคอยพูดเสริมถึงรายละเอียดวันแต่งงานซึ่งตัวเธอเองก็เพิ่งรู้พร้อมนักข่าวในเวลานั้น ทุกอย่างถูกจัดการโดยปราศจากเงาของว่าที่เจ้าบ่าว! นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กนกรักษ์มัดมือชกใช้เธอเป็นเครื่องมือแบบนี้ ยิ่งนึกก็ยิ่งโกรธ ทันทีที่รถแล่นเข้ามาจอดในรั้วบ้าน สุริวัสสาก็ก้าวลงจากรถแล้วเดินตรงไปที่รถตัวเองเลย เธอไม่มีอารมณ์จะล่ำลาหรือหันกลับไปมองใครทั้งนั้น

        แต่ทันทีที่เธอกำลังจะออกรถ แม่บ้านคนหนึ่งก็วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปหาครอบครัวของกีรวิชญ์ซึ่งกำลังจะเดินเข้าไปในตัวบ้าน มองจากมุมนี้จึงเห็นหล่อนส่งกระดาษใบหนึ่งให้ ทั้งสามคนดูนิ่งไปทันที

        ปฏิกิริยาของพวกเขาทำให้ความสังหรณ์ใจของสุริวัสสาแรงขึ้นเรื่อยๆ เธอตัดสินใจถอยรถกลับเข้ามาให้ใกล้ที่สุด ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหา กานต์พิชชาส่งกระดาษแผ่นนั้นให้เธอดูในขณะที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ

“เจอวางไว้บนเตียงในห้องค่ะ เสื้อผ้าก็หายไป” แม่บ้านคนเดิมรีบรายงาน บิดาของกีรวิชญ์รีบประคองภรรยาเข้าไปในตัวบ้าน ส่วนกานต์พิชชานั้นยังคงยืนนิ่งอยู่เป็นเพื่อนเธอ

        สุริวัสสากวาดตาไปบนกระดาษอย่างลวกๆ ภายในเขียนด้วยลายมือบรรจงเสมือนว่าเจ้าตัวได้วางแผนมาสักพักแล้ว เนื้อหามีเพียงไม่กี่บรรทัด ทั้งสั่งงานและมอบอำนาจการตัดสินใจทั้งหมดในบริษัทให้แก่กานต์พิชชา ท้ายจดหมายค่อยมีเขียนถึงเธอ

วสา เราขอโทษที่ทำแบบนี้ เรื่องมันบานปลายเกินกว่าที่เราสองคนคิดไว้ตั้งแต่แรก เรายอมรับว่าเราหนีปัญหา แต่เราทนแรงกดดันจากทุกด้านไม่ไหวจริงๆ

        สุริวัสสารู้ทันทีว่าแรงกดดันส่วนใหญ่ที่กีรวิชญ์ได้รับนั้นมาจากใคร ใจหนึ่งเธอก็โกรธเขาที่ทิ้งเธอให้เผชิญปัญหาคนเดียว แต่อีกใจหนึ่งก็เข้าใจว่าเขาคงเจอความกดดันมากจริงๆ ไม่รู้ว่าตลอดสองอาทิตย์ทีผ่านมา กีรวิชญ์ต้องเจอแรงกดดันจากมารดาตัวเองขนาดไหน

        ทุกอย่างคงจะดีกว่านี้ ถ้าจดหมายฉบับนี้ถูกเจอเมื่อสี่ชั่วโมงก่อน ก่อนที่เธอจะแถลงข่าวเรื่องงานแต่งงานที่คุณหญิงกนกรักษ์ยืนยันหนักแน่นเหลือเกินว่ากำลังจะเกิดขึ้น!

        ตอนนี้ข่าวการให้สัมภาษณ์คงกำลังกระจายไปทั่วโลกออนไลน์ ถ้าอยู่ดีๆ สุริวัสสาทะเล่อทะล่าออกไปแถลงคนเดียวอีกรอบโดยมีเนื้อหาขัดแย้งกับสิ่งที่พูดไปวันนี้โดยสิ้นเชิง ความน่าเชื่อถือของเธอต้องลดลงอย่างแน่นอน และมันก็จะส่งผลต่อธุรกิจและชื่อเสียงของเธอด้วย

“เราต้องตามพี่วิชญ์กลับมา อย่างน้อยก็ให้เขามาช่วยแก้ข่าว ระหว่างนี้เราก็ค่อยๆ ปล่อยข่าวไปก่อนว่าพี่วิชญ์ไปต่างประเทศ ไปดูแลโพรเจกต์ด่วนอะไรก็ว่าไป กระแสเรื่องแต่งงานจะได้ซาลงด้วย” กานต์พิชชาช่วยคิดอีกแรง ก่อนจะเอื้อมมือมาบีบต้นแขนว่าที่พี่สะใภ้เบาๆ เป็นการให้กำลังใจ เธอเองก็ไม่คิดว่ากีรวิชญ์จะหนีปัญหาดื้อๆ เสียแบบนี้ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมา ที่ทั้งสองพูดดีต่อกันโดยไม่ได้มีความหมายโดยนัยแอบแฝงเพื่อประชดหรือแกล้งพูดกระทบกันอย่างที่ผ่านๆ มา

“ใช่ ฉันจะโดนประโคมข่าวว่าเป็นม่ายขันหมากไม่ได้!” สุริวัสสากัดฟันแน่นขณะพูดพึมพำกับตัวเอง ในตอนนี้หญิงสาวไม่มีเวลามานั่งกลุ้มใจอะไรทั้งนั้น เธอจะต้องตามตัวเขากลับมาเพื่อสะสางเรื่องที่ค้างมานานให้จบลงโดยเร็วที่สุด!

        สุริวัสสาเดินนำเข้าไปในตัวบ้านทันทีที่ตั้งสติได้ เบาะแสสำคัญๆ มักจะอยู่ในห้องนอนเสมอ คิดได้ดังนั้นจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปค้นข้าวของในนั้น แต่ปรากฏว่ากีรวิชญ์ทำลายหลักฐานได้ดีใช้ได้ ขนาดขยะในถังยังเอาไปทิ้งจนเกลี้ยง!

        แต่แล้วก็เหมือนโชคชะตายังเข้าข้างเธออยู่บ้าง เมื่อกานต์พิชชาเข้ามาช่วยอีกแรง จนสุดท้ายก็ค้นลิ้นชักที่หัวเตียงแล้วเจอโทรศัพท์มือถือของเขานอนนิ่งสนิทอยู่ในนั้น เจ้าตัวคงปิดเครื่องทิ้งไว้ เพราะไม่น่าจะได้ใช้ระหว่างที่หนีหายไปแบบนี้

        หญิงสาวสองคนทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงก่อนจะเปิดโทรศัพท์ด้วยใจระทึก และแล้วหัวใจที่ห่อเหี่ยวของเธอก็เต้นแรงขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ตั้งรหัสผ่านในโทรศัพท์ และลืมลบข้อมูลการโทร.ออก เบอร์ล่าสุดที่เขาโทร.หานั้นคือเมื่อเช้ามืดและเขาก็คุยเป็นเวลากว่าสามชั่วโมง สุริวัสสารีบวิ่งไปหาปากกากับกระดาษแถวนั้นมาจดทันที

“รุจน์รวิน กานต์รู้จักไหม ทำไมพี่ไม่เคยได้ยินวิชญ์พูดถึงคนนี้เลย” สุริวัสสามัวแต่จดเบอร์และชื่อเจ้าของเบอร์ เธอจึงไม่ทันสังเกตเห็นใบหน้าของกานต์พิชชาที่เจื่อนลง ก่อนจะปรับกลับมาเป็นสีหน้าปกติอย่างรวดเร็ว

“เอ่อ ไม่ค่ะ ไม่รู้จัก น่า...น่าจะเป็นเพื่อนเก่าพี่วิชญ์มั้งคะ” เธอตอบตะกุกตะกัก เริ่มเดาออกว่าสาเหตุอีกอย่างที่ทำให้กีรวิชญ์หนีไปคืออะไร เธอว่าแล้ว พี่ชายของเธอไม่น่าเตลิดไปแบบนี้เพียงแค่โดนพ่อแม่กดดัน

“พี่ว่าคนนี้แหละที่จะช่วยเราได้”

“ช่วยได้ แต่จะช่วยหรือเปล่านั่นอีกเรื่องนึง” กานต์พิชชาบ่นเบาๆ กับตัวเอง ความหวังที่จะเจอกีรวิชญ์ริบหรี่ลงทันทีที่เธอเห็นชื่อของคนคนนี้

“เมื่อกี้กานต์พูดว่าอะไรนะ”

“ปละ...เปล่า พี่วสารีบกลับบ้านนอนเถอะ นี่ก็ดึกแล้ว เหนื่อยมาทั้งวัน เดี๋ยวกานต์ไปส่งที่รถ”

สุริวัสสาเดินออกไปหน้าบ้าน นึกแล้วก็อยากจะขำออกมา เธอกับกานต์พิชชาเขม่นกันมาตลอด แต่พอมีสถานการณ์คับขันเกิดขึ้น จากศัตรูกลายๆ ก็กลับกลายเป็นต้องร่วมมือกันเสียอย่างนั้น

สุริวัสสากลับบ้านมาพลางนึกถึงชื่อใหม่ที่เธอเพิ่งรู้จัก แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก หญิงสาวแน่ใจว่ากีรวิชญ์ไม่เคยเล่าถึงเพื่อนคนนี้ให้ฟังแน่ๆ เมื่อกดรีโมตเปิดประตูบ้าน เธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นไฟในบ้านเปิดอยู่ ทันใดนั้นหัวใจที่กำลังห่อเหี่ยวก็เต้นระทึกขึ้น แอบคิดเข้าข้างตัวเองว่ากีรวิชญ์จะเปลี่ยนใจ ตัดสินใจกลับมาแก้ปัญหาไปกับเธอ แต่เมื่อร่างบางก้าวเข้ามาในบ้าน หัวใจที่พองโตก็เหี่ยวเฉาลงอีกรอบ เมื่อคนที่นั่งรออยู่นั้นกลับเป็นติณห์ เพื่อนสนิทที่มาหาเธอถึงบ้านทั้งที่สวมชุดนอน

ลางสังหรณ์ร้ายเริ่มโหมกระหน่ำเข้ามาอีกครั้ง

“แหม! เจอเพื่อนแล้วหน้าหุบเลยนะยะ” ติณห์ได้ทีประชดเสียงเนือย เมื่อเห็นผู้มาใหม่หน้าสลดลงทันทีที่เห็นว่าตนนั่งอยู่

“แหงสิแก ว่าที่สามีหายไปทั้งคน” สุริวัสสาพูดตอกกลับ นึกขำในโชคชะตาตัวเองด้วยความหดหู่

“แกว่าอะไรนะ” ติณห์กระโดดขึ้นไปนั่งยองๆ บนโซฟาด้วยความตกใจข่าวใหม่ที่เพิ่งได้รับ

“เออ วิชญ์หายตัวไป ปล่อยฉันแถลงข่าวกับว่าที่แม่สามี ตลกไหมล่ะ บางอย่างฉันก็เพิ่งรู้พร้อมนักข่าวเนี่ยแหละ นางจัดการให้หมด”

“ฉันก็ว่าแล้วเชียวว่ามันต้องมีอะไร โอ๊ย! นึกถึงหน้าคุณหญิงกนกรักษ์อะไรนั่นแล้วหงุดหงิด แย่งแกพูดอย่างกับตัวเองจะแต่งเองแบบนั้นแหละ”

“เรื่องนั้นไว้ทีหลัง ฉันว่าฉันพอจะมีทางจัดการอยู่ แกพูดเรื่องของแกมา” ร่างบางทิ้งตัวลงบนโซฟาข้างๆ ปลดซิปด้านหลังชุดออกนิดหน่อยเพื่อจะได้หายใจสะดวกขึ้น

“แกพร้อมฟังจริงๆ เหรอ” หลังจากที่รู้ว่าเพื่อนกำลังเผชิญหน้ากับอะไร ติณห์ก็อยากจะกลืนเรื่องที่ตนกำลังจะเล่าลงไปให้หมด

“ฉันรู้ว่าถ้าแกมาสภาพนี้ มันต้องเป็นเรื่องคอขาดบาดตายแน่นอน ปกติแค่ออกไปหน้าปากซอยนี่แทบจะใส่ชุดราตรี” หลังจากพูดจบ เธอก็กลอกตาด้วยความเหนื่อยใจ ภาวนาขอให้เรื่องที่ติณห์กำลังจะพูดนั้นไม่เกี่ยวข้องกับตน แค่นี้ชีวิตของเธอก็วุ่นวายพออยู่แล้ว

“โอเค แกตั้งสติดีๆ นะ”

“พร้อม”

“คุณภาคิน” ได้ยินเพียงเท่านั้นสุริวัสสาก็หลับตาแน่น ขอให้เรื่องที่เธอสังหรณ์ใจนั้นเป็นเพียงฝันร้าย

“คือฉันเพิ่งสืบเจอว่าคุณภาคินแต่งงานมีลูกมีเมียอยู่แล้ว! ตอนนี้ซวยกว่าเดิมคือดันประมาท เผลอไม่ทำตามแผนแก”

“ขอร้อง อย่าให้...”

“เมียเขาเลยจับได้ ขู่จะฟ้องหย่า แล้วเรื่องมันกำลังจะสาวมาถึงเรา!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น