มินตรามาถึงสำนักงานทนายความที่อนงค์อรทำงาน
หลังจากพยายามโทรศัพท์หามารดาหลายครั้งแต่ไม่มีคนรับสาย
หลังจากโฉมฉายเข้ามาประกาศฐานะตัวเอง มินตราก็โกรธจนหูอื้อตาลาย
แทบอยากฆ่าผู้หญิงคนนั้นให้ตายคามือ เธอคงอาละวาดหนักกว่านี้หากไม่คิดถึงแม่ว่าจะเป็นอย่างไร
หลังสามีพาชู้รักมาประกาศว่าทั้งคู่กำลังจะมีลูกกัน ต่อให้แม่ใจเย็นแค่ไหน
มินตราก็ยังแน่ใจว่าไม่มีผู้หญิงดีๆ
ที่ไหนยอมรับเรื่องพรรค์นี้ได้โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร
สุดท้ายแทนที่จะเล่นงานพ่อ...ซึ่งตอนนี้มินตราไม่รู้สึกว่าผู้ชายคนนั้นเป็นพ่ออีกต่อไปแล้ว
หรือสับโฉมฉายเป็นชิ้นๆ มินตรากลับรีบบึ่งออกจากบ้านมายังสำนักงานทนายความทันที
ดูเหมือนพนักงานคนอื่นๆ จะกลับบ้านไปแล้ว เหลือแค่ยามรักษาความปลอดภัยที่รู้จักมินตรา
เพราะเมื่อเห็นเธอมาถึง ก็รีบเดินเข้ามาทักทายด้วยท่าทีเกร็งๆ
“แม่ยังอยู่ข้างในหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ ยังอยู่ครับ เดี๋ยวผมเข้าไปเรียกให้...”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูเข้าไปเอง”
มินตราเดินโฉบเข้าไปด้วยความร้อนใจ
ภายในสำนักงานทนายความเงียบ แต่ไฟทุกดวงยังเปิดสว่าง
เมื่อเห็นว่าชั้นล่างไม่มีใครอยู่ ภายในห้องรับรองปิดเงียบ
หญิงสาวจึงเดินขึ้นชั้นสองซึ่งเป็นที่ทำงานของมารดา แต่เพียงก้าวแรก
ฝีเท้าของมินตราก็ต้องชะงักนิ่ง มองผ่านไปยังห้องทำงานด้านในสุดซึ่งกั้นด้วยกระจก
เห็นสองร่างที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว มินตราเห็นอนงค์อรไม่ชัดนักเพราะแม่หันหลังให้
แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับเห็นว่าร่างบอบบางนั้นอิงแอบแนบอกชายฉกรรจ์อีกคน
สองแขนโอบรอบตัวเขา มือขยุ้มเสื้อสูทตัวงามที่ชายคนนั้นสวม
แม้ท่าทางของทั้งคู่ไม่บ่งบอกถึงความใคร่ในเชิงชู้สาว นอกจากปลุกปลอบกันและกัน แต่สำหรับมินตราที่ต้องมาเห็นภาพนี้
อย่างไรเธอก็กระอักกระอ่วนใจอยู่ดี
ศรันย์เป็นคนแรกที่เห็นมินตรา
เขาชะงักเช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้พยายามจะบอกสตรีในอ้อมแขนถึงการมาของเธอ
นอกจากกระซิบคำพูดหนึ่งซึ่งมินตราเห็นมารดาขยับศีรษะรับ
ทั้งคู่ขยับถอยห่างจากกันอย่างเชื่องช้า
ทำให้มินตราเห็นเสี้ยวหน้าแดงก่ำอาบด้วยน้ำตาเป็นครั้งแรกของแม่
ศรันย์รอกระทั่งอนงค์อรนั่งเก้าอี้ยาวดีแล้วจึงค่อยผละออกมา โดยที่อนงค์อรไม่มีทีท่าจะสนใจว่าเขาไปไหน
นอกจากจมอยู่กับความโศกเศร้าของตัวเอง
มินตรารอกระทั่งร่างสูงเดินมาหา
พยักพเยิดให้เธอตามเขาไปที่มุมหนึ่งของระเบียง แม้จะไม่เต็มใจนัก
แต่มินตราก็ไม่รู้จะทำอะไรในสถานการณ์นี้เช่นกัน
“แม่เป็นยังไงบ้างคะ”
มินตราเข้าเรื่อง
“ลุงคงไม่ต้องอธิบายกระมัง
หนูคงเห็นอยู่แล้ว” น้ำเสียงทุ้มนั้นแม้จะไม่ประชดประชัน แต่ก็เย็นชาห่างเหินกว่าเคย
“มิ้นจะพาแม่กลับบ้าน”
“กลับบ้านไปเจอพ่อของหนูตอนนี้น่ะเหรอ
หนูแน่ใจหรือว่าอยากให้สองคนนั้นเขาเจอหน้ากันจริงๆ” ศรันย์เว้นคำพูดอีกเล็กน้อย
เมื่อจ้องมองหญิงสาวอ่อนวัยตรงหน้า “แล้วหนูล่ะ หนูคิดว่าตัวเองพร้อมจะดูแล
ปกป้องแม่ได้แน่หรือ”
“คุณลุงหมายความว่ายังไง” มินตราถามออกไปแล้วก็ต้องชะงัก
เมื่อคิดถึงตัวเองที่โทรศัพท์ไปเอะอะใส่เขา
ความรู้สึกผิดที่วูบเข้ามาทำให้หญิงสาวเมินหน้าหนีโดยไม่รู้ตัว
“ถ้าเป็นไปได้ลุงเองก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องภายในครอบครัวหนู
แต่ครั้งนี้ลุงจะไม่ทนเฉยอีกแล้ว คุณอรแบกรับอะไรไว้มากมายเหลือเกิน
แค่สิ่งที่พ่อของหนูทำกับเธอก็มากพอแล้ว แต่นี่ยังต้องถูกหนูซ้ำเติมอีก
หนูรู้ไหมว่ามันทำให้แม่เสียใจยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น”
“หนู...” มินตราพูดอะไรไม่ออก
“ยังไงก็ช่าง หนูจะพาแม่กลับบ้าน พ่อหอบเสื้อผ้าไปอยู่กับผู้หญิงคนนั้นแล้ว
คงไม่กลับมาหรอก หรือถ้ามา มิ้นก็จะไม่ให้พ่อยุ่งกับแม่”
“ลุงเสียใจ
แต่ครั้งนี้ลุงคงต้องขอเป็นคนเห็นแก่ตัว หนูกลับไปเถอะ ลุงจะดูแลคุณอรเอง”
มินตราเงยหน้าขึ้นทันที
“บ้าหรือไง ไม่มีทาง
เรื่องอะไรหนูจะปล่อยให้แม่อยู่กับผู้ชายอย่างคุณ!”
“ผู้ชายอย่างลุง?
หนูรู้หรือว่าลุงเป็นผู้ชายแบบไหน หรือแค่ตัดสินว่าลุงเป็นยังไงจากผู้ชายที่หนูเคยรู้จัก”
น้ำเสียงที่เข้มขึ้นของศรันย์ทำให้มินตราอึกอัก แต่เธอก็ยังไม่ยอมแพ้
“หรือคุณลุงจะบอกว่าไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับแม่หนู”
ศรันย์เม้มริมฝีปาก
แนวกรามของเขาขบแน่น
“ใช่ ลุงคิด”
เขายอมรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ลุงรักแม่หนู รักมานานมาก แต่นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง...
เรื่องที่ลุงได้แต่เก็บงำไว้ในใจตัวเอง ลุงไม่ใช่เด็กวัยรุ่นที่จะทำอะไรตามอารมณ์
เมื่อคุณอรเลือกคนอื่น ลุงก็พร้อมที่จะยอมรับ สิ่งที่ลุงคาดหวังไม่มีอะไรนอกจากได้เห็นคุณอรมีความสุขกับคนที่ตัวเองเลือก
และเรายังคงเหลือมิตรภาพที่ดีต่อไป
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าลุงจะต้องทนเห็นคุณอรถูกทำร้ายโดยไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย”
“ข้ออ้างน่ะสิ” ยิ่งพูด
น้ำเสียงของมินตราก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ “คุณลุงคิดจะแย่งแม่ไปจากหนูใช่ไหม!”
“ลุงไม่เคยคิดแย่งอะไรของใคร อีกอย่าง
จริงอยู่ที่คุณอรอาจเป็นแม่ของหนู แต่ชีวิตของคุณอรไม่ได้เป็นของหนูไปด้วย
ถ้าหนูยังไม่เลิกคาดหวัง ยังไม่เลิกบังคับให้ชีวิตคนอื่นต้องเป็นอย่างที่ตัวเองพอใจ
หนูนั่นแหละที่จะทำร้ายคุณอรยิ่งกว่าใครๆ หนูกลับไปเถอะมินตรา
กลับไปคิดทบทวนให้ดีๆ ถ้าหนูยังไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิดไป
ลุงก็จะไม่ยอมคืนคุณอรให้เด็ดขาด จะว่าลุงใจร้ายใจดำก็ได้
แต่ครั้งนี้ลุงจะไม่ยอมอีกแล้ว”
“คุณไม่มีสิทธิ์ ถอยไปนะ
แม่เป็นของหนู ของหนูคนเดียว!” มินตราคิดจะผลักร่างนั้นออกไป แต่เขายังปักหลักไม่เคลื่อนไหว
“อย่าบังคับให้คุณอรต้องเลือกระหว่างลุงกับหนูตอนนี้เลย”
ศรันย์เอ่ยเสียงเย็น “เพราะไม่ว่าจะเลือกใคร ก็มีแต่คุณอรเท่านั้นที่เจ็บปวด”
“แต่...” น้ำตาหยดแรกไหลจากดวงตามินตราตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
ศรันย์พูดถูก หัวใจของอนงค์อรเวลานี้คงหวังที่จะมีใครสักคนเป็นที่พักพิง และคนคนนั้นไม่ใช่เธอ
มินตราได้ยินเสียงถอนใจเบาๆ ก่อนที่มือหนาจะบีบไหล่ของเธอ
“ลุงสาบานด้วยเกียรติของลุง ว่าจะไม่ทำอะไรที่ทำให้แม่ของหนูเสื่อมเสียหรือมัวหมอง
ลุงแค่อยากให้คุณอรได้มีเวลาพักเท่านั้น เมื่อไหร่ที่คุณอรเข้มแข็งพอแล้ว ลุงจะไม่รั้งไว้แน่นอน
ถือว่าลุงขอร้อง หนูกลับไปเถอะ”
ภูมิพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงอารมณ์หงุดหงิดใดๆ
เขาตรงมาที่ร้านซึ่งนัดว่าจะพามินตรามา หลังจากโทร. ไปหาหญิงสาวหลายต่อหลายครั้ง
และได้รับคำตอบว่าเธอล่วงหน้ามาก่อนแล้ว พนักงานต้อนรับเข้ามาทักทายภูมิทันทีที่มาถึง
ทว่าเขามัวแต่มองไปรอบๆ ร้านกระทั่งพบเป้าหมาย มินตรานั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์
มีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ และกำลังคุยกันอย่างออกรส
ถ้าตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองหงุดหงิดมากพอแล้ว
ตอนนี้ภูมิแทบอยากตรงเข้าไปแทรกกลางระหว่างสองคนนั้น พร้อมฟาดก้นมินตราสักทีให้หายโมโห
แต่เอาเข้าจริงๆ เมื่อเขาเดินตรงเข้าไป ไม่รู้ว่ามินตรารู้ตัวอยู่แล้วหรือแค่บังเอิญ
เพราะใบหน้าใสๆ นั่นหันมาทางเขาทันที
คิ้วของชายหนุ่มขมวดมุ่น
มีบางอย่างในตัวหญิงสาวที่ผิดแปลกไป ความเศร้าแฝงอยู่ในดวงตาคู่สวย
แต่ถูกลบหายไปเมื่อเธอส่งยิ้มให้เขา
“มาแล้วหรือคะพี่ภูมิ”
ภูมิเขม่นสายตาไปทางไอ้หนุ่มข้างๆ ที่รีบหลบหน้าอย่างรู้ตัวดี
เขาแทรกเข้าไปโอบด้านหลังเอวหญิงสาว แล้วพาเธอออกมาจากตรงนั้น
มินตรายังถือแก้วเครื่องดื่มติดมือมาด้วย ใบหน้าที่ซับสีแดงระเรื่อกับท่าเดินเซนิดๆ
ทำให้ภูมิเม้มปากมากขึ้น กระทั่งมาถึงโต๊ะว่างที่พนักงานยืนรออยู่
“ทำไมจู่ๆ ก็มาก่อนแบบนี้”
ภูมิถามทันทีที่มินตรานั่งลงแล้ว เฝ้ามองเธอจิบเครื่องดื่มอีกอึกก่อนตอบ
“พอดีมิ้นผ่านมาทางนี้น่ะค่ะ
เห็นชื่อร้านที่พี่บอกแล้วจำได้ ก็เลยไม่อยากรบกวน พี่ภูมิหิวหรือยังคะ มิ้นกะว่ารอพี่มาถึงก่อนแล้วค่อยสั่งอาหาร”
พูดจบหญิงสาวก็ยกมือขอเมนูจากพนักงาน
ภูมิยังจับตามองมินตราตลอดเวลาที่เธอชวนพูดคุย ถามว่าเขาชอบกินอะไร
ก่อนจะสั่งอาหารสามสี่อย่าง หลังจากอาหารมาครบก็คะยั้นคะยอให้เขาชิมและคอยตักอาหารใส่จานให้
ทุกอย่างอาจดูปกติดี ถ้าไม่ติดว่ามินตราดูกระตือรือร้นเอาใจเขาเกินเหตุ
รู้ตัวอีกทีหญิงสาวก็ขยับเก้าอี้เข้ามานั่งใกล้เขาเสียจนหัวเข่าทั้งคู่ชิดกัน
“มิ้นบอกว่าจะเลี้ยงข้าวพี่ภูมิใช่ไหมคะ
งั้นมื้อนี้ถือว่ามิ้นเลี้ยงพี่ก็แล้วกัน”
“แต่พี่เป็นคนชวน”
“ไม่ได้ค่ะ ห้ามปฏิเสธ
เดี๋ยวพี่ก็ต้องกลับแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้เจอกันอีก” พูดแล้วหญิงสาวก็ทอดถอนใจ
“มิ้นคงเหงาแย่”
“แต่ก่อนไม่มีพี่ก็ไม่เห็นเหงาไม่ใช่หรือ”
“นั่นมันแต่ก่อนนี่คะ
ตอนนี้วันไหนไม่ได้คุยกับพี่ เหมือนชีวิตขาดอะไรสักอย่าง แต่โทร. หาบ่อยๆ ก็เกรงใจ
งานในไร่คงมีแต่เรื่องให้ทำเยอะแยะ”
ภูมิสังเกตว่าแม้มินตราจะแสร้งตักนั่นตักนี้ใส่ปากอย่างเจริญอาหาร
แต่เอาเข้าจริงๆ ก็กินอย่างละนิดละหน่อย เพราะอาหารในจานแทบไม่พร่องเลย
กลับกันเครื่องดื่มในแก้วถูกดื่มไปอย่างรวดเร็ว ถึงจะเป็นเครื่องดื่มดีกรีอ่อนๆ
ก็เถอะ ภูมิยื่นมือเข้าไปเลื่อนแก้วออกจากหญิงสาว เมื่อเธอกำลังจะยกขึ้นดื่มอีก
“พี่ว่าเราดื่มมากไปแล้วนะ
ดูหน้าสิ แดงเป็นลูกมะเขือเทศ”
“แหม
แสดงว่าพี่ภูมิยังไม่เคยลองเหล้าปั่นของที่นี่ละสิ อร่อยดีออก ให้มิ้นสั่งให้สักแก้วดีไหมคะ”
ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะตอบตกลง
มินตราก็เรียกพนักงานและสั่งเครื่องดื่มให้หน้าตาเฉย กระทั่งหันกลับมาสบตาเขาอีกครั้ง
“มีอะไรหรือคะ”
“เปล่า พี่ไม่มีอะไร
แต่เราต่างหากมี ‘อะไร’ ”
คำถามของชายหนุ่มทำให้มินตรานิ่งงัน
แต่ก็ยังแสร้งยิ้มตาใส
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ
ก็แค่...เหนื่อย” ใช่ เธอเหนื่อยจริงๆ นั่นแหละ เหนื่อยเหลือเกิน
มินตราเอนศีรษะพิงกับต้นแขนชายหนุ่ม ไม่สนว่าตัวเขาจะเกร็งเล็กน้อย
“มิ้น...” ภูมิเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นเชิงเตือน
“เมาหรือเปล่า”
“รังเกียจหรือคะ”
ภูมิสูดหายใจลึกอย่างอดทน
แต่ท้ายที่สุดก็ยอมแพ้ต่อแรงยั่วยวน เขาโอบมือรอบไหล่บอบบางไว้
“รู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่”
ชายหนุ่มกระซิบถามแนบขมับหญิงสาว ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ
เมื่อเธอยิ่งจงใจซุกไซ้เข้าหา
“รู้ค่ะ กำลังอ่อยพี่อยู่นี่ไง”
“นิสัยไม่ดี”
เขาแสร้งเอ็ดแต่ก็ไม่ได้ปัดป้อง ภูมิเกยคางกับขมับหญิงสาวครู่หนึ่งก่อนถาม “มีอะไรก็เล่าให้พี่ฟังหน่อยสิ”
แม้จะไม่มีคำตอบในทันที
แต่ภูมิแน่ใจว่าคำถามนั้นส่งผลต่อมินตราไม่มากก็น้อย
เพราะเขาได้ยินเสียงลมหายใจสะอื้นแผ่วเบาตอบกลับมา
“มิ้นอาย...” หญิงสาวพูดเสียงพร่า
“มาร้องไห้กลางที่แบบนี้
ให้มิ้นร้องไห้ตรงอกพี่แทนได้ไหม...แล้วพี่แกล้งทำเป็นไม่เห็นได้ไหม”
“ได้”
ภูมิยกแขนขึ้นวางเหนือพนักเก้าอี้ของหญิงสาว
ใช้ตัวเองบดบังจากมุมที่จะทำให้คนอื่นๆ มองไม่เห็นนัก
ยังดีที่อย่างน้อยในร้านก็ไม่สว่างมาก
และคนส่วนใหญ่ก็สนใจอยู่กับเรื่องของตัวเองมากกว่าจะมองหนุ่มสาวสองคนที่นั่งแอบอิงกัน
อาจเพราะเป็นภาพที่เห็นจนชินตาแล้วก็ได้ ภูมิไม่ได้ยินเสียงร้องไห้จากมินตรา
แต่เขารู้สึกถึงร่างบอบบางที่สั่นสะท้านแนบผิวกาย
ลมหายใจที่ระบายเข้าออกมาเป็นห้วงสะอื้นเบาๆ ผ่านไปไม่กี่นาทีเขาก็รู้สึกถึงความเปียกชื้นตรงอกเสื้อ
เวลาผ่านไป อาจสักประมาณห้านาที
ภูมิยังคงนั่งอยู่เป็นเพื่อนมินตรา ใช้อกตัวเองให้เธอระบายความโศกเศร้า กระทั่งร่างที่แอบอิงค่อยๆ
ผละออกช้าๆ พลางใช้มือปาดคราบน้ำตาจากแก้มโดยไม่เอ่ยอะไร
“อยากกลับไหม” เขาถาม แต่หญิงสาวสั่นศีรษะเบาๆ
“ไม่อยากกลับบ้าน”
เพียงเท่านี้เขาก็พอจะเดาได้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้มินตราอยู่ในสภาพเช่นนี้
ดูท่าทางปัญหาภายในครอบครัวของเธอจะไม่ได้คลี่คลายไปในทางที่ดีสักนิด
“ให้มิ้นไปค้างด้วยได้ไหม”
“พี่ไม่คิดว่ามาค้างกับพี่ตอนนี้จะช่วยให้อะไรดีขึ้น”
เขาแบ่งรับแบ่งสู้ แม้ใจอยากจะตอบรับ แต่คำว่าเหมาะสมก็ยังทำให้เขาเอ่ยปากเช่นนั้นไม่ได้
“งั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ”
มินตราถอยกลับไป จมูกยังแดงเรื่อและขนตายังเปียกชื้น “งั้นมิ้นขอกลับก่อน...”
ภูมิคว้าข้อมือหญิงสาวไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้น
แล้วดึงให้กลับมานั่งตามเดิมโดยไม่คิดจะปล่อยมือเธอ เขาถอนใจหนักๆ
ทีหนึ่งก่อนอธิบาย
“พี่ดีใจที่มิ้นไว้ใจพี่
แต่ถึงยังไงพี่ก็เป็นผู้ชาย มัน... ออกจะไม่เหมาะ”
“มาพูดว่าไม่เหมาะตอนนี้ออกจะช้าไปหน่อยนะคะ”
มินตราย้อน แล้วส่ายหน้ากับตัวเอง “มิ้นแค่เหนื่อย
และไม่อยากอยู่ในที่ที่ทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ลงกว่าเดิม แต่ช่างเถอะ
มิ้นไม่ควรคิดแต่จะพึ่งพาคนอื่น น่าจะหัดช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว”
ภูมิยังทำหน้านิ่วเมื่อหญิงสาวยกมือเรียกพนักงานให้คิดเงิน
แต่พอจะหยิบกระเป๋าเงินออกมา เขาก็กดมือข้างนั้นของเธอลง แล้วเป็นคนจ่ายเอง
ไม่รั้งรอให้มินตราโต้แย้งใดๆ ก็รุนหลังร่างบางให้ลุกขึ้นแล้วออกจากร้าน
หลังจากส่งหญิงสาวขึ้นรถและตัวเองก็ขึ้นมานั่งตำแหน่งคนขับ ภูมิก็ถอนใจออกมาอีก
“ครั้งสุดท้ายนะ”
เขาเอ่ยแล้วหันไปสบตาหญิงสาวจริงจัง “พี่ไม่ได้รังเกียจ
และอยากช่วยเหลือในสิ่งที่พี่ช่วยได้ แต่มิ้นเองก็คงรู้ ลึกๆ
แล้วพี่ก็ไม่ต่างกับผู้ชายทั่วไป พี่ไม่ได้มองมิ้นอย่างบริสุทธิ์ใจร้อยเปอร์เซ็นต์
แค่ตอนนี้สติพี่ยังอยู่เหนือความต้องการ... แต่อย่าท้าทายศีลธรรมพี่นัก
เพราะคนที่เสียไม่ใช่พี่”
การมานอนค้างที่ห้องของภูมิครั้งนี้ต่างกับครั้งแรกโดยสิ้นเชิง
เพราะแม้ชายหนุ่มจะคอยจัดการดูแลที่ทางให้ แต่ท่าทางของเขาไม่ได้สบายๆ
หรือเป็นกันเองแบบครั้งก่อน มีความมึนตึงที่แสดงออกชัดเจน แต่มินตราคงโทษเขาไม่ได้
เพราะเธอเป็นคนกดดันให้เขาเป็นเช่นนั้น ตอนแรกทั้งคู่แทบไม่พูดคุยอะไรกัน
กระทั่งหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ
มินตราได้รับเสื้อเชิ้ตของชายหนุ่มกับกางเกงนอนที่ทางห้องพักเตรียมไว้สำรอง
ระหว่างที่มินตรามองชายหนุ่มวุ่นวายอยู่กับรีโมตโทรทัศน์
หญิงสาวก็ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“คุณพิมประกายเป็นแฟนพี่ใช่ไหม”
ภูมิพ่นลมหายใจ
“บอกแล้วไงว่าไม่ใช่”
“แต่ก็เคยเป็น” พอถูกคาดคั้นหนักๆ
เข้า บวกกับนอกจากแสร้งเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้ เพื่อไม่ให้ภายในห้องอึดอัดเกินไป
ทั้งคู่ก็ไม่มีอะไรให้ทำมากนัก มินตราที่นอนอยู่บนโซฟาเบดตอนแรก พลิกตัวนอนคว่ำ วางศอกเท้าคางขณะรอคำตอบ
ท้ายสุดชายหนุ่มก็จำต้องรับสารภาพ
“เคยคบกันสมัยเด็กๆ”
“เด็กแค่ไหนคะ”
“สิบเจ็ด”
มินตราเลิกคิ้วด้วยความสนใจ
สิบเจ็ดอย่างนั้นหรือ อย่างนั้นก็ตอนที่พ่อกับแม่ของเขาเสียน่ะสิ
“แล้วทำไมถึงเลิกคะ”
“ไม่เชิงว่าเลิกกันทันทีหรอก
พ่อแม่พี่เสียปีนั้น พี่ก็เลยวุ่นวายอยู่กับไร่ ไม่มีเวลาให้เขา
มีเรื่องทะเลาะกันตามประสาเด็ก...” ภูมิหัวเราะฝืดๆ คงเป็นเช่นนั้นแหละ
ขณะที่พิมประกายยังใช้ชีวิตเด็กวัยรุ่นที่ต้องการการพะเน้าพะนอจากคู่รัก
ภูมิกลับเป็นเด็กที่จู่ๆ ต้องเป็นผู้ใหญ่ในชั่วข้ามคืน เขาเคยโกรธและน้อยใจวาสนาตัวเองเหมือนกัน
แต่พอเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่ตนแบกรับไว้สำคัญแค่ไหน
และดีใจที่ตัวเองอดทนจนผ่านพ้นไปได้ “พอพิมแต่งงาน พี่กับเขาก็เลิกกันถาวร”
“แต่งงาน?
ผู้หญิงคนนั้นเคยแต่งงานมาก่อนหรือคะ” มินตราทำหน้านิ่ว “แล้วทำไมเขาทำตัวติดพี่แจแบบนี้
ไม่กลัวสามีเขามาดักตีหัวเหรอ”
“สามีของพิมเสียไปหลายปีแล้ว”
ภูมิหัวเราะ “แถมเป็นถึงเจ้าสัวเชียวนะ เคยมีลูกเมียหลายคน
แต่พิมเป็นเมียแต่งออกหน้า พอเจ้าสัวเสีย พิมก็เลยได้รับมรดกมามากโข
ไหนจะโรงงานอาหารแปรรูปอีก”
“โอ้โห เป็นมิ้นก็เลือกเจ้าสัวนะ”
มินตราเย้า และหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรก เมื่อภูมิเหวี่ยงหมอนอิงใส่ด้วยความหมั่นไส้
“ก็แหม ทำไร่ทำสวนมันจะไปสนุกอะไร สู้เป็นคุณนายดีกว่า แล้วนี่อย่าบอกนะคะ หลังจากเป็นม่าย
แม่คุณก็เลยบินกลับมาหาพี่”
“พิมอาจจะคาดหวังความสัมพันธ์เก่าๆ
แต่พี่ไม่คิดจะกลับไปรื้อฟื้นหรอก”
“ทำไมล่ะคะ
คุณพิมเธอก็รูปสวยรวยทรัพย์ ถึงจะเป็นแม่ม่าย แต่ก็ม่ายเนื้อทอง ท่าทางคงมีคนมาติดพันไม่น้อย
แต่ก็ยังจงใจทอดสะพานมาหาพี่”
ภูมิยกมือขึ้นเกาหัว
ขบคิดหาคำอธิบาย
“พี่ไม่ชอบใช้ของร่วมกับใคร”
“แค่นั้นเองหรือคะ”
หญิงสาวถามเสียงสูง ชักสีหน้าไม่ค่อยพอใจกับคำตอบของเขา
“ผู้ชายนี่เป็นอะไรกับพรหมจารีผู้หญิงนักหนานะ อีแค่เยื่อบางๆ นั่น
มันสำคัญนักหรือว่าตัวเองจะต้องเป็นคนแรกที่ได้เจาะ
และมันสำคัญขนาดทำให้คุณค่าของผู้หญิงคนหนึ่งหมดไปโดยสิ้นเชิงเลยหรือ”
ชายหนุ่มเบิกตาโต
ดูเหมือนหญิงสาวจะตีความหมายของเขาผิดไปไกลโขทีเดียว
“เดี๋ยวๆ ฟังก่อน พี่ไม่ได้หมายถึงเรื่องพรหมจรรย์อะไรนั่น
เฮ้ย จะพูดยังไงดีวะ”
“อย่ามาขึ้นวะ ขึ้นเว้ยกับมิ้นนะ
มิ้นไม่ชอบ!”
“เอ้า ไม่วะก็ไม่วะ” ภูมิชักปวดหัว
“พี่หมายถึงการคบหาต่างหาก เมื่อคบหาใคร
คาดหวังที่จะวางแผนอนาคตกับใครก็ควรที่จะซื่อสัตย์กับคนคนนั้น ไม่ใช่ปากอย่าง การกระทำอย่าง
อายุพี่ไม่ใช่จะน้อยๆ แล้ว ชีวิตที่ผ่านมาหากเลือกได้ พี่ก็อยากจะหยุดกับคนแค่คนเดียว
ดังนั้นถ้าต้องคบหากับใครสักคนตอนนี้ พี่ไม่ถือหรอก ต่อให้ผู้หญิงคนนั้นจะเคยผ่านผู้ชายมาก่อน
หรือมีเรือพ่วงติดมาสักกี่ลำ
ขอแค่เมื่อตัดสินใจจะใช้ชีวิตร่วมกันก็ขอให้เขาหยุดที่พี่คนเดียว”
มินตราพิจารณาคำพูดชายหนุ่มอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ
แต่ไม่แน่ใจว่าจะควรรู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่ชายหนุ่มบอกดีหรือเปล่า
เพราะตั้งแต่เจอหน้าพิมประกายครั้งแรก มินตราก็สงสัยเช่นกัน
“หมายความว่านอกจากพี่แล้ว
คุณพิมก็ยังคบคนอื่นไปด้วยหรือคะ นั่นก่อนหรือหลังจากที่เขามาขอคืนดีกับพี่”
“ทั้งก่อนทั้งหลัง” ภูมิรับเศร้าๆ
“พี่เคยบอกคุณพิมไหม
ว่าพี่ต้องการให้มีแค่พี่คนเดียว”
“ไม่” ชายหนุ่มส่ายหน้าทันที
“พี่แน่ใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับพิมดี ต่อให้พิมเปลี่ยนตัวเอง พี่ก็ไม่เปลี่ยนใจหรอก
เราเป็นได้อย่างมากก็แค่เพื่อนกัน”
“แล้วถ้าคุณพิมเขาเสนอตัวให้พี่ฟรีๆ
โดยไม่ผูกมัดล่ะ พี่จะรับไหม” ไม่รู้เพราะอะไร
แต่มินตราค่อนข้างแน่ใจว่าพิมประกายจะต้องเคยยื่นข้อเสนอนี้ให้ภูมิมาก่อนแน่
และความคิดที่ว่าเขาเคยรับข้อเสนอนี้ของพิมประกาย ทำให้ในอกมินตราปั่นป่วนด้วยความรู้สึกที่ระบุไม่ได้
“พี่ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าไม่อยากใช้ของร่วมกับใคร”
“แล้ว...” มินตราขบริมฝีปาก
“แล้วถ้ามิ้นเสนอตัวให้พี่ฟรีๆ พี่จะรับไหม”
นี่ถ้าในห้องมีจิ้งหรีด
มินตราคงได้ยินเสียงร้องหวี่ๆ เป็นแน่ ทีท่าที่เพิ่งผ่อนคลายของภูมิหายไปทันทีหลังได้ยินคำถาม
ความตึงเครียดปรากฏขึ้นบนใบคมหน้ากระด้าง จนมินตรานึกอยากเอาคำพูดคืนมา
“ทำไมถึงถามแบบนั้น”
แม้แต่สุ้มเสียงที่เอ่ยจากปากชายหนุ่มยังฟังกระด้างไปด้วย
มินตราลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ ขยับตัวขยุกขยิกตัวไปมาเมื่อถูกเขาจ้องมอง
“ก็แค่อยากรู้”
“งั้นพี่ขอถามคำถามใหม่...นอกจากพี่แล้ว
เราเคยถามคำถามเดียวกันนี้กับผู้ชายอื่นอีกไหม”
มินตรารู้สึกราวกับถูกคำถามนั้นฟาดใส่หน้า
หากเป็นแต่ก่อนเธอคงลุกขึ้นกระทืบเท้า แล้วตอบโต้กลับอย่างเจ็บแสบ
คนอย่างเธอไม่จำเป็นต้องเสนอตัวให้ใคร มีแต่ผู้ชายนั่นแหละที่จะเรียงหน้าเข้ามาให้เลือก
และเธอนี่แหละที่จะเป็นฝ่ายเมินหน้าหนี
นี่เธอต้องเป็นบ้าแน่ๆ ถึงถามเขาแบบนี้
เสียงเล็กๆ ในหัวร้องบอก และจากสายตาที่ชายหนุ่มมองมา
มินตราเห็นความผิดหวังและข้อกังขาของเขา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาต้องสรุปไปเรียบร้อยแล้วว่าเธอผ่านผู้ชายมามาก
และเขากำลังถูกทาบทามให้เป็นอีกรายชื่อหนึ่งในบัญชีของเธอ
“เข้านอนเถอะ” ภูมิเอ่ยตัดบท
ลุกขึ้นโดยไม่แม้แต่จะมองหน้ามินตราที่นั่งอยู่อีกด้าน เขาปิดโทรทัศน์แล้วเดินไปที่เตียงของตัวเอง
จากนั้นปิดไฟ แต่เหลือไฟไว้ดวงหนึ่งตรงหน้าห้องน้ำ
ทำให้ทั้งห้องไม่ถึงกับอยู่ในความมืดสนิท แต่ยังไม่ทันที่เขาจะหย่อนตัวลงบนเตียง
เสียงเล็กๆ จากอีกฝั่งของห้องก็ยังส่งคำถามที่ทำให้เขาถึงกับนั่งไม่ติด
“พี่เป็นเกย์ใช่ไหม”
ชายหนุ่มหันขวับไปแทบจะวินาทีนั้น
“นอนซะ!”
“พี่ไม่ต้องอายหรอกน่า
มิ้นมีเพื่อนที่เป็นเกย์ เป็นทอม บางคนเป็นเลสเบียน” มินตรายังกล่าวต่อไป
พยักหน้าหงึกๆ กับตัวเอง แล้วก็ทำตัวว่าง่ายด้วยการพลิกตัวกลับไปนอน
ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัว “ผู้ชายท่าทางแมนๆ กล้ามโตๆ เดี๋ยวนี้เป็นเกย์กันเยอะแยะ
ถึงบางคนจะยอมรับตัวเองไม่ได้ หรือแกล้งทำเป็นรังเกียจพวกเดียวกันก็เถอะ”
“คุณพระช่วย!”
ภูมิอยากทึ้งผมตัวเองจริงๆ “พี่ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น แต่ถ้ายังพูดมากอีก
มีคนได้เป็นแน่!”
“ไม่ต้องทำเสียงดังก็ได้”
หญิงสาวตำหนิ “มิ้นไม่เอาไปโฆษณาที่ไหนหรอกน่า”
พูดจบหญิงสาวก็พลิกตัวหันหลังให้
แต่ผ่านไปไม่ถึงนาทีดี เสียงฝีเท้าหนักๆ ย้ำตึงๆ ดังเข้ามาใกล้
มินตราสะดุ้งโหยงเมื่อถูกมือสากคว้าเข้าที่ไหล่ เขาไม่ได้ทำให้เธอเจ็บ แต่พริบตาเดียวข้อมือทั้งสองของเธอก็ถูกตรึงไว้เหนือศีรษะ
โดยมีมือกร้านอีกข้างบีบอยู่ที่คาง ถึงอย่างนั้นมินตราก็อดหวาดกลัวไม่ได้อยู่ดี เธออ้าปากแต่เสียงร้องทั้งหมดกลืนหายลงคอเมื่อริมฝีปากของชายหนุ่มประกบแนบลงมา
มินตราแทบหายใจหายคอไม่ออก
ไม่ใช่แค่ริมฝีปากเท่านั้นที่ถูกครอบครอง
แต่พละกำลังตลอดเนื้อตัวแข็งแกร่งที่เบียดแนบลงมาทำให้เธอสำนึกถึงความเป็นชายของภูมิชัดเจนยิ่งกว่าอะไร
หญิงสาวรับรู้ความปรารถนาของเขาได้จากสัมผัสบนผิวกายของเธอ
เหมือนประจุไฟฟ้าที่แล่นพล่านอยู่ในเส้นเลือด จูบของเขาสำรวจถ้วนทั่ว
กลืนกินไม่ผ่อนปรน มือที่บีบคางอยู่ตอนแรก ไล้ลูบผ่านลำคอ
และทำให้มินตราเปล่งเสียงครางในปากเขายามมือหนาที่ให้ความรู้สึกสากระคายลูบผ่านทรวงอก
ภูมิปล่อยมินตราให้สูดลมหายใจเพียงชั่วครู่
ก่อนย้อนกลับมากลืนกินอีกครั้ง กระทั่งร่างบางที่ดิ้นเร้าในตอนแรกเหลือแค่เสียงครางหวิว
อ่อนระทวยในอ้อมแขนของเขา
“แบบนี้หรือที่อยากให้เป็น”
เสียงแหบพร่าของภูมิ ริมฝีปากของเขากระซิบแนบใบหูหญิงสาว
รู้สึกได้ถึงร่างเล็กบอบบางที่เริ่มขดตัวอยู่ใต้ร่างเขา
“แค่ไฟตัณหาที่ถูกจุดขึ้นชั่วครู่ชั่วคราว...”
หัวใจมินตราเต้นแรงเสียจนคิดว่าชายหนุ่มต้องได้ยินแน่ๆ
ฝ่ามือของเขาอ้อยอิ่งอยู่เหนือทรวงอกที่มีเพียงบราเซียร์ขวางกั้น
ก่อนจะเลื้อยต่ำลงไป
ช้อนเอวบางขึ้นและทำให้มินตราต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อหน้าท้องของเธอสัมผัสความร้อนผ่าวแข็งขึงที่เบียดแนบด้วย
พอเธอพยายามถดหนี ยิ่งทำให้สองร่างเสียดสีกัน เรียกเสียงครางแหบพร่าที่ดังลอดจากริมฝีปากชายหนุ่ม
ฟังทรมานราวกับถูกเฆี่ยนโบย
จู่ๆ มินตราก็รู้สึกใจกล้าขึ้นมา
อาจเพราะแน่ใจว่าตัวเองมีอำนาจเหนือร่างกายชายหนุ่มกระมัง
ความรู้สึกที่สามารถสยบผู้ชายแข็งแกร่งคนหนึ่งได้ช่วยทดแทนความรู้สึกหวั่นไหวจากเหตุการณ์ต่างๆ
ที่โถมเข้ามาตลอดทั้งวัน ทันทีที่ข้อมือเป็นอิสระ
มินตราจึงเป็นฝ่ายเริ่มสำรวจไปทั่วบ่ากว้าง ลูบมือผ่านแนวกรามสากระคาย รับรู้ถึงกล้ามเนื้อเกร็งเครียดของบุรุษ
ผิวกายของภูมิหมาดชื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และร้อนผ่าวกว่าปกติ
มือบางอ่อนนุ่มไล่ลูบผ่านแผงอกหนา เลื่อนต่ำลงไปช้าๆ
พร้อมเสียงหอบหายใจของภูมิที่ฟังชัดขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อฝ่ามือของเธอลากผ่านหน้าท้องเครียดแข็ง
ภูมิก็คว้าข้อมือซุกซนนั่นไว้ กระซิบเสียงเครียด
“อย่า!”
“ทำไมคะ” หญิงสาวถามอย่างเลื่อนลอย
“เพราะถ้ามันเริ่มตรงนี้
มันก็จะจบแค่ตรงนี้” ภูมิเม้มปาก เส้นเลือดบนลำคอแทบปูดโปน ใบหน้าแดงคล้ำข่มกลั้น
“เข้าใจไหมว่าพี่หมายถึงอะไร เราจะแลกเปลี่ยนกันแค่ร่างกาย แต่เสร็จแล้วก็จบๆ
กันไป”
อ๋อ
เท่านี้เอง...เขากลัวที่จะผูกมัด และไม่ต้องการรับผิดชอบใดๆ แค่นั้นสินะ
แต่จะคาดหวังอะไรเล่า ตั้งแต่แรกมินตราก็อ่านสายตาของเขาออกแล้ว
เขาเพียงแค่ปรารถนาร่างกายของเธอ แค่กำลังเพลิดเพลินสีสันแปลกใหม่
ทว่าสุดท้ายสิ่งที่ชายหนุ่มจะหยิบคว้าก็คงมีแค่เพชรแท้ ไม่ใช่ก้อนกรวดสีสวยๆ
ความคิดนั้นทำให้มินตราอยากหลั่งน้ำตา เวลานี้เธอยังมีค่าสำหรับใครอีกบ้าง
ยังมีใครที่ต้องการเธออีกบ้าง...
ช่างปะไร!
หญิงสาวตัดสินใจเด็ดเดี่ยว คนที่ไม่มีใครรักอย่างเธอ
ต่อให้ไม่ได้รับความรักจากเขาเพิ่มอีกคนก็ไม่เห็นจะเป็นไร ใครๆ ก็เห็นแก่ตัว
เห็นแก่ความสุขความสบายใจของตัวเองทั้งนั้น ทำไมเธอต้องทนให้คนอื่นเหยียบย่ำฝ่ายเดียว
แทนที่จะหาความสุขให้ตัวเองบ้าง
มินตราดึงข้อมือที่ถูกชายหนุ่มเกาะกุมไว้กลับ
ก่อนโอบมือรอบต้นคอของเขา ดันทรวงอกเข้าแนบกับแผงอกแกร่ง
“มิ้นไม่สน”
หญิงสาวกระซิบแนบริมฝีปากอีกฝ่าย “ไม่สนอะไรทั้งนั้น!”
ความคิดเห็น |
---|