ภูมิลืมตาขึ้นมาและมองนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบสองโมงเช้าแล้ว ชายหนุ่มจำเกือบไม่ได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ยกเว้นความรู้สึกอบอุ่นอ่อนนุ่มที่เบียดอยู่แนบกาย เขายิ้มกับตัวเองพลางพลิกตัวตะแคงช้าๆ ดึงร่างนุ่มหอมกรุ่นเข้ามาแนบตัวยิ่งขึ้น ลมหายใจอุ่นๆ สม่ำเสมอเป่ารดอกเปลือยของเขา สัดส่วนโค้งเว้าอ่อนหวานแนบชิดตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า
มันนานเสียจนภูมิชักจำไม่ได้ว่าเคยให้ผู้หญิงคนไหนนอนเคียงข้างแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า แล้วคำตอบก็คือ...ไม่เคย ถึงจะมีบ้างที่เขาออกไปหาความสุขตามประสาผู้ชาย แต่ไม่เคยใช้เวลาอ้อยอิ่งกับใครเนิ่นนาน เขาไม่ใช่คนหมกมุ่นเรื่องพวกนี้ ไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องหาผู้หญิงไว้เพื่อระบายความใคร่ หรือต้องกลับไปหาผู้หญิงคนใดอีกซ้ำๆ เมื่อต้องการ กระทั่งมินตราปรากฏตัว ในหัวของเขาก็มีแต่เรื่องเธอวนเวียนไม่เลิกรา
บัดนี้แม่สาวน้อยไฟแรงสูงทำให้ภูมิถึงกับบื้อใบ้ แม้เขาไม่ถาม ไม่พูดถึง แต่ไม่โง่ขนาดที่จะไม่รู้ว่าหญิงสาวขาดประสบการณ์ ทว่าเขาก็ไม่หยุด ไม่กระตุ้นเตือนให้เธอลังเล ทั้งหมดมีเพียงแค่ความมุ่งมั่นแรงกล้าที่จะครอบครอง และสิ่งที่เขาทำลงไปก็ไม่ใช่เพียงตัณหาชั่วแล่น เขาเข้าใจว่าทำไมหญิงสาวแสดงออกราวกับเป็นผู้หญิงกร้านโลก เข้าใจว่าทั้งหมดนั้นแท้จริงก็เพื่อปกป้องตัวเอง ซึ่งยิ่งทำให้ภูมิต้องการ...ต้องการที่จะปกป้องคุ้มครอง และให้เธอได้เป็นตัวของตัวเองโดยไม่ต้องหวาดกลัวสิ่งใด
ภูมิจูบไหล่มนเบาๆ แล้วไล่ขึ้นสู่ใบหู ทำให้ร่างในอ้อมแขนเริ่มขยับตัวขยุกขยิก
“ไม่เอา เลิกทำแบบนั้นเถอะค่ะ”
“หือ? ทำอะไร ทำแบบนี้หรือ” เขายิ่งซุกไซ้มากขึ้นจนหญิงสาวหัวเราะเพราะจั๊กจี้ มือดันคางให้ถอยออกไป แต่ภูมิก็ยังขบเล็มปลายนิ้ว จนท้ายสุดหญิงสาวก็ยอมโอนอ่อน โอบเรียวแขนรัดต้นคอเขา ปากทั้งคู่ประกบแนบสนิท ภูมิหลงวนอยู่ในความซาบซ่านอ่อนหวาน กระทั่งหญิงสาวเลื่อนฝ่ามืออุ่นลูบผิวแก้มเบาๆ
“ไม่ต้องเตรียมตัวเช็กเอาต์หรือคะ”
ภูมิถอนใจ หากเป็นเมื่อวานต่อให้อยากมีเวลาอยู่กับมินตราต่ออีกนิด เขาก็ยังพอทำใจรอคอยเวลาที่จะกลับมาพบกันคราวต่อไปได้ แต่ตอนนี้น่ะหรือ... ภูมิไม่มีความคิดที่จะปล่อยหญิงสาวจากอ้อมแขนแม้แต่น้อย
“ไม่อยากกลับแล้ว” เขาพูดพลางซบหน้าลงกับเรือนผมนุ่ม “อยากอยู่แบบนี้แหละ”
“แต่มิ้นคงอยู่แบบนี้ไม่ไหว” หลังจบคำพูดเธอ ท่อนแขนของชายหนุ่มก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นจนมินตราอุทานพร้อมเสียงหัวเราะ “อยากเข้าห้องน้ำจะแย่แล้วค่ะ”
“อั้นไว้ก่อน”
“บ้า! ของแบบนี้อั้นได้ยังไง” หญิงสาวประท้วง ไม่อยากจะเชื่อ “ขอเวลาแค่ห้านาที”
“สามก็พอ”
ภูมิรู้สึกได้ว่ามินตราส่ายหน้าด้วยความระอาใจ แต่เขาไม่สน ชายหนุ่มจูบไหล่หญิงสาวอีกครั้งก่อนจะยอมคลายเธอออกจากอ้อมแขนอย่างแสนเสียดาย ถึงกระนั้นตลอดเวลาที่หญิงสาวเคลื่อนไหว ก็ยังมีสายตาของเขาคอยจับจ้องมองตาม ถ้าการได้มองเธอเมื่อคืนทำให้เขาแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่ เวลานี้เมื่อได้มองหญิงสาวภายใต้แสงสว่าง ภูมิแทบจะขาดใจ
ชายหนุ่มพลิกตัวนอนหงาย บิดตัวเพื่อคลายจากอาการเมื่อยขบ แต่ก็รู้สึกอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก มินตราคว้าเสื้อเชิ้ตของเขาขึ้นมาสวมแล้วเดินกลับไปที่โซฟาเบด หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า ก่อนหน้านั้นภูมิคล้ายจะได้ยินเสียงสั่นเบาๆ จากโทรศัพท์มือถือของหญิงสาวหลายครั้ง คาดว่าคนที่บ้านคงโทร. มาตาม
“สงสัยแค่สามนาทีคงไม่พอแล้วละค่ะ” มินตราหันมายิ้มเล็กน้อย แล้วเดินผ่านไปในห้องน้ำพร้อมโทรศัพท์มือถือ
ระหว่างที่หญิงสาวใช้เวลาคุยโทรศัพท์และทำธุระส่วนตัว จู่ๆ ภูมิก็นึกอยากคุยกับภูริขึ้นมา อยากปรึกษาไอ้น้องชายว่า ถ้าจะเริ่มจีบผู้หญิงสักคนจริงๆ จังๆ ควรเริ่มแบบไหนดี แต่ถึงเขาจะเป็นฝ่ายเริ่ม ภูมิก็ไม่อยากเข้าข้างตัวเองว่ามินตราจะพร้อมใจด้วย ในเมื่อเห็นอยู่ว่าพวกเขายังมีความต่างที่อาจไปด้วยกันไม่ได้ เขาอายุมากเกินไป แล้วไหนจะภาระหน้าที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสาเหตุให้เขากับพิมประกายเลิกรากัน ผู้หญิงที่ไหนจะมาจมอยู่กับผู้ชายที่วันๆ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาใช้แรงงานงกๆ ไม่มีอะไรให้เชิดหน้าชูตา ใครจะอยากทิ้งชีวิตสุขสบายไปอยู่กลางไร่สวนกับเขา
ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบหน้า นี่เขาคิดไปถึงไหนเนี่ย กับแค่ถูกเลือกให้เป็นผู้ชายคนแรก มันไม่ได้หมายความว่ามินตราจะอยากฝากชีวิตไว้กับเขาด้วยเสียหน่อย ในเมื่อตอนแรกเขาก็บอกไปแล้วว่าไม่ได้คิดจะจริงจัง และการที่หญิงสาวยอมรับก็อาจหมายถึงเธอก็ไม่ต้องการการผูกมัด แล้วทำไมตอนนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตร ทำไมกลายเป็นเขาที่ไม่ต้องการปล่อยเธอไป
คำตอบเดียวที่ภูมิได้รับคือ แค่คิดว่าจะมีผู้ชายคนที่สองต่อจากเขาได้ครอบครองมินตรา ได้เป็นเจ้าของเรือนร่างของเธอ ได้ยินเสียงหัวเราะ ได้พูดคุยถกเถียง ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากมินตรา หัวใจภูมิก็ร้อนรุ่มด้วยความหึงหวง เขาไม่คิดว่าตัวเองจะมีความรู้สึกแบบนี้เหลืออยู่ด้วยซ้ำ
“พี่ภูมิ”
ภูมิยกศีรษะขึ้น ยิ้มให้หญิงสาวที่เพิ่งออกจากห้องน้ำ พอเขายื่นมือให้ แม้จะเห็นอาการลังเล แต่ท้ายสุดหญิงสาวก็จับมือตอบ ปล่อยให้เขาดึงลงไปทาบทับบนตัวเอง แล้วก็นอนอยู่แบบนั้นโดยมีเพียงมือของภูมิลูบไล้ผมยาวนุ่ม จนเมื่อมินตราเริ่มจับได้ว่าเขาเงียบเกินไป
“เป็นอะไรไปคะ” หญิงสาวเกยคางกับแผงอกกว้าง
เพราะไม่ถนัดพูดอะไรอ้อมค้อม หลังจากขบคิดอยู่ครู่ใหญ่ ภูมิจึงตัดสินใจพูดกับมินตราตรงๆ นี่แหละ
“จำที่พี่พูดเมื่อคืนได้ไหม”
ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย “อ๋อ ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ พี่บอกว่าจบก็จบ มิ้นไม่ใช่ผู้หญิงงอแงที่จะตามเรียกร้องความรับผิดชอบหรอก หรือถ้ากลัวคุณพิมประกายเธอจะรู้ เรื่องนั้นก็ตัดออกไปได้เลย เพราะมิ้นคงไม่มีโอกาสได้เจอเธอ หรือถ้ามี ก็ไม่มีแก่ใจอยากสนทนาอะไรด้วยหรอก”
“พี่ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” เขายกมือขึ้นเสยผมด้วยความยุ่งยากใจ “ทำไมถึงเป็นพี่”
“คะ?”
“พี่อยากรู้ ทำไมถึงยอมให้คนแบบพี่...”
“แล้วทำไมถึงยอมไม่ได้ล่ะคะ”
“เพราะพี่คิดว่ามีผู้ชายอีกหลายคนที่มิ้นรู้จัก คนที่ดีกว่า คนที่คู่ควรได้รับ...” เขาไม่เอ่ยต่อว่าหมายถึงอะไร “แล้วทำไมถึงกลายเป็นพี่”
หญิงสาวมองเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้น
“ไม่เห็นต้องคิดอะไรยุ่งยากเลยนี่คะ เพราะคำตอบทั้งหมดก็คือความพอใจ ความพอใจของพี่ ของมิ้นที่บรรจบกันพอดี” หญิงสาวเอ่ยแล้วก็ชะงักไปเล็กน้อย คิ้วเรียวขมวดมุ่น “พี่ภูมิคงไม่ได้กำลังเสียใจอยู่หรอกนะ”
ชายหนุ่มทอดถอนใจเฮือกใหญ่ เขากอดหญิงสาวไว้เพราะไม่รู้ว่านอกจากนี้แล้วยังสามารถทำอะไรได้อีก
“โลกหมุนเร็วเสียจริง เดี๋ยวนี้แทนที่ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายร่ำร้องเสียใจ กลับเป็นฝ่ายถามผู้ชายว่าเสียใจหรือเปล่า อีกหน่อยคงเป็นผู้ชายอีกกระมังที่ต้องมานั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่า” เท่านั้นภูมิก็ได้ยินเสียงหัวเราะของหญิงสาวดังขึ้นทันที “ถ้าพี่อยากจีบมิ้นตอนนี้จะถือว่าช้าไปหรือเปล่า”
เสียงหัวเราะสดใสแผ่วลงทันที และเงียบหายไปอย่างรวดเร็ว ภูมิหลุบตามองหญิงสาวที่เกยอยู่บนอกด้วยความสงสัย ครั้นเห็นว่ามินตรามองเขาคล้ายไม่เข้าใจ... ไม่สิ น่าจะบอกว่าไม่อยากเชื่อว่าเขาจะพูดแบบนั้นมากกว่า ภูมิก็เสริมเพื่อให้เธอแน่ใจว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น
“พี่อยากจริงจัง อันที่จริงก็อยากตั้งแต่ต้น แต่อะไรหลายๆ อย่างทำให้ลังเล แต่ตอนนี้พี่มั่นใจแล้ว”
“พูดเป็นเล่น” หญิงสาวเริ่มมีท่าทีกระสับกระส่าย “พี่บอกว่าว่าเริ่มที่ไหนก็จบที่นั่น”
“นั่นมันก่อนหน้านี้”
“มิ้นไม่เหมาะกับพี่” หญิงสาวโพล่ง พอทำท่าว่าจะผละไป ภูมิก็ยิ่งรัดแน่นไม่ยอมให้หนี “พี่ภูมิ มิ้นพูดจริงๆ เราสองคนไม่เหมาะกันหรอก”
“เพราะพี่ต่ำต้อยกว่า หรือเพราะมีผู้ชายคนอื่นที่ดีกว่าพี่รออยู่”
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง...”
คำปฏิเสธของหญิงสาวฟังท้อแท้ ภูมิคิดว่าเธออยากพูดอะไรบางอย่าง แต่หลังจากมินตราอึกอักอยู่นานเขาก็เป็นฝ่ายสรุปให้
“เริ่มจากทำความรู้จักกันก็ได้ พี่ไม่เร่งรัด แค่อยากขอโอกาส”
“ทำไมคะ” เสียงมินตราสูงขึ้น “เพราะที่ผ่านมาพี่คิดว่ามิ้นเป็นผู้หญิงไม่ดี ที่อาจจะเคยผ่านมือผู้ชายมานักต่อนัก เลยไม่อยากเสี่ยงที่จะลงทุน แต่พอตอนนี้รู้ว่ามิ้นไม่ใช่แบบที่คิด ทำให้ราคาของมิ้นเพิ่มขึ้นจนพี่อยากเก็บไว้หรือ พี่ภูมิ พี่แต่งงานกับผู้หญิงทุกคนที่พี่เคยหลับนอนด้วยไม่ได้หรอก”
“พี่เองก็ไม่มีความคิดอยากรับผิดชอบผู้หญิงทุกคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต เพราะแน่ใจว่าผู้หญิงเหล่านั้นกับพี่ไม่มีอะไรผูกพันต่อกัน แต่ครั้งนี้มันต่างกับที่แล้วมา พี่อาจไม่เหมาะกับมิ้น ถ้าพูดถึงเรื่องรูปร่างหน้าตาภายนอก”
“มิ้นบอกแล้วว่าไม่ได้สนใจผู้ชายแค่หล่อหรือไม่หล่อ เพราะถ้าชอบแค่นั้น มิ้นก็คงมีคนหล่อของมิ้นไปนานแล้ว” หญิงสาวแย้ง แต่ขณะเดียวกันก็ทำใจเชื่อในสิ่งที่ชายหนุ่มพูดไม่ได้ “แต่พี่กับมิ้น...คงเป็นไปไม่ได้”
“อย่าเพิ่งตัดสินใจว่าไม่ได้ มิ้นค่อยๆ คิดเถอะ พี่ไม่เร่งรัด”
“สักวันพี่ภูมิจะเกลียดมิ้น” จู่ๆ หญิงสาวก็โพล่งออกมา
“ทำไมพี่ต้องเกลียด”
“เพราะมิ้นจะทำให้พี่เกลียดจนไม่อยากเห็นหน้าอีก” มินตราลูบแนวกรามแข็งแรงเบาๆ สูดลมหายใจลึกที่ฟังคล้ายเสียสะอื้น “มิ้นไม่เคยคิดว่าพี่ไม่เหมาะสม แต่ตัวมิ้นต่างหากที่ไม่เหมาะกับพี่”
“ถึงเราจะชอบทำตัวเหลวไหลบ้าง แต่พี่ไม่คิดว่ามันรุนแรงถึงขนาดทำให้พี่เกลียดหรอก”
หญิงสาวสะอึกพลางหัวเราะ “งั้นมาพนันกันไหมคะ ถ้าหลังจากนี้พี่ยังยืนยันว่าความรู้สึกของพี่ยังเหมือนเดิม มิ้นจะยอมพิจารณาก็ได้ แต่ว่า...มิ้นมั่นใจว่ามันจะไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน”
ภูมิกำลังจะยืนยันว่าความรู้สึกของเขาจะไม่มีวันเปลี่ยน แต่ถูกปิดกั้นคำพูดด้วยริมฝีปากนุ่มนวล จากนั้นความคิดทุกอย่างของเขาก็หลงวนไปกับความอ่อนหวานที่ได้รับ แม้ไม่รู้ว่าทำไมหญิงสาวเอ่ยเช่นนั้น แต่ช่างเถอะ เขาจะค่อยๆ ทำให้มินตราเชื่อ ทำให้เธอยอมรับแล้วยอมเป็นของเขาด้วยความเต็มใจ
ทว่าฝันหวานของภูมิถูกทำลายลงในบ่ายวันเดียวกัน ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงเอะอะหน้าห้อง ประตูถูกเคาะรัวอย่างเร่งร้อน มีเสียงตะโกนที่ฟังไม่ได้ศัพท์ แต่เขาคล้ายได้ยินว่ามีคนเรียกชื่อ ชายหนุ่มก้มมองหญิงสาวที่ยังเบียดแนบข้างกาย หลังจากใช้เวลาอ้อยอิ่งด้วยกันจนสายกระทั่งหญิงสาวผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย เสียงเคาะประตูและเสียงเอะอะดังเร่งเร้าขึ้นอีก ทำให้ภูมิต้องลุกขึ้นคว้ากางเกงมาสวม แต่ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมไหล่ให้มินตราได้ไม่เท่าไหร่ จู่ๆ ประตูห้องก็เปิดผลัวะพร้อมคนกลุ่มหนึ่งพรวดพราดเข้ามา
“นี่มันอะไรกัน!” ภูมิตะคอกใส่แขกไม่ได้รับเชิญ
ผู้ชายผิวขาวร่างสันทัดที่โผล่เข้ามาก่อนชะงักนิ่ง และตามด้วยสตรีแต่งกายดูดีวัยไล่เลียกัน จากนั้นเจ้าของห้องพักที่รู้จักกันดีก็เบียดตัวตามเข้ามาร้องห้าม
“นี่พวกคุณจะเข้ามาแบบนี้ไม่ได้นะ พี่ภูมิ ผมห้ามพวกนี้แล้วแต่ไม่มีใครฟังเลย”
“มิ้น!”
ชายผิวขาวคนนั้นร้องออกมาอย่างไม่เชื่อด้วยเสียงแหบโหย เช่นเดียวกับใบหน้าของสตรีเบื้องหลังที่ซีดเซียวราวกับจะเป็นลม ภูมิพิจารณาฝ่ายนั้นอีกครั้ง เขาเกือบจะจำได้แล้วว่าเป็นใคร ทว่าอีกฝ่ายชิงแสดงตัวเสียก่อน
“ไอ้... ไอ้สารเลว! แกทำอะไรลูกสาวฉัน!”
ความโกรธทำให้ผู้ชายคนนั้นพุ่งเข้าใส่ภูมิอย่างบ้าคลั่ง ขนาดเขาตัวใหญ่กว่าก็ยังเกือบผงะหงายหลังเมื่อถูกกระแทกอกเต็มแรง กำปั้นเงื้อขึ้นเตรียมเหวี่ยงลงมา แต่เจ้าของห้องพักที่เห็นเหตุการณ์อยู่ยังมีสติดีพอที่จะรีบเข้ามาดึงตัวผู้ชายคนนั้นออกไป แต่ถึงจะถูกลากออกไปท่ามกลางความงุนงง เสียงด่าทอก็ยังดังลั่นห้อง
“ฉันจะฆ่าแก คอยดูเถอะ ฉันจะลากคอแกเข้าคุก ไอ้ชาติชั่ว ปล่อยสิวะ!”
“มิ้น มิ้นตื่นสิลูก” สตรีอีกคนเข้าไปเขย่าตัวหญิงสาวที่เพิ่งจะงัวเงียลุกขึ้น
“แม่”
มินตราทำหน้านิ่วไปทางสตรีหน้าขาวซีด แล้วหันไปทางเสียงเอะอะอีกด้าน ภูมิสะดุดเข้ากับแววตาของหญิงสาวทันที ความรู้สึกผิดวาบแสงอยู่ในดวงตาคู่สวย แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงความเย็นชา ความสงสัยกระแทกใจภูมิอย่างจัง แม้พยายามบอกปัดว่าคงไม่ใช่อย่างที่เขาคิด แต่ก็หาคำปฏิเสธยากเหลือเกิน
“นี่มันอะไรกันมิ้น คนพวกนี้มาได้ยังไง”
มินตราที่นั่งอยู่ตรงนั้นมองคนทั้งหมดด้วยแววตาเรียบเฉย ทั้งๆ ที่หากเป็นผู้หญิงทั่วไปคงอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่หญิงสาวกลับเยือกเย็นเหลือเกิน แม้แต่ตอนที่ก้มหยิบเสื้อขึ้นมาสวม
“มันหลอกหนูมาใช่ไหม ไอ้ระยำนี่มันหลอกหนูใช่ไหม บอกพ่อสิ”
“มิ้น ทำไมหนูถึงมาอยู่กับผู้ชายในที่แบบนี้ ทำไม...” อนงค์อรถามเสียงสั่นพร่า แม้เหตุการณ์ทุกอย่างจะฟ้องชัดอยู่แล้วก็ตาม ที่ผ่านมาต่อให้ลูกสาวชอบเที่ยวเล่นตามประสา ทว่าอนงค์อรมั่นใจเรื่องการคบหากับผู้ชายของมินตรา ไม่เคยเชื่อว่าลูกสาวจะใจแตก และปล่อยตัวปล่อยใจให้ใครง่ายๆ
เมื่อวานแม้จะเจอเหตุการณ์ร้ายๆ มากมาย แต่อนงค์ไม่อาจจมอยู่กับความโศกเศร้าได้นาน ต่อให้ใช้เวลาอยู่กับศรันย์นานกว่าปกติ ทว่าความใกล้ชิดนั้นก็มีแค่การปรับทุกข์และพูดคุยเพื่อให้กำลังใจ กระทั่งศรันย์บอกว่ามินตรามาหาเพราะเป็นห่วง อนงค์อรโทรศัพท์หาลูกสาวทันที แต่โทร. ไปกี่ครั้งก็มีแต่เสียงแจ้งให้ฝากข้อความ ยิ่งพอกลับถึงบ้านแล้วไม่พบลูก อนงค์อรก็ร้อนใจ รีบติดต่อหารชยาอีก ทว่าแม้แต่เพื่อนสนิทก็บอกว่ามินตราไม่ได้แวะไปหา
คนเป็นแม่ต่อให้มีปัญหาทุกข์ใจอย่างไร แต่เมื่อเป็นเรื่องของลูก ความทุกข์ของเธอก็ถูกปัดเป็นเรื่องรองโดยทันที อนงค์อรพอจะรู้ว่าระยะหลังนี้ลูกสาวมักออกไปไหนมาไหนกับ ‘เพื่อน’ ซึ่งไม่ใช่รชยา บวกกับเหตุการณ์ความร้าวฉานในครอบครัว ทำให้อนงค์อรหวาดกลัวยิ่งนักว่าลูกสาวจะทำอะไรโง่ๆ
จนเมื่อมินตราโทรศัพท์กลับมา ขอให้เธอมาพบพร้อมบอกที่อยู่เสร็จสรรพ ยิ่งพอมาถึงที่หมายก็พบสามีซึ่งบอกว่ามินตราโทร. หาเช่นกัน ความหวาดหวั่นของอนงค์อรก็ยิ่งเพิ่มขึ้น แล้วความกังวลก็กลายเป็นจริงตรงหน้า...
อนงค์อรแทบไม่สนใจเสียงขู่กระชากของสามี นอกจากมองลูกสาวที่แสร้งเมินเฉย ยิ่งเห็นลูกสาวสวมเสื้อตัวใหญ่ชายยาวไปถึงต้นขา บนผิวขาวเนียนปรากฏตำหนิร่องรอย หัวใจอนงค์อรก็หน่วงหนักจนแทบล้มทั้งยืน
“พ่อค่ะ เลิกโวยวายเสียทีเถอะ” มินตราจงใจพูดด้วยความเบื่อหน่าย ขณะที่คนอื่นๆ อยู่ในสภาวะตึงเครียด กลับมีเพียงหญิงสาวที่ทำทุกอย่างเป็นปกติ เดินไปเก็บข้าวของและเสื้อผ้าบนพื้น “มิ้นขอเวลาเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จจะได้กลับบ้าน”
“มินตรา!”
หญิงสาวซึ่งกำลังจะเดินไปที่ห้องน้ำ หมุนตัวกลับมาด้วยทีท่าอ่อนใจ ใบหน้าของอดิรุจแดงก่ำ ริมฝีปากเม้มแน่นด้วยความโกรธ
“หนูจงใจสร้างเรื่องทั้งหมดนี่ใช่ไหม พ่อเคยคิดว่าหนูอาจแค่จะเหลวไหล แต่ไม่เคยคิดว่าหนูจะทำขนาดนี้ หนูเป็นผู้หญิง แต่ไม่รักศักดิ์ศรีความเป็นผู้หญิงของตัวเองไม่พอ แม้แต่พ่อกับแม่หนูก็ไม่รักไม่แคร์เลยใช่ไหม”
มินตรากล้ำกลืนก้อนแข็งทื่อในลำคอลงไป ยามมองเข้าไปในดวงตาผู้เป็นพ่อ บางทีการถูกด่าว่าด้วยถ้อยคำรุนแรงอาจทำให้เธอเจ็บปวดน้อยกว่านี้
“ไม่เห็นต้องโกรธขนาดนั้นเลยนี่คะพ่อ เมื่อวานพ่อเพิ่งพาเมียน้อยมาบอกมิ้นถึงบ้านว่ากำลังจะมีลูกกัน ว่ากำลังจะทิ้งแม่กับมิ้นไปอยู่กับผู้หญิงคนนั้น มิ้นถามหน่อย ตอนนั้นพ่อรักหรือแคร์ความรู้สึกของมิ้นไหม...” หญิงสาวยิ้มหยันเมื่อเห็นอดิรุจเถียงไม่ออก ได้แต่ยืนเม้มปาก “มิ้นก็ไม่เห็นว่าพ่อจะสนใจว่ามิ้นรู้สึกยังไง แต่ละคนห่วงแต่ความสุขของตัวเองทั้งนั้น ถ้าเด็กอย่างมิ้นจะลองหาความสุขให้ตัวเองบ้าง จะแปลกตรงไหน ในเมื่อมีคนทำให้เห็นอยู่ตรงหน้า แต่ลองแล้วก็ไม่เลวนะคะพ่อ...สนุกดี”
ฝ่ามือของอนงค์อรตบฉาดลงบนแก้มลูกสาวอย่างแรงจนร่างบางเซวืด มินตราไม่มีโอกาสได้ตั้งหลัก จึงล้มลงไปนั่งแปะบนเตียง มือกุมแก้มร้อนผ่าวที่เจ็บชา หญิงสาวกัดฟันแน่น รอคอยที่จะฟังเสียงกรีดร้องด่าว่า หรือมือที่จะเข้ามาทำร้ายซ้ำอีก แต่เวลาผ่านไปกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนเธอเงยหน้าขึ้นเพื่อหาคำตอบ
อนงค์อรยืนตัวสั่น ใบหน้าขาวซีดก่อนหน้าบัดนี้เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ แม้จะไม่กรีดร้องอาละวาด ทว่าน้ำตาไหลเป็นสาย หยดลงบนปกคอเสื้อสีเข้มจนเป็นดวง อนงค์อรกำหมัดทั้งสองไว้แนบตัว ใช้เวลานานกว่าจะเค้นเสียงแหบพร่าออกมาได้
“สะใจหนูแล้วใช่ไหม ถ้าหนูโกรธเกลียดพ่อกับแม่ อยากให้พ่อกับแม่ทรมานแบบที่หนูรู้สึก งั้นตอนนี้หนูก็ทำสำเร็จแล้ว เพราะหนูกำลังฆ่าพ่อกับแม่ให้ตายทั้งเป็น” อนงค์อรแทบเอ่ยประโยคท้ายไม่เป็นคำ “หนูทำแม่เจ็บเหลือเกินมินตรา เจ็บจนแทบขาดใจรู้ไหม!”
รุ่งเช้ามาเยือนอีกครั้ง แต่มินตราไม่มีแก่ใจอยากลุกขึ้นทำอะไร ถึงเช้านี้จะเป็นวันอังคาร แต่หญิงสาวไม่สนจะไปมหาวิทยาลัย แม้รชยาจะโทรศัพท์มาหา มินตราก็ยังเก็บตัวเงียบ เงียบเช่นเดียวกับบ้านทั้งหลัง แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะเมื่อมองย้อนกลับไปยังเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อน บ้านของเธอก็แทบลุกเป็นไฟมาแล้ว ครั้งแรกคือตอนที่พ่อพาโฉมฉายเข้ามาประกาศตัวว่าทั้งคู่กำลังจะมีลูกกัน ครั้งต่อมาคือตอนที่มินตราทะเลาะกับแม่ และครั้งสุดท้ายนั้น...
หลังจากที่พ่อกับแม่ไปหาเธอที่โรงแรม อดิรุจโกรธมาก ประกาศว่าจะเอาภูมิเข้าคุกให้ได้ แต่แทนที่ภูมิจะทำอะไรเพื่อปกป้องตัวเอง เขากลับไม่พูดอะไรเลยนอกจากมองเธอด้วยแววตาเจ็บปวด... เจ็บปวดเหมือนถูกคนที่ไว้ใจทรยศ
ก็สมควรเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ มินตราเตือนเขาแล้ว รู้อยู่แล้วว่าอะไรจะตามมา เขาเป็นแค่ผู้ชายที่เข้ามาอยู่ไม่ถูกที่ถูกเวลาและกลายเป็นเหยื่อของเธอ แต่มินตราก็เข้าข้างตัวเองว่า สิ่งที่ภูมิได้รับจากเธอนั้นมากพอที่จะชดเชยได้ มินตราทะเลาะกับพ่อ บอกว่าไม่มีประโยชน์ที่จะแจ้งความ เธออายุยี่สิบสองแล้ว ไม่ใช่เด็กวัยรุ่นอายุสิบสี่สิบห้า และทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นความยินยอมพร้อมใจของเธอกับเขา ไม่มีการล่อลวงใดๆ ทั้งสิ้น ยกเว้นถ้าพ่ออยากให้เรื่องบานปลายกว่านี้ ด้วยการป่าวประกาศให้คนรู้ว่าลูกสาวใจง่าย เร่เอาเนื้อตัวไปปรนเปรอให้ผู้ชายฟรีๆ
เหตุการณ์หลังจากนั้นมินตราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่คาดเดาได้ว่าพ่อคงข่มขู่ภูมิไปไม่น้อย เพราะชายหนุ่มหอบข้าวของกลับต่างจังหวัดในวันเดียวกัน และไม่ติดต่อมาอีก ความรู้สึกทั้งหมดไม่ว่าจะดีหรือร้ายระหว่างมินตรากับเขา เริ่มและปิดฉากลงเป็นที่เรียบร้อย
น่าแปลกดี ทั้งๆ ที่ร่างกายยังปกติครบถ้วน แต่ทำไมในอกกลับว่างเปล่าเหลือเกิน แล้วความว่างเปล่านั้นกำลังสร้างความโศกเศร้าล้ำลึกอย่างที่มินตราไม่เคยพานพบมาก่อน จนแม้แต่ร้องไห้ก็ยังร้องไห้ไม่ออก สองวันมานี้มินตรารู้ว่าแม่ยังออกไปทำงานตามปกติและเตรียมกับข้าวทิ้งไว้ให้เหมือนทุกวัน ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนพ่อน่ะหรือ ป่านนี้คงเมาหยำเป หรือไม่ก็ซบอกโฉมฉายอยู่ที่ไหนสักแห่งกระมัง และแม่ก็คงจะมีศรันย์คอยให้กำลังใจ
ส่วนเธอ...กลับกลายเป็นคนที่ไม่มีใครอยู่เคียงข้างเลย ช่างเถอะ ก็สมดีแล้ว ป่านนี้ภูมิคงตาสว่าง คงดีใจที่แคล้วคลาดจากผู้หญิงอย่างเธอได้
แล้วทำไมในอกเธอจึงยังเจ็บ ทำไมยังลบภาพเขา สัมผัสของเขา เสียงหัวเราะ หรือแม้แต่ความเกรี้ยวกราดเล็กๆ ที่ผสมปนเปในตัวชายหนุ่มไม่ได้ เขาคงคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงใจง่ายที่สามารถทอดกายให้ชายใดก็ได้ที่สร้างประโยชน์ แต่สำหรับมินตรามันไม่ใช่ เธอไม่มีวันปล่อยตัวปล่อยใจกับใครง่ายๆ แบบนั้น
หญิงสาวยกมือขึ้นกดเหนืออกซ้ายโดยไม่รู้ตัว เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ในที่สุดน้ำตาหยดหนึ่งก็รินไหลจากทางหางตา ตอนที่ภูมิบอกว่าอยากจริงจังกับเธอ หัวใจมินตราพลันมีชีวิตชีวาอย่างน่าอัศจรรย์ ความรู้สึกยินดีทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงหลังจากเขาครอบครองเธอ แต่ต้นอ่อนแห่งความรู้สึกมีเริ่มตั้งแต่ที่ทั้งคู่พบกัน และมันค่อยๆ เติบโตขึ้นทีละน้อยๆ
เขาบอกว่าไม่คู่ควรกับเธอ แต่เธอต่างหากที่ไม่คู่ควรกับเขา มินตราไม่ใช่ผู้หญิงที่จะไม่ยอมผ่อนปรนอะไรเลย หากเมื่อมีความรัก เธอก็พร้อมจะปรับตัวเข้าหา พร้อมจะเสียสละ เพราะรู้ว่ามันจะคุ้มค่าอย่างแน่นอน แต่นิสัยบางอย่างของเธอต่อให้ผ่อนปรนเพียงใดก็คงไม่มีวัน ‘ดีพอ’ และเมื่อภูมิได้รู้จักเธอมากขึ้น สักวันหนึ่งเขาจะรับสิ่งที่เธอเป็นไปได้ และทอดทิ้งเธอไปเพราะความเบื่อหน่าย ขนาดพ่อกับแม่ที่อยู่ด้วยกันมายี่สิบกว่าปี บทจะร้างราก็ยังร้างรากันได้ง่ายๆ นับประสาอะไรกับคนที่เจอหน้ากันไม่กี่ครั้งเหมือนเธอกับเขา
เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาชะลอหน้าบ้าน เรียกให้มินตราขยับตัวลุกขึ้น มองนาฬิกาก็เห็นว่านี่เพิ่งบ่ายสองโมง ยังไม่ใช่เวลาเลิกงานของพ่อแม่ ครั้นได้ยินเสียงประตูด้านนอกเลื่อนเปิด มินตราจึงลุกไปแง้มผ้าม่านด้วยความสงสัย รถที่แล่นนำเข้ามาคันแรกเป็นของพ่อ ส่วนอีกคันเป็นของแม่ แล้ว...นั่น
มินตราร้อนวูบวาบในอกเมื่อเห็นรถกระบะสีดำคันใหญ่จอดเทียบอยู่แค่ด้านนอก ยิ่งเห็นว่าใครเปิดประตูออกมาจากด้านคนขับ แข้งขาเธอก็อ่อนปวกเปียกจนแทบยืนไม่ไหว ผู้ชายตัวใหญ่ในชุดเสื้อผ้าปอนๆ กระนั้นท่าทางเดินเหินที่มั่นใจก็ทำให้เขาดูโดดเด่นสะดุดตา
ใครว่าคนอย่างภูมิไม่มีหัวนอนปลายเท้ากัน คนไม่มีหัวนอนปลายเท้าไม่มีลักษณะท่าทางแบบเขาได้หรอก แล้วนั่นใคร... มินตรามองชายที่ลงมาจากด้านที่นั่งคู่คนขับ และมีอีกสามคนทยอยตามลงมา ในบรรดาทั้งสี่คน มีคนหนุ่มสองคน และมีชายวัยกลางคนอายุพอๆ กับพ่อแม่มินตรามาด้วย แม้จะแต่งตัวดีกว่าคนแรกนิดหน่อย แต่ท่าเดินเหินหลังตรงนั่นดูทรงอำนาจไม่ด้อยกว่ากัน ว่าแต่ทุกคนยกโขยงกันมาทำไม
ประตูห้องที่เปิดออกทำให้มินตราถึงกับสะดุ้ง อนงค์อรยืนอยู่ด้านนอก มองมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“ลงมาข้างล่างหน่อยสิมิ้น เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“คุยเรื่องอะไรคะ” มินตราถามด้วยความหวาดระแวง มองลงไปที่สนามหน้าบ้านอีกครั้ง และช่างบังเอิญจริงๆ ที่ผู้ชายตัวใหญ่ผมดำเงยหน้าขึ้นพอดี แม้ใบหน้าส่วนบนของเขาจะถูกบดบังไว้หลังแว่นดำ แต่มินตราแน่ใจว่าเขาเห็นเธอแน่นอน หญิงสาวรีบปิดม่าน ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ก็กลัวเขาขึ้นมา “เขามาที่นี่ทำไมคะ”
อนงค์อรยังคงรักษาสีหน้าเรียบเฉยไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
“เขาไปหาแม่ที่สำนักงาน บอกว่าอยากคุยกับพ่อแม่เรื่องของมิ้น ไม่อยากปล่อยผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่อให้มิ้นยอม แต่ทางเขาไม่ยอม”
บ้า! โง่! มินตราไม่รู้จะสรรหาคำไหนด่าผู้ชายคนนั้นดี ไม่สิ บางทีที่เขาไม่ยอมให้เรื่องจบ อาจเพราะแค้นเธอก็ได้ นี่คงกลับมาเพราะต้องการเอาคืนมากกว่า พวกผู้ชายก็อย่างนี้ บ้าศักดิ์ศรี!
“มิ้นไม่อยากคุย ไม่อยากเจอเขา”
“งั้นมิ้นก็ต้องลงไปบอกเขาเอง”
“แต่มิ้นไม่อยาก...”
“นี่เป็นปัญหาที่หนูก่อขึ้นเอง หนูต้องแก้เอง” น้ำเสียงของอนงค์อรราวกับแส้ที่สะบัดลงบนหลังมินตรา
“งั้นเขาต้องการอะไรคะ เขาถึงจะไป” มินตราแทบอยากร้องไห้โฮ พออนงค์อรไม่ตอบ หญิงสาวก็ยิ่งคาดคั้น “เขาบอกว่าเขาจะเอาอะไรคะ เงินหรือ”
ความคิดเห็น |
---|