1
โลกกลม
ร่างสูงเดินออกจากร้านสะดวกซื้อพร้อมกับหยิบครัวซองต์ที่พนักงานเพิ่งหยิบออกจากเครื่องอบร้อนๆ เข้าปาก วันนี้ทั้งวันอธิชทำตามความตั้งใจของตัวเองคือนอนให้เต็มอิ่ม จากที่คิดว่าจะไปทำงานก็เปลี่ยนใจใช้สิทธิ์ลาหยุด หลังจากที่ตรากตรำทำงานแทบไม่ได้พักเพื่อปิดโพรเจกต์และเตรียมความพร้อมเพื่อจะเริ่มงานใหม่ในวันพรุ่งนี้
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเครื่อง ทันทีที่สมาร์ตโฟนเครื่องบางพร้อมใช้งาน ทั้งข้อความและกรุ๊ปไลน์ก็เด้งแจ้งเตือนพร้อมๆ กัน และเพียงไม่กี่นาทีสายเรียกเข้าสายแรกของวันก็ดังขึ้น
“นึกว่านอนไหลตายไปแล้วซะอีก”
ลลิตาเอ่ยเสียงหวานเป็นประโยคแรกหลังจากพี่ชายตัวดียอมเปิดเครื่อง เธอรึอุตส่าห์โทร. หาทั้งวันก็ติดต่อไม่ได้ นี่หากอธิชไม่เปิดเครื่อง เธอคงได้บึ่งรถมาหาเขาที่คอนโดตามคำสั่งของมารดาแน่
“โทร. มาก็อวยพรกันเลยทีเดียว” อธิชเอ่ยพร้อมกับเคี้ยวครัวซองต์อย่างไม่สะทกสะท้าน “วันหยุดทั้งทีก็พักผ่อนบ้างสิวะ”
“ไม่ได้ไม่สบายใช่ไหม” เธอเองก็อดเป็นห่วงพี่ชายไม่ได้ เพราะรู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำงานหนักเพียงใด แถมงานยังมีปัญหามากมายจนกินระยะเวลาจากกำหนดเดิมไปเกือบเดือน
“พี่สบายดี ไม่ต้องห่วง”
“ปกติพี่เคยหยุดงานที่ไหน อยู่ๆ หยุดเอาดื้อๆ แบบนี้ก็ต้องตกใจเป็นธรรมดาสิ”
พี่ชายเธอไม่เคยเกเรเรื่องงาน น้อยครั้งที่ชายหนุ่มจะหยุดงานแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เพราะปกติเขาทำงานตลอดเจ็ดวันไม่มีวันหยุด อย่าพูดถึงเรื่องลาหยุดหรือลาพักร้อน แม้แต่เจ้าตัวป่วยก็ยังมาทำงานแทนที่จะไปโรงพยาบาล การที่เขาปิดช่องทางการสื่อสารและพักผ่อนอยู่คอนโดคงสุดแล้วจริงๆ
“ก็แค่เพลียๆ”
“แวะไปหาแม่ด้วย โทร. มาบ่นให้ต้าฟังแต่เช้าว่าติดต่อลูกชายไม่ได้ ไม่รู้ป่านนี้ลืมทางกลับบ้านหรือยัง”
เขาตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าพรุ่งนี้จะแวะไปกินอาหารเช้าที่บ้าน เพราะสามเดือนมานี้แทบไม่ได้กลับบ้านเลย โทร. คุยกับมารดาก็นานๆ ที ด้วยภาระงานที่ยุ่งมากจนไม่มีเวลา
อธิชคุยโทรศัพท์พร้อมกับเดินกลับขึ้นห้อง ขาที่เดินเข้าไปในล็อบบีของคอนโดซึ่งเป็นทางผ่านขึ้นตึกพลันชะงักกึก เมื่อสายตาสะดุดเข้ากับหญิงสาวใบหน้าคุ้นตา ซึ่งกำลังยืนรอลิฟต์อยู่
“พี่เตอร์ยังอยู่ไหมเนี่ย” ลลิตาเอ่ยถามเมื่อปลายสายเงียบไป
“แค่นี้ก่อนนะต้า เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าพี่แวะเข้าไปที่บ้าน” อธิชบอกลาน้องสาวทันที
“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าพี่เตอร์” หญิงสาวถามด้วยความเป็นห่วงเพราะพี่ชายมีอาการแปลกไป ดูร้อนรนแปลกๆ จนเธอไม่สบายใจ
“พี่เจอคู่กรณี”
“คู่กรณี?” ลลิตาเอ่ยทวนคำพูดของพี่ชาย คนอย่างอธิชไม่เคยมีปัญหากับใครนอกจาก...“เจ้าของรถที่ต้าไปจอดขวางหน้าไว้เหรอ!”
“เออ แค่นี้นะ”
อธิชกดตัดสายจากน้องสาว แล้วสาวเท้าเข้าไปหาหญิงสาวใบหน้าเรียบนิ่งหลังตรง ยัดครัวซองต์ที่เหลือครึ่งชิ้นเข้าปากทั้งหมดพร้อมกับตรงไปหาคู่กรณี การแต่งกายของเธอไม่ต่างจากที่เจอกันเมื่อวานนัก เพียงแต่วันนี้ผมที่ปล่อยเคลียหลังถูกรวบตึงเป็นหางม้า เผยใบหน้าสวยเฉี่ยวของเจ้าหล่อน
ปาลิดาไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัว นอกจากตัวเลขบนผนังหน้าลิฟต์ที่นับถอยหลังลงมาที่ชั้นล่าง เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกจึงเดินเข้าไป มือที่กำลังทาบคีย์การ์ดเพื่อกดหมายเลขชั้นพลันชะงักเมื่อเหลือบเห็นผู้ชายหน้าคุ้นทางหางตาว่ากำลังเดินตรงดิ่งมาที่เธอ
‘เจ้าของรถคันนั้น’
แน่นอนว่าเธอจำเขาได้ เพราะเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ แต่ทำไมเขามาอยู่ที่นี่ได้
“ตามมาถึงนี่เลยเหรอเนี่ย”
เมื่อเห็นชายหนุ่มทาบคีย์การ์ดปลดล็อกประตูชั้นในเฉพาะผู้พักอาศัย ทั้งยังเดินตรงมาที่ลิฟต์ซึ่งเธอยืนอยู่ มือเล็กที่กำลังกดหมายเลขชั้นก็เปลี่ยนมากดปุ่มเหล็กเพื่อปิดประตูแทน เธอกดย้ำๆ อยู่แบบนั้นเพื่อให้ประตูลิฟต์ปิดก่อนที่เขาจะเดินมาถึง
ปาลิดาถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อประตูลิฟต์ปิดทันก่อนที่ร่างสูงจะเดินมาถึง
“หนีแบบนี้แสดงว่าจำกันได้สินะ” คนที่มาไม่ทันลิฟต์ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะหุบฉับเมื่อทบทวนการกระทำของตัวเอง “แล้วทำไมกูต้องอยากมาเสนอหน้ากับเขาด้วยวะ”
หากถามว่ารู้สึกผิดหรือ ก็อาจจะใช่ แต่ก็ไม่ถึงกับอยากตามไปขอโทษเธออีกครั้ง
“มึงนอนเยอะเกินไปใช่ไหมเตอร์”
อธิชส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจการกระทำของตัวเอง ก่อนจะก้าวขาเข้าไปในลิฟต์ตัวใหม่ ทาบคีย์การ์ดเพื่อกดหมายเลขชั้นที่ตัวเองอยู่ แม้เขาจะรู้ว่าเธออยู่ชั้นไหนก็ไม่อาจตามขึ้นไปได้ เพราะลิฟต์เป็นระบบล็อกชั้น กดหมายเลขชั้นได้แค่ชั้นที่ตัวเองอยู่และพื้นที่ส่วนกลางเท่านั้น
“คิดเหมือนอยากตามไปหาเขาเลยนะมึง” ชายหนุ่มสลัดเอาความคิดบ้าๆ ของตัวเองทิ้ง เขาควรเอาเวลาคิดฟุ้งซ่านนี้ไปพักผ่อนเพื่อลุยงานพรุ่งนี้เสียยังดีกว่า
“สวัสดีครับเฮียก้อ” อธิชยกมือไหว้วิศวกรรุ่นพี่ซึ่งรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี เพราะเคยร่วมงานกันมาหลายโครงการ
“มาแต่เช้านะวันนี้” ก่อเกียรติรับไหว้พร้อมกับชูมือบิดขี้เกียจ
“เฮียเองก็มาแต่เช้าเหมือนกันนี่” ชายหนุ่มวางกระเป๋าลงบนโต๊ะที่ว่างและทิ้งตัวลงนั่ง
“มาแต่เช้าอะไรล่ะ กูยังไม่ได้กลับบ้านเลยต่างหาก” คนที่ยังไม่ได้นอนอ้าปากหาวหวอด ก่อนจะพับโน้ตบุ๊กลงแล้วเก็บเข้ากระเป๋า “ฝากงานทางนี้ด้วยแล้วกัน เดี๋ยวกูกลับบ้านไปงีบก่อน บ่ายๆ เดี๋ยวเข้ามาใหม่”
“ไม่มีปัญหาครับ”
นี่เป็นวิถีชีวิตที่คุ้นชินกันดีสำหรับพนักงานบริษัทแห่งนี้ และอีกไม่นานสภาพเขาคงไม่ต่างจากก่อเกียรติ
เลิศทรัพย์ไพศาล เอ็นจิเนียริ่งทำธุรกิจให้บริการงานวิศวกรรมระบบประกอบอาคารครบวงจร ซึ่งโครงการที่ประมูลได้มาเป็นงานรีโนเวตคอมมูนิตีมอลในกลุ่มบริษัทรุ่งเรืองพัฒนา
“รายละเอียดคิกออฟเมื่อวานถามไอ้ป๋อได้เลย” ก่อเกียรติชี้ไปยังชายหนุ่มรูปร่างบางสวมแว่นตาหนาเตอะที่เพิ่งเดินเข้ามาในออฟฟิศ
“สวัสดีครับ” คนมาใหม่ยกมือไหว้ชายหนุ่มทั้งสองคนด้วยความนอบน้อม
“นี่ไอ้เตอร์ คนที่จะสอนงานมึง” ก่อเกียรติแนะนำ
“สวัสดีครับพี่เตอร์ ผมป๋อครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
“อยู่เป็นนี่หว่า” อธิชพยักหน้าขึ้นลงอย่างพึงพอใจ
“เด็กจบใหม่ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ฝากมันด้วย” ก่อเกียรติบอกก่อนจะเดินออกจากออฟฟิศไป
“ทำงานที่นี่ที่แรกหรือเปล่า”
อธิชชวนคุยเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเกร็งพร้อมกับมองสำรวจอีกฝ่ายไปด้วย ก่อนจะนึกในใจ ‘จะไหวหรือเปล่าวะ’ ด้วยรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นอย่างกับผู้หญิงทำให้เขาอดสบประมาทไม่ได้ ด้วยงานที่ค่อนข้างหนักจึงไม่แปลกใจที่บริษัทจะมีพนักงานหน้าใหม่เข้ามาแทบทุกเดือน เพราะพนักงานหน้าเก่าก็ลาออกแทบทุกเดือนเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ควรตัดสินอีกฝ่ายเพียงแค่แรกเจอหรือด้วยรูปลักษณ์ภายนอก
“ที่แรกครับ” ปรวุฒิตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ แต่กลับต้องหน้าเหวอเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของผู้เป็นนาย
“มึงคิดผิดแล้วที่มาทำงานที่นี่” เขาไม่ได้ขู่หรือเอ่ยเกินจริง แต่ความจริงก็ตามที่พูด “งานที่นี่ค่อนข้างหนัก ชีวิตส่วนตัวมึงหายไปเกินครึ่ง”
“ผมอยากทำงานที่นี่เพราะบริษัทเลิศทรัพย์ไพศาลเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียง มีผู้บริหารที่เก่ง ผมไม่กลัวที่จะทำงานหนัก ผมพร้อมที่จะเรียนรู้งานเต็มที่ และจะทำตามคติพจน์ของบริษัทอย่างขยันขันแข็ง ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ใส่ใจรายละเอียด เพื่องานที่มีประสิทธิภาพ”
“มึงสัมภาษณ์งานผ่านแล้วป๋อ ตอนนี้มาทำงานจริงแล้ว” อธิชย้ำพร้อมกับชี้ลงพื้นเพื่อยืนยันว่าที่นี่ไซต์งาน ไม่ใช่ห้องสัมภาษณ์ เผื่ออีกฝ่ายลืมว่าตัวเองผ่านเข้ามาทำงานแล้ว ไม่ใช่กำลังสัมภาษณ์งานอยู่
“ครับ” ปรวุฒิพยักหน้ารับพร้อมกับวางกระเป๋าบนโต๊ะทำงานของตัวเอง
“คิกออฟเมื่อวานเป็นยังไงบ้าง”
ปรวุฒิหยิบสมุดที่จดรายละเอียดออกมายื่นให้เจ้านายหนุ่ม “นี่ครับ”
อธิชรับสมุดมาเปิดดู “นอกจากมึงจะไม่สรุปให้กูฟังแล้ว กูยังต้องแกะลายมือมึงเอาเอง?”
“ผมต้องสรุปด้วยเหรอ”
“หรือจะให้กูสรุปเอง”
“ผมสรุปเองดีกว่าครับ” ปรวุฒิรีบหยิบสมุดจดงานตัวเองคืนมาและส่งยิ้มแหยให้ลูกพี่หนุ่ม
หนุ่มร่างสูงที่กำลังเดินลงบันไดจากสถานีรถไฟฟ้ายกมือปิดปากที่กำลังหาวด้วยความเพลียจัด ใครบอกว่าเริ่มงานที่ใหม่วันแรกจะสบายๆ แน่นอนว่าไม่ใช่คนจากเลิศทรัพย์ไพศาลเคยพูดไว้แน่นอน กว่าเขาจะได้เดินออกจากออฟฟิศก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว กว่าจะเดินทางถึงคอนโดก็ปาไปเกือบห้าทุ่ม
อธิชไม่ได้ตรงเข้าคอนโด แต่เดินเลยไปยังร้านอาหารตามสั่งที่เปิดช่วงดึกในซอยข้างๆ แม้จะเป็นร้านอาหารเล็กๆ ริมทาง แต่รสชาติระดับภัตตาคารเลยก็ว่าได้ ที่นี่จึงเป็นร้านที่เขาฝากชีวิตไว้เสมอมา
“เอาเหมือนเดิมนะครับเจ๊โอ๋” อธิชเอ่ยสั่งเมนูประจำอย่างรู้ใจกันดีกับเจ้าของร้าน
“หาที่นั่งเลยลูก น้ำฟรี น้ำแข็งฟรี บริการตัวเองเหมือนเดิมจ้ะ” เจ๊โอ๋เอ่ยโดยที่มือยังจับด้ามกระทะและตะหลิวอยู่
“รับทราบครับผม”
อธิชตักน้ำและถือแก้วพลาสติกไว้ในมือพลางมองหาที่นั่ง วันนี้ลูกค้าร้านเจ๊โอ๋ดูคึกคักเป็นพิเศษ ทุกโต๊ะล้วนถูกจับจองไปหมด ไม่มีว่างแม้แต่โต๊ะเดียว จะเปลี่ยนใจสั่งกลับบ้านก็ขี้เกียจเก็บขยะไปทิ้ง ซึ่งตัวเลือกเหลือทางเดียวคือต้องไปอาศัยร่วมโต๊ะกับลูกค้าคนอื่น หวยออกอยู่ที่คนมาคนเดียวอย่างโต๊ะในสุดนั่น
ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปอย่างไม่ลังเล
“ขอนั่งด้วยนะครับ” เขาเอ่ยกับหญิงสาวที่นั่งง่วนอยู่กับโทรศัพท์ในมือ
“เชิญค่ะ” เธอเอ่ยโดยที่ไม่ได้เงยหน้ามามอง
“ขอบคุณครับ” เขากล่าวขอบคุณก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามเธอ และหยิบโทรศัพท์ออกมาดูแชตกลุ่มทำงานระหว่างรออาหาร
ปาลิดาที่กำลังนั่งสไลด์หน้าจอสมาร์ตโฟนท่องเว็บชอปปิงออนไลน์ไม่ได้สนใจผู้มาขอนั่งร่วมโต๊ะ ร้านนี้เธอเป็นลูกค้าตั้งแต่ย้ายมาอยู่ใหม่ๆ จวบจนปัจจุบัน ด้วยรสชาติและราคาที่เหมาะสม ร้านนี้จึงเป็นร้านประจำของคนที่อยู่ละแวกนี้ มีลูกค้าเยอะเป็นพิเศษแม้จะดึกดื่นค่อนคืนแล้วก็ตาม การนั่งร่วมโต๊ะหรือแบ่งปันที่นั่งกับลูกค้าคนอื่นก็กลายเป็นเรื่องปกติที่พบเจอ
แน่นอนว่าคนที่ไม่รู้จักกันย่อมต่างคนต่างนั่ง ต่างคนต่างกิน แม้จะนั่งโต๊ะเดียวกันก็ตาม ทว่าครั้งนี้เธอกลับรู้สึกคล้ายกำลังถูกจ้อง ซึ่งตรงหน้าเธอมีเพียงแค่ผนังปูนฉาบเปลือยกับผู้ชายที่ขอร่วมโต๊ะ และไม่มีทางที่ผนังปูนจะมีตาจ้องเธอได้ ดังนั้นก็เหลือเพียงอย่างเดียว...
ปาลิดาเงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งตรงข้ามโดยอัตโนมัติ
“บังเอิญอีกแล้วนะว่าไหม”
เธอหน้าตึงเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเจอคู่กรณีเก่าที่กำลังส่งยิ้มมาให้ หากเธอไม่หิวจนไส้บิดคงจะลุกกลับคอนโดตอนนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด
ปาลิดากวาดสายตามองโต๊ะอื่นเผื่อจะมีที่ว่าง จะได้เปลี่ยนโต๊ะ แต่โชคก็ไม่เข้าข้างเธอเลย
“เกลียดขี้หน้าผมจนไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกันเลยเหรอ”
อธิชถามเมื่อเห็นปฏิกิริยาแสดงความไม่ชอบใจชัดเจนของเธอ เขาเองก็แปลกใจไม่น้อยที่ผู้หญิงที่เขาขอร่วมโต๊ะด้วยเป็นคู่กรณีเก่า กว่าจะรู้ก็ตอนที่เห็นเธอยกมือทัดผมที่ใบหูนั่นละ ซึ่งทำให้เขานิ่งค้างไปเลย เพราะนี่เป็นครั้งที่สามที่เขาเจอเธอด้วยเหตุบังเอิญ
“ใช่” ปาลิดาตอบตามตรง
“ถนอมน้ำใจผมบ้างก็ได้” อธิชเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งขำกึ่งหมั่นไส้ ผู้หญิงอะไรไม่คิดอ้อมค้อมบ้างเลย
“ไม่จำเป็น” และเธอก็ยังซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเองเช่นเดิม
“ผมก็ขอโทษแล้วไง ทำไมคุณยังโกรธแค้นผมอยู่อีกล่ะ ที่อาฆาตแค้นผมแบบนี้เพราะชาติหน้าอยากเกิดมาเจอผมอีกหรือเปล่า” อธิชสัพยอก ยิ่งเห็นใบหน้าสวยบึ้งตึงแล้วเขาก็ยิ่งอยากแกล้ง
“แค่ชาตินี้ก็เกินพอ”
“แต่เราบังเอิญเจอกันบ่อยนะว่าไหม” อธิชชวนคุยอย่างเป็นกันเอง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่ได้อยากเป็นกันเองกับเขาเสียเท่าไร เพราะเจ้าหล่อนไม่หันหน้ามองกันเลย เอาแต่มองหามดหาแมลงตามซอกอิฐอยู่นั่น “หรือคุณไม่คิดแบบนั้น”
“ฉันคิดแค่ว่ายังไม่หมดกรรม”
“แสดงว่าชาติที่แล้วเราคงเคยทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขันกันมาก่อน ชาตินี้ถึงได้มาพานพบกันอีก” อธิชแทบหลุดขำเมื่อคนที่หามดหาแมลงเมื่อครู่หันขวับมาถลึงตาใส่เขาเสียเขียวปั้ด แต่ก็ยังแกล้งไม่เลิก “คุณคิดว่าชาติหน้าเราจะเจอกันไหม”
“คุณช่วยนั่งเงียบๆ ได้ไหมคะ ทำแบบไม่มีตัวตนเลยยิ่งดี”
“ข้าวได้แล้วจ้า”
เหมือนเจ๊โอ๋จะรู้จังหวะจึงได้นำข้าวสองจานมาวางตรงหน้าคนทั้งสองได้อย่างถูกเวลา และเมื่ออาหารมาถึง ต่างคนก็ต่างสนใจจานข้าวตรงหน้าตัวเอง ไม่มีประโยคสนทนาใดๆ อีก
ปาลิดาลุกจากโต๊ะไปจ่ายเงิน จะบอกว่าเธอรีบกินรีบไปก็ไม่ผิดนัก เมื่อได้รับเงินทอนก็ตรงกลับคอนโดทันที ยิ่งรู้ว่าคู่กรณีเก่าเดินตามหลังมาติดๆ ก็ยิ่งรีบสาวเท้าให้เร็วขึ้น
“เดี๋ยวก่อนสิคุณ”
ปาลิดาจำต้องหยุดอยู่กับที่เมื่อถูกดักทางไว้ ถ้าถูกเรียกเฉยๆ มีหรือเธอจะหยุด “มีอะไรคะ”
อธิชชะงักเพราะคำถาม เพราะเขาก็ถามตัวเองด้วยประโยคเดียวกันเหมือนกัน
เขามีธุระอะไรถึงเรียกเธอไว้ แถมยังมาดักหน้าขวางทางเดินของชาวบ้านชาวช่องเขาแบบนี้อีก
‘ทำอะไรของมึงไอ้เตอร์!’
“ผมขอโทษ” อธิชโพล่งออกไป
“คะ?”
“ขอโทษที่ทำให้คุณโกรธ”
ความจริงคือเขาก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกพูดคำว่า ‘ขอโทษ’ แต่เมื่อพูดไปแล้วก็แถต่อไป
“ถ้าเรื่องวันนั้น คุณขอโทษฉันแล้วค่ะ”
“ไม่รู้สิ ผมยังรู้สึกผิดอยู่เลย”
โกหกทั้งเพ!
ความรู้สึกผ่งรู้สึกผิดอะไรไม่มี เขาเลิกรู้สึกผิดตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่ที่ยังพูดเรื่องเดิมอยู่เพราะเขาอยากมีเรื่องคุยกับเธอหรอก แต่เธอไม่ค่อยอยากเสวนากับเขาเสียเท่าไร
ปาลิดาถอนหายใจออกมา บางทีการกระทำที่ไม่ดีของเธอยามที่แสดงออกต่อเขาอาจจะทำให้เขาคิดว่าเธอยังโกรธอยู่ ซึ่งเธอเองก็มีส่วนรับผิดชอบ
“ฉันไม่ได้ติดใจอะไรแล้ว คุณสบายใจเถอะ” เมื่อชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ เธอจึงเอ่ยขอตัว แต่กลับถูกเรียกไว้อีกครั้ง
“คุณไม่คิดว่าระหว่างเรามันมีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นบ่อยเกินไปเหรอ”
“ไม่ค่ะ” เธอส่ายหน้า เพราะคิดว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน ยิ่งระหว่างเธอกับเขายิ่งมีโอกาสเกิดขึ้นบ่อยอยู่แล้ว เนื่องจากอยู่คอนโดเดียวกัน
“เราบังเอิญเจอกันมาสามครั้งติดแล้วนะ”
“ค่ะ ซึ่งมันอาจจะไม่มีครั้งที่สี่” เธอตอบอย่างมั่นใจ ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร และไม่คิดจะเข้าใจหรืออยากรู้อะไรด้วย “ฉันขอตัวนะคะ”
ปาลิดาเดินเบี่ยงผ่านหน้าเขาไป ครั้งนี้ชายหนุ่มไม่ได้ยื้อเธอไว้ ทว่าเอ่ยไล่หลังไปให้ได้ยิน
“แต่ถ้าบังเอิญมีครั้งที่สี่...” อธิชเอ่ยไล่หลัง ก่อนจะเอ่ยต่อ “...ผมจีบคุณแน่!”
ความคิดเห็น |
---|