0

บทนำ


บทนำ

แรกพบสบตา (ตุ่ม)

 

‘ผมว่า...เราเลิกกันเถอะ’

น้ำเสียงจริงจังที่เปล่งออกมาจากปากแฟนหนุ่มที่คบกันมาร่วมเจ็ดปีอย่างไม่คิดลังเลนั้นยังคงดังสนั่นอยู่ที่ข้างหูปาลิดา ร่างเพรียวที่สวมรองเท้าส้นสูงราคาแพงพยายามเร่งฝีเท้าออกจากห้างสรรพสินค้า ซึ่งเป็นที่นัดหมายของแฟนหนุ่มเพื่อใช้บอกเลิกเธอ หญิงสาวมุ่งตรงไปยังรถของตนเอง ก่อนที่น้ำตาซึ่งคลอหน่วยตาอยู่จะรินไหลออกมาให้ได้อับอายผู้คนที่เดินสวนกัน

ใบหน้าสวยแม้จะเรียบนิ่ง แต่ดวงตากลมโตก็บอกความรู้สึกตอนนี้ของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี ริมฝีปากบางที่เคลือบลิปสติกสีแดงไว้อย่างสวยงามเม้มเป็นเส้นตรง มือเล็กที่ถือกระเป๋าคลัตช์กำแน่นเพื่อกักเก็บอารมณ์ไว้อย่างสุดความสามารถ

เธอกดรีโมตปลดล็อกรถญี่ปุ่นคันเล็กของตัวเอง เปิดประตูขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ ก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างไม่กลัวว่าใบหน้าที่แต่งแต้มเครื่องสำอางไว้อย่างประณีตจะเลอะเทอะ เพราะส่วนหนึ่งเธอใช้เครื่องสำอางแบบกันน้ำ เลยหายกังวลเรื่องนี้ไป

“ไอ้บ้าเจตน์...ไอ้ผู้ชายเฮงซวย!”

ปาลิดาก้มหน้าร้องไห้แนบพวงมาลัยรถ นอกจากจะเสียใจที่ถูกแฟนหนุ่มซึ่งคบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยบอกเลิกด้วยเหตุผลบัดซบแล้ว ยังเสียดายเวลาเจ็ดปีที่เธอรักและซื่อสัตย์ต่อผู้ชายคนนี้อย่างไม่บิดพลิ้ว ไม่ว่าจะมีใครเข้ามาจีบ เธอก็เชิดหน้าขึ้นและเอ่ยอย่างมั่นคงว่ามีแฟนแล้ว โดยไม่นึกเสียดายโอกาสทำความรู้จักผู้ชายคนใหม่แม้แต่น้อยนิด ทว่าคนที่เธอไว้ใจกลับหักหลังกันได้ลงคอ

“ถ้าจะบอกเลิกฉันทำไมไม่บอกตั้งแต่เนิ่นๆ ปล่อยให้มันผ่านมาถึงเจ็ดปีทำไม! ฮือ...”

เจตน์ ศิรกรณ์ เป็นผู้ชายที่แม้ไม่ได้หล่อมาก แต่รูปร่างที่ออกกำลังกายอยู่เป็นประจำบวกกับการแต่งตัวที่ดูดีทำให้เขาเป็นผู้ชายที่น่าสนใจมากคนหนึ่ง ชายหนุ่มเป็นผู้จัดการสาขาอนาคตไกลของธนาคารใหญ่ เป็นแฟนคนแรกที่ปาลิดาคบหาดูใจในสถานะคนรักมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัย และคบกันเรื่อยมาโดยไม่มีวี่แววว่าสุดท้ายทั้งคู่จะไปกันไม่รอด ทั้งที่แทบจะไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใจหรือทะเลาะเบาะแว้งกันแบบหนักหนาสาหัสเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทว่าสุดท้ายแล้วเธอก็หนีอาถรรพ์เลข 7 ไม่พ้น

แม้อายุเธอจะยังไม่เยอะ และมีโอกาสได้เจอผู้ชายดีๆ แต่อายุเธอก็ถือว่าไม่น้อยแล้วเหมือนกัน เพียงอีกไม่ถึงสองปีเธอก็จะเดินเข้าสู่ประตูเลขสามอย่างเป็นทางการแล้ว ที่สำคัญ สองสามปีให้หลังมานี้แทบจะไม่มีใครแวะเวียนเข้ามาทักทายทำความรู้จักเช่นเมื่อก่อน และเธอก็งานยุ่งเกินกว่าจะมีโอกาสทำความรู้จักใครใหม่

“หึ! ผู้ชายใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิตเสียที่ไหน ไม่มีก็ไม่ตาย”

ปาลิดายืดตัวนั่งหลังตรงอย่างไม่แคร์เหตุการณ์ที่เพิ่งพบเจอมา คิดเสียว่าโชคดีที่เธอถอนตัวได้ทัน แม้ระยะเวลาเจ็ดปีจะเป็นเวลาที่ไม่น้อย แต่ก็ยังดีกว่าแต่งงานแล้วไปกันไม่รอด

ปาลิดากดปุ่มสตาร์ตรถเพื่อกลับบ้าน อย่างน้อยที่บ้านก็ทำให้เธอฟูมฟายได้ถนัดกว่าบนรถ แต่พอเงยหน้าขึ้นก็ต้องถอนหายใจเมื่อมีรถมาจอดขวางหน้ารถเธอไว้ สืบเนื่องมาจากลูกค้าที่ใช้บริการมีมากกว่าพื้นที่จอดรถ จึงจำเป็นต้องมีการจอดซ้อนคัน ซึ่งเธอต้องลงไปเข็นรถที่ขวางรถเธอไว้ออก วันนี้ไม่มีอะไรเป็นใจให้เธอเลยจริงๆ

หญิงสาวเปิดประตูลงมาจากรถและใช้แรงทั้งหมดที่มีออกแรงเข็น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เกิดการขยับเขยื้อนแต่อย่างใด

“ใช้ชีวิตเป็นฉันนี่มันไม่ง่ายเลยจริงๆ” เธอหมดความหวังที่คิดว่ารถจะขยับ จึงมองหาคนที่พอจะขอความช่วยเหลือได้ ก่อนหน้านี้ผู้คนเดินสวนกันไปมาขวักไขว่ แต่บัดนี้แทบจะเหลือแค่เธอที่อยู่บนชั้นจอดรถเพียงลำพัง “ให้มันได้อย่างนี้ซี้ ปาลิดา!”

หญิงสาวมองหาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำลานจอดรถของชั้นนี้ เมื่อเห็นบุคคลเป้าหมายจึงเดินตรงเข้าไปหา

“อ๊ะ!” ปาลิดายกมือขึ้นกุมหน้าอกข้างซ้ายด้วยความตกใจ เมื่อครู่นี้ใจเธอหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อเผลอเดินสะดุดขาตัวเองจนเกือบล้มคะมำไปกับพื้น

“เกือบไปแล้วไง ซุ่มซ่ามจริงๆ” หญิงสาวเอ็ดตัวเองที่ไม่ระมัดระวัง แต่ส่วนหนึ่งก็โทษความซวยของตัวเองในวันนี้ด้วย

“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณลูกค้า”

“อ่อ...พอดีเอารถออกไม่ได้ค่ะ รบกวนพี่ช่วยเข็นหน่อยได้ไหมคะ” เธอรีบสลัดความตกใจเมื่อครู่ทิ้งและเอ่ยขอความช่วยเหลือ

“รถจอดตรงไหนครับ”

“ทางนี้ค่ะ” ปาลิดาเดินนำไปยังรถของตัวเองที่จอดอยู่และชี้บอก “คันนี้ค่ะ”

“สักครู่นะครับ” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเริ่มออกแรงเข็น โดยมีหญิงสาวยืนให้กำลังใจอยู่ไม่ห่าง แต่จนแล้วจนรอดก็เหมือนว่ารถคันใหญ่จะยังอยู่ที่เดิม ไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อน

“เดี๋ยวช่วยนะคะ” เธอเดินไปหน้ารถคันเจ้าปัญหาและออกแรงช่วยเข็น แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย

“ผมว่ามันแปลกๆ นะครับ” เจ้าหน้าที่หนุ่มเดินไปดูกระจกประตูข้างคนขับ แม้จะติดฟิล์มทึบ แต่หากมองดีๆ ก็พอมองเห็นด้านในรางๆ แล้วทุกอย่างก็กระจ่างในทันที “ชัดเลยครับ”

“คะ? ชัดอะไรคะ อะไรชัดคะ” เธอถามด้วยความสงสัยเพราะตามไม่ทัน

“เจ้าของรถดึงเบรกมือไว้ครับ”

“ให้ตายเถอะ!” ปาลิดายกมือกุมขมับด้วยความเซ็ง อะไรมันจะซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนี้ และยิ่งไปกว่านั้นคือรถเธอจอดอยู่ในมุมที่เดินหน้าได้ทางเดียว ซึ่งหากจะออกจากที่นี่ได้ก็ต้องรอเจ้าของรถคันนี้มาเคลื่อนเท่านั้น

“เดี๋ยวผมให้ทางประชาสัมพันธ์ประกาศเรียกเจ้าของรถให้นะครับ”

“ขอบคุณมากค่ะ”

เจ้าหน้าที่จดทะเบียนรถคันดังกล่าวก่อนจะเดินหายเข้าไปด้านใน

“เป็นฉันมันไม่ง่ายจริงๆ” หญิงสาวเข้ามานั่งในรถและหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาทำงานเพื่อฆ่าเวลา ที่สำคัญเพื่อที่จิตใจเธอจะได้ไม่ฟุ้งซ่านคิดเรื่องก่อนหน้านี้ คนอย่างปาลิดาเสียใจได้ แต่งานต้องไม่เสียไปด้วย

...

สาวร่างบางที่นั่งทำงานมาจนแบตเตอรี่ในแท็บเล็ตใกล้หมดยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ประกาศตามหาเจ้าของรถก็ผ่านมาชั่วโมงกว่า และตอนนี้ก็ล่วงเลยไปสามทุ่มกว่าแล้ว ยังไม่มีวี่แววจะมีใครมาแสดงตัวเป็นเจ้าของรถ

“จะรอจนห้างปิดเลยหรือไงนะ”

ปาลิดากวาดสายตามองไปนอกรถเผื่อจะมีใครเดินตรงมาทางนี้บ้าง และหวังว่าใครคนนั้นจะเป็นเจ้าของรถเจ้าปัญหา แต่ทุกคนก็ล้วนเดินผ่านไปยังรถของตัวเอง ค่อยๆ ขับออกไปทีละคันสองคัน จนเหลือรถไม่กี่คันบนลานจอดชั้นนี้

“กำลังกลับบ้านครับ...”

เสียงที่ดังแว่วเข้ามาทำให้ปาลิดาหันไปมองด้วยความสนใจ ชายหนุ่มรูปร่างสูงกำลังเดินตรงมาทางนี้ ภาวนาขอให้เขาเดินตรงมาที่รถคันเจ้าปัญหานี้

และแล้ว...ก็เจอเข้าจนได้สิน่า

“มาแล้วสินะ...คุณเจ้าของรถ!” เธอเอ่ยเสียงลอดไรฟัน ยิ่งเห็นเจ้าของรถเดินอย่างไม่เร่งรีบ ไม่ทุกข์ร้อน ยังคงเดินคุยโทรศัพท์ด้วยความสบายใจก็ยิ่งโมโห หารู้ไม่ว่าการกระทำของตัวเองได้สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น

ปาลิดาเปิดประตูและก้าวออกจากรถ ตาจ้องเขม็งไปที่คู่กรณีหนุ่ม

“เป็นไงเป็นกันวันนี้” เธอเอ่ยกับตัวเองอย่างหมายมาด ในหัวตอนนี้ไม่มีคำว่ากลัวหรือถูกทำร้าย เมื่อความโมโหขึ้นมาบังตาจนไม่สนใจอะไร และตอนนี้เธอพร้อมสู้ตาย!

ปาลิดาเดินตรงไปหาเจ้าของร่างสูงนั้นทันที

ทว่า...

โครม!

“โอ๊ย!...”

สุดท้ายเธอก็ล้มจากการสะดุดขาตัวเองจนได้ แถมยังมาล้มลงตรงหน้าคู่กรณีอีกต่างหาก แทนที่จะได้ฉะกันซึ่งๆ หน้า กลับต้องล้มคะมำมาสบตากับตาตุ่มของเขาแทน กลับบ้านไปเธอจะทิ้งรองเท้าคู่นี้ โทษฐานที่ทำเธอสะดุดสองครั้งสองครา

ให้ตายเถอะ! น่าอายยังไม่พอหรือไงเนี่ย

“เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ ให้ผมช่วยไหม” ชายหนุ่มรีบรุดเข้าไปหาหญิงสาวที่นั่งแหมะอยู่กับพื้นพร้อมกับยื่นมือไปเพื่อให้เธอจับเพื่อพยุงตัวเองยืนขึ้น

“ไม่เป็นไร!”

ชายหนุ่มผงะเมื่อถูกเหวี่ยงใส่

“ไม่เป็นไรนี่...ไม่เป็นอะไรหนัก หรือไม่เป็นไร ไม่ต้องช่วย”

“ไม่ต้องช่วย!”

‘เอ่อ...กูทำอะไรผิดวะเนี่ย’

อธิชยกมือที่ยื่นไปหวังจะช่วยหญิงสาวมาเกาศีรษะแก้เก้อแทนหลังได้ยินเสียงวีนของเจ้าหล่อน ไม่รู้ว่าเพราะเขาหรือเปล่าที่ทำให้เธอโมโห แต่เขาไม่ได้ขัดขาเธอจนล้มเสียหน่อย ล้มเองล้วนๆ เลย จะโทษเขาก็ไม่ถูกหรือเปล่า

‘ท่าจะอาย แต่ทำไมกูถูกหางเลขวะ’

คนถูกเหวี่ยงวีนยังคงไม่เข้าใจการกระทำของหญิงสาวแปลกหน้า แต่เมื่อเธอไม่ต้องการความช่วยเหลือก็หมดหน้าที่สุภาพบุรุษเช่นเขาแล้ว ตอนนี้สมควรแก่การกลับไปนอน

อธิชเดินกลับไปที่รถของตัวเอง เขาเพิ่งกลับมาจากไซต์งานที่ต่างจังหวัด และไม่อยากใช้รถสาธารณะ เพราะอีกไกลกว่าจะถึงคอนโดที่พัก และพรุ่งนี้ยังต้องใช้รถ เลยวานน้องสาวที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยแถวนี้เอารถมาจอดไว้ให้ที่ห้างสรรพสินค้า

ส่วนคนที่เพิ่งปฏิเสธการช่วยเหลือจากชายหนุ่มคู่กรณีก็ได้แต่โมโหตัวเอง ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจไปเสียทุกอย่าง นอกจากจะขายหน้าแล้ว ส้นรองเท้าคู่โปรดยังจะมาหัก นี่มันวันซวยที่แท้ทรูของนางสาวปาลิดา แต่เหมือนเธอจะมัวนั่งไว้อาลัยให้ความซวยของตัวเองนานเกินไป เพราะตอนนี้เธอได้ยินเสียงปลดล็อกรถและเสียงเปิดปิดประตูของรถเจ้าปัญหา

“ให้ฉันรอมาเป็นชั่วโมง แต่ตัวเองจะรีบหนีกลับเนี่ยนะ จะกลับง่ายๆ ได้ยังไง” ปาลิดาลุกขึ้นยืน ถอดรองเท้าข้างที่ส้นหักออก แล้วรีบเดินไปเคาะกระจกฝั่งคนขับของรถคู่กรณีทันที

ก๊อก! ก๊อก!

อธิชตกใจเล็กน้อยเมื่อหันมาเจอหญิงสาวคนเมื่อครู่มาเคาะกระจก ซ้ำใบหน้าเจ้าหล่อนก็บูดบึ้งเหมือนไปกินรังแตนที่ไหนมา จึงเลื่อนกระจกลงเพราะคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะมีเรื่องขอความช่วยเหลือ หรืออาจจะรู้สึกผิดที่เหวี่ยงใส่เขาเมื่อครู่นี้อย่างไร้เหตุผล

“มีอะ...”

“นี่คุณปล่อยให้ฉันรอมาเป็นชั่วโมงแล้วจะชิ่งหนีกลับง่ายๆ อย่างนี้เหรอ!”

รู้สึกผิดกับผีน่ะสิ! ไม่ใช่แค่กระจกเลื่อนลงยังไม่ทันสุดเพียงอย่างเดียว แม้แต่ประโยคที่เขากำลังจะเอ่ยอย่างคนมีไมตรีจิตก็ยังไม่มีโอกาสได้พูดจนจบ เมื่อสาวเจ้าสวนขึ้นด้วยประโยคกล่าวหาเสียก่อน

“เอ่อ...ผมให้คุณรอเหรอ” อธิชชี้ตัวเองสลับกับตัวเธอ

“ผู้ชายไม่มีความรับผิดชอบ!”

“มันชักจะเกินไปแล้วนะคุณ” อธิชเปิดประตูลงจากรถไปยืนประจันหน้ากับสาวขี้โวยวาย เขารึอุตส่าห์พูดดีๆ ด้วย ดูคำพูดเธอแต่ละคำที่ตอบกลับเขาสิ น่าฟังที่ไหนกัน “ผมไปบอกให้คุณรอตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วไอ้ผู้ชายไม่มีความรับผิดชอบเนี่ยก็ไม่น่าจะใช่ผม เพราะเราสองคนไม่เคยรู้จักกัน แล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกที่คุณกับผมเพิ่งเจอหน้ากัน ไม่มีทางที่ผมจะไปทำคุณท้องแน่ๆ จำคนผิดแล้วคุณ”

“ฉันไม่ได้ท้อง!”

“ก็เห็นมาเรียกร้องความรับผิดชอบ เลยนึกว่ามาตามหาพ่อของลูกในท้องน่ะสิ”

“นอกจากจะไม่มีความรับผิดชอบแล้วยังปากเสียอีกต่างหาก” ปาลิดาต่อว่าอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจ จนป่านนี้แล้วเขาก็คงยังไม่สำนึกผิดหรือสลดใจที่ตัวเองดึงเบรกมือไว้เลย

“โวะ! ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ทำใครท้อง”

“ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้ท้อง!”

“งั้นก็บอกมาว่าผมไปทำอะไรให้คุณไม่พอใจจนต้องมายืนด่ากันฉอดๆ แบบนี้” อธิชเอ่ยออกมาด้วยความเบื่อหน่าย แทนที่กลับถึงกรุงเทพฯ แล้วจะได้รีบกลับบ้านไปนอนพักผ่อนหลังจากที่โหมงานหนักมาหลายวัน แต่กลับต้องมาเสียเวลาให้ผู้หญิงแปลกตรงหน้า

ปาลิดาร้อง ‘เหอะ’ ในลำคอเมื่อได้ยินประโยคไม่เข้าหูจากเขา

“นี่ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ”

“ถ้ารู้คงไม่ถามรึเปล่า”

“รถคุณดึงเบรกมือไว้ ทำให้รถฉันออกไม่ได้ และฉันก็รอคุณมาเป็นชั่วโมง ประชาสัมพันธ์ประกาศตามหาเป็นสิบๆ รอบ พี่ยามก็ตามล่าตัวคุณยิ่งกว่าโจรขโมยกางเกงใน แล้วคุณจะชิ่งหนีไปง่ายๆ แบบนี้โดยไม่มีแม้แต่คำว่าขอโทษหรือไง! ฮะ!”

คนถูกต่อว่าได้ยินชัดเจนเพียงประโยคเดียวนั่นคือ ‘คุณดึงเบรกมือไว้’ ส่วนที่เหลือแทบจะไม่กระทบโสตประสาทการได้ยินของเขา เพราะประโยคนั้นประโยคเดียวก็เพียงพอที่จะเข้าใจอาการของหญิงสาวแล้วว่าเพราะเหตุใดถึงเกรี้ยวกราดเช่นนี้ เป็นเขาก็คงเกรี้ยวกราดไม่แพ้เธอ

อธิชมองเข้าไปในรถเพื่อพิสูจน์ความจริงกับข้อกล่าวหา ซึ่งคำตอบก็คือ...

‘ถูกวางยาแล้วไง’

“คุณรู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมฉันต้องมายืนด่าคุณฉอดๆ แบบนี้” ปาลิดาหอบหายใจถี่เพราะเมื่อครู่ใช้พลังงานไปเยอะ เรียกว่าแทบไม่ได้หยุดหายใจเลยทีเดียว

เธอไม่เถียงว่าส่วนหนึ่งเพราะเก็บกดมาจากการที่ถูกบอกเลิกด้วยเหตุผลเห็นแก่ตัว พอได้พูดแล้วเหมือนได้ระบายเรื่องนั้นไปด้วย ซึ่งคนอย่างเขาก็สมควรโดนเพราะการกระทำที่ไม่นึกถึงสาธารณะเช่นนี้

“ไม่รู้ก็ควายแล้วคุณ”

หลักฐานชัดคาตาขนาดนี้ใครจะไปเถียงออกล่ะ จะให้บอกเธอว่าคนที่จอดรถจริงๆ แล้วไม่ใช่เขา แต่เป็นยายน้องสาวตัวแสบที่ขี้หลงขี้ลืมต่างหากก็ไม่ใช่ไหม เพราะนั่นเหมือนเป็นข้อแก้ตัวและไม่รับผิดชอบกลายๆ

“จอดรถแบบนี้ก็...”

“อย่าเกรี้ยวกราดสิคุณ” อธิชรีบเบรกเพราะรู้ว่าเธอจะพูดว่าอะไร

‘จอดรถแบบนี้ก็จอดได้ควายเหมือนกัน’ เขารู้หรอกว่าเธอกำลังจะพูดประโยคนี้

“ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องเสียเวลาแล้วยังต้องเสียอารมณ์อีก” อธิชรีบเอ่ยขอโทษขอโพย แม้เขาจะไม่ได้เป็นโจรตัวจริงก็เถอะ แต่เขาก็เป็นพี่ชายโจร ยังไงก็ต้องรับผิดชอบแทนโจรอยู่ดี แล้วเขาจะไปเล่นงานโจรอีกที

“คุณอยากให้ผมทำอะไรเป็นการไถ่โทษก็บอกมาได้เลย ผมยินดี”

“กรุณาเลื่อนรถให้ฉันด้วยค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงแข็ง เธอไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย นอกจากคำว่าขอโทษ ส่วนที่เผลอต่อว่าเขาไปเสียหลายประโยคก็เป็นอารมณ์คล้อยตาม ด้วยเหตุด้วยผลแล้วนั้นเขาสมควรโดน

“ครับคุณผู้หญิง”

อธิชรีบขึ้นรถแล้วเคลื่อนรถออกจากหน้ารถเธออย่างว่าง่าย นึกถึงน้องสาวตัวแสบแล้วก็ได้แต่คาดโทษไว้ มองหญิงสาวแปลกหน้าที่เดินด้วยรองเท้าส้นสูงเพียงข้างเดียวจากกระจกมองหลัง ใบหน้าสวยเฉี่ยวบึ้งตึงเหมือนไปโกรธใครมาเป็นสิบชาติ ซึ่งคำตอบก็คือเขานั่นละที่เป็นต้นเหตุ

เสียงสั่นเตือนของโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงทำให้อธิชต้องละสายตาออกจากร่างเพรียว และคนที่โทร. เข้ามาก็คือตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาถูกด่าไม่ซ้ำประโยค

“พี่เตอร์เจอรถไหม จำโซนที่น้องบอกได้ไหมเนี่ย” เมื่อพี่ชายรับโทรศัพท์ ลลิตาก็รัวคำถามใส่ทันที

“เจอ!”

“เห็นเงียบไปก็นึกว่าหาไม่เจอ” เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เพียงชั่วครู่เท่านั้น...

“ไม่ได้เจอแค่รถนะ แต่เจอด่าจนหูชาแล้วเนี่ย” อธิชเอ่ยพร้อมกับมองรถญี่ปุ่นคันเล็กที่ขับผ่านไปด้วยความเร่งรีบ “เพราะแกคนเดียวเลยตาต้า!”

“น้องผิดอะไรเนี่ย” คนถูกต่อว่าทำหน้าฉงน

“บ้านแกสอนให้จอดรถขวางหน้าคนอื่นแล้วดึงเบรกมือไว้รึไงฮะ ถ้าพี่ชายแกโดนฆ่าตายก็ขอให้จำไว้ว่าสาเหตุมาจากแกคนเดียว ไม่มีใครอื่นมาเกี่ยวเลย”

“จริงเหรอพี่เตอร์”

“พี่ล้อแกเล่นมั้ง ไม่ถูกเขาชักปืนมายิงก็บุญหัวพี่แกเท่าไหร่แล้ว”

“ต้าขอโทษ...” ลลิตาเอ่ยเสียงเศร้า เพราะความรีบแท้ๆ ที่ทำให้เธอลืมตัวดึงเบรกมือขึ้นตามความเคยชิน

“ไม่ยกโทษให้เว้ย”

“ใจร้าย”

“แน่นอน” อธิชไม่สะทกสะท้าน “จะไปทำอะไรก็ไป จะกลับไปนอนแล้ว”

อธิชคุยกับลลิตาอีกไม่กี่ประโยคก็วางสาย อดจะเหลือบมองไปยังช่องจอดรถที่ก่อนหน้านี้มีรถญี่ปุ่นคันเล็กจอดอยู่ไม่ได้ ทว่านึกถึงรถแล้วเหตุใดใบหน้าเจ้าของรถถึงผุดขึ้นมาในหัวแทน

“ตามหลอกหลอนแม้แต่ตัวไม่อยู่เนี่ยนะ” อธิชส่ายศีรษะเพื่อขับไล่ภาพหลอนนั้นไป แต่ถึงอย่างไรใบหน้าเธอก็ยังชัดเจนในหัว “โคตรเฮี้ยนอ้ะ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น