8

บทที่ 8


8

คนเก่าไม่ดีก็ต้องมีคนใหม่

 

ปาลิดาส่งยิ้มให้เพื่อนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี หรือแม้แต่คนที่ไม่คุ้นหน้า หญิงสาวก็ส่งยิ้มกลับไปให้อย่างเป็นกันเอง เธอกวาดสายตามองหาทิพนาถตามทิศทางที่ธนวัฒน์ชี้บอก แต่ก็ยังไม่เห็นหญิงสาวตัวเล็กเลย

“กินก่อนค่อยหาก็แล้วกัน”

เธอตรงไปยังโซนอาหารซึ่งจัดเป็นแบบค็อกเทล และลงมือตักอาหารทันที วันนี้ตลอดทั้งวันเธอแทบปลีกตัวไม่ได้ ในกระเพาะจึงมีเพียงกาแฟและแซนด์วิชไม่กี่คำเท่านั้น

ปาลิดาตักอาหารกินเล่นใส่จานเพียงพอดีก็เดินหาที่นั่งและกวาดตามองหาทิพนาถไปด้วย

“ทิพย์”

เธอเรียกชื่อเพื่อนพร้อมกับเดินเข้าไปหา ทว่ากลับหน้าเสียเมื่อทิพนาถแสร้งมองไม่เห็นเธอและเดินเลี่ยงออกไป ปาลิดาพลันชะงักขาอยู่กับที่อย่างคนทำอะไรไม่ถูก เกิดความมึนงงสงสัยกับท่าทีของสาวเพื่อนสนิทที่ปฏิบัติต่อเธอ

เกิดอะไรขึ้นกับทิพนาถ

เธอทำอะไรผิดไปหรือไม่

เป็นคำถามที่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก และเธอก็ไม่ชอบให้ตัวเองอยู่กับความสงสัยนี้นาน

ปาลิดาเดินตามทิพนาถจนทันและคว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้

“เดี๋ยวก่อนทิพย์” เธอเอาตัวเองไปดักหน้าทิพนาถไว้ โดยที่มือยังไม่ยอมปล่อยคนตัวเล็กกว่าให้เป็นอิสระ “คุยกันหน่อยดีไหม”

“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับแก” ทิพนาถเอ่ยโดยไม่ยอมมองหน้าเพื่อน เพราะเธอละอายใจเกินกว่าจะสบตาปาลิดาโดยไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องที่เกิดขึ้น “แกอย่ายุ่งกับฉันเลยนะ”

“เดี๋ยวออกไปคุยข้างนอก” ปาลิดาไม่ฟังคำทัดทาน กึ่งลากกึ่งจูงทิพนาถออกไปด้านนอกด้วยกัน โดยที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสปฏิเสธ

ปาลิดาพาทิพนาถออกมาถึงล็อบบีของโรงแรม เลือกที่นั่งซึ่งเป็นส่วนตัวเพื่อคุยเรื่องค้างคาใจ เธอมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรให้เพื่อนสนิทเสียน้ำใจอย่างแน่นอน แต่เหตุใดกันเล่าเพื่อนที่สนิทที่สุดถึงมีอาการเช่นนี้

“แกเป็นอะไรพูดมา”

“ฉัน...” ทิพนาถก้มหน้ามองมือตัวเอง เธอไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไรดี

“ฉันอะไร!”

“ฉันขอโทษปา ฉันขอโทษแกจริงๆ” ทิพนาถละล่ำละลักขอโทษ ดวงตากลมมีน้ำตาเอ่อคลอ “ขอโทษที่เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้น”

“แกช่วยพูดให้ฉันเข้าใจหน่อยได้ไหม ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่แกพูด”

“คือ...” ทิพนาถบีบมือตัวเองแน่นด้วยความไม่มั่นใจ แต่สุดท้ายก็ยอมพูดออกมา “เรื่องเจตน์...”

ปาลิดาหายใจสะดุดเมื่อได้ยินชื่ออดีตคนรัก เธอพอจะคาดเดาได้ว่าทิพนาถจะเอ่ยถึงเรื่องใด ได้แต่ภาวนาว่าคนคนนั้นจะไม่ใช่เพื่อนที่เธอไว้ใจคนนี้

“ผู้หญิงคนนั้น...เป็นใคร”

“กานต์มณี”

ทิพนาถเอ่ยจบก็รีบก้มหน้างุดมองมือตัวเองเมื่อเห็นตาวาวโรจน์ของเพื่อน ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะโกรธขนาดนี้ เพราะกานต์มณีไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นหลานรหัสของปาลิดาเอง แถมยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเธออีก เรียกได้ว่าเป็นคนกันเองทั้งนั้น

“กานต์มณี...” ปาลิดาทวนชื่อที่เพิ่งได้ยินอีกครั้ง ใบหน้าหวาน เครื่องหน้าจุ๋มจิ๋มน่ารักของหลานรหัสลอยมาทันที

‘ผมว่า...เราเลิกกันเถอะ’

คำพูดของเจตน์ยังดังชัดอยู่ในหูเธอจนถึงตอนนี้

‘คุณไม่ใช่ความสุขของผมอีกแล้วปา’

‘คะ?’

จำได้ว่าตอนนั้นมึนงงไปหมด เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างถล่มลงมาทับจนแทบหายใจไม่ออก

‘ผมมีคนใหม่ แล้วผมก็รักเขามาก’

และประโยคนี้ก็ช่วยยืนยันว่าสิ่งที่เธอได้ยินไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเธอ เธอถูกนอกใจจากผู้ชายที่รักและไว้ใจ หนำซ้ำผู้หญิงที่เขาบอกว่ารักก็คือคนใกล้ตัว คนที่เธอไม่เคยคิดระแวง

“ฉันขอโทษนะปา”

“แกชื่อกานต์มณีหรือไง ทำไมต้องขอโทษ” ปาลิดาเอ่ยเสียงแข็ง

“แต่ถึงยังไงมันก็เป็นน้องฉัน” ทิพนาถเอ่ยด้วยความเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น “และเพราะมันเป็นน้องฉันนี่แหละ ฉันถึงได้รู้สึกผิดกับแก ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าแก”

“ช่างเถอะ”

ทิพนาถเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนอย่างไม่เชื่อว่าจะได้ยินประโยคนี้จากปาลิดา “แกไม่โกรธ?”

“โกรธสิ!”

“นั่นสินะ เป็นใครจะไม่โกรธบ้าง ถูกหลานรหัสแย่งแฟนขนาดนั้น”

“ฉันโกรธแกที่หลบหน้าฉันต่างหาก เพราะแบบนี้ใช่ไหมแกถึงไม่ยอมรับโทรศัพท์ฉัน”

“ปา...” ทิพนาถลุกขึ้นไปนั่งโซฟาตัวเดียวกับเพื่อน ก่อนจะกอดอีกฝ่ายไว้แน่น “...ฉันขอโทษที่ทำแบบนั้นกับแก”

“มันน่าโกรธไหมล่ะ” ปาลิดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงฟึดฟัด แล้วหยิบอาหารที่เธอถือติดมือมาด้วยเข้าปาก

“แล้วเรื่องเจตน์ล่ะ แกทำใจได้แล้วเหรอ”

ปาลิดาส่ายหน้าอย่างไม่ปิดบัง “คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก”

“แกโอเคใช่ไหม” ทิพนาถถามด้วยความเป็นห่วง

“ก็คงต้องโอเค”

“เจตน์มันมีใหม่ได้ แกก็มีใหม่ได้เหมือนกัน” ทิพนาถเอ่ยอย่างแค้นเคืองแทนเพื่อน “เอาให้ดีกว่าเดิมเป็นล้านเท่าไปเลย”

“ถูกของแก”

“เริ่มจากหาในงานไอ้วัฒน์เลยไหม” ทิพนาถเอ่ยด้วยแววตาซุกซน

“ฉันยังไม่รีบ” ปาลิดาไม่เห็นด้วยกับเพื่อน เอื้อมมือหยิบจานเปล่าที่ถือติดมือมาด้วยแล้วลุกขึ้นยืน “เข้าไปในงานเถอะ ฉันยังไม่อิ่มเลย”

“แกนะแก” ทิพนาถส่ายหน้าอย่างขบขัน

สองเพื่อนสนิทเดินตามกันเข้าไปด้านใน และปาลิดาก็ตรงไปที่โซนอาหารทันที โดยมีทิพนาถคอยชวนคุยและช่วยเลือกอาหาร คนเพิ่งอกหักยิ้มเต็มใบหน้ายามคุยหยอกล้อกับเพื่อน และนั่นเป็นครั้งแรกที่คนแอบมองอย่างอธิชได้เห็นรอยยิ้มของเพื่อนบ้านสาว

“น่ารักจัง” อธิชพูดคล้ายคนละเมอ ซึ่งธนวัฒน์ที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยได้แต่กลอกตาพร้อมส่ายหัวไปมาเพราะความ ‘เป็นเอามาก’ ของเพื่อน

“มึงเป็นเอามากเนอะเตอร์”

“มึงไม่รู้อะไร นี่ครั้งแรกเลยนะที่กูเห็นเขายิ้มแบบนี้”

“มึงก็รู้ว่ายายปาไม่มีแฟน ทำไมไม่ลุกไปหามันเลยวะ” อธิชเอาแต่นั่งมองปาลิดาอยู่ห่างๆ ไม่ยอมเข้าไปหาเสียทีทั้งที่มีโอกาสมากมาย “จะนั่งยิ้มเหมือนคนบ้าอยู่แบบนี้ทำไม”

“จะเปิดตัวพระเอกทั้งทีก็ต้องรอเวลาเหมาะๆ หรือเปล่า”

“แล้วเวลาเหมาะๆ ของมึงคือเมื่อไหร่” เพราะเวลาเหมาะๆ อย่างที่อธิชว่ามีถมเถ แต่อีกฝ่ายเลือกจะนั่งอยู่ที่เดิมยังไงล่ะ

“ไม่รู้”

“ขอบคุณสำหรับคำตอบ!” ธนวัฒน์แขวะด้วยความหมั่นไส้

ปาลิดากวาดตามองไปโดยรอบเมื่อรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกจ้อง แต่ทุกคนที่อยู่ในงานต่างก็สนใจกลุ่มของตัวเอง หรือบางทีเธออาจจะคิดมากไปเอง

“มีอะไรเหรอแก” ทิพนาถกวาดสายตามองตามเพื่อน แต่ก็ไม่เห็นมีสิ่งใดผิดปกติ

“แค่มองหาของอร่อยๆ น่ะ” เธอเลือกจะตอบเพื่อนไปแบบนั้น

“ไปดูตรงนั้นดีกว่า ดูท่าน่าจะอร่อย” ทิพนาถชี้มือไปยังอาหารสีสันสวยงามซึ่งอยู่ปลายโต๊ะ เมื่อเห็นปาลิดามีปฏิกิริยาตอบรับช้าไม่ทันใจจึงลากหญิงสาวไปเสียเอง

“สรุปว่าใครเป็นคนหิวกันแน่เนี่ย” ปาลิดายิ้มขำเพื่อน

“ฉันเห็นแกกินอร่อยก็เริ่มจะหิวขึ้นมาแล้วเหมือนกัน”

“งั้นก็...”

“พวกแกได้ยินข่าวยายปากับเจตน์ไหม”

ปาลิดาพลันชะงักคำพูดกลางอากาศทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ซึ่งดังมาจากเสาอีกข้างหนึ่งที่เธอยืนบังอยู่ โดยที่ไม่เห็นว่าคนพูดเป็นใคร แต่แค่ฟังเสียงก็พอจะเดาออกว่าเป็นใคร เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของเธอเอง

“จะแต่งกันแล้วเหรอ”

“ใครว่าล่ะ”

“หรือว่ายายปาจะ...ป่อง”

“คงจะมีโอกาสได้ป่องหรอก ในเมื่อตอนนี้นายเจตน์หนีไปมีเมียใหม่แล้ว”

“แกจะบอกว่ายายปากับนายเจตน์...เลิกกันแล้ว?”

“ก็เออน่ะสิ แถมเมียใหม่นายเจตน์ก็หลานรหัสยายปานั่นแหละ”

ปาลิดายืนฟังประโยคเหล่านั้นด้วยความโกรธขึ้ง โกรธอดีตคนรักที่หักหลังกันได้ลงคอ แล้วยังมักมากไม่รู้จักพอ และคนที่เธอสมควรโกรธที่สุดก็คือตัวเอง เพราะเธอยังนึกเสียใจกับความรักครั้งนั้นไม่จบไม่สิ้น ทั้งที่ควรดีใจเสียด้วยซ้ำที่หลุดพ้นจากผู้ชายเฮงซวยพรรค์นั้นมาได้

“ยายปามันบ้างาน ไม่สนใจแฟนแบบนั้น ไม่มีใครที่ไหนทนได้หรอก ปีๆ หนึ่งมันเคยยิ้มให้แฟนมันหรือเปล่าก็ไม่รู้ ขึ้นชื่อว่าผู้ชายก็ต้องชอบของสวยๆ งามๆ อยู่ด้วยแล้วสบายใจกันทั้งนั้นแหละ”

“ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ!” ทิพนาถโมโหแทนเพื่อน เธอไม่อาจทนฟังคนอื่นนินทาได้หน้านิ่งแบบปาลิดาแน่ “ให้ฉันลุย...”

ทิพนาถมองตามร่างสูงของเพื่อนที่เดินผ่านหน้าไปโดยที่เธอยังไม่ทันได้พูดจบประโยค

“เฮ้ยปา! แกจะไปไหน” จากที่จะนำทัพกลับต้องรีบตามเพื่อนไปให้ทัน ซึ่งปาลิดาไม่ได้เดินไปไหนไกล แต่อ้อมไปยังเสาอีกด้านเท่านั้น

“แล้วยังไงต่อเหรอ” ปาลิดาเดินเข้าไปร่วมวงกับกลุ่มคนที่นินทาเธอ พร้อมกับส่งสายตาถามคนที่เหมือนรู้เรื่องเธอดีกว่าใคร รู้ดีกว่าตัวเธอเสียอีก

“นั่นสิ เล่าต่อสิ” ทิพนาถยิ้มสะใจเมื่อคนขี้นินทาหน้าซีด คงไม่คิดสินะว่าเจ้าของชื่อเขาจะได้ยิน

“คือ...”

“ว่ายังไงล่ะ เล่าต่อสิ ฉันอยากฟัง” ปาลิดาส่งสายตากดดัน แม้ใบหน้าหวานจะมีรอยยิ้มประดับอยู่ตลอดเวลา ทว่าดวงตาหวานก็วาวโรจน์จริงจัง

“เพราะแกเป็นแบบนี้ไงปา นายเจตน์มันถึงได้หนีไปมีเมียใหม่” ภารดีที่เป็นฝ่ายได้ยินข่าวลือมาเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ “ผู้หญิงที่ไม่มีความอ่อนหวานแบบแก ไม่มีผู้ชายที่ไหนเขาทนอยู่ด้วยได้หรอก”

“ทำไมเธอถึงคิดแบบนั้น” คนถูกว่าตรงๆ ถามกลับ

“ก็...”

“ทำไมเธอถึงคิดว่าไม่มีผู้ชายคนไหนทนอยู่กับฉันได้”

ภารดีไม่มีโอกาสได้ตอบเมื่อปาลิดายิงคำถามใส่ไม่ยั้ง

“รู้สึกว่าเธอรู้ดีเหลือเกินนะ”

“หรือฉันพูดไม่จริง” ภารดีเองก็ไม่ยอมแพ้ เธอไม่เคยมีปัญหากับปาลิดา ทว่าความหยิ่งยโสไม่สนใจโลกของเพื่อนร่วมรุ่นคนนี้ทำให้เธอหมั่นไส้ขึ้นมา ด้วยเคยหมายตาเจตน์ไว้ตั้งแต่สมัยเรียน แต่ชายหนุ่มกลับเลือกเข้าหาปาลิดาแทน ความโมโหทั้งเรื่องในอดีตและปัจจุบันผสมปนเปกันไปหมด “เธอจะเถียงหรือเปล่าว่านายเจตน์ไม่ได้หนีไปมีผู้หญิงใหม่”

“ฉะ...”

“ปา!”

เสียงทุ้มที่ดังทะลุกลางปล้องทำให้ปาลิดาชะงักคำพูดไปโดยปริยาย หญิงสาวหันไปมองตามที่มาของเสียง ก่อนที่หนุ่มร่างสูงจะเดินแหวกความมืดออกมา ซึ่งตอนนี้เขากำลังตรงดิ่งเข้ามาหาเธอด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า

“ผมมองหาคุณตั้งนาน ที่แท้ก็อยู่นี่นี่เอง” อธิชเดินเข้าไปซ้อนหลังหญิงสาวพร้อมกับโอบเอวแสดงความเป็นเจ้าของ เขารู้ว่าปาลิดาต้องรีบสะบัดตัวออกห่างหากเป็นสถานการณ์ปกติ จึงรีบก้มหน้าลงไปกระซิบที่ข้างหูเล็กก่อนที่เธอจะทำเขาหน้าแตก “ผมยัดอาวุธใส่มือคุณแล้วนะ ใช้มันให้เป็นประโยชน์เถอะ”

อธิชส่งยิ้มให้สาวๆ ทุกคน โดยเน้นไปที่ภารดีเป็นพิเศษ เพราะเขาเป็นผู้ชายที่เธออยากทำความรู้จักตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในเลานจ์แห่งนี้ เขาไม่อยากทำร้ายเธอ แต่ก็ไม่ยอมให้เธอทำร้ายหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนเขาเหมือนกัน

ปาลิดาพอเดาได้ว่าชายหนุ่มที่ยืนโอบเอวเธออยู่ต้องการบอกอะไร ซึ่งอาวุธที่เขาจับยัดใส่มือเธอก็คือตัวเขานั่นละ และเธอก็ยินดีรับอาวุธนั้นมาใช้โดยไม่ให้สูญเปล่า

“พอดีฉันคุยกับเพื่อนอยู่ค่ะ” เธอเอ่ยขณะเงยหน้าขึ้นมองหน้าหล่อของอธิช และส่งรอยยิ้มหวานหยดชนิดพิเศษให้เขาพร้อมกับยกมือเกาะเอวสอบไว้หลวมๆ ประหนึ่งสนิทสนมกันมานมนาน ทว่าแท้จริงแล้วกลับตรงกันข้าม

“แบบนี้นี่เอง” อธิชพยักหน้าเข้าใจและกระชับวงแขนไปที่เอวบางให้แน่นขึ้น

“ไม่ต้องกอดแน่นก็ได้ค่ะ ปาไม่หนีไปไหนหรอก” เธอเอ่ยยิ้มแย้ม หากคนมองมาคงคิดว่ากำลังคุยหยอกล้อกัน

“ก็ผมคิดถึงปานี่” อธิชพูดไปอมยิ้มไป ไม่ใช่เพราะเขามีความสุขอะไรนักหรอก เพียงแต่ขำคนตัวเล็กที่แม้เสียงจะหวานหยด แต่สายตาที่ส่งมากลับมานั้นพร้อมจะเด็ดหัวเขาในทันทีทันใด “คิดถึงใจแทบขาด”

“อย่างนั้นเหรอคะ” เธอส่งสายตาปรามคนเล่นเกินจริง แต่ก็เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มยังคงตีหน้ามึนอยู่เช่นเดิม

“ไม่คิดจะแนะนำ ‘ผู้ชายของแก’ ให้เพื่อนได้รู้จักหน่อยเหรอยายปา” ทิพนาถเน้นย้ำไปที่บางคำของประโยค ยิ่งเห็นแววตาแสดงความเสียดายชัดเจนของภารดีก็ยิ่งถูกใจ

เพราะอะไรน่ะเหรอ...

‘ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร’

ทิพนาถหันไปมองที่ประตูทางเข้าหลังได้ยินเสียงภารดีเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นอกตื่นใจ ซึ่งก็ไม่แปลกเมื่อคนที่เพื่อนร่วมรุ่นสนใจนั้นน่าสนใจไม่น้อยจริงๆ

‘คงเป็นเพื่อนนายวัฒน์นั่นแหละ’

‘ฉันอยากรู้จักเขา’

ภารดีตั้งเป้าและตรงเข้าไปหาเป้าหมายทันที ทว่าดั่งสวรรค์แกล้งเมื่อเจ้าของงานอย่างธนวัฒน์ตะโกนเรียกชายหนุ่มคนนั้นขึ้นพอดี ก่อนจะเดินเคียงไปด้วยกัน ส่วนคนอยากทำความรู้จักก็ได้แต่ยืนนิ่งค้างอยู่ตรงนั้นด้วยความเสียดาย แต่ก็ไม่ได้คิดย่อท้อเสียทีเดียว

‘ฉันต้องรู้จักเขาให้ได้!’

และตอนนี้ก็เป็นโอกาสดีที่ภารดีจะได้ทำความรู้จักกับชายหนุ่มที่เธอสนใจ โดยคนที่จะรับหน้าที่แนะนำก็คือปาลิดา

“ว่ายังไงคะเพื่อนรัก” ทิพนาถเอ่ยเร่งอีกครั้ง

“ผมเตอร์ครับ” อธิชเป็นฝ่ายแนะนำตัวเองกับเพื่อนของปาลิดา

“คุณเตอร์เป็นอะไรกับปาเหรอคะ” ทิพนาถยิงคำถามตรงประเด็น นั่นยิ่งเข้าทางผู้รอโอกาสมานานอย่างอธิช

“เป็นแฟนฉันเอง/เป็นแฟนปาครับ”

อธิชยิ้มด้วยความพอใจกับคำตอบของปาลิดา

“ตอบซะกลัวคนไม่รู้เลยเนอะว่าเป็นแฟนกัน” ทิพนาถแซวเมื่อทั้งสองตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเธอก็เป็นปลื้มกับเพื่อนที่สุด เพราะแฟนใหม่ของปาลิดานั้นน่ามองน่าชมไม่เบาเลยทีเดียว หากไม่เชื่อลองถามภารดีดูได้ “ว่าไหมรดี”

“เร็วดีเนอะ”

“เรื่องอะไรเหรอ” ปาลิดาเลิกคิ้วถาม แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร

“ฉันก็แค่คิดว่าเธอจะร้องห่มร้องไห้เสียใจเสียดายเวลาเจ็ดปีที่คบกับนายเจตน์อยู่น่ะสิ แต่ก็ไม่คิดว่าเธอจะรีบ” ภารดีเน้นเสียงที่คำสุดท้าย

“คนเก่าไม่ดีก็ต้องมีคนใหม่” ปาลิดาไหวไหล่อย่างไม่ใช่เรื่องที่ควรมาเครียด “หรือเธอว่าไม่จริง”

“จริง” เป็นทิพนาถที่ตอบ

“แล้วยิ่งคนใหม่ดีกว่าคนเก่าร้อยเท่าพันเท่า ฉันจะเสียเวลาร้องห่มร้องไห้เสียใจและเสียดายเวลาเจ็ดปีไปทำไม” ปาลิดาส่งยิ้มให้ภารดีไปทีหนึ่งเมื่อเธอเป็นฝ่ายกำชัยชนะในนัดนี้

เธอได้เรียนรู้ชีวิตตั้งแต่จำความได้ว่า หากทำตัวอ่อนแอจะไม่มีทางใช้ชีวิตอยู่บนโลกแสนโหดร้ายใบนี้ได้ โดยเฉพาะในบ้านบูรณะพิภพ หรือแม้เธอจะอ่อนแอสักแค่ไหนก็อย่าได้แสดงให้ใครเห็น นอกจากตัวเอง

“ถ้าเธอไม่มีอะไรสงสัยแล้วฉันขอตัวนะ” ปาลิดาเอ่ยตัดบท ก่อนจะหันไปอ้อน ‘แฟนใหม่’ ที่รู้สึกว่าจะโอบเอวเธอแน่นเกินความจำเป็น “ปาอยากเข้าห้องน้ำ เตอร์ไปเป็นเพื่อนปาหน่อยได้ไหมคะ”

“ได้สิครับ” อธิชยังคงมีรอยยิ้มให้ปาลิดาตลอดเวลา

“ไปค่ะ”

อธิชเปลี่ยนจากโอบเอวบางมาเป็นจับมือเล็กแทน ชายหนุ่มจับมือหญิงสาวไว้มั่นแล้วเดินนำไปยังสถานที่ที่ ‘แฟนสาว’ ต้องการจะไป

“ถึงห้องน้ำแล้วครับที่รัก” อธิชเอ่ยล้อเลียนหญิงสาวที่บัดนี้หน้าหวานเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงเป็นที่เรียบร้อย

ปาลิดาไม่ตอบอะไร แต่ชูมือตัวเองที่ถูกมือหนาพันธนาการไว้ขึ้น

“ปล่อยได้แล้วค่ะ”

“คุณโกหกผมทำไม” อธิชไม่สนใจคำบอกกึ่งคำสั่งนั้น และเขาจะไม่ปล่อยหากเธอไม่คลายข้อสงสัยนี้ให้เขาเสียก่อน ซึ่งเขาเชื่อว่าเธอเข้าใจคำถามของเขา

“ฉันไม่ได้โกหก สิ่งที่ฉันพูดวันนั้นคือเรื่องจริงทุกอย่าง”

“แต่คุณลืมบอกเรื่องจริงอีกเรื่อง คือเรื่องที่คุณเลิกกันแล้ว”

“ไม่มีความจำเป็นที่ฉันต้องพูด”

“มันจำเป็นกับคนที่อยากจีบคุณนี่ไง” อธิชใช้เสียงไม่เบานัก เผื่อปาลิดาจะได้ยินคำพูดเขาบ้าง ไม่ใช่ยืนนิ่งเหมือนคนหูหนวกแบบนี้ “คุณได้ยินที่ผมพูดไหมเนี่ย”

“คุณพูดดังขนาดนั้น ใครจะไม่ได้ยินบ้างล่ะคะ” เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงเหมือนกัน

“แต่คุณก็ยังนิ่งอยู่ได้เนี่ยนะ เชื่อเลยเหอะ”

“แล้วฉันต้องทำยังไง”

“ตอบตกลงเป็นแฟนกับผมสิ” อธิชส่งยิ้มอ้อนให้ปาลิดา เผื่อเธอจะเห็นใจและตกปากรับคำขอของเขา

“ตกลงค่ะ”

เสียงแหบห้าวที่ถูกดัดให้เล็กแหลมช่างฟังดูน่าขนลุกเหลือเกินในความรู้สึกของอธิช ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะหันไปทางที่มาของเสียง ซึ่งมีชายหนุ่มหน้าหล่อยืนส่งยิ้มหวานน่าขนลุกมาให้

“มึงกำลังด่ากูในใจใช่ไหมไอ้เตอร์”

“เสือกนะมึง”

“มึงด่าในใจเหมือนเดิมก็ได้นะกูว่า”

ธนวัฒน์ส่งยิ้มแหยๆ ให้เพื่อน ใช่ว่าเขาอยากแทรกกลางคนที่กำลังจีบกันอยู่เสียที่ไหน เขายืนรอให้ทั้งสองเดินออกจากหน้าห้องน้ำมานานเพราะปวดฉี่จนแทบจะเล็ดออกมา ทว่ารอแล้วรอเล่าก็ไม่มีวี่แววว่าเพื่อนทั้งสองจะจูงมือกันหายไป แล้วคิดว่าคงอีกนานกว่าทั้งคู่จะคุยกันเสร็จ ซึ่งเขารอจนถึงตอนนั้นไม่ได้

“มึงจะด่ากูไม่ได้นะเว้ย พวกมึงต่างหากที่มายืนจีบกันหน้าห้องน้ำ มึงจะบอกรักกันที่ไหนก็ได้ แต่มึงไม่ควรดึงโถส้วมชักโครกมาร่วมเป็นพยาน”

“คนอย่างมึงนี่ไม่เคยสำนึกจริงๆ” อธิชว่าอย่างหมดอารมณ์

ธนวัฒน์ยิ้มรับด้วยความภาคภูมิใจ

“ฉันยินดีกับแกด้วยนะปา” ธนวัฒน์หันไปมองเพื่อนอีกคน

“เรื่องอะไร” เธอไม่เห็นว่าจะมีเรื่องดีๆ อะไรเกิดขึ้นกับเธอ นอกจากเพิ่งรู้ว่าแฟนเก่าแอบกินกันกับหลานรหัสลับหลังเธอ

“เป็นแฟนพี่เตอร์ต้องอดทน รถสิบล้อชนต้องไม่ตาย ชีวิตแกต่อจากนี้บันเทิงแน่ ยินดีล่วงหน้าเพื่อนรัก” ธนวัฒน์ตบบ่าปาลิดาเบาๆ ก่อนจะวิ่งเข้าห้องน้ำไปด้วยความเร่งรีบ

“กูกับปากลับก่อนนะไอ้วัฒน์ เจอกันอีกทีวันแต่งจริง” อธิชตะโกนเข้าไปในห้องน้ำ

“มึงจะกลับแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย” ธนวัฒน์ตะโกนออกมาจากในห้องน้ำ

“แล้วเจอกันเพื่อน”

อธิชไม่รอธนวัฒน์ จูงมือปาลิดาเดินเข้าไปหยิบกระเป๋าแล้วพาออกจากโรงแรม โดยที่หญิงสาวไม่มีโอกาสได้ปฏิเสธ นอกจากเดินตามแรงลากของเขา ที่เธอไม่พยศหรือขืนตัวส่วนหนึ่งก็เพราะเห็นด้วยกับเขาที่จะกลับบ้าน เพราะเธอก็เริ่มไม่สนุกตั้งแต่ได้ฟาดฝีปากกับภารดีแล้ว

“รอบนี้เต็มใจให้ผมจับมือเหรอ ไม่เห็นพยศเลยแฮะ” อธิชมองมือเล็กที่อยู่ในอุ้งมือตัวเอง มือเธอเล็กจนเขาไม่กล้าจะกุมแรง เพราะเขามือหนักเท้าหนักมาแต่ไหนแต่ไร

“พยศไปก็เท่านั้น เพราะคุณไม่ปล่อยอยู่ดี”

“ถ้าคุณพูดหวานๆ อ้อนๆ เหมือนก่อนหน้านี้ มีหนี้มีสินเท่าไหร่ ผมยกให้คุณจนหมดตัวเลย”

“ทรัพย์สินหรือเปล่าคุณ ไม่น่าใช่หนี้สินนะ” ปาลิดายิ้มขำ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอคุยกับเขานอกจากเรื่องงานได้สนิทใจขึ้น

“เวลาคุณยิ้มน่ารักจะตาย” ชายหนุ่มพูดและยังจ้องที่หน้าหวาน โดยที่เขายังไม่คิดปล่อยมือเธอ

ปาลิดาหยุดเดินและหันไปคุยกับอธิช “คุณส่งฉันตรงนี้พอค่ะ เดี๋ยวฉันเดินไปที่รถเอง”

“ผมไม่ได้จะไปส่งคุณ”

ปาลิดาส่งสายตาแห่งความสงสัยไปให้ ถ้าเขาไม่ได้จะไปส่งเธอ แล้วเขาจะเดินมาด้วยจนเกือบจะถึงรถอยู่แล้วทำไม

“ผมจะขอคุณกลับด้วยต่างหาก”

“ถามจริง?”

“ผมไม่ได้เอารถมา ขอติดรถกลับด้วยนะครับ” อธิชส่งสายตาหวานหยดไปให้

“รอบที่แล้วก็เมาขับรถไม่ได้ รอบนี้ก็ไม่ได้เอารถมา หวังว่าจะไม่มีครั้งหน้านะคะ”

“ผมเชื่อว่าคนเราควรให้โอกาสตัวเองอย่างน้อยสามครั้ง และนี่เพิ่งครั้งที่สองเอง คุณยังมีแต้มเหลืออีกหนึ่งครั้งนะ” อธิชแนะนำอย่างเป็นจริงเป็นจัง

“ฉันควรจะดีใจใช่ไหม” เธอออกเดินต่อ เหลือบมองมือตัวเองที่ไม่มีทีท่าว่าจะได้เป็นอิสระง่ายๆ

“ก็ควรต้องเป็นแบบนั้นสิ” อธิชยิ้มประจบ

เมื่อเห็นร่างบางห่อไหล่ยามสายลมเย็นจากแม่น้ำพัดผ่านกายก็เห็นใจ ยิ่งมีลมหลังฝนตกก็ยิ่งหนาวเหน็บ ขนาดเขาที่สวมเสื้อยืดโปโลซึ่งเป็นยูนิฟอร์มของบริษัทที่ผ้าหนาพอสมควรยังอดเย็นยะเยือกไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับปาลิดาที่มีเพียงแค่เดรสตัวบางปาดไหล่ห่มกาย “คุณหนาวไหม”

“นิดหน่อยค่ะ”

“ผมก็อยากถอดสูท ถอดแจ็กเกตคลุมไหล่ให้คุณอย่างที่พระเอกควรทำอยู่หรอกนะ แต่บังเอิญว่าผมไม่มีอะไรสักอย่างอย่างที่พูดมาเลย มีแค่กระเป๋าเป้บนบ่า ถ้าคุณคิดว่ากันลมได้ ผมยินดียกให้นะ เพราะผมก็เริ่มรู้สึกหนักบ่าแล้วเหมือนกัน”

“ฉันเชื่อแล้วค่ะว่าคุณไม่ใช่พระเอก ดูคำพูดแต่ละคำ”

“สรุปคือคุณให้ผมกลับด้วยใช่ไหม” อธิชถามเพื่อความแน่ใจเมื่อเดินมาถึงรถของหญิงสาว

“หรือคุณจะกลับแท็กซี่ก็ได้นะคะ” เธอเสนอทางเลือก “ปล่อยมือด้วยค่ะ ฉันต้องขับรถ”

“ขอบคุณนะครับที่รับผมไปเป็นภาระ” อธิชยิ้มขอบคุณ ใครว่าเธอไม่สนใจโลก เขาขอเถียงขาดใจ เพราะปาลิดาออกจะมีน้ำใจกับเพื่อนมนุษย์

อธิชเปิดประตูตามขึ้นไปนั่งเมื่อปาลิดาก้าวขึ้นรถเรียบร้อย

“แฟนผมนี่ใจดีจริงๆ”

“สถานะฉันคือโสดค่ะ ไม่มีแฟน”

ปาลิดารีบแก้ความเข้าใจผิดของเขาพร้อมกับเคลื่อนรถออกจากช่องจอด และตรงกลับคอนโด แต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นกับดักของอธิชที่วางไว้เพื่อให้หญิงสาวเคลียร์สถานะตัวเองต่างหาก ซึ่งเมื่อไรที่เธอบอกว่าโสด เขาก็มีสิทธิ์ขอจีบเธอเมื่อนั้น

“ปา...” เรียกเสียงเบาเพราะกลัวว่าจะไปกวนสมาธิการขับรถของเธอ

“คะ?” หญิงสาวตอบโดยที่ตายังมองไปหน้ารถ

“ถ้าไม่มีแฟน...นี่จีบนะ”

อธิชเริ่มใจไม่ดีเมื่อหญิงสาวเงียบไปเลย และเขาก็ไม่กล้าที่จะเร่งเร้าให้ได้คำตอบเดี๋ยวนี้ จึงหันไปมองนอกหน้าต่างเพื่อไม่ให้เป็นการกดดันเธอ บางทีเขาอาจจะจู่โจมเธอเร็วเกินไป

“คุณรู้ใช่ไหมว่าฉันเพิ่งเลิกกับแฟนที่คบกันมาเจ็ดปีไปไม่นาน” เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า ปาลิดาจึงว่าต่อ “ฉันบอกคุณตามตรงนะคะ ฉันไม่แน่ใจในตัวเองเหมือนกันว่าตอนนี้พร้อมจะมีใครใหม่หรือยัง”

“คุณไม่พร้อมจะมีใครไม่เป็นไร แต่ผมพร้อมจะมีคุณแล้ว” อธิชยิ้มส่งไปให้เป็นการบอกว่าเขาไม่แคร์ว่าตอนนี้เธอจะลืมรักครั้งเก่าได้หรือไม่ เขารู้เพียงแต่ว่าเขาจะทำให้มีรักครั้งใหม่เกิดขึ้นให้ได้ “ดังนั้นเตรียมตัวรอถูกจีบได้เลย”

ปาลิดาเหลือบไปมองคนที่นั่งข้างๆ แวบหนึ่ง ก่อนจะกลับไปมองถนนต่อ

“จีบยากนะ บอกไว้ก่อน”

อธิชผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ความพยายามที่จะจีบเธอมาหลายครั้งเป็นผลในที่สุด

“คุณน่ารักจัง”

“เรื่องนั้นฉันรู้มานานแล้วค่ะ”

เพราะก่อนหน้านี้เธอก็คิดแบบนี้ ยอมรับว่าตัวเองยังทำใจเรื่องเจตน์ได้ไม่เต็มร้อยนัก แต่เธอก็ไม่ควรจมปลักอยู่กับสิ่งนั้น ชีวิตยังคงต้องเดินต่อไป และเธอควรเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เจอคนใหม่อย่างที่บอกภารดีไป ในเมื่อคนเก่าไม่ดีก็ควรต้องมีคนใหม่ เธอไม่ได้แค่ให้โอกาสเขา แต่กำลังให้โอกาสตัวเองด้วย

หวังว่าเธอจะตัดสินใจไม่ผิดนะ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น