7

บทที่ 7


7

ประโยคที่รอคอย

 

“มึงจะรีบไปไหนวะเตอร์” ก่อเกียรติหมุนเก้าอี้ไปหาเพื่อนร่วมงานที่กำลังเก็บของลงกระเป๋า พร้อมกับเหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนังที่เข็มสั้นเพิ่งจะชี้เลขหกได้ไม่กี่นาที “มึงกลับบ้านตอนหกโมงจะไม่แปลกไปเหรอวะ”

“นั่นสิ” พัฒน์ไถเก้าอี้มานั่งสงสัยข้างก่อเกียรติ คนอย่างอธิชไม่มีทางเลิกงานตรงตามเวลาเป๊ะแบบนี้แน่ แม้จะไม่ได้ทำงานด้วยกันทุกโครงการ แต่ก็ร่วมงานกันมาไม่น้อย จึงรู้นิสัยเพื่อนคนนี้ดี

“หรือมึงจะไปตามจีบคุณปาลิดาคนสวยวะ” เสกข์ไถเก้าอี้มานั่งรวมกับอีกสองหนุ่ม ซึ่งทุกคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานนี้

“กูว่าใช่” ก่อเกียรติคิดว่าเหตุผลข้อนี้น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด

“มึงไม่คิดจะตอบให้ต่อมความเสือกของพวกกูหยุดทำงานบ้างเหรอวะ” พัฒน์อดรนทนรอไม่ไหวเลยถามไปตรงๆ

“กูไม่เคยเห็นความเสือกของมึงมีวันหยุดสักวัน ไม่เว้นแม้แต่วันหยุดนักขัตฤกษ์”

“กูภูมิใจกับคำชมนี้” พัฒน์ไม่ได้มีท่าทีโกรธเคืองหรือไม่เห็นด้วยกับประโยคของอธิช แต่ยังคงตั้งหน้าตั้งตารอคำเฉลยของเพื่อนอยู่ “สรุปมึงจะโดดงานไปจีบสาวว่างั้น”

“จีบซงจีบสาวอะไรล่ะ” อธิชยกกระเป๋าขึ้นสะพายไหล่เมื่อเก็บของเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะหันไปสนองตัณหาให้แก่ผู้อยากรู้อยากเห็น จะได้พากันปลงเสียที “กูจะไปปาร์ตีสละโสดเพื่อนสมัยมัธยมต่างหาก”

“แค่เนี้ย” พัฒน์ถามด้วยความผิดหวังเล็กๆ

“มึงจะให้แค่ไหนล่ะ”

“โห...ไม่หนุกเลยอ้ะ”

“แยกย้ายๆ ไปทำงาน” ก่อเกียรติโบกมือไล่ทุกคนกลับไปประจำที่เมื่อไม่มีเรื่องให้น่าสนใจมากไปกว่าเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งจะเลิกงานตรงเวลา เพื่อไปงานเลี้ยงสละโสดเพื่อนสมัยมัธยม

และเพียงไม่กี่วินาทีกลุ่มอยากรู้ก็สลายตัว แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งคำถามที่พัฒน์คงสงสัยอยู่

“แล้วคุณปาลิดาของมึงล่ะ ไม่ไปตามจีบเขาแล้วเหรอ”

“เขาไม่ใช่ของกู!” ถึงคำพูดของพัฒน์จะไม่ได้จริงจังกับคำว่า ‘ของมึง’ เพราะเป็นเพียงการแซวเท่านั้น แต่คำพูดนั้นช่างแทงใจอธิชเหลือเกิน

“แค่นี้ก็ต้องเสียงดังด้วยเว้ย”

“พูดแบบนี้ผู้หญิงเขาจะเสียหาย” อธิชอธิบายให้เพื่อนเข้าใจ แม้ความจริงจะไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ก็ตาม

“มึงรีบไปเถอะ ก่อนจะถูกแม่คนที่ร้อยเก้าสิบเก้าของมึงซักจนร่างพรุน” ก่อเกียรติบุ้ยใบ้ไปที่พัฒน์ ‘แม่คนที่ร้อยเก้าสิบเก้า’ ของอธิช

อธิชยิ้มขำเมื่อเห็นเพื่อนหันไปแยกเขี้ยวใส่ก่อเกียรติ

“ผมไปก่อนนะเฮีย” เขายกมือไหว้ผู้อาวุโสสุดในไซต์งาน

“เออ” ก่อเกียรติพยักหน้ารับ

อธิชบอกลาเพื่อนร่วมงานก่อนจะเดินออกไป เวลาหนึ่งทุ่มภายในห้างคึกคักไม่น้อย บางคนเพิ่งเลิกงานมาเดินตากแอร์เย็นๆ แทนที่จะไปติดแหง็กอยู่บนท้องถนนที่การจราจรแสนจะติดขัดในเย็นวันศุกร์ ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงเลือกเดินทางด้วยรถไฟฟ้า อีกทั้งสถานที่จัดงานยังอยู่ที่เลานจ์ในโรงแรมดังกลางกรุง จึงทั้งสะดวกและรวดเร็ว

 

อธิชเดินเข้าไปในเลานจ์ของโรงแรมที่ถูกจองตลอดทั้งคืนโดยเพื่อนของตนเอง ในงานมีแขกอยู่บางตาเพราะยังไม่ถึงเวลาเริ่มงาน ชายหนุ่มส่งยิ้มให้ผู้คนที่มองมาขณะสอดส่ายสายตามองหาธนวัฒน์ไปด้วย

“ฉันอยากรู้จักเขา”

เสียงพูดคุยของผู้หญิงกลุ่มหนึ่งแม้ไม่ดัง แต่อธิชก็ได้ยินเต็มหู และเมื่อเจ้าของประโยคเมื่อครู่คล้ายจะตรงดิ่งมาหา ชายหนุ่มก็รีบเบี่ยงไปอีกทางพร้อมกับที่เสียงเรียกอีกฟากฝั่งดังขึ้น

“ไอ้เตอร์!”

เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงเรียกและเห็นว่าเป็นคนที่มองหาอยู่ก็ส่งยิ้มทักทาย

“ยินดีด้วยเว้ยเจ้าบ่าว” อธิชเอ่ยเมื่อธนวัฒน์เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทั้งนัยน์ตายังเปล่งประกายอย่างมีความสุข

สองเพื่อนสนิทจับมือและโอบกอดกันด้วยความสนิทสนม

“กูนึกว่ามึงจะมาไม่ได้ซะแล้ว”

ธนวัฒน์คิดเช่นนั้นจริง เพราะอธิชเป็นเพื่อนที่เจอตัวได้ยากที่สุดในรุ่น ด้วยภาระหน้าที่การงานที่เพื่อนต้องออกต่างจังหวัดอยู่บ่อยครั้ง กว่าจะได้นัดเจอกันก็ตอนที่ชายหนุ่มเข้ามาทำธุระในกรุงเทพฯ ซึ่งก็ไม่บ่อยนัก

“งานมึงทั้งที กูจะพลาดได้ไง”

ถึงแม้ไม่ว่าง เขาก็ต้องมางานเพื่อนให้ได้อยู่แล้ว แม้จะเป็นนาทีสุดท้ายของงาน เขาก็จะมา

อธิชให้ความสำคัญแก่งานก็จริง แต่ใช่ว่าเขาจะละเลยคนรอบข้างไปด้วย ทั้งครอบครัวและเพื่อน ชายหนุ่มให้ความสำคัญเสมอ

“ว่าแต่...สแต็กปาร์ตีทำไมสาวตรึมวะ” อธิชพยักพเยิดไปที่หน้าประตูทางเข้าซึ่งมีหญิงสาวกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้ามา

“เพื่อนผู้หญิงกูก็เยอะไหมมึง ส่วนเมียกูเขาก็มีเพื่อนผู้ชาย”

“ก็จัดด้วยกันซะเลย”

“ถูก” ธนวัฒน์โอบบ่าเพื่อนพร้อมกับพาเดินไปที่โต๊ะ “แต่กูว่าน่าจะถูกใจเสือผู้หญิงอย่างมึงนะ”

“เสือผู้หญิงน่ะคือมึง ไม่ใช่กู” อธิชรีบแย้ง

“พูดเหมือนกูไม่รู้จักมึงเลยเนอะ กูรู้เช่นเห็นชาติมึงดีเถอะไอ้เตอร์” ธนวัฒน์เบ้หน้าเพราะคำแก้ตัวของเพื่อน ถึงแม้เขากับอธิชจะเรียนกันคนละที่ตอนเข้ามหาวิทยาลัย ทว่านั่นก็ไม่ใช่ปัญหาในการนัดสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อน แน่นอนว่าสองหนุ่มถึงไหนถึงกันและใช้ชีวิตวัยรุ่นอย่างคุ้มค่า เพิ่งจะเพลาลงตอนที่เป็นวัยทำงานเต็มตัว แล้วมีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่าเพื่อนเป็นคนอย่างไร

“อดีตคือสิ่งที่กลับไปแก้ไขไม่ได้โว้ย”

“นอกจากคิดไม่ถึงว่ามึงจะมาได้แล้ว กูก็ยังไม่คิดว่ามึงจะมาคนเดียว” ธนวัฒน์นั่งพร้อมกับรินเครื่องดื่มใส่แก้ว แล้วยื่นไปตรงหน้าเพื่อน “ไม่พามาด้วยวะ”

อธิชหยิบแก้วมาถือไว้ก่อนจะตอบไป “เลิกกันไปนานแล้ว”

“ทำไมกูไม่รู้” ธนวัฒน์แปลกใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน

“คนหลงเมียอย่างมึงไม่รู้ก็ไม่แปลก นอกจากเมียแล้วมึงสนใจอะไรบ้าง” อธิชเบ้หน้าใส่ด้วยความหมั่นไส้ ใครจะเชื่อว่าคนอย่างธนวัฒน์จะรีบผูกมัดตัวเองด้วยการแต่งงาน หากใครรู้จักชายหนุ่มผู้นี้ดีจะรู้ว่านี่คือสิ่งที่เพื่อนทุกคนคาดไม่ถึง

“เรื่องนั้นกูไม่เถียง แต่กูพลาดเรื่องที่มึงเลิกกับสิตาได้ยังไงวะ”

“ไปกันไม่รอดก็แยกย้ายกันไปตามระเบียบ ไม่เห็นจะแปลก” อธิชไหวไหล่เหมือนไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

สิตาเป็นผู้หญิงที่เขาเคยคบเมื่อสองปีก่อน มีไม่กี่คนที่รู้ว่าเขามีแฟน และก็มีไม่กี่คนเหมือนกันที่รู้ว่าตอนนี้ทุกอย่างจบลงแล้ว ตลอดระยะเวลาปีกว่าในฐานะคนรัก อธิชยอมรับว่าตัวเองทำหน้าที่นั้นได้ไม่ดีพอ เพราะเขาแทบไม่มีเวลาให้เธอ แม้เธอจะบอกว่าเข้าใจดี แต่สุดท้ายเรื่องเวลาก็ทำให้ห่างเหินและยุติความสัมพันธ์กันในที่สุด

“ถ้ามึงสนใจใครในงานบอกกูได้”

“มึงจะทำอะไร”

“กูจะเป็นพ่อสื่อให้มึงไงเพื่อน”

“เข้าท่า” อธิชพยักหน้าเห็นด้วย “งานนี้ว่าที่เจ้าสาวน่าสนใจดีนะ” อธิชยกยิ้มอย่างกวนๆ ก่อนจะมองผ่านหลังเพื่อนไปและส่งยิ้มให้ว่าที่เจ้าสาวแสนสวย

ธนวัฒน์มองไปตามสายตาเพื่อน และเห็นแฟนสาวส่งยิ้มตอบให้อธิชก็ควันออกหู

“ไอ้เพื่อนเลว!”

“มึงจะเป็นพ่อสื่อให้กูไม่ใช่เหรอ” อธิชทวนคำพูดของเพื่อน “เอาสิ คนนี้เลย”

“ไอ้เพื่อนชั่ว!”

“ยินดีด้วยนะครับน้องเกรซ” อธิชลุกขึ้นยืนเมื่อว่าที่เจ้าสาวของงานเดินเข้ามาที่โต๊ะ และเพียงแค่หญิงสาวปรากฏตัว คนขี้หวงก็รีบเข้าไปโอบกอดแสดงความเป็นเจ้าของทันที “ไอ้ขี้หวงเอ๊ย”

“ขอบคุณมากนะคะที่ให้เกียรติมาร่วมงาน”

“ยินดีมากครับ” อธิชยิ้มยามเห็นเพื่อนแสดงความรักกับแฟนสาว ไม่แปลกใจที่ธนวัฒน์เลือกจะหยุดอยู่ที่เกรซ หญิงสาวเป็นผู้หญิงใจเย็น เรียบร้อย ใครได้อยู่ใกล้ก็ย่อมต้องสบายใจเป็นธรรมดา คนร้อนดั่งไฟอย่างธนวัฒน์เหมาะแล้วที่จะมีน้ำเย็นอย่างเกรซเข้ามาชโลมกาย

อธิชคุยกับว่าที่บ่าวสาวอยู่พักหนึ่งก็มีสายเรียกเข้า เมื่อเห็นว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องงานจึงขอตัวออกไปคุยธุระด้านนอก

“ครับพี่ที...”

อธิชหลบฉากออกไปเพราะในเลานจ์คนเริ่มเยอะขึ้น เพียงไม่กี่นาทีที่ชายหนุ่มเดินออกไปก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาในงาน

“ปา!”

ปาลิดาหันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะส่งยิ้มให้ธนวัฒน์และแฟนสาว

“ยินดีด้วยนะวัฒน์ น้องเกรซด้วยนะคะ” เธอกล่าวแสดงความยินดี

“ขอบคุณนะคะพี่ปา”

“แกมาคนเดียวเหรอปา”

“วัฒน์พาพี่ปาไปนั่งก่อนดีกว่านะคะ พี่เขาเดินทางมาเหนื่อยๆ” เกรซพยายามส่งสายตาและสะกิดแฟนหนุ่มว่าไม่ควรถามถึงเรื่องนี้ ทว่าธนวัฒน์กลับไม่เข้าใจที่เธอกำลังส่งซิกเสียอย่างนั้น

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าเกรซ”

“เดี๋ยวปาไปเองดีกว่าค่ะน้องเกรซ จะได้หาอะไรกินด้วย ตอนนี้หิวมากเลย” ปาลิดายกมือลูบท้องตัวเอง “น้องเกรซกับวัฒน์อยู่ทักทายเพื่อนคนอื่นเถอะค่ะ ปาจัดการตัวเองได้ค่ะ”

“พวกยายทิพย์นั่งอยู่ทางโน้นนะ” ธนวัฒน์เอ่ยถึงเพื่อนอีกคนในกลุ่มเดียวกัน “เดี๋ยวฉันแวะไปคุยด้วย”

“ขอบใจมาก”

เมื่อคล้อยหลังปาลิดา ว่าที่เจ้าสาวก็หยิกเนื้อแขนแฟนหนุ่มทันที

“คุณหยิกผมทำไมเนี่ยเกรซ” ธนวัฒน์ลูบแขนตัวเองป้อยๆ ด้วยความเจ็บแสบ แถมยังไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงถูกเธอลงโทษ “ผมทำอะไรผิด”

“คุณกำลังจะถามถึงแฟนพี่ปาใช่ไหมคะ”

“ก็ใช่...” ธนวัฒน์ยังไม่เข้าใจอยู่ดี แปลกตรงไหนที่เขาจะถามถึงแฟนเพื่อนที่เขาเองก็รู้จักเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าอยู่ในทุกโมเมนต์ของคนคู่นี้เลยก็ว่าได้ แล้วเหตุใดเขาจะถามถึงเจตน์ไม่ได้

“เขาเลิกกันแล้วค่ะ”

“ว่าไงนะ!” ธนวัฒน์อุทานออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะหันไปมองปาลิดาที่เพิ่งเดินผ่านออกไป แล้วหันกลับมามองแฟนสาวอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม”

“ไม่ค่ะ” หญิงสาวยืนยันเสียงหนักแน่น “แล้วก็จบกันไม่สวยด้วย ดังนั้นคุณอย่าถามอะไรพี่ปาเกี่ยวกับคุณเจตน์อีกนะคะ”

“ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าปาจะเลิกกับไอ้เจตน์ มันเป็นไปได้ยากมาก”

“แต่ก็เป็นไปแล้วค่ะ”

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นวะ” อธิชที่ออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกมาเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าไม่ค่อยดีของเพื่อน

“เดี๋ยวเกรซไปหาเพื่อนก่อนนะคะ” หญิงสาวหันไปบอกกับคนรักเมื่อเพื่อนตนกวักมือเรียก

“ครับ”

“คงไม่ได้ทะเลาะกับน้องเกรซนะเว้ย” อธิชสันนิษฐานจากสีหน้าท่าทางของเพื่อน

“เปล่าหรอก” ธนวัฒน์ส่ายหน้า ก่อนจะเดินนำอธิชไปที่โต๊ะ “แค่มีเรื่องแปลกใจให้คิดนิดหน่อยน่ะ”

อธิชพยักหน้าเข้าใจคำตอบของเพื่อน ไม่ใช่แค่ธนวัฒน์ที่มีเรื่องให้คิด ตัวเขาเองก็มีเรื่องให้คิดมากมาย และช่วงนี้ก็เอาแต่คิดเรื่องของปาลิดาไม่จบไม่สิ้นสักที แม้แต่ตอนนี้เขายังมองเห็นคนในงานหน้าตาคล้ายหญิงสาวอยู่เลย โดยเฉพาะแผ่นหลังเนียนเล็กนั่นเหมือนปาลิดาอย่างกับแกะ

อธิชคิดในใจ ไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอเธอที่นี่ มันดูเป็นไปได้ยากมาก เพราะงานของธนวัฒน์เป็นงานปิด หากเธอมาอยู่ที่นี่จริง จากที่คิดว่าเป็นแค่เรื่องบังเอิญ เขาคงคิดว่ามันคือพรหมลิขิตแล้วละ ทว่าเมื่อเจ้าของแผ่นหลังเนียนนั้นหันมา เพียงแค่เห็นเสี้ยวหน้า เขาก็มั่นใจว่านั่นคือปาลิดาตัวจริงเสียงจริง ไม่ใช่แค่คนหน้าเหมือนหรือคนเหมือนเธออย่างแน่นอน

“เหี้-!”

ธนวัฒน์สะดุ้งตกใจเสียงอุทานของอธิชจนต้องยืดตัวขึ้นยืนตรง ทั้งที่ก้นกำลังจะแตะเก้าอี้

“อะไรของมึง”

“คุณลิดา”

อธิชชี้ไปยังหญิงสาวที่กำลังตักอาหารอยู่ ก่อนจะรีบซ่อนตัวหลบหลังเสาเมื่อปาลิดาหันมาทางนี้พอดี แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงต้องหลบ แต่ตอนนี้ขอหลบก่อนแล้วกัน

“ลิดาไหนอี๊ก!” ธนวัฒน์เอ่ยอย่างเบื่อหน่ายระคนอ่อนใจ เพราะจำได้ว่าทั้งเพื่อนตนเองและเพื่อนแฟนสาวนั้นไม่มีใครชื่อนี้ ก่อนจะหันไปมองตามนิ้วของเพื่อนที่ชี้ไปยังคนที่ชื่อ ‘ลิดา’ ซึ่งแน่นอนว่าเขารู้จักเธอ แต่อธิชรู้จักได้อย่างไร ที่สำคัญสาวเจ้าไม่ได้ชื่อลิดาอย่างที่เพื่อนเข้าใจ

“ปาลิดามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“รู้จัก?” ธนวัฒน์ถามด้วยความสนใจ

“อื้อ”

เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับจึงบอกไป “เพื่อนกูเอง”

“โลกโคตรกลม” อธิชอึ้งกับความโลกกลมพรหมลิขิตนี้จริงๆ เขาไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“อย่างที่ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส บอกไว้เลยแหละพวก”

“มันใช่เวลามาเล่นไหมวะ”

“แล้วทำไมมึงต้องหลบ ทำอย่างกับเห็นเจ้าหนี้เงินกู้อย่างนั้นแหละ” ธนวัฒน์ทิ้งตัวนั่งตรงข้ามอธิชที่เอาแต่มองปาลิดาตาไม่วางตา “มึงจีบเขา?”

“ยังไม่ทันได้จีบก็ต้องม้วนเสื่อกลับบ้าน” อธิชยอมรับอย่างตรงไปตรงมา

“ชัดเจนสมกับเป็นมึง”

“เขามีแฟนแล้ว” อธิชเล่าเสียงเอื่อย ยกแก้วเครื่องดื่มตรงหน้าขึ้นจิบด้วยความเบื่อหน่ายระคนไม่พอใจ

“ชื่อเจตน์” ธนวัฒน์ต่อให้ ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้า

“คบกันมาเจ็ดปี”

“ไม่ขาดไม่เกินเลย”

อธิชเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน “และมีแพลนจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้”

“สิ่งที่มึงพูดมาถูกต้องทุกอย่าง” ธนวัฒน์ช่วยยืนยันว่าสิ่งที่อธิชได้ข่าวมานั้นไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปเลยแม้แต่ข้อเดียว

“แล้วใครจะดันทุรังจีบต่อวะ” อธิชถอนหายใจออกมา คิดว่าตัวเองปลงแล้ว แต่เห็นหน้าเธอทีไรก็นึกเสียดายทุกที เขาน่าจะเจอเธอเร็วกว่านี้

“แต่มึงลืมบางอย่างไปนะ”

อธิชเลิกคิ้วแปลกใจ เหตุผลเพียงเท่านี้เขาก็แพ้ราบคาบแล้ว ยังมีอะไรที่เขาต้องรู้อยู่อีกหรือ

“เขาเลิกกันแล้ว”

พรวด!

“ไอ้เหี้-เตอร์!” ธนวัฒน์สบถ แทบหลบไม่ทันเมื่อเหล้าพุ่งออกจากปากเพื่อนทันทีที่เขาเอ่ยจบประโยค

“โทษๆ กูไม่ได้ตั้งใจ”

“เออ! ถ้ามึงตั้งใจ กูจะถีบให้คว่ำ”

“ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” อธิชรีบขอโทษขอโพยเพื่อนอีกครั้ง ทว่าใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่ใช่เพราะขำท่าทางของธนวัฒน์ที่กระโดดหลบเมื่อครู่ แต่เขากำลังยิ้มเพราะประโยคแสนไพเราะจากปากเพื่อนต่างหาก

หากเปรียบความหวังเป็นแสงเทียน ปาลิดาเป็นคนดับแสงนั้นลง แต่ก็มีธนวัฒน์ที่จุดไฟแห่งความหวังนั้นขึ้นมาใหม่

‘เขาเลิกกันแล้ว’

ถ้าเขารู้สึกดีกับประโยคนี้ ตายไปจะตกนรกหรือเปล่านะ

แต่ให้ตายเถอะ! ไม่ทันแล้วละ เขาดีใจไปเรียบร้อยแล้ว ดีใจมากด้วย

“ยิ้มหน้าบานเชียวนะมึง” ธนวัฒน์แขวะด้วยความหมั่นไส้ “ก่อนหน้านี้ทำหน้าอย่างกับขี้ไม่ออก”

“มึงพูดจริงใช่ไหมวะ” อธิชมองข้ามสิ่งที่เพื่อนแขวะ เพราะมีเรื่องอื่นให้สนใจกว่า

“ที่ว่าหน้ามึงบานน่ะเหรอ”

“มึงอย่าเพิ่งเล่นดิวะ” ถึงจะถูกเพื่อนรวนใส่ แต่ใบหน้าหล่อก็ยังประดับไปด้วยรอยยิ้มอยู่เช่นเดิม “ลิดาเขาเลิกกับแฟนแล้วแน่แล้วใช่ไหม”

“เออ!” ธนวัฒน์ยืนยันเสียงหนักแน่น และไม่ลืมแก้ความเข้าใจผิดให้เพื่อน “แล้วเขาก็ไม่ได้ชื่อลิดา แต่ชื่อปา!”

“กูก็เรียกเขาลิดามานมยาน” อธิชเกาท้ายทอยแก้เก้อ

“นมนาน! พอเขินแล้วพูดผิดๆ ถูกๆ นะมึง”

“ขอบคุณๆ”

“แล้วมึงไปเอาชื่อลิดามาจากไหน” ธนวัฒน์ถามด้วยความสงสัย

“มือขวากูที่ทำงานกับปาลิดา”

“แล้วมือขวามึงไปเอามาจากไหน”

“เดาเอา”

“ฮะ!?” ธนวัฒน์ไม่เข้าใจระคนแปลกใจ “ทุกวันนี้เขาเดาชื่อเล่นกัน แทนที่จะถามกันตรงๆ แล้วเหรอ”

“กูแค่ถามมันว่าปาลิดาไม่มีชื่อสั้นกว่านี้เหรอ ไอ้ป๋อก็บอกว่าคงชื่อลิดามั้ง” อธิชเล่า โดยที่สายตายังจดจ้องไปที่เจ้าของชื่อ

“แล้วมึงก็เรียกเขาว่าลิดามาตลอด”

“อือ”

“พอกันทั้งลูกพี่ลูกน้อง” ธนวัฒน์กุมขมับ “‘ปา’ สั้นกว่า ‘ลิดา’ ตั้งเยอะ ทำไมคิดไม่ได้!”

“เนอะ ทำไมคิดไม่ได้”

ธนวัฒน์มองหน้าเพื่อนที่แม้จะพูดกับเขา ทว่าตากลับมองไปยังสาวร่างบางที่เป็นหัวข้อสนทนา ใบหน้าหล่อแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา ถ้าปาลิดาตกลงปลงใจกับอธิชมันคือเรื่องน่ายินดีใช่ไหม...เขาชักไม่แน่ใจ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น