6
‘ห่วง’ ในฐานะคนไม่มีสิทธิ์
สาวร่างบางที่ยืนอยู่บนรองเท้าส้นสูงสามนิ้วชะงักมือที่กำลังผลักบานประตูของสถานบันเทิงใจกลางเมืองไว้ เพียงแค่ประตูแง้มเปิดก็ได้ยินเสียงเพลงดังสนั่น ในใจเริ่มลังเลว่าควรถอยหลังกลับหรือก้าวขาเดินหน้าต่อไปดี เพราะนี่ไม่ใช่สถานที่ที่เธอโปรดปรานจะมาสักเท่าไร ทว่าสิ่งที่อยู่ภายในอาจจะช่วยให้สภาพจิตใจเธอคลายความกังวลลงไปได้บ้าง
“เชิญครับ”
ยังไม่ทันที่ปาลิดาจะได้ตัดสินใจก็มีเสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นจากทางด้านหลังเสียก่อน แถมยังช่วยผลักบานประตูให้เปิดออกกว้างอีกต่างหาก
ปาลิดาจำต้องเดินเข้าไปเพื่อไม่ให้ตัวเองยืนขวางทางเดินของลูกค้าคนอื่น
“ขอบคุณค่ะ” เธอค้อมศีรษะขอบคุณแล้วเดินเข้าไปด้านใน โดยทำเป็นไม่ได้ยินเสียงที่ร้องเรียกเธอไว้
หญิงสาวสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เฉกเช่นคนอื่น แต่เทลงแก้วเพียงครั้งเดียว ปริมาณที่เหลือในขวดยังไม่มีโอกาสได้พร่องลงอีกแม้แต่น้อย หนำซ้ำเครื่องดื่มที่อยู่ในแก้วนอกจากจะไม่ลดลง ยังเพิ่มปริมาณขึ้นจากน้ำแข็งที่เริ่มละลาย
‘พ่ออยากให้ปาแต่งงาน’
น้ำเสียงจริงจังของผู้เป็นพ่อดังก้องอยู่ในโสตประสาทของปาลิดามาตั้งแต่ช่วงเย็น
วันนี้เป็นวันที่ประมุขของบ้านนัดทุกคนกินข้าว ไม่ว่าใครจะทำอะไรอยู่ที่ไหนก็ไม่อาจปฏิเสธได้ นี่จึงเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสามเดือนที่เธอกลับไปที่บ้านหลังใหญ่ในเนื้อที่กว่าสิบไร่ในจังหวัดนนทบุรีของผู้เป็นพ่อ
บูรณะพิภพเป็นครอบครัวใหญ่ หญิงสาวมีพี่น้องร่วมบิดารวมเธอด้วยทั้งหมดเจ็ดคน และบรรดาลูกๆ ของพี่ๆ อีกสี่คน ซึ่งนี่ยังไม่รวมพี่เขย พี่สะใภ้ และแม่เลี้ยงของเธออีก วันนี้ห้องอาหารของบ้านจึงคล้ายกับมีงานจัดเลี้ยงปีใหม่บริษัทอย่างไรอย่างนั้น และเมื่อมีคนเยอะก็มีเรื่องแยะตามมา นี่จึงเป็นเหตุผลที่เธอไม่อยากกลับบ้านวันที่ญาติๆ มารวมตัวกัน
‘คุณเจตน์ล่ะ’ นี่เป็นคำถามของพ่อทันทีที่เห็นเธอเดินเข้าบ้านเพียงลำพัง
‘เจตน์เขาไม่ว่างค่ะ’ เธอตอบก่อนจะยกมือไหว้ผู้เป็นพ่อและบรรดาญาติพี่น้องที่นั่งอยู่ ซึ่งมีคนรับไหว้บ้างและเบนหน้าหนีไปทางอื่นบ้าง
เมื่อไม่มีคำถามต่อจึงนั่งลงบนเก้าอี้ในที่ประจำของเธอ และบรรยากาศที่สุดแสนจะน่าเบื่อก็เริ่มต้นขึ้น นั่นคือการ ‘อวด’ และ ‘ชิงดีชิงเด่น’ กัน
ครอบครัวอื่นอาจจะถามสารทุกข์สุกดิบของญาติพี่น้องด้วยความรักใคร่กลมเกลียว แต่สมาชิกบ้านบูรณะพิภพพูดแต่ในสิ่งที่จะทำให้ประมุขของบ้านพึงพอใจ แม้ต้องทับถมหรือเหยียบย่ำคนอื่นที่เรียกว่าเป็นพี่น้องก็กลายเป็นเรื่องปกติของคนที่นี่
‘แล้วเมื่อไหร่ปาจะคิดเรื่องแต่งงานเหมือนพี่เขาเสียทีล่ะ’
ปาลิดาไม่รู้จะตอบคำถามที่ไหลตามน้ำนี้ของผู้เป็นพ่ออย่างไร เนื่องจากก่อนหน้านี้พี่สาวเธอเพิ่งบอกกับทุกคนว่าแฟนหนุ่มนักธุรกิจขอแต่งงานมาสดๆ ร้อนๆ และญาติทางฝ่ายชายจะเข้ามาสู่ขออย่างเป็นทางการในอีกไม่ช้านี้ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าเหตุใดหวยถึงมาออกที่เธอได้
นอกจากจะโดนพี่สาวเขม่นใส่ที่ถูกแย่งความสนใจจากพ่อ แล้วยังถูกตั้งความหวังเรื่องของเจตน์อีก ซึ่งเจ้าสัวธนาคมไม่ได้เพียงแค่ถามไถ่ แต่มันคือการกดดันทางอ้อม
‘ถ้าได้เจตน์มาช่วยงานที่บริษัทคงดีไม่น้อย’
นี่คือสิ่งที่เจ้าสัวธนาคมต้องการที่สุด เพราะเจตน์ถือว่าเป็นคนที่เก่งมากคนหนึ่ง การได้ชายหนุ่มมาช่วยงานคงพัฒนาบริษัทให้เติบโตไปข้างหน้าได้
‘ถ้าปาแต่งงาน พ่อคงดีใจมาก’
ปาลิดาเพียงยิ้มรับ สิ่งที่เธอรับรู้ได้จากคำพูดของพ่อไม่ใช่ ‘ถ้าปาแต่งงานพ่อคงดีใจมาก’ แต่เป็น ‘ถ้าปาแต่งงานพ่อจะรักปามากขึ้น’ ต่างหาก
มีอีกหลายประโยคที่เจ้าสัวธนาคมมักนำชื่อคนรักของลูกสาวไปเอ่ยถึงด้วยน้ำเสียงชื่นชม แม้ขณะนั้นจะไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องของปาลิดาก็ตาม และนั่นทำให้พี่น้องคนอื่นๆ มองเธอด้วยสายตาไม่เป็นมิตรมากกว่าเดิม
ปาลิดาพยายามฝืนทนจนมื้ออาหารนั้นจบลง เธอโล่งอกไม่น้อยที่จะได้หลุดพ้นจากสถานการณ์แสนอึดอัดนี้ แต่กระนั้นก็ถูกผู้เป็นพ่อเรียกไว้ตอนกำลังจะขึ้นรถจนได้
‘คุณพ่อมีอะไรหรือเปล่าคะ’ เธอปิดประตูรถแล้วเดินกลับเข้าไปหาท่าน
‘ไปคุยกับพ่อก่อนได้ไหม’
เจ้าสัวธนาคมไม่ได้รอคำตอบรับของลูกสาว แต่เดินนำไปยังโรงกล้วยไม้หลังบ้านแทน เป็นการบังคับกลายๆ ว่าปาลิดาต้องเดินตามหลังมา
ปาลิดาจำต้องเดินตามผู้เป็นพ่อไป แม้จะรู้ว่าเรื่องที่ท่านต้องการถามนั้นเป็นเรื่องที่เธอไม่ต้องการจะตอบก็ตาม
‘ปามีปัญหาอะไรกับคุณเจตน์หรือเปล่า’
และคำถามที่ออกจากปากพ่อก็ไม่ได้ผิดจากที่เธอคิด
เธอกลืนน้ำลายลงคอด้วยความลังเลใจ ยิ่งเห็นตาคมดุจพญาเหยี่ยวของผู้เป็นพ่อที่ส่งมากดดัน เธอก็ยิ่งลังเล
‘ไม่ค่ะ’ สุดท้ายเธอก็เลือกการโกหก แต่ก็ทำให้พ่อมองเธอด้วยแววตาอ่อนโยนขึ้น
‘คุณเจตน์เขาเป็นคนเก่ง ถ้าปล่อยให้หลุดมือไปคงน่าเสียดาย’
ปาลิดามองแผ่นหลังผู้เป็นพ่อที่หันหน้าออกไปมองต้นกล้วยไม้หลากหลายพันธุ์ที่ท่านปลูกไว้ แม้จะไม่ได้เห็นสีหน้าตอนท่านพูด ทว่าจากน้ำเสียง เธอรู้ดีว่าความหมายในประโยคนั้นคืออะไร และเธอไม่มีคำตอบอะไรนอกจากคำว่า
‘ค่ะ’
‘ปาคุยเรื่องแต่งงานกับคุณเจตน์เขาบ้างหรือเปล่า’ เจ้าสัวธนาคมหันมามองหน้าบุตรสาวคนเล็ก ‘ลองวางแผนกันดู ตอนนี้ปาก็อายุเกือบสามสิบ ‘ควรจะ’ สร้างครอบครัวได้แล้ว’
‘ค่ะ’
และนี่เป็นเพียงคำตอบเดียวที่เธอจะตอบเพื่อให้ผู้เป็นพ่อพอใจ
‘พ่อเชื่อใจหนูนะลูก’ เจ้าสัวธนาคมสวมกอดบุตรสาวไว้พร้อมกับตบบ่าเบาๆ ‘ปาอยู่คนเดียวก็ดูแลตัวเองดีๆ นะ พ่อเป็นห่วง’
‘ค่ะคุณพ่อ’
ปาลิดาสวมกอดผู้เป็นพ่อแน่น หากถามว่าเธอได้รับอ้อมกอดอบอุ่นนี้ครั้งล่าสุดตอนไหน เธอไม่อาจตอบได้ เพราะมันนานจนเธอแทบลืมความรู้สึกนั้นไปแล้ว แต่วันนี้ความรู้สึกนั้นถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งจากอ้อมกอดของผู้ชายคนเดิม ‘โหยหา’ คงเป็นคำเดียวที่เธอบอกได้ในตอนนี้ เธอโหยหาความอบอุ่นนี้มาตลอดตั้งแต่แม่จากไป
‘ขับรถดีๆ นะลูก’
เธอผละออกจากอกพ่อและส่งยิ้มให้ท่านตอบแทนความห่วงใยนี้ หญิงสาวยิ้มค้างแบบนั้นแม้ผู้เป็นพ่อจะเดินเข้าไปในบ้านแล้ว แต่เมื่อนึกถึงความเป็นจริงกับอ้อมกอดที่เธอได้รับ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ จางลง เธอไม่รู้แน่ชัดว่าสิ่งที่ท่านทำนั้นเป็นเพราะความรักและห่วงใยของคนเป็นพ่อที่มีต่อลูก หรือแค่ทำเพียงให้เธอดีใจเพราะหวังประโยชน์ ซึ่งก็คือเจตน์มากกว่า
ปาลิดาเป็นลูกของนักธุรกิจก็จริง แต่หญิงสาวไม่มีเลือดของนักธุรกิจอยู่ในตัวเลย เธอเลือกที่จะทำงานตามความชอบของตัวเอง แทนที่จะทำงานในกิจการของครอบครัว ซึ่งการเลือกของเธอทำให้ผู้เป็นพ่อโกรธไม่น้อย แต่อารมณ์นั้นก็จืดจางลงเมื่อรู้ว่าเธอเป็นแฟนกับลูกชายนายธนาคารระดับสูง
“ฉันควรจะทำยังไงต่อ” ถามตัวเองเมื่อนึกถึงปัญหายุ่งยากที่จะตามมาเพราะการที่เธอเลือกโกหก หากบิดารู้ว่าเธอกับเจตน์เป็นแค่อดีตกันไปแล้ว เธอจะได้รับการเมินเฉยจากท่านเหมือนตอนที่เธอสอบติดมหาวิทยาลัยในคณะที่ท่านไม่
ชอบหรือไม่ ปาลิดาผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความเครียดขรึม ก่อนจะเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อถูกสะกิดที่แขนเบาๆ เบาจนเธอแทบไม่รู้สึกหากไม่มีเสียงทุ้มเอ่ยตามมา
“คุณครับ”
ปาลิดาหันไปตามที่มาของเสียง และเห็นผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งกำลังส่งยิ้มมาให้ เธอไม่รู้จักเขา ไม่แน่เธออาจจะเข้าใจผิดที่คิดว่าเขาสะกิดตัวเอง
“คุณนั่นแหละครับ”
ชายหนุ่มไม่ได้ว่าธรรมดา แต่ชี้นิ้วมาที่ตัวเธอประกอบคำพูดด้วย ไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปว่าเขาหมายถึงใคร เล่นชี้นิ้วแทบจะจิ้มลูกตาเธอขนาดนี้
“มีอะไรกับฉันหรือเปล่าคะ” เธอเอ่ยน้ำเสียงปกติ เพราะเขาไม่ได้มีท่าทีคุกคามใส่ แต่ก็ยังระแวดระวัง เพราะอยู่ในสถานที่ที่ไม่ควรจะไว้ใจใคร
ชายหนุ่มยังไม่พูดในทันที แต่ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ที่ว่างข้างเธอแทน
“ผมเรียกตั้งแต่คุณทำของหล่น แต่คุณไม่แม้แต่จะให้โอกาสผมได้พูดอะไรก็รีบจ้ำอ้าวหนี”
เธอไปทำแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไรกัน
“อย่าบอกนะว่าคุณจำผมไม่ได้” รณกฤตชี้หน้าตัวเอง แทบหลุดขำเมื่อเห็นคำตอบบนใบหน้าหญิงสาวแปลกหน้าว่าใน ฮิปโปแคมปัส หรือสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบความจำและพฤติกรรมต่างๆ ของเธอนั้นไม่มีเขาอยู่ในนั้น ที่สำคัญเขานิยามไม่ถูกว่าสีหน้าที่สาวเจ้าแสดงออกมานั้นเรียกว่าตลกหรือ ‘น่ารัก’ กันแน่
“ผมไม่น่าจดจำขนาดนั้นเชียว?”
ปาลิดาพยายามนึกก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอผู้ชายหน้าตาแบบนี้ที่ไหน ตั้งแต่มาถึงที่นี่มีใครเรียกเธอที่ไหนกัน
“ของคุณหรือเปล่าครับ”
ปาลิดามองนิ้วเรียวยาวที่เลื่อนของบางอย่างมาตรงหน้า และเมื่อชายหนุ่มดึงมือออกจึงเห็นเป็นสร้อยเส้นเล็กแบบเดียวกับสร้อยที่อยู่บนข้อมือเธอ
สร้อยข้อมือ?
ปาลิดายกข้อมือตัวเองขึ้นดูในทันที และเห็นว่ามันว่างเปล่า
“ของคุณครับ” รณกฤตช่วยยืนยันความคิดเธอ
“คุณไปเจอมันที่ไหนคะ” เธอหยิบสร้อยขึ้นมาดูและเห็นจุดที่สร้อยขาดออกจากกัน คงเผลอไปเกี่ยวเข้ากับอะไรสักอย่างเข้า เธอกำลังจะเอ่ยขอบคุณพลเมืองดี แต่กลับเอะใจเสียก่อน “คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นของฉัน”
“ผมคงไม่น่าจดจำจริงๆ โดยเฉพาะกับคุณ” รณกฤตทำหน้าเศร้า
ปาลิดารู้ว่าสีหน้าเศร้าสร้อยของเขานั้นแสร้งทำทั้งสิ้น หากคนเศร้าจริงมีหรือจะยิ้มโชว์ฟันขาวอยู่แบบนี้
“ขอบคุณที่อุตส่าห์เอามาคืนนะคะ”
“นี่คุณไม่อยากรู้หน่อยเหรอว่าผมไปเจอมันที่ไหน ไปเจอได้อย่างไร และรู้ได้ไงว่าสร้อยนี้เป็นของคุณ” รณกฤตมองหน้าสวยของคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะเธอไม่สนใจเขาตั้งแต่แรกอย่างไรก็ยังคงไม่สนใจเสมอต้นเสมอปลายเช่นเดิม “อยากรู้สักนิดเถอะนะ ผมอยากเล่า”
“...”
“เราเจอกันหน้าประตูทางเข้า...” เมื่อสาวเจ้ายังคงไม่มีความอยากรู้ รณกฤตก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นเสียเอง “...ผมเป็นคนผลักประตูช่วยคุณไง”
รณกฤตมองหน้าสวยด้วยความลุ้นระลึก เพราะท่าทางเธอเหมือนจะยังนึกไม่ออก
“พอจะนึกออกไหมครับ”
“ค่ะ”
“อ้าว...แล้วทำไมทำหน้าเหมือนนึกไม่ออกล่ะ”
‘แปลกคน’
รณกฤตได้แต่คิดในใจ แต่เขากลับมองว่าความแปลกนี้ช่างน่าค้นหายิ่งนัก และแน่นอน...เขาอยากรู้จักเธอ
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
“ผมไม่ได้ต้องการคำขอบคุณ” รณกฤตใช้น้ำเสียงจริงจังขึ้น มองลึกไปที่ดวงตากลม หวังว่าเธอจะตีความหมายออกว่าเขาต้องการจะบอกอะไร “ผมขอ...”
“แก้วนี้เอาเข้มๆ นะน้อง”
เสียงที่ดังขึ้นแทรกทำให้รณกฤตเสียงจังหวะการพูดขณะกำลังจะขอช่องทางการติดต่อหญิงสาวตรงหน้า ทั้งที่ในสถานบันเทิงแห่งนี้ถือว่าเสียงดังเพราะมีเสียงเพลงอยู่ตลอดเวลา ทว่าชายหนุ่มแปลกหน้าที่นั่งข้างปาลิดากลับเอ่ยได้ดังกว่านั้น
“ผมขอ...”
รณกฤตเข้าประเด็นอีกครั้ง
แต่...
“แก้วหน้าเอาเข้มกว่านี้อีกนะ แก้วนี้จืดไป”
คนที่พยายามจะสานสัมพันธ์กับสาวถอนหายใจด้วยความไม่ค่อยสบอารมณ์นัก อะไรมันจะเอ่ยออกมาได้พอเหมาะพอเจาะกับประโยคสำคัญเพียงนี้ หากไม่เห็นหญิงสาวเข้ามาในสถานบันเทิงแห่งนี้เพียงลำพัง รณกฤตคงคิดว่าชายหนุ่มที่แผดเสียงดังคนนี้พยายามกันท่าเขาอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวนะคะ” ปาลิดาเอ่ยอย่างสุภาพ เธออยากมานั่งคิดอะไรคนเดียว แต่เมื่อตอนนี้ไม่ได้อยู่ลำพังอย่างที่ต้องการก็สมควรแก่เวลาที่จะต้องกลับ และยิ่งชายหนุ่มแปลกหน้ามีท่าทีชัดเจนว่าต้องการสานสัมพันธ์ เธอก็ไม่ควรที่จะรอช้า นึกขอบคุณชายหนุ่มที่นั่งอยู่เคียงข้างหน้าเคาน์เตอร์บาร์ที่พูดขึ้นได้ถูกจังหวะนัก
“เดี๋ยวสิครับ”
ชายหนุ่มพยายามยื้อ แต่ปาลิดาก็ไม่ได้หยุดมือที่หยิบกระเป๋าขึ้นสะพายและหมุนตัวออกจากเก้าอี้ และจังหวะนั้นเองที่เธอเห็นหน้าค่าตาเจ้าของเสียงเข้ม
“คุณอธิช...”
ปาลิดาเอ่ยเสียงเบากับตัวเองเมื่อหมุนตัวมาเจอกับเพื่อนบ้านหนุ่ม เขาหายหน้าหายตาไปตั้งแต่เธอตัดโอกาสการพัฒนาความสัมพันธ์ไปครั้งนั้น จนกระทั่งวันนี้ได้พบกันด้วยความบังเอิญ
“ความบังเอิญเล่นตลกกับเราบ่อยนะ...ว่าไหม”
“พวกคุณรู้จักกันเหรอครับ” รณกฤตชี้คนทั้งสองสลับกัน
“เรียกชื่อกันขนาดนี้ ไม่รู้จักมั้งพ่อคุณ” อธิชเอ่ยด้วยความไม่ชอบใจนัก ยิ่งใบหน้าหล่อๆ ของอีกฝ่ายเขายิ่งไม่ชอบ
“ผมก็ถามดีๆ รึเปล่า”
“แล้วผมตอบไม่ดีตรงไหน”
รณกฤตมองหน้าคนตั้งใจรวนใส่ แล้วเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่อีกฝ่ายพูดแทรกขึ้นก็คงมาจากความตั้งใจ ไม่ใช่ความบังเอิญอย่างที่เขาเข้าใจ
‘พยายามกันท่าสินะ’ และเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงแสดงคำตอบผ่านทางสีหน้ามา
‘ถ้าใช่แล้วจะทำไม’
ปาลิดาถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายเมื่อเห็นสงครามย่อมๆ จากชายหนุ่มทั้งสอง
“ฉันขอตัวนะคะ”
“เดี๋ยวครับ” คราวนี้รณกฤตไม่ได้เพียงแค่พูด แต่ชายหนุ่มคว้ามือปาลิดาไว้มั่น ก่อนจะรีบปล่อยเมื่อเห็นสีหน้าไม่ค่อยชอบใจนักของหญิงสาว เช่นเดียวกับสายตาของชายหนุ่มแปลกหน้าที่มีนามว่าอธิช “ผมขอคุยกับคุณอีกสักครู่จะได้ไหม”
“ว่าไงวะเจตน์”
ปาลิดาหันขวับไปมองหน้าอธิชเมื่อได้ยินเขาเอ่ยชื่ออดีตคนรักของเธอ ก่อนจะขมวดคิ้วแปลกใจเมื่อเห็นเขาแนบสมาร์ตโฟนกับหู และยิ่งไม่เข้าใจเมื่อเขาเอ่ยประโยคต่อมา
“ฉันเจอ ‘แฟน’ นายอยู่ที่ไนต์คลับ เดี๋ยวจะพาไปส่งก็แล้วกัน เธอไม่ได้โกรธอะไรนายหรอก คนคบกันมาตั้ง ‘เจ็ดปี’ แถมมีแพลนจะ ‘แต่งงาน’ กันเร็วๆ นี้อีก เธอคงแค่งอนนายนั่นแหละเพื่อน” อธิชพยายามเน้นเสียงไปที่บางคำในประโยค และใช้เสียงที่ดังกว่าปกติเพื่อให้ใครอีกคนได้ยิน
‘เขาพยายามจะทำอะไร’
ปาลิดาไม่ได้เอ่ยขัดเรื่องแต่งขึ้นของอธิชเพราะรู้ว่าเขาพยายามช่วยเธอจากชายหนุ่มอีกคน โดยเลือกยืนฟังเงียบๆ จนกระทั่งเขาพูดจบและยัดโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋ากางเกงแล้วหันมามองหน้าเธอ
“กลับเถอะ เดี๋ยวผมไปส่ง” อธิชไม่ได้พูดเปล่า แต่คว้ามือปาลิดาเดินตรงไปยังทางออกทันที โดยไม่สนใจชายหนุ่มอีกคนที่ยืนมองตาละห้อย เขาหลีกเลี่ยงจะเรียกชื่อเธอเพราะกลัวว่าบุคคลที่สามจะรู้
ใช่เขาหวง หวงมากด้วย แม้แต่ชื่อก็หวง ดังนั้นไม่ต้องนึกถึงตัวคนว่าเขาจะหวงแค่ไหน
รณกฤตมองทั้งสองที่เดินผ่านหน้าไป ได้แต่ถอนหายใจด้วยความเสียดาย แต่ก็ต้องยอมรับเมื่อผู้หญิงที่ถูกใจนั้นมีเจ้าของเป็นที่เรียบร้อย แถมยังมีแพลนจะแต่งงานกันในไม่ช้านี้อีก
“ยังไม่ทันได้จีบก็อกหักซะแล้ว”
“ไอ้เจตน์ ทางนี้ๆ”
“เฮ้อ...เจตน์อีกแล้วเหรอวะ”
รณกฤตมองไปที่คนชื่อ ‘เจตน์’ เหมือนอีกฝ่ายรู้ตัวว่าถูกมองจึงเงยหน้าขึ้นและบังเอิญสบตากัน ชายหนุ่มเพียงแค่ค้อมศีรษะที่เสียมารยาทจ้อง ก่อนจะเดินกลับไปยังโต๊ะของกลุ่มเพื่อนที่เขาลุกออกมาเมื่อเห็นหญิงสาวเจ้าของสร้อยข้อมือที่เก็บได้นั่งอยู่เพียงลำพัง
คราแรกก็เพียงแค่อยากนำของมาคืนเจ้าหล่อน แต่พอได้เจอและพูดคุย เขากลับอยากทำความรู้จักกับเจ้าของสร้อยเสียอย่างนั้น แต่สุดท้ายก็ได้กินแห้ว
อีกฝั่งของสถานบันเทิงมีหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่กำลังกึ่งลากกึ่งจูงกันออกมาที่ลานจอดรถ โดยฝ่ายหญิงพยายามจะแกะมือที่พันธนาการรอบแขนตัวเองออก แต่ฝ่ายชายกลับไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นง่ายๆ
“ปล่อยฉันได้แล้วค่ะ” แม้ประโยคจะดูสุภาพ แต่น้ำเสียงนั้นโมโหเต็มทน
“ทีผมละบอกให้ปล่อยเร็วนัก” อธิชเอ่ยอย่างประชดประชัน แต่ก็ยอมปล่อยข้อมือเล็กแต่โดยดี
“ก็ฉันเจ็บ”
“ผมขอโทษ” อธิชเสียงอ่อนลงเมื่อเห็นข้อมือเธอแดงเพราะแรงของตัวเอง แต่อย่างไรก็ยังไม่พอใจเธออยู่ดี มีอย่างที่ไหนนั่งให้ผู้ชายจีบโดยไม่คิดลุกหนี
โอเค...เขารู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์พอใจหรือไม่พอใจเธอ คิดเสียว่าเขาทำหน้าที่แทนผู้ชายชื่อเจตน์ก็แล้วกัน
เขานั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์ก่อนที่ปาลิดาจะมาถึง ซึ่งในจังหวะที่หญิงสาวมานั่งลงข้างๆ เขากำลังจะกลับพอดี แต่พอเห็นว่าเป็นใครที่กำลังทิ้งตัวลงนั่ง จึงเปลี่ยนใจนั่งต่อ
อธิชไม่ได้พยายามหลบปาลิดา ออกจะพยายามทำให้เธอรู้ว่าเขานั่งอยู่ข้างๆ เสียด้วยซ้ำ แต่หญิงสาวกลับไม่แม้แต่จะสนใจสิ่งรอบข้าง เธอเอาแต่นั่งใจลอยและคิดอะไรตลอดเวลา แม้แต่แก้วเครื่องดื่มตรงหน้า เธอยังไม่คิดแตะมันแม้แต่หยดเดียว จวบจนมีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาทักและยื่นของบางสิ่งให้
ยามเห็นเธอคุยกับผู้ชายอีกคนอย่างเป็นกันเอง เขาก็ได้แต่นั่งเบะปากอยู่คนเดียว เพราะยามที่เธอคุยกับเขานั้นช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว ประหนึ่งถูกบังคับอย่างไรอย่างนั้น ดูเช่นตอนนี้เป็นต้น
“แต่คุณก็ไม่ควรปล่อยให้ผู้ชายที่ไหนจับมือง่ายๆ”
“รวมถึงคุณด้วยนั่นแหละ” ปาลิดาเอ่ยจบก็เดินตรงไปที่รถของตัวเอง แต่กลับได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ของอธิชที่เดินตามหลังมา คิดในแง่ดีเขาอาจไม่ได้ตามเธอมา เพียงแค่จอดรถอยู่ฝั่งเดียวกันเท่านั้น
ติ๊ด! ติ๊ด!
หญิงสาวกดรีโมตปลดล็อกรถ และเปิดประตูก้าวขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ
ปึง!
นั่นไม่ใช่เสียงปิดประตูรถจากเธอแน่นอน เพราะประตูฝั่งเธอยังเปิดค้างอยู่ เธอยังไม่ได้ดึงปิดแต่อย่างใด
ปาลิดาหันไปมองที่นั่งข้างคนขับทันที และเห็นเป็นผู้ชายที่เดินตามหลังเธอมาเมื่อครู่นั่งส่งยิ้มมาให้พร้อมกับคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย
“คุณ!”
“ขอผมกลับด้วยคนนะครับ” อธิชพยายามทำหน้าตาให้น่าสงสารที่สุดในชีวิต
“คุณจะมากลับกับฉันทำไม” ปาลิดาร้องเสียงหลง
“ให้ผมกลับด้วยคนนะ...นะๆ” ชายหนุ่มอ้อนเสียงหวาน
“กลับรถคุณไปสิ”
“ผมเมา ขับรถไม่ได้”
ปาลิดามองคนที่บอกว่าตัวเองเมา ทว่ากลับไม่เหมือนคนเมาแม้แต่นิดเดียว
“เมาก็กลับแท็กซี่ไปสิ” เธอเสนอทางเลือกให้
“ผมกลัวถูกแท็กซี่ปล้น”
เธอมองคนกลัวถูกปล้นที่จับสายเบลต์ไว้แน่น
“เราอยู่บ้านเดียวกัน...”
“ใครอยู่บ้านเดียวกับคุณ!”
“ผมหมายถึงบ้านเราอยู่ที่เดียวกัน” อธิชรีบแก้ไขคำพูด ก่อนจะพูดต่อ “ให้ผมติดรถไปด้วยเถอะนะ เมาแล้วไม่ควรขับรถ ต้องมีความรับผิดชอบต่อตัวเองและส่วนรวม ประชาชนไม่ควรทำผิดกฎหมาย”
“สรุปว่ายังไงก็จะกลับด้วยให้ได้ใช่ไหม” เธอเอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยอกเหนื่อยใจ
“ผมขอกลับด้วยนะ”
“เฮ้อ...”
“ขอบคุณครับ” อธิชรีบยิ้มประจบเมื่อปาลิดาไม่ได้พยายามไล่เขาอีก
ปาลิดาสตาร์ตเครื่องยนต์แล้วขับออกไปอย่างไม่มีทางเลือก เหลือบมองผู้โดยสารจำเป็นที่ตอนนี้นั่งหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข แน่ละ เพราะมีคนคอยบริการขับรถให้นั่งสบายๆ แบบนี้ไง
“สบายเลยนะ” เธออดจะประชดประชันไม่ได้
“อยากสบายบ่อยๆ จัง” อธิชเอ่ยโดยที่ยังปิดเปลือกตาอยู่
“ครั้งเดียวก็เกินพอ”
อธิชเพียงแค่อมยิ้มเพราะคำพูดของเธอ หลังจากนั้นภายในห้องโดยสารของรถยนต์ก็เงียบสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงเพลงหรือเสียงครางของเครื่องปรับอากาศ และเป็นแบบนั้นจวบจนรถคันเล็กของปาลิดาขับขึ้นไปจอดบนลานจอดรถเรียบร้อย
ปาลิดาเปิดประตูลงจากรถ ตามด้วยอธิชที่เหมือนจะเผลอหลับไปจริงๆ ระหว่างทาง หญิงสาวหยิบกระเป๋าสะพายออกแล้วเดินไปที่ลิฟต์ โดยมีอธิชเดินตามหลังมาติดๆ ทั้งคู่โดยสารลิฟต์ตัวเดียวกัน ซึ่งภายในลิฟต์ก็ปราศจากเสียงพูดคุยเช่นเดิม ปาลิดายืนมองจอดิจิทัลที่บอกหมายเลขชั้น จนมาหยุดนิ่งอยู่ที่ชั้นสิบสี่ ซึ่งก็คือชั้นที่อธิชอาศัยอยู่ ทว่าชายหนุ่มกลับยืนนิ่ง ไม่ยอมเดินออกไปเสียที
“ถึงแล้วค่ะ” เธอเอ่ยขึ้นเผื่อว่าเขาไม่รู้
“ขอบคุณนะที่ให้ผมติดรถมาด้วย”
“ค่ะ” เธอยินดีรับคำขอบคุณนั้น
“มีแฟนแล้วก็อย่าเปิดโอกาสให้คนอื่นจีบสิ...”
“...?”
อธิชไม่ปล่อยให้หญิงสาวได้ถามอะไรก็เดินออกจากลิฟต์ ยืนมองหน้าหวานขณะที่ประตูลิฟต์ค่อยๆ ปิดจนกลืนเธอหายไปทั้งตัว และพาเธอขึ้นไปยังชั้นต่อไป
“...เพราะผมหวง” อธิชต่อท้ายประโยคโดยที่หญิงสาวไม่มีโอกาสได้ยิน
เขาไม่ได้เมาอย่างที่อ้าง แทบไม่ได้ดื่มเลยด้วยซ้ำ เพราะมัวแต่นั่งมองเธอและคิดหาสาเหตุอาการเหม่อลอยของเธอ แต่ที่เขาต้องแกล้งทำเป็นเมาและขอติดรถเธอมาด้วยนั้นเพราะเหตุผลโง่ๆ ของตัวเองล้วนๆ
‘ห่วง’ ใช่ เขาห่วงเธอ กลัวว่าระหว่างขับรถเธอจะเหม่อเหมือนตอนที่นั่งอยู่ในสถานบันเทิง แม้จะรู้ว่าเธอไม่ได้แตะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แม้แต่หยดเดียว แต่เขาก็กลัวว่าเธอจะขับรถไปเสยท้ายรถสิบล้อเข้า
“ขอห่วงในฐานะคนไม่มีสิทธิ์ก็ได้”
ความคิดเห็น |
---|