5
มื้อกระชับมิตร
“คุณอธิช!”
“โอ๊ะโอ...คุณลิดานั่นเอง”
อธิชยกมือขึ้นกอดอกมองหน้าหญิงสาวที่เพิ่งเจอกันไม่นาน แถมเมื่อช่วงเย็นเธอยังโทร. มาบอกเรื่องงานว่าตกลงที่จะทาแค่สีท่อให้กลืนกับงานตกแต่งเท่านั้น แต่นึกไม่ถึงว่าตกดึกแบบนี้เธอจะโผล่มาที่หน้าห้องได้ แม้จะสงสัยว่าเธอมาทำอะไรที่หน้าห้องเขา แต่เมื่อโอกาสลอยมาอยู่ตรงหน้า มีหรือเขาจะไม่คว้าไว้
“มาให้ผมจีบถึงห้องเลยเหรอครับ”
“ใครเขามาให้คุณจีบกัน”
คนถูกกล่าวหารีบปฏิเสธทันควัน เป็นเพราะเธอมัวแต่คุยโทรศัพท์กับธนวัฒน์จนไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัว ในลิฟต์มีเธอเป็นผู้โดยสารเพียงคนเดียว พอลิฟต์เปิดออกก็คิดว่าถึงชั้นที่ตัวเองอยู่แล้วสิ ใครจะคิดว่าจะมีคนกดใช้ลิฟต์ระหว่างทาง
“งั้นช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่าคุณมายืนอยู่หน้าห้องผมทำไม แถมยังงัดแงะประตูห้องผมอีกต่างหาก”
“ฉันไม่ใช่ขโมยนะ” เธอรีบแก้ความเข้าใจผิดของเขาห
“ผมก็ยังไม่ได้ว่าคุณเป็นขโมยนี่”
ปาลิดาเบ้หน้าด้วยความหมั่นไส้ท่าทางไขสือของเขา ทั้งที่ประโยคก่อนหน้านี้ของเขาชี้นำให้คิดว่าเธอเป็นขโมย
“ฉันแค่เข้าใจผิดคิดว่าเป็นห้องตัวเอง” เธอรีบอธิบายความผิดพลาดของตัวเองที่ต้องมายืนอยู่หน้าห้องเขา
“คุณอยู่ชั้นนี้?”
“ไม่ใช่”
“ไม่ได้อยู่ชั้นนี้ยิ่งชัดเข้าไปใหญ่” อธิชยังยั่วไม่เลิก คอนโดแห่งนี้ใช้ลิฟต์ที่เป็นระบบล็อกชั้น เจ้าของห้องจะกดหมายเลขชั้นได้แค่ชั้นที่ตัวเองอยู่และชั้นสันทนาการเท่านั้น ยามเห็นหน้าตาเลิ่กลั่กอยากแก้ตัวของเธอแล้วเขายิ่งชอบใจ “แถมยังรู้อีกว่านี่เป็นห้องผม มันดูเจตนาเข้าใจผิดเกินไป”
“บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้เป็นขโมย แค่ออกลิฟต์ผิดชั้น” เธอย้ำชัดในประโยคท้าย
“ผมไม่ได้ว่าคุณเป็นขโมย แต่ผมว่าคุณจงใจมาให้ผมจีบถึงห้องต่างหาก”
“คุณนี่พูดไม่รู้เรื่องจริงๆ” ปาลิดาเริ่มโมโหที่เขาไม่พยายามเข้าใจในสิ่งที่เธออธิบาย ป่วยการที่เธอจะพยายาม ทั้งยังโมโหความสะเพร่าของตัวเองด้วย “ฉันขอโทษแล้วกันที่มารบกวนคุณ ฉันขอตัวก่อนค่ะ”
ปาลิดาหมุนตัวกลับทางเดิม แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็ถูกคนตรงหน้าฉุดเข้าไปในห้องของเขาพร้อมกับปิดประตูและล็อกเสียเสร็จสรรพ
“นี่คุณ!” เธอประท้วงด้วยความไม่ชอบใจ
“เมื่อกี้หลายห้องเขาเปิดประตูมาดู คงได้ยินคุณพูดขโมยๆ มั้ง เลยพากันตกใจแตกตื่น” อธิชพยายามพูดโดยที่ไม่หลุดยิ้มออกมา มีใครเปิดประตูมาดูเสียเมื่อไรล่ะ ทั้งชั้นนี้ก็มีเขาแค่คนเดียวเท่านั้น “แล้วคุณก็ยังอธิบายไม่เคลียร์เรื่องที่โผล่มาหน้าห้องผมได้ยังไง ผมเลยชวนคุณมาคุยในห้องก่อนนี่ไง”
“คุณนี่มันจริงๆ เลย”
ปาลิดากำมือแน่นด้วยความโมโห แต่ไม่ว่าจะต่อว่าหรือด่าทอชายหนุ่มไปเท่าไร เขาก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว แถมข้ออ้างในการฉุดเธอเข้าห้องก็ช่างเสแสร้ง อย่าคิดว่าเธอไม่รู้นะว่าเขาโกหกที่บอกว่ามีเพื่อนบ้านเปิดประตูออกมาดู เธอจะเปิดประตูออกจากห้องก็ถูกเขายืนขวางไว้
อธิชเป็นคนที่น่าโมโหที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมา
“ฉันอธิบายไปหมดแล้ว” เธอพยายามบอกอย่างใจเย็น
“คุณกินข้าวรึยัง” อธิชถามไปเรื่องอื่นนั่น
“มันใช่เรื่องที่ต้องมาถามไหม”
“เรื่องสำคัญเลยแหละ ท้องคุณร้องเสียงดังมาก”
จ๊อก! จ๊อก!
ปาลิดายกมือกุมท้องตัวเองด้วยความอับอาย เพราะเพียงแค่เขาพูด ท้องเธอก็ส่งเสียงร้องออกมาให้ได้อับอายชาวบ้านชาวช่อง
“คุณก็หลบสิ ฉันจะได้กลับห้องตัวเองสักที”
“กินข้าวกันไหม” อธิชโพล่งขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“คุณชวนฉันกินข้าว?” หญิงสาวชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“หรือคุณอยากกินก๋วยเตี๋ยว ผมก็ไม่มีปัญหานะ ผมเลี้ยงเอง”
“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น”
“คุณรอผมแป๊บนึง ขอแต่งตัวก่อน”
เมื่อเขาพูดถึงเรื่องการแต่งตัว เธอจึงมองต่ำลงกว่าคางเขา ชายหนุ่มอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน มีเพียงกางเกงขาสั้นสีดำเสมอเข่าติดกาย
อธิชสูงโปร่ง มีมัดกล้ามเนื้อแต่พอดี ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ผิวเขาขาวใสสุขภาพดีจนไม่น่าเชื่อ เพราะแขนทั้งสองข้างของเขาในส่วนที่โผล่พ้นแขนเสื้อมานั้นคล้ามแดดตัดกับสีผิวแท้จริงของเขา ส่วนแผ่นหลัง...
เธอสังเกตไม่ทันเพราะเขาสวมเสื้อยืดพอดี
“ไปกันเถอะคุณ”
เสียงของชายหนุ่มเรียกสติเธอให้เลิกเป็นนักสำรวจและกลับมาเป็นปาลิดาคนเดิม
“ไม่ไป?” อธิชหันกลับไปถามปาลิดาที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แม้ตอนนี้เขาออกมายืนนอกห้องแล้ว เธอก็ยังไม่เดินตามออกมา “เปลี่ยนเป็นทำอะไรกินที่ห้องผมก็ได้นะ ผมตามใจคุณ หรือจะเปลี่ยนไปทำห้องคุณ ผมก็ยิ่งยินดี”
“ไป!” เธอว่าแล้วรีบเดินออกจากห้องเขา
“ไปห้องคุณ?”
“ไปกินข้างนอก”
“นึกว่าอยากชวนผมไปกินข้าวที่ห้องซะอีก”
“ฝันไปเถอะ” ปาลิดาแยกเขี้ยวใส่คนยียวนกวนประสาท ก่อนจะเดินไปที่ลิฟต์โดยไม่รออีกฝ่าย
“แน่นอน ผมจะฝันถึงคุณด้วย”
อธิชนั่งมองคนที่กำลังแทะกระดูกไก่ด้วยอย่างอารมณ์ดี ร้านที่ปาลิดาเลือกไม่ใช่ร้านเจ๊โอ๋เจ้าประจำ แต่เป็นร้านอาหารอีสานข้างกัน และดูเหมือนว่าหญิงสาวจะหิวจริงอย่างที่ท้องร้องประท้วง เพราะตั้งแต่พนักงานเอาอาหารมาเสิร์ฟเธอก็ยังกินไม่หยุดปาก
“ตัวแค่นี้ไม่คิดว่าจะกินเก่ง”
“ก็คนมันหิว”
“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่” อธิชตักอาหารมาวางในจานตัวเองบ้างเพื่อไม่ให้หญิงสาวเก้อเขินที่กินอยู่ฝ่ายเดียว ทั้งที่ความจริงเขาอิ่มจนจุกมาถึงคอหอย เนื่องจากนี่เป็นอาหารเย็นรอบที่สอง
ก่อนหน้านี้เขาซื้อข้าวร้านเจ๊โอ๋กลับมากินที่ห้อง เพิ่งเก็บกวาดพื้นหน้าโซฟาไปหมาดๆ ก็ได้ยินเสียงคล้ายคนกำลังไขกุญแจหน้าประตูห้อง ตอนแรกคิดว่าเป็นห้องฝั่งตรงข้ามหรือข้างห้อง ทว่าพอเห็นลูกบิดขยับและคนด้านนอกพยายามเปิดประตูก็ชัดเจนว่ามีคนกำลังพยายามเปิดห้องเขา
แล้วเป็นใครกันล่ะ...
เมื่อเห็นท่าทีว่าคนข้างนอกยังพยายามเปิดประตูให้ได้ ชายหนุ่มจึงเดินไปเปิดประตูออกเสียเอง และเพียงแค่เห็นว่าใครที่พยายามจะเข้าห้องเขาชัดเจนเต็มตาก็ทำเอาอึ้งไปเลย
พออยากเจอก็ไม่เจอเสียที บทจะเจอก็มาให้เจอถึงหน้าห้อง
“คิดเงินด้วยค่ะ”
เสียงหวานของหญิงสาวเรียกสติอธิชกลับมา
“ฉันเห็นคุณวางช้อน คิดว่าคงอิ่มแล้ว” เธออธิบายเมื่อเห็นท่าทางไม่ค่อยเห็นด้วยของเขา บางทีเขาอาจจะยังไม่อิ่ม
“ผมอิ่มแล้ว” อธิชเข้าใจท่าทางการแสดงออกของปาลิดาจึงเอ่ยบอกไปตามความจริง ก่อนจะรีบดักทางเมื่อเห็นหญิงสาวหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา “ผมเลี้ยงเอง”
“แต่...”
“ไม่ต้องทอนครับพี่” อธิชรีบยื่นธนบัตรฉบับละหนึ่งพันบาทให้พนักงานเสิร์ฟ โดยไม่รอฟังปาลิดาโต้แย้งใดๆ และไม่รอช้า รีบลุกออกจากโต๊ะทันที
“เพิ่งรู้ว่าวิศวกรเงินดี” เธอเอ่ยแกมประชดระหว่างที่เดินตามหลังเขากลับคอนโด
“ก็ไม่ได้ดีอะไรนักหรอก แต่รับรองว่าเลี้ยงคุณได้สบาย” อธิชมองหญิงสาวด้วยสายตาสื่อความหมาย ทว่าอีกฝ่ายกลับทำเป็นไม่รู้ว่าเขาต้องการจะสื่อถึงอะไร “คุณรู้ใช่ไหมว่าผมกำลังจีบคุณอยู่”
“...”
“ถ้าคุณยังไม่มีใคร...”
“ฉันมีแฟนแล้วค่ะ” ปาลิดาเอ่ยทะลุกลางปล้องก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยจบประโยค ชั่วขณะหนึ่งเธอเห็นความผิดหวังในดวงตาคม แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนมาเป็นปกติเช่นเดิม “ขอโทษด้วยนะคะ”
“คุณไม่ได้พูดเพราะอยากให้ผมเลิกตามคุณหรอกใช่ไหม”
อธิชพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะหากเธอมีคนรักอยู่แล้ว เขาก็ไม่ทู่ซี้จะตามจีบแฟนคนอื่น บนโลกใบนี้มีผู้หญิงมากมายที่จะได้พบเจอ แม้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเจอคนที่ถูกใจ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ปาลิดาไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ยื่นสมาร์ตโฟนซึ่งมีรูปคู่ของเธอกับอดีตคนรักให้เขาดู
“แฟนฉันชื่อเจตน์”
จากที่สังเกตในแต่ละครั้งที่เจอกัน เขาไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ โดยเฉพาะสิ่งที่ลั่นวาจาไว้ เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่เลือกมากหรืออะไร เพียงแต่ตอนนี้เธอยังไม่พร้อมจะมีใคร บาดแผลที่เพิ่งเกิดขึ้นยังต้องใช้ระยะเวลาในการเยียวยา จึงจำเป็นต้องใช้วิธีนี้ในการตัดสัมพันธ์เขาไป
“เราคบกันมาเจ็ดปี และมีแพลนจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้”
ทุกสิ่งที่เธอพูดล้วนเป็นความจริง เพียงแต่เรื่องที่พูดมานั้นล้วนเป็นอดีตไปแล้ว และไม่มีทางเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะเรื่องงานแต่งงาน
“ผมยินดีด้วยนะ” อธิชส่งยิ้มให้ด้วยความจริงใจ จะปฏิเสธว่าไม่รู้สึกอะไรเลยก็ดูจะเป็นการโกหกตัวเองเกินไป “แล้วก็ขอให้คุณมีความสุขมากๆ กับคนที่คุณรัก”
“ขอบคุณสำหรับคำอวยพรและอาหารมื้อนี้นะคะ”
“ถือว่าเป็นมื้อกระชับมิตรในการทำงานร่วมกันของเราแล้วกันครับ”
“ขอบคุณนะคะ”
“ครับ” อธิชยังคงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แม้จะเป็นรอยยิ้มที่ฝืนเต็มทนก็ตามที “คุณขึ้นไปก่อนได้เลย ผมว่าจะแวะเซเว่นสักหน่อย”
‘เขาก็ไม่ได้บอกว่าจะรอกลับพร้อมมึงหรือเปล่าวะเตอร์’ อธิชได้แต่ต่อว่าตัวเองในใจ ‘อกหักหน่อยทำเป็นเลอะเลือน’
“ค่ะ”
พูดเพียงเท่านั้นปาลิดาก็เปิดประตูเข้าไปด้านใน แต่แววตาแสดงความผิดหวังของอธิชยังติดตา
“เธอทำถูกแล้วปา” เธอให้กำลังใจตัวเอง และคิดว่านี่คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้เพราะไม่อยากดึงใครให้มาเสียเวลากับเธอ
ครืด! ครืด!
เสียงสั่นเตือนของสมาร์ตโฟนในมือทำให้ปาลิดายกขึ้นมาดู ก่อนจะทำสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นหมายเลขโทรศัพท์ของอดีตคนรักที่โทร. เข้ามา ภายในใจตีกันวุ่นว่าจะรับสายนี้ดีหรือไม่
“ค่ะ” สุดท้ายเธอก็รับสาย
“คุณยังไม่บอกพ่อคุณเรื่องของเราอีกเหรอ” เจตน์เข้าประเด็นทันทีที่อดีตคนรักรับสาย “ทำไมพ่อคุณยังโทร. หาผม โทร. มาชวนไปกินข้าวที่บ้านอยู่อีก”
“ฉันยังไม่ได้บอกท่านค่ะ” เธอถอนหายใจและบอกไปตามความจริง
“ผมอึดอัดนะปาที่ต้องโกหก ผมเข้าใจเหตุผลของคุณ แต่คุณก็ต้องเข้าใจเหตุผลของผมด้วย”
“ฉันขอโทษที่ทำคุณลำบาก แต่หลังจากนี้คงไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแล้ว” ครั้งนี้เธอผิดจริงจึงต้องเอ่ยขอโทษออกไป แม้ต้องเป็นอีกฝ่ายมากกว่าที่ต้องเอ่ยขอโทษเธอเพราะการบอกเลิกที่ไร้เหตุผล
“ขอบคุณที่เข้าใจ”
ปาลิดามองสมาร์ตโฟนในมือเมื่อสายถูกตัดไปแล้ว อาจจะจริงที่เธอยังทำใจไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้อาลัยอาวรณ์อยากกลับไปคืนดี การคุยกับอดีตคนรักอีกครั้งจึงไม่ได้ทำให้หัวใจเต้นแรงเหมือนอย่างเก่า มีแต่อยากรีบคุยรีบจบ คงอีกไม่นานหรอกที่แผลที่ใจเธอจะหายดี และคงถึงเวลาที่เธอต้องบอกผู้เป็นพ่อเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับคนรักให้ท่านทราบเสียที
ความคิดเห็น |
---|