4

ไม่ได้ปิดบัง แค่ไม่ได้บอก


4

ไม่ได้ปิดบัง แค่ไม่ได้บอก

 

เธอจะทำอย่างไรต่อไปดี ทางเลือกสอง หรืออาจจะสามทางมาวางอยู่ตรงหน้า แต่ทุกทางนำมาซึ่งความเสียใจทั้งนั้น

มาหยารัศมียังไม่ทันหายจากความเจ็บปวดใจที่สูญเสียพ่อ เธอก็ต้องเผชิญกับทางเลือก เพราะสภาพจิตใจตอนคลอดก่อนกำหนดของเธออยู่ในสภาพย่ำแย่ เจ้าหน้าที่จึงจัดจิตแพทย์มาให้ความช่วยเหลือโดยไม่ต้องร้องขอ และจากการสนทนาที่เธอไม่รู้ว่าสื่อสารผิดพลาดหรือไม่ จึงตามมาด้วยนักสังคมสงเคราะห์

‘ถ้าคุณไม่พร้อมดูแลเด็ก ทางเราก็พร้อมจะช่วยเหลือนะคะ’

ข้อเสนอเป็นมิตรที่แปลได้ว่า พวกเขาจะช่วยพาลูกของเธอจากไป เด็กชายที่ตอนนี้อยู่ในตู้อบเพราะคลอดก่อนกำหนดจะได้รับการดูแลจากทางรัฐ และจะมีผู้ปกครองที่ดีกว่าคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่กำลังเคว้งคว้างอย่างเธอ

ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ มาหยารัศมีก็เคยใคร่ครวญหนทางต่างๆ อย่างหนัก รวมถึงการยกเด็กให้คนรู้จัก ที่รับประกันได้ว่าอีกฝ่ายจะไม่กีดขวางการพบหน้าลูก ซึ่งทางเลือกนี้ย่อมดีกว่าการส่งลูกเข้าระบบสังคมสงเคราะห์ แต่นิสัยของเธอคือตัดแล้วตัดเลย หากไม่ตัด ก็จะยื้อไม่ปล่อย

การตัดสินใจของเธอเมื่อหลายเดือนก่อนคือเลี้ยงลูกด้วยตนเอง มาหยารัศมีมั่นใจว่าตนสามารถทำหน้าที่แม่ได้ แต่นั่นมันก่อนที่เธอจะเสียบิดา

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขัดจังหวะความคิด รวมถึงก้าวย่างที่จะเดินไปยังห้องเด็กอ่อน หมายเลขโทรศัพท์ของเธอมีแค่ไม่กี่คนที่รู้จัก หนำซ้ำปลายสายยังมาจากต่างประเทศ ทำให้เธอลังเลที่จะรับ เพราะครั้งสุดท้ายที่คนจากเมืองไทยติดต่อมาคือแจ้งข่าวร้าย ซึ่งเธอไม่พร้อมที่จะฟังมันซ้ำ แต่อย่างไรเธอก็ต้องรับสาย ความจริงยังมีเรื่องอีกมากที่เธอต้องรีบติดต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการจัดงานศพให้เรืองฤทธิ์ หรือปัญหาหนี้สินที่กำลังถูกทวงถามอย่างหนัก

“ลูกหยีท้องกับใคร”

เสียงที่คุ้นหูถามอย่างไม่มีเกริ่นนำ ทำให้เธอเย็นวาบไปทั้งตัว เธอยังไม่ทันตั้งสติ อีกฝ่ายก็พรั่งพรูคำพูดมากมายออกมา ตามด้วยบทสรุป

“ส่งเด็กมาให้ทางนี้เลี้ยงจะดีกว่า”

เธอไม่รู้ว่ามันเป็นคำถาม หรือแค่คำแนะนำ ไม่แน่อาจจะเป็นประโยคคำสั่งก็ได้ นิ้วของเธอเลื่อนไปที่ปุ่มตัดสายอย่างไม่ลังเล แต่ก่อนจะกดตัดสาย เสียงอีกด้านก็ดังขึ้นเหมือนรู้เท่าทันความคิดเธอ จึงแทบจะตะโกนออกมา

“คิดถึงอนาคตของเด็กสิ”

อนาคตของลูก นี่คือสิ่งที่ทำให้มาหยารัศมีคิดไม่ตก เด็กคนนี้ เด็กที่เธอยังไม่บอกกับใครว่าเขาชื่ออะไร มีเพียงเธอที่เรียกว่าสุดที่รักในใจ จะมีอนาคตที่ดีได้สักแค่ไหนหากมีแม่อย่างเธอเลี้ยงดูตามลำพัง

โทรศัพท์จากประเทศไทยวางสายไปนานแล้ว แต่มาหยารัศมียังจมอยู่กับความคิดของตนเอง ก่อนจะรู้ตัวอีกทีว่ากำลังยืนมองผ่านกระจกไปยังร่างเล็กบางในตู้อบ แล้วก็แทบไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังพูดออกมาทั้งน้ำตา

“แม่รักลูกนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่อยากให้ลูกรู้ว่าแม่รักลูกมาก”

 

สนามบินนานาชาติเป็นจุดวัดระดับความรักเหมือนเช่นเคย มาหยารัศมีเหลียวมองไปรอบๆ ไม่เพียงแค่มองเห็นคนที่มารอรับคนไกลที่เดินทางกลับมาหลังจากห่างบ้านไปนาน แต่ยังเห็นคนที่ร่ำลากันด้วยความอาลัย บางครั้งก็จะเห็นคนร้องไห้เพราะไม่รู้ว่าอีกกี่ปีจะได้กลับมาพบเจอกัน ถึงการโบยบินข้ามประเทศจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่ไม่มีใครรู้ว่าจากกันครั้งนี้ จะเจอกันเมื่อไร หรืออาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลย

หญิงสาวยืนกวาดตาไปมารอบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ถึงเธอจะกลับมาต่อวีซาที่ประเทศไทยทุกสองปี แต่ก็เป็นระยะเวลาสั้นๆ เนื่องจากต้องรีบกลับไปทำงานและดูแลบุคคลสำคัญ แต่ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะกลับมาและไม่จากบ้านเกิดไปไหนอีก เธอจึงอดมองหาความทรงจำครั้งเดินจากไปครั้งแรกไม่ได้

แต่ถึงจะเหลียวซ้ายแลขวา มาหยารัศมีก็ยังคอยมองรถเข็นที่บรรทุกกระเป๋าขนาดใหญ่หลายใบของตนเอาไว้ รวมถึงของสำคัญที่อยู่ข้างกาย ยังดีที่ของชิ้นนั้นไม่วิ่งหายไปไหน แค่กวาดตากลมโตมองไปรอบตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ สลับกับส่งเสียงสำเนียงไทยอเมริกันเป็นระยะ ในวงแขนหอบหิ้วไดโนเสาร์ทีเร็กซ์ที่ทำตาโตไม่แพ้กัน อาจเพราะเกิดและโตในต่างแดน ความซนจึงลดลงเวลาอยู่แปลกที่ แต่ก็ใช่จะวางใจได้ว่าจะไม่ก่อเรื่อง

“หิวหรือยังครับลูกพลับ ไปหาอะไรกินก่อนกลับบ้านกันเนอะ” มาหยารัศมีกล่าวชวนเด็กชายข้างกาย แล้วได้รับรอยยิ้มพร้อมกับการพยักหน้า แต่ครู่เดียวเด็กน้อยก็จำได้ว่าควรตอบคำถามด้วยคำพูด

“ไปกินข้าวกันครับ” ตอบเสร็จแล้วก็มอบรอยยิ้มที่ละลายหัวใจคนมองออกมา

พลลภัตม์ มีความหมายว่า เป็นที่รักที่สุด เพราะเขาเกิดมาในตอนที่มาหยารัศมีไม่เหลือใคร แล้วเขาก็เป็นเช่นชื่อ เป็นที่รักของเธอ รวมถึงทุกๆ คนที่ได้พบเขา

หญิงสาวอดใจไม่ไหว ก้มลงไปหอมแก้มยุ้ยซ้ายขวา กำลังจะถามว่าเขาอยากจะกินอะไร ก็มีเสียงดังเข้ามาแทรก

“ถ้าไป เราเลิกกัน ได้ยินไหม เลิกกัน!!!”

เสียงตะโกนอย่างขู่ตะคอกของชายวัยประมาณยี่สิบปลายๆ ดังขึ้นไม่ห่าง ตามด้วยเสียงพึมพำวิพากษ์วิจารณ์ของไทยมุงผสมกับฝรั่งมุง หลังจากปล่อยให้ฝ่ายชายโวยวายสักพัก ฝ่ายหญิงก็กรีดเสียงโต้ตอบบ้าง

“เลิกก็เลิกสิ อยู่ไปไม่มีอนาคต จะทนอยู่ทำไม”

ไม่นานเจ้าหน้าที่สนามบินก็เข้ามาไกล่เกลี่ย แต่ชายหนุ่มไม่ยอมเลิกรา และยังใช้การห้ามปรามเป็นแรงกระตุ้นให้เสียงดังยิ่งขึ้น หนำซ้ำยังอ้างเหตุผลคลาสสิกไล่ผู้หวังดี

“เรื่องของผัวเมีย อย่าเสือก”

มาหยารัศมีส่ายหน้ากับข้ออ้างพื้นๆ อยากจะเข็นรถหนี แต่ติดที่ต้องใช้สองมือปิดหูเจ้าตัวแสบที่เบิกตามองพลางถามจ้อยๆ หนักเข้าเธอเลยหันไปสั่ง

“ปิดหูซะ ห้ามแอบฟัง” แน่นอนว่าเด็กที่เลี้ยงมาแบบตะวันตกถูกปลูกฝังให้กล้าคิดกล้าถาม ย่อมไม่ทำตามแต่โดยดี

“ทำไมล่ะครับมัมมี้”

“เขาพูดไม่สุภาพ มัมมี้ไม่อยากให้ลูกพลับจำ”

เมื่อมีเหตุผลที่พอจะรับฟังได้ ลูกพลับหรือเด็กชายพลลภัตม์ก็ยอมทำตาม มาหยารัศมีรีบเข็นรถออกไปห่างๆ พลางคอยมองว่าลูกชายตามมาหรือไม่ ขณะกำลังจะเดินไปอุ้มเขามาวางบนรถเข็น ปัญหาที่ไม่เกี่ยวกับเธอก็ตามมาแทน

“ไม่ให้ไป!!! กลับบ้าน!!!”

ไม่เพียงแค่ตะคอกสั่ง แต่ชายหนุ่มยังตรงเข้ามายื้อยุดอดีตแฟนสาว ฝ่ายหญิงก็เลือกหลบหนีไปทางที่มีคนน้อย ซึ่งก็คือทางที่มาหยารัศมีอยู่

สัญชาตญาณซึ่งฝึกจากการอยู่ในเมืองใหญ่ ส่งผลให้มาหยารัศมีรู้จักหลบหลีกเรื่องยุ่งยาก พร้อมกับดันตัวลูกให้พ้นทาง แต่เธอประเมินความแสบซ่าของพลลภัตม์ต่ำไปเสมอ ถึงจะแค่ห้าขวบ แต่เจ้าตัวน้อยก็แรงมากเหลือเชื่อ หนำซ้ำยังมือไว ใจกล้า ใช้ร่างเล็กของตัวกระแทกรถเข็นให้ไปขวางทาง

เสียงโครมดังพอจะทำให้ทุกคนบริเวณนี้สะดุ้ง พร้อมกับรู้สึกเจ็บแทนชายหนุ่มที่ไม่เพียงชนเข้ากับรถเข็น ยังเสียหลักล้มหงายถูกกระเป๋าใบโตทับ

มาหยารัศมีเลือกไม่ถูกระหว่างอ้าปากค้างกับอุทาน ที่กระเป๋าเดินทางหกใบของเธอกระจายอยู่บนตัวคน สุดท้ายเลยเลือกหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ และนั่นคือความผิดพลาด

“เชี่ย แก! แกเจตนาใช่ไหม”

คนที่ทั้งเจ็บทั้งอายกวาดตามองแวบเดียวก็รู้แล้วว่ารถเข็นกับกระเป๋าเป็นของใคร เขาโมโหจนถึงกับลืมตามแฟนสาวที่วิ่งหนีไปแล้ว หันมาเล่นงานผู้หญิงอีกคนแทน

“มันเป็นอุบัติเหตุ ใครเขาจะเจตนาทำอย่างนี้กัน”

มาหยารัศมีเถียงอย่างจริงจัง เพราะอุบัติเหตุเกิดจากความประมาท เขาประมาทวิ่งมาเข้าทางการกลั่นแกล้งของลูกชายเธอเอง

แต่คนที่มาหยารัศมีมารู้ภายหลังว่าตกอยู่ใต้ฤทธิ์แอลกอฮอล์จนก่อเรื่องไม่หยุดมีหรือจะฟัง ถ้อยคำร้ายกาจหยาบคายต่างๆ พุ่งเป้ามาหาเธอ หญิงสาวได้แต่ขยับลูกชายหนี รอให้เจ้าหน้าที่มาจัดการ ซึ่งมันคงจะเป็นไปด้วยดี หากจังหวะที่เสียงเงียบลงไม่กี่วินาที จะไม่มีเสียงเล็กๆ แทรกขึ้นมา

“อย่าว่ามัมมี้!!! ผมทำเอง”

เขาทำเอง ลูกผู้ชายกล้าทำก็ต้องกล้ารับ พลลภัตม์ยืดอกไม่ถึงครึ่งศอกของตนแล้วบอกคนไม่ดีตรงหน้าออกไป หวังว่าเขาจะเลิกชี้หน้าต่อว่ามารดาของตนเสียที แต่สิ่งที่เด็กชายวัยห้าขวบไม่เข้าใจก็คือ ผู้ชายไร้หัวคิดมักจะรักศักดิ์ศรีจอมปลอมของตนจนลืมไปว่าไม่ควรหาเรื่องเด็กกับผู้หญิง

“แกตาย!!!”

คนเมากับคนบ้ามักจะมีแรงมากกว่าคนปกติ เรื่องนี้จริงไม่จริง ไม่เคยมีใครพิสูจน์ แต่ขนาดถูกพนักงานรักษาความปลอดภัยตรึงเอาไว้ถึงสามคน เขายังสลัดหลุดพุ่งมาทางสองแม่ลูก

มาหยารัศมีย่อตัวคุกเข่าใช้ร่างกายสร้างเกราะคุ้มภัยให้แก่พลลภัตม์ ขณะรอรับความเจ็บปวด เธอก็ได้ยินเสียงเนื้อกระทบเนื้อตามด้วยเสียงล้มกระแทก หันไปมองก็พบร่างคนเมานอนกลิ้งโอดโอยอยู่ที่พื้น โดยมีขาสองข้างในกางเกงสแล็กสีดำกั้นกลางระหว่างเธอกับเขา

หญิงสาวไล่สายตาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วพบความคุ้นเคยที่มากขึ้นทุกที เธอภาวนาให้ตัวเองคิดผิด แต่สุดท้ายก็สบเข้ากับสายตาตื่นตะลึงคู่หนึ่ง ซึ่งไม่ได้มองเพียงเธอคนเดียว แต่จ้องมองทั้งเธอและเด็กในอ้อมแขน สีหน้าของเขาบอกว่ามีหลายอย่างต้องการพูด แต่ยังไม่อาจหาคำเหมาะๆ พบ

“ลูกหยี...” มหาภาพเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ทำได้เพียงเรียกชื่อเธอ

“พี่ภาพ...” มาหยารัศมีเองก็ทำได้แค่เรียกชื่อ ซึ่งเธอไม่เคยเรียกเขามาเกือบหกปี ก่อนจะรีบเปลี่ยนมาเป็นสรรพนามที่เหมาะสม

“คุณภาพมาได้ยังไง” ถึงจะเป็นคนถาม แต่เธอก็รู้คำตอบได้เอง

แผนการของเธอก็คือนัดหมายเขาออกมาพบ ค่อยๆ อธิบายความจริงเกี่ยวกับพลลภัตม์ให้เขารับรู้ แต่มาหยารัศมีลืมไปว่า เมื่อเขารู้ว่าเธอกำลังจะเดินทางกลับเมืองไทย ด้วยนิสัยห่วงใยทุกคนโดยเฉพาะคนเคยคุ้น เขาย่อมเดินทางมารับด้วยตนเอง

เพราะเขาเป็นคนเช่นนี้ คนที่ห่วงใยคนอื่นจนเกินพอดี ส่วนเธอก็เป็นคนเช่นนี้ คนที่มักจะทำแผนการสำคัญผิดพลาดในตอนท้าย

“เด็กคนนี้?” คำถามนี้เจือไว้ด้วยความรู้สึกหลากหลาย

แม้ว่าจะไม่ควรเป็นสถานที่นี้และเวลานี้ในการเปิดเผยความจริง แต่มาหยารัศมีก็ไม่รู้ว่าจะโกหกเขาอย่างไร เว้นแต่จะอุ้มพลลภัตม์หนีไปตั้งหลัก แต่เจ้าตัวแสบไม่เคยทำตามที่แม่ต้องการในช่วงวิกฤติสักครั้ง ร่างเล็กสลัดหลุดราวปลาไหล แล้วก้าวขาสั้นๆ เดินวนรอบชายร่างสูงด้วยท่าทางพินิจพิจารณา

เวลาไม่เหมาะสม สถานที่ไม่เหมาะสม แต่เธอไม่อาจเลือกเวลาและสถานที่ได้ ดังนั้นก่อนจะมีคำถามใหม่ หรือก่อนที่เด็กน้อยจะเอ่ยวาจาชวนตะลึง หญิงสาวจึงกัดฟันตอบคำถามเมื่อครู่

“ลูกพลับ ลูกชายของคุณภาพค่ะ”

 

เขามีลูกชายอายุห้าขวบแล้ว แต่เขาเพิ่งจะรู้เรื่องเมื่อสิบห้านาทีที่แล้ว มหาภาพพยายามรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงจัดการปัญหาเฉพาะหน้าที่ลูกชายของเขาก่อ ขณะสายตาคอยวนเวียนพิจารณาร่างเล็กที่พูดจ้อยๆ ถามมารดาเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เขาเห็น มารดาที่เมื่อก่อนเขามองเป็นน้องสาว และคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับบิดาคนนี้

“ผมหิวข้าวแล้วครับ มัมมี้หิวไหม แดดดี้ล่ะครับหิวไหม” พลลภัตม์เหลือบมองมาทางมหาภาพด้วยความสนใจ

เอาละ ตอนนี้เขาได้มีส่วนร่วมในการสนทนาแล้ว และได้ยินเด็กชายเรียกขานเขาว่าพ่อเป็นครั้งแรก แม้ว่าใจความสำคัญจะอยู่ตรงการกินข้าว และเจ้าตัวเล็กจะไม่ได้พูดกับเขาโดยตรงก็ตาม

หัวใจของเขาพองฟูอัดแน่นเต็มช่องอก ตัวเบาๆ เท้าดูเหมือนจะลอยๆ กับสรรพนามที่เด็กชายเรียกว่าพ่อ

ผู้ชายคนหนึ่งจะทำเช่นไรบ้างเมื่อรู้ว่าตนเองเป็นพ่อ

มหาภาพมีปัญหาในการตอบคำถามที่มาอย่างปุบปับนี้ รู้แค่ว่าเขามองลูกของตนอย่างไรก็ไม่พอ อยากจะเข้าไปอุ้ม อยากจะเข้าไปกอด อยากจะได้ยินคำเรียกขานว่าพ่อชัดๆ และอยากจะถามมาหยารัศมีว่าทำไมเขาถึงไม่ได้พบหน้าพลลภัตม์มาก่อนหน้านี้

ลูกชายของเขาน่ารัก ไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีทางการแพทย์ มหาภาพก็มั่นใจว่าพลลภัตม์เป็นลูกของเขา ไม่ใช่เพราะหน้าตา แต่เพราะบางอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นเด็กชาย ซึ่งน่ารักจนเขาอยากจะพุ่งตัวเข้าไปกอดแน่นๆ

ส่วนกับแม่ของลูกนั้นก็เป็นอีกความรู้สึกที่ไม่อาจพึ่งวิทยาศาสตร์ในการอธิบายได้เช่นกัน ว่าทำไมครั้งหนึ่งเด็กผู้หญิงที่เคยวิ่งตามและเรียกเขาเสียงหวานว่าพี่ภาพๆ ถึงเป็นคนเดียวกับหญิงสาวที่ทำให้เขาเผลอจ้องมองอย่างลืมตัว

มาหยารัศมีในวันนี้เป็นทั้งคนคุ้นเคยและแปลกหน้าสำหรับมหาภาพ การพบเจอเธออีกครั้ง หลังจากคืนแห่งความทรงจำ เปลี่ยนความรู้สึกของเขาไปบ้าง แต่ยังไม่มีผลเท่ากับการได้เห็นเธอในภาพลักษณ์มารดา ทุกส่วนในร่างเหมือนจะเปล่งเสียงว่านี่ละผู้หญิงของเขา แม่ของลูกเขา

“ตกลงคุณว่ายังไงครับ”

มีเสียงถามใกล้ๆ แต่เขาไม่ให้ความสนใจจนถูกสะกิดเตือน มหาภาพถึงค่อยรู้ตัวว่าอยู่ที่ไหน แล้วก็ขอให้เจ้าหน้าที่ทวนคำถามใหม่ พร้อมกับหาทางไปให้พ้นจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

เมื่อเป้าหมายของเขาอยู่ที่พลลภัตม์กับมาหยารัศมี มหาภาพก็ไม่สนใจจะเสียเวลาอยู่ที่นี่ เขาตอบคำถามเจ้าหน้าที่ส่งๆ เพื่อปลีกตัวพาทั้งสองคนไปที่อื่น เพื่อที่เขาจะได้พูดคุยกับลูกชายของตนและเธอ แต่สมองเป็นใจ ขาเป็นใจ ทุกส่วนของเขาเป็นใจ ยกเว้นกระเพาะอาหาร

“อ๊ะ...” มือของเขากดลงไปบนหน้าท้องเหนือสะดือ ขณะสมองตระหนักว่าผ่านไปเจ็ดชั่วโมงแล้วนับจากกินอาหารครั้งล่าสุด

การกินอาหารผิดเวลาสำหรับคนอื่นอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ไม่ใช่สำหรับมหาภาพ เขามีปัญหาโรคกระเพาะมาหลายปี แต่ก็มักจะลืมกินข้าวเวลางานยุ่ง

มื้อเที่ยงแม่บ้านซื้อข้าวกล่องมาให้ผิด จากหมูกระเทียมกลายเป็นหมูผัดพริกแกงทำให้เขาเริ่มแสบกระเพาะอาหาร ตั้งแต่ตอนนั้น หนำซ้ำตลอดช่วงบ่ายเขายังไม่ได้กินอะไรเลยยกเว้นน้ำ เพราะคิดว่าหลังจากพบหน้ามาหยารัศมีจะพาเธอไปกินมื้อเย็นด้วยกันในร้านอาหารที่มีอยู่มากมายบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ

แต่ปรากฏว่าด้วยจำนวนคนที่คับคั่ง ส่งผลให้การรอรับสัมภาระบนสายพานเกิดการล่าช้า และการคลาดกันตรงจุดรับกระเป๋า จากเวลาที่เครื่องลงจอดห้าโมงเย็น ทุ่มกว่าแล้วเขาเพิ่งจะพบตัวเธอ และยังเจอปัญหาอื่นๆ ตามมาอีก ส่งผลให้เขาลืมคำนึงถึงอวัยวะที่มีปัญหามาตลอดของตน จนมันประท้วงกลับอย่างรุนแรง

ตอนนี้กระเพาะของเขาราวกับบรรจุถ่านร้อนๆ เอาไว้ น้ำย่อยตีกลับจากส่วนนั้นไปยังทรวงอก กำเนิดความแสบร้อนเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด

“คุณภาพโรคกระเพาะกำเริบเหรอคะ”

มาหยารัศมีซึ่งรู้จักมหาภาพตั้งแต่เด็ก ย่อมรู้ว่าเขาเป็นโรคนี้ตั้งแต่เริ่มเข้าไปฝึกงานในบริษัทของพ่อช่วงมัธยมปลาย เธอละล้าละลังก่อนจะยื่นมือมาช่วยพยุงเขา

ชายหนุ่มอยากจะพูดว่าไม่เป็นไร แต่ตัวของเขา หรือจะพูดให้ตรงก็คือสังขารของเขาไม่อำนวย ร่างสูงงอตัวลง ตามมาด้วยเหตุการณ์โกลาหล

พนักงานรักษาความปลอดภัยที่เพิ่งจะส่งตัวคนเมาไปสงบสติอารมณ์ถูกเรียกมาช่วยเหลือผู้ป่วย สัมภาระของมาหยารัศมีกับพลลภัตม์ถูกขนย้ายตามมหาภาพไปห้องพยาบาล แพทย์ประจำสนามบินถูกเรียกตัวมาฉีดยาบรรเทาอาการปวดและให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น...

ขณะที่ชายหนุ่มไม่คิดว่าจะมีอะไรน่าอับอายไปกว่านี้ ลูกที่เพิ่งได้เจอหน้าก็ฟังคำแนะนำของแพทย์ แล้วหันไปถามมารดาข้างๆ เสียงดัง

“ทำไมแดดดี้อดข้าว แดดดี้ไม่มีตังค์กินข้าวเหรอครับ”

ขณะพูดแววตาพลลภัตม์ก็จับจ้องมหาภาพด้วยความสงสาร ใกล้เคียงกับเวทนา ทำท่าค้นไปตามกระเป๋าเพื่อหาขนม แต่ถูกมาหยารัศมีหยุดมือน้อยเอาไว้

“แดดดี้มีเงินจ้ะ เขาก็แค่ลืมกินข้าว” คำอธิบายของเธอสั้นและง่าย เพียงแต่บางครั้งเด็กที่หัดสองภาษาพร้อมๆ กันก็สับสน

“ลืมกับโง่เหมือนกันไหมครับ”

ความประทับใจแรกที่สองพ่อลูกพบกันป่นปี้ลงตรงนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่หมดกำลังใจที่จะทักทายเด็กชายที่เขาเพิ่งรู้ว่าเป็นลูก

“พ่อขอกอดลูกพลับหน่อยได้ไหมครับ” ต้องอาศัยความอดทนอย่างมากเพื่อขยับลงจากเตียงคนไข้ทั้งที่ยายังไม่ออกฤทธิ์ดี

แพทย์มองหน้ามหาภาพด้วยความเป็นห่วง ตามด้วยประหลาดใจ แต่ก็ยอมถอยห่างเพื่อดูความประทับใจแรกที่น่าจะเกิดขึ้น

“ไม่เอา มัมมี้บอกว่าห้ามให้คนแปลกหน้าจับตัว”

ประโยคนี้เจ็บหัวใจจนมหาภาพลืมเจ็บกระเพาะไปเลยทีเดียว

“มัมมี้บอกว่าคนป่วยต้องกินข้าวเยอะๆ จะได้หายไวๆ จริงไหมครับมัมมี้” พลลภัตม์สั่งสอนมหาภาพราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อย ก่อนจะหันไปขอเสียงสนับสนุนจากมารดา

มาหยารัศมีรับคำ พลางอธิบายว่าคนป่วยด้วยโรคกระเพาะอาหารขนาดหนักเช่นนี้ต้องรับประทานอาหารรสจืด ย่อยง่าย ที่สำคัญต้องไม่กินเยอะเกินไป

แผนเดิมของมหาภาพที่จะไปรับมาหยารัศมีมากินข้าวแล้วพาเธอมาส่งบ้านพัก จึงต้องเปลี่ยนเป็น เธอพาเขาไปหาหมอ แล้วหอบหิ้วลูกและเขาที่อาการดีขึ้นบ้างแล้วมายังบ้านพักที่เพื่อนของเธอให้คนมาเปิดรอไว้ให้

ชายหนุ่มหลับไปด้วยความอ่อนเพลียและฤทธิ์ยาตั้งแต่ระหว่างทางด้วยซ้ำ ตื่นเช้ามาสะลึมสะลือก็ถูกจู่โจมด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้ของเด็กชายตัวน้อยๆ น่าเสียดายที่ไม่ใช่สายตาของลูกที่มอบให้พ่อ แต่เป็นสายตาของผู้ใหญ่ตัวเล็ก มอบให้คนตัวโตแสนอ่อนแอโง่เขลาที่ลืมกินข้าวจนล้มป่วย

ผู้หญิงกับเด็กน้อยเดินทางข้ามทวีป ส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดอาการเจ็ตแลก หรือปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ไม่ไหวจนล้มเจ็บย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สองคนแม่ลูกตัวบางตัวเล็กกลับคึกคักแจ่มใส ปรับร่างกายเข้ากับเวลาในประเทศไทย สามารถตื่นแต่เช้า แล้วยังเป็นฝ่ายดูแลผู้ชายกล้ามใหญ่ที่เกือบตายเพราะไม่ดูแลตัวเองแทน

เมื่อเจอกันในสภาพนี้ ต่อให้มองในมุมไหนก็ตาม พลลภัตม์ก็สามารถดูหมิ่นสมรรถภาพทางร่างกายของมหาภาพได้อย่างเต็มที่

มหาภาพเก็บความหดหู่ใจมาเป็นพลัง นึกหาหนทางกอบกู้ภาพลักษณ์ของตนในสายตาของพลลภัตม์คืนมา ขณะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์หมายจะโทร. ไปเลื่อนประชุมช่วงเช้า กลับถูกสายตาของมาหยารัศมีหยุดเอาไว้ ตลอดมาเธอมักจะโอนอ่อนตามใจเขาทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องสุขภาพ

“ถ้ายังไม่ตาย งานรอได้เสมอค่ะ”

เขาไม่อาจโต้แย้งประเด็นนี้ ดังนั้นจึงมานั่งอยู่บนโต๊ะกินข้าวฝั่งตรงข้ามกับลูกชาย พลางกินข้าวต้มใส่หมูสับนุ่มลิ้น ภายใต้สายตาแสดงความห่วงใยราวกับมองผู้ป่วยใกล้สิ้นใจของพลลภัตม์ ซึ่งหากเขาเปิดใจให้กว้าง มหาภาพก็ต้องยอมรับว่าสภาพของเขาเมื่อวานชวนให้เด็กชายคิดไปในทำนองนั้นจริงๆ

“เรื่องที่เราต้องคุยกัน พี่ว่า...” เขาซึ่งทำทุกอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการเจรจา ลังเลที่จะพูดต่อ

“คุณภาพกินยาก่อน พักสักครู่ระหว่างที่ฉันจัดของ แล้วเราค่อยคุยกันก็ได้ค่ะ”

มหาภาพต้องการจะแสดงให้พลลภัตม์เห็นว่าเขาสุขภาพแข็งแรงพึ่งพาได้ จึงช่วยมาหยารัศมีเคลื่อนย้ายของที่มีน้ำหนักมาก แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะปลื้มใจดีไหม เมื่อลูกซึ่งยังไม่ยอมให้เขาจับตัว จ้องมองเขาเขม็ง เหมือนกลัวว่าเขาจะล้มลงขาดใจตายเพราะแบกน้ำหนักแค่ครึ่งหนึ่งที่เขายกเวตอยู่ประจำ

ต้องรอจนบ่ายโมง เพื่อหาจังหวะเหมาะๆ ตอนเจ้าตัวเล็กนอนกลางวัน มหาภาพจึงสามารถคุยกับมาหยารัศมีได้ ซึ่งแน่นอนว่ามหาภาพต้องแลกกับการไม่อาจกอดลูกชายเวลาหลับ เพราะจนบัดนี้พลลภัตม์ยังยืนกรานว่าห้ามคนแปลกหน้ากอด

“เอาละ ได้เวลาคุยกันแล้ว พี่อยากรู้เรื่องลูกพลับ” เขาตรงไปตรงมา ส่วนเธอก็ไม่อ้อมค้อม

“ฉันรู้ตัวว่าท้องตอนไปอเมริกาได้สามเดือน แล้วก็เลี้ยงลูกพลับที่นั่น ช่วงที่บินกลับมาต่อวีซา ก็มีเพื่อนสนิทคอยดูแลลูกพลับให้ ลูกพลับกำลังจะเข้าเกรดหนึ่ง แต่ฉันอยากให้ลูกโตในเมืองไทยเลยพาเขากลับมา คงให้เขาเรียนโรงเรียนนานาชาติเพราะลูกพลับเขียนภาษาอังกฤษคล่องกว่าภาษาไทย”

คำอธิบายของมาหยารัศมีครอบคลุมทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องที่มหาภาพอยากรู้

“คำถามของพี่คือ ทำไมลูกหยีไม่บอกว่าท้องลูกของพี่”

ไม่ต้องพึ่งผลตรวจทางวิทยาศาสตร์ก็รู้ว่าเด็กตรงหน้าเป็นบุตรของเขา ไม่ใช่เพราะหน้าตาที่มีส่วนผสมระหว่างเขากับมาหยารัศมี แต่เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีให้ใคร ยกเว้นพลลภัตม์เด็กชายเหมือนของสำคัญที่เขาไม่รู้ว่าทำหาย จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า จิตวิญญาณบอกว่า เด็กคนนี้เป็นส่วนหนึ่งของเขา

“ฉันไม่บอก เพราะไม่อยากให้เรื่องยุ่งยากค่ะ รอให้ลูกพลับรู้ความก่อนค่อยบอกแกดีกว่า”

“ลูกหยีเลยเลือกปิดบังพี่”

เธอไม่รู้เลยเชียวหรือ ว่าการขัดขวางไม่ให้ผู้ชายคนหนึ่งรู้ว่าตนมีผู้สืบทอดสายเลือดอยู่บนโลก แต่ห่างเหินจากเขาไปครึ่งโลกเป็นเรื่องไม่สมควร

“ฉันไม่ได้ปิดบังค่ะ แค่ไม่ได้บอก”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น