2
กินริน
จิรสินไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลตั้งแต่เช้าเหมือนเช่นทุกวัน โดยตั้งใจว่าวันนี้จะบอกแม่เรื่องที่เขาต้องการพาแม่ออกจากบ้านหลังนั้นมาอยู่ด้วยกัน หลังจากที่ติดต่อซื้อห้องชุดพร้อมอยู่ซึ่งอยู่ระหว่างรอทำสัญญา
ชายหนุ่มเดินออกจากลิฟต์มาถึงหน้าห้องคนไข้ ผลักประตูเข้าไปโดยไม่คิดว่าจะได้พบกับใครอื่นนอกจากแม่
“แม่ครับ” ขายาวๆ ที่เพิ่งก้าวพ้นประตูต้องชะงัก เมื่อมองเห็นว่ามีใครอีกคนอยู่กับแม่ซึ่งไม่ใช่พยาบาล
หญิงสาวรูปร่างอรชรในชุดเสื้อสีขาวแขนกุดและกางเกงยีนทรงสกินนีแบบพอดีตัวนั่งอยู่บนเตียงคนไข้และกำลังป้อนข้าวให้แม่ของเขาด้วยท่าทีเอาใจใส่ นั่นทำให้คนเป็นลูกชายถึงกับขมวดคิ้ว โดยที่ยังเห็นหน้าไม่ถนัดนักว่าสาวคนนั้นเป็นใคร เพราะมองเห็นเพียงแค่เสี้ยวหน้าด้านข้างเท่านั้น
“สิน...เข้ามาสิลูก” ผู้เป็นแม่เอ่ยปากเรียกเมื่อเห็นว่าลูกชายยังยืนนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น
ฝ่ายหญิงสาวที่เพิ่งเห็นใบหน้าของเขาชัดๆ ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจที่ได้พบกันอีกครั้งในวันนี้
“ครับ” จิรสินรับคำทั้งที่สมองยังมึนงง หลังจากเห็นใบหน้าสวยหวานอย่างเต็มตาแล้ว แม้วันนี้หล่อนจะแต่งหน้าบางๆ แต่เขาก็จำได้ในทันทีว่าเป็นใคร ทั้งที่เคยเห็นหน้าเพียงแค่ครั้งเดียว แต่กลับจำได้ไม่ลืมมาจนวันนี้
สัปดาห์ที่แล้วเขาพบกับพริตตีสาวสวยคนหนึ่งในงานมอเตอร์โชว์ แล้วหล่อนก็ทำให้เขาต้องทำสัญญาจองรถได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ไม่น่าเชื่อว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีก วันนี้ใบหน้าของหญิงสาวดูสวยสดใสตามธรรมชาติและดูเด็กลงจากวันแรกที่พบกัน
“คุณจิรสิน...” คนป้อนข้าววางช้อนลงทันทีที่เขาเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่หน้าเตียง
หล่อนจำชื่อเขาได้ เพราะเขาเพิ่งจองรถเบนซ์สปอร์ตเปิดประทุนรุ่นล่าสุดจากการแนะนำของหล่อนในงาน เขาเป็นลูกชายของป้าพรอย่างนั้นหรือ
“รู้จักกันแล้วเหรอลูก”
จรัสพร แม่ของจิรสินถาม พร้อมกับมองหน้าสองหนุ่มสาวแบบงงๆ เพราะเข้าใจว่าทั้งคู่คงไม่เคยพบกันมาก่อน
“ยังหรอกครับ แค่เคยเห็นหน้ากันหนเดียว” จิรสินตอบด้วยสีหน้าที่ยังไม่หายประหลาดใจ
“เจอกันแล้ว?” คนป่วยยังสงสัย “เล่าให้ป้าฟังหน่อยสิกระเต็น”
กระเต็น! นั่นคือชื่อของพริตตีสาวสวยคนที่เขาลืมไม่ลงมาร่วมสัปดาห์แล้ว
“กระเต็นเจอคุณจิรสินในงานมอเตอร์โชว์ค่ะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร แล้วคุณจิรสินก็ตัดสินใจซื้อรถที่กระเต็นแนะนำให้ด้วยค่ะ”
“อ้อ...แบบนี้นี่เอง ไม่น่าเชื่อเลยว่าโลกจะกลมขนาดนี้”
“แม่ทานข้าวต่อเถอะครับ เดี๋ยวจะเย็นหมด” จิรสินตัดบทแม้จะอยากรู้ว่าแม่สาวพริตตีคนนี้เป็นใคร และเกี่ยวข้องกับแม่ของเขาอย่างไรกันแน่ถึงได้มานั่งป้อนข้าวป้อนน้ำกันอย่างสนิทสนมแบบนี้
‘อย่าบอกนะว่าหล่อนเป็นพวกญานันทร!’ ความคิดที่ผุดวาบทำให้ชายหนุ่มถึงกับหน้าเครียด
เป็นไปไม่ได้แน่...คนบ้านนั้นไม่เคยสนใจไยดีแม่ แถมยังรังเกียจด้วยซ้ำกับความผิดพลาดในชีวิตเพียงแค่หนเดียวที่แม่หนีไปอยู่กับผู้ชายจนๆ และไร้สกุลรุนชาติอย่างพ่อบังเกิดเกล้าของเขา
“ให้แม่แนะนำก่อนดีกว่าไหม” จรัสพรถามลูกชายโดยไม่รอเอาคำตอบ เบนสายตามาที่คนป้อนข้าวทันที “จิรสินเป็นลูกชายของป้า ที่เคยเล่าให้หนูฟังนั่นแหละ”
“สวัสดีค่ะ คุณจิรสิน” หญิงสาวยกมือไหว้เขาก่อนตามมารยาท และเขาก็รีบรับไหว้เช่นกัน
“ทำไมเรียกคุณล่ะ เราเป็นญาติพี่น้องกัน เรียกพี่สินสิจ๊ะ”
“ค่ะ พี่สิน” หญิงสาวรับคำ ที่ผ่านมาป้าพรมักจะเอ่ยถึงลูกชายที่อยู่ฝรั่งเศสโดยเรียกชื่อเล่นว่าสิน ไม่เคยเอ่ยชื่อจริงให้ได้ยิน แล้วที่หล่อนสงสัยตั้งแต่อยู่ในงานว่าทำไมเขาถึงพูดไทยสำเนียงแปร่งๆ หูคล้ายกับพวกลูกครึ่ง คงเป็นเพราะเขาไปอยู่เมืองนอกมานานถึงยี่สิบเอ็ดปีนี่เอง ที่สำคัญวันนั้นหลังจากจิรสินเดินออกไปแล้ว สาวๆ หลายคนต่างพูดกันถึงเขาอยู่อีกนาน เพราะรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาและบุคลิกเข้มขรึมดึงดูดสายตาหญิงสาวแทบทุกคน
ไม่เท่านั้น...เขายังตัดสินใจซื้อรถเบนซ์ เอสแอลเค-คลาส รุ่นล่าสุดโดยระบุว่าจะชำระเป็นเงินสด นั่นหมายความว่าเขาต้องมีฐานะทางการเงินดี แต่ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเป็นลูกชายของป้าพร
“สิน...กระเต็นเป็นลูกสาวของน้าทัดเทพ หลานสาวของตาธารินทร์ไงจ๊ะ”
จิรสินได้ยินแล้วนิ่งไป หล่อนเป็นพวกญานันทรอย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วย เขาจำน้าทัดเทพแทบไม่ได้แล้ว แต่จำตาธารินทร์ได้ดี ซึ่งตาธารินทร์เป็นน้องชายของตาธวัชซึ่งเป็นคุณตาแท้ๆ ของเขา และทั้งคู่ไม่พอใจที่แม่ตัดสินใจหนีออกจากบ้านไปแต่งงานอยู่กับพ่อเงียบๆ จนกระทั่งให้กำเนิดลูกชายขึ้นมา
ใบหน้าคมสันดูเครียดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ จนหญิงสาวต้องหลบตาแล้วหันกลับไปสนใจคนป่วยตามเดิม กินรินรีบหยิบช้อนป้อนข้าวคนป่วยก่อนอาหารจะเย็นชืด
“กระเต็นทำอาหารเช้ามาให้แม่ อร่อยมากๆ เลยละสิน” จรัสพรบอกลูกชายในระหว่างที่หลานสาวป้อนข้าวให้
“งั้นหรือครับ”
“ป้ากำลังเบื่ออาหารโรงพยาบาลอยู่พอดี วันนี้กระเต็นก็มา”
จิรสินเดินไปนั่งที่โซฟาสีขาวไม่ห่างจากเตียงคนไข้มากนัก แล้วเหลือบมองร่างสูงเพรียวกลมกลึงที่สวมกางเกงยีนรัดรูปได้อย่างสวยงาม ยืนอยู่ข้างๆ เตียงคอยป้อนข้าวให้แม่ของเขาด้วยท่าทีอ่อนโยน ซึ่งผิดไปจากคนอื่นๆ ในบ้านนั้นอย่างแทบไม่น่าเชื่อ
“กระเต็นไม่ได้ทำเองทั้งหมดหรอกค่ะ แม่ช่วยทำก็เลยอร่อยขนาดนี้”
“ฝากขอบคุณแม่พิมพาของหนูด้วยนะ อ้อ...ลืมบอกสินว่ากระเต็นมีอีกชื่อเป็นนกเหมือนกัน แต่เป็นนกในป่าหิมพานต์”
ชายหนุ่มได้ยินแม่เล่าไปยิ้มไปแล้วขมวดคิ้วทันที เขาแทบไม่รู้จักเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองไทย โดยเฉพาะเรื่องป่าหิมพานต์นั้นแทบไม่เคยได้ยินเลยก็ว่าได้ “นกอะไรครับ”
“กินรินจ้ะ”
“ผมไม่รู้จัก แต่ชื่อเพราะดีครับ” เขาตอบไปตามตรง “แล้วกระเต็นนี่คือชื่อนกหรือครับ”
หญิงต่างวัยสบตากันแล้วอมยิ้มขำหนุ่มไทยที่ไปโตเมืองนอกจนแทบไม่รู้จักอะไรเลยในตอนนี้
“ป้าอิ่มแล้วละ ขอบใจนะลูก” จรัสพรบอกกับหลานสาวที่เอื้อเฟื้อมีน้ำใจให้มาโดยตลอด ต่างจากญาติคนอื่นๆ ที่รวมหัวกันรังเกียจเดียดฉันท์นาง ไม่เว้นแม้แต่พี่สาวและน้องสาวแท้ๆ ซึ่งไม่เคยเหลียวแล ยังไม่นับรวมไปถึงหลานๆ ที่แทบไม่เคยเห็นหัว เพราะถูกกรอกหูจากผู้ใหญ่มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย จรัสพรจึงอยู่ในบ้านญานันทรอย่างโดดเดี่ยวมาตลอดยี่สิบกว่าปีราวกับคนอาศัย
“นกกระเต็นเป็นนกตัวเล็กๆ ค่ะ มีหลายสี”
เจ้าของนาม ‘กินริน’ ตอบเสียเอง เพราะดูเหมือนว่าเขายังมองมาอย่างต้องการคำตอบจากใครสักคน
“ภาษาอังกฤษว่ายังไง”
“คิงฟิชเชอร์”
เขาพยักหน้ารับรู้ทันทีอย่างคนที่คล่องภาษาต่างประเทศมากกว่าภาษาไทย แต่สำหรับกินริน นกในป่าหิมพานต์ไม่น่าจะมีชื่อในภาษาอังกฤษแน่ๆ
“กระเต็นหารูปให้พี่สินดูหน่อยสิว่ากินรินหรือกินรี หน้าตาเป็นยังไง”
“เอ่อ...ค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ บอกตัวอักษรไทยให้ผมก็พอ โทรศัพท์ของผมใช้ภาษาไทยได้”
“เซิร์ชหาคำว่ากินรีน่าจะง่ายกว่าค่ะ”
“กินรินกับกินรีความหมายเดียวกันหรือครับ” คนฟังอดสงสัยไม่ได้ แล้วตอนนี้ก็เริ่มอยากรู้ว่ากินรินนั้นมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร
“ใช่ค่ะ”
เมื่อหญิงสาวสะกดคำให้ เขาจึงกดค้นหาตามตัวอักษรภาษาไทยง่ายๆ ไม่กี่ตัวที่ยังพอจำได้อยู่บ้าง แต่ถ้ายากกว่านี้ก็คงจนปัญญา เพราะทุกวันนี้จิรสินอ่านภาษาไทยแทบไม่ออก
ภาพที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์เป็นภาพวาดหญิงสาวแสนสวย หรือนางในวรรณคดีนั่นเอง หล่อนเปลือยอกโดยสวมเพียงเครื่องประดับชิ้นใหญ่ที่คอ ซึ่งปกปิดเนินอกช่วงบนไว้เท่านั้น ส่วนหน้าอกงดงามกลับเปลือยเปล่า และมีปีกแสนสวยสองข้างอยู่บนหลัง สรุปว่ากินรี หรือกินรินไม่ใช่นก แต่ดูเหมือนนางฟ้าเสียมากกว่าในความรู้สึกของจิรสิน
แต่ใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราของกินรินในภาพวาดทำให้เขาต้องเหลือบตาขึ้นมามองกินรินตัวเป็นๆ ที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างช่วยไม่ได้ เพราะมีบางส่วนที่ละม้ายคล้ายคลึงกัน ถ้าหญิงสาวสวมชุดนางกินรีก็แทบไม่ต่างจากในภาพวาดเลยก็ว่าได้
จิรสินรีบปิดโทรศัพท์แล้วหยุดความคิดตัวเองทันที ก่อนที่จะจินตนาการเลยเถิดไปไกลกว่านี้ แต่กลับนึกอยากรู้ขึ้นมาว่า ใครกันที่ช่างตั้งชื่อแสนเซ็กซี่นี้ให้หล่อน เพราะในความรู้สึกของชายหนุ่มอย่างเขา กินรินเป็นนางฟ้าที่มีภาพลักษณ์อันแสนวาบหวิวเหลือเกิน
‘หรือว่า...เราจะคิดเยอะไปเองก็ไม่รู้!’
สุดท้ายจิรสินต้องระงับความคิดที่เริ่มฟุ้งของตัวเองอีกครั้ง น่าแปลกที่เจอกันครั้งไหน แม่สาวพริตตีกินรินก็ทำให้เขาสับสนฟุ้งซ่านได้ทุกทีไป
“พี่สินมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นกระเต็นขอตัวกลับก่อนนะคะป้าพร” กินรินบอกกับคนป่วยแล้วทยอยเก็บปิ่นโตบนโต๊ะเพื่อนำกลับไปด้วย
“มาได้แป๊บเดียวเองจะรีบไปแล้วหรือ หรือว่ามีธุระที่ไหน” จรัสพรรีบท้วงเพราะยังไม่อยากให้หลานสาวกลับ
“ไม่มีหรอกค่ะ ช่วงนี้กระเต็นว่างถึงได้มาเยี่ยมป้าพรไงคะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็อยู่คุยเป็นเพื่อนพี่สินก่อนสิจ๊ะ ปกติก็แทบไม่มีโอกาสได้เจอกันเลย”
“อืม...ก็ได้ค่ะ”
จิรสินได้ยินเสียงหวานๆ รับคำอย่างว่าง่ายทั้งที่อาจไม่เต็มใจอยู่ต่อแล้วก็ได้ เพราะแม่นกกระเต็นดูเป็นคนระแวดระวังตัวอยู่พอสมควร แม้ตอนที่อยู่ในงานมอเตอร์โชว์หล่อนจะยิ้มให้เขาแทบตลอดเวลา แต่ตอนนี้เขากลับไม่เห็นรอยยิ้มนั้นอีกเลย
“เวลาแม่ป่วยก็ได้กระเต็นนี่แหละที่แวะมาเยี่ยมอยู่บ่อยๆ” จรัสพรบอกกับลูกชายเพื่อหวังว่าเขาจะรู้สึกดีขึ้นบ้างกับคนในบ้านญานันทร
แต่เขากลับทำหน้านิ่งๆ เหมือนไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องที่เพิ่งได้ยิน ความรู้สึกที่ฝังอยู่ในใจเด็กชายตัวเล็กๆ คนนั้นคงยากที่จะลบเลือนไปได้เพียงแค่การกระทำของใครบางคน หรือคำพูดสวยหรูเพียงไม่กี่คำ
หลังจากที่พ่อเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุในตอนที่เขาอายุเพียงห้าขวบ จิรสินได้เข้ามาอยู่ในบ้านญานันทรพร้อมกับแม่ที่ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร จำใจต้องกลับมาที่บ้านและขอความเห็นใจจากตาธวัชและทุกๆ คนในครอบครัว เพราะเคยหนีออกจากบ้านไปโดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากใคร ตอนนั้นคุณยายยังมีชีวิตอยู่และเป็นเพียงคนเดียวที่สงสารแม่ จึงขอร้องให้ตาธวัชยอมรับแม่กลับมาอยู่ที่บ้าน
นับจากนั้นชีวิตของจิรสินก็เต็มไปด้วยความมืดมน เพราะเขากับแม่ต้องอยู่แบบคนอาศัย จากคำสั่งของตาธวัชที่สั่งใครต่อใครในบ้านให้ลงโทษลูกสาวคนกลางที่ไม่เชื่อฟังและหนีออกจากบ้านไปแต่งงานกับผู้ชายจนๆ จนสุดท้ายก็ต้องซมซานกลับมาตายรัง โดยไม่มีทรัพย์สินใดๆ ติดตัวมาเลย
เรื่องนี้ลามไปถึงครอบครัวของตาธารินทร์ที่อยู่บ้านอีกหลังภายในรั้วเดียวกันที่ต่างพากันรังเกียจสองแม่ลูก โดยเฉพาะเด็กที่มีเชื้อแขกอาหรับผสมอย่างจิรสิน
ในบรรดารุ่นหลาน จิรสินถือว่าอายุมากที่สุด แต่เขากลับถูกทั้งหลานชายและหลานสาวของตาธวัชทั้งสองคนเรียกจิกหัวว่า ไอ้ลูกแขก ไอ้เด็กข้างถนน หรือไอ้ลูกไม่มีพ่อ และถูกเรียกว่า ไอ้สิน แม้แต่คนรับใช้ก็ไม่เว้น เพราะตาธวัชและพี่น้องของแม่ต่างสนับสนุนให้ทุกคนเรียกอย่างนั้นด้วยความเกลียดชัง
สิ่งที่จิรสินจำได้ติดหูติดตาอีกอย่างก็คือ น้ำตาของแม่ที่แทบไม่เคยเหือดแห้ง แม้พ่อจะตายไปหลายปีแล้ว
หลังจากทนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่แสนโหดร้ายเป็นเวลาถึงแปดปีเต็ม สุดท้ายเด็กชายอายุเพียงสิบสามปีก็ต้องหนีออกจากบ้านไปทั้งที่แม่ก็เริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก เพราะถูกบีบมาทั้งชีวิต และครั้งหลังสุดเขาถูกป้าอำไพซึ่งเป็นคนควบคุมเรื่องการเงินภายในบ้านบังคับให้ออกจากโรงเรียนมาทำงานบ้านแทนคนรับใช้ที่เพิ่งลาออกไปหนึ่งคน
ความทรงจำเกี่ยวกับบ้านญานันทรสำหรับจิรสินจึงแทบไม่มีอะไรให้จดจำนอกจากความโหดร้ายและความคับแค้นใจ ที่แม้จะพยายามลืมแล้ว แต่กลับไม่เคยทำสำเร็จตามที่แม่ขอร้องสักครั้ง
“พี่สินมาถึงกรุงเทพฯ ตั้งแต่เมื่อไรคะ” กินรินถามหลังจากเดินเข้ามาหาคนที่นั่งอยู่บนโซฟาสีขาวตัวใหญ่แบบเข้ามุมเป็นรูปตัวแอล
“วันที่ผมไปพาแม่มาเข้าโรงพยาบาล” เขาตอบสั้นๆ และไม่ยอมแทนตัวเองว่าพี่ เพราะยังไม่พร้อมจะนับญาติกับใครในตอนนี้ ตั้งแต่รับรู้ว่าสาวสวยที่ถูกตาต้องใจกลับกลายเป็นพวกญานันทรที่มักจะยกเลือดผู้ดีเต็มตัวของตนเองเพื่อข่มคนอื่นให้ต่ำกว่า เขาก็แทบหมดความรู้สึกชื่นชมหรือตื่นเต้นยินดี
สำหรับจิรสินแล้ว ญานันทรคือเครื่องหมายกากบาทในอารมณ์สำหรับเขา
“ป้าพรป่วยมานานแล้วค่ะ โชคดีนะคะที่พี่สินพามารักษาตัวในโรงพยาบาลดีๆ แบบนี้ อีกไม่นานก็คงหายดี”
จิรสินมองร่างเพรียวบางในกางเกงยีนที่รัดรึงทุกสัดส่วนอย่างไม่คิดจะเกรงใจอีกต่อไป ในเมื่อหล่อนเป็นญานันทรก็ไม่จำเป็นต้องได้รับเกียรติใดๆ จากเขา เพราะเขาก็ไม่เคยได้รับจากคนพวกนั้นเช่นกัน และดูเหมือนว่าหล่อนจะรู้สึกได้จากสายตาที่มองสำรวจอย่างจาบจ้วงของเขาจึงแสดงอาการประหม่าออกมาให้เห็น ซึ่งทำให้ชายหนุ่มต้องกระตุกยิ้มแบบเหยียดๆ
ตอนเป็นพริตตีนุ่งกระโปรงสั้นๆ โชว์ขาอ่อนอยู่ตามงาน ไม่เห็นทำท่าเก้อเขินเลยสักนิด ทั้งที่มีผู้ชายเดินเข้าไปหาแทบไม่ซ้ำหน้า แถมบางคนก็มองจนแทบจะทะลุเสื้อผ้าเข้าไปถ้าทำได้ แต่ทำไมตอนนี้กลับมาทำท่าประดักประเดิดเหมือนไม่เคยถูกใครมองมาก่อน
“แต่คนที่นั่นก็ไม่มีใครคิดจะพาผู้หญิงแก่และป่วยไปหาหมอ”
“พี่สินโกรธหรือคะ” หญิงสาวตัดสินใจถามออกไป เพราะดูจากสีหน้าของเขาในตอนนี้ก็พอเดาได้ ก่อนจะเดินไปนั่งโดยทิ้งระยะห่างจากชายหนุ่มพอสมควร
“ผมไม่ได้โกรธคุณ” เขาตอบเหมือนพยายามจะบอกตัวเองว่า แม่สาวน้อยคนนี้ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ตอนนั้นหล่อนอาจจะเพิ่งเกิดเพราะเรื่องมันก็ผ่านมายี่สิบเอ็ดปีแล้ว
กินรินพยักหน้ารับคำ แม้จะไม่รู้เรื่องความหลังครั้งเก่าใดๆ แต่หล่อนก็รู้มาตลอดว่าทุกคนในบ้านญานันทรปฏิบัติต่อป้าพรไม่เหมือนญาติพี่น้องคนอื่นๆ แม้แต่ที่พักก็ยังต้องอยู่ด้านหลังใกล้กับเรือนคนรับใช้ ซึ่งตอนนี้มีเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ไม่คึกคักเหมือนในอดีต
“ขอบคุณที่อุตส่าห์มีน้ำใจทำอาหารเช้ามาให้แม่”
“กระเต็นเป็นห่วงป้าพรนะคะ แล้วทุกคนก็คงเป็นห่วงเหมือนกัน”
“งั้นเหรอ” จิรสินทำหน้าเหมือนได้ยินเรื่องเหลือเชื่อ
“เอ่อ...ถ้าป้าพรหายดีแล้วกลับบ้านไปคราวนี้ กระเต็นจะคุยกับคุณปู่ธวัชเรื่องป้าพรให้นะคะ” กินรินรีบขันอาสาเพราะไม่อยากให้เขารู้สึกแย่กับคนในบ้านมากไปกว่านี้ และสงสารคนป่วยอย่างป้าพรอีกด้วย
“คุยเรื่องอะไร”
“ก็คุยทุกเรื่อง อย่างเช่น...ย้ายป้าพรขึ้นมาอยู่บนเรือนใหญ่”
“ขอบใจ แต่ไม่ต้อง” เขาตัดบทสั้นๆ
“ทำไมล่ะคะพี่สิน” คนนำเสนอถึงกับหน้าเสีย
“ผมจะพาแม่ไปอยู่ที่อื่น”
“พี่สิน...” หญิงสาวถึงกับพูดไม่ออกในการตัดสินใจของเขา
แค่นี้ก็รู้แล้วว่าชายหนุ่มไม่พอใจมากเพียงใดที่คนในครอบครัวแทบไม่เคยเหลียวแลแม่ของเขา
“สิน...จะพาแม่ไปอยู่ไหน” คนป่วยฟังสองหนุ่มสาวคุยกันอยู่นานแล้วรีบถามขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินแผนการของลูกชาย
“ผมกำลังจะซื้อคอนโด อยากให้แม่ไปอยู่ด้วยกัน” ชายหนุ่มตอบแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ข้างเตียง เพราะรู้ว่าแม่อาจคัดค้าน
“สิน...แม่อยู่ที่บ้านนั้นมานานแล้วนะ แม่อยู่ได้”
“แม่อยู่จนชินต่างหาก จนรู้สึกว่าไม่ต้องทนกับอะไรหรือใครอีกแล้ว”
“ไม่ใช่เลยลูก แม่อยู่ที่นั่นได้เพราะทุกคนคือพี่น้องของแม่”
“เอาไว้คุยกันทีหลังนะครับ แม่พักผ่อนก่อนดีกว่า ผมไม่อยากให้แม่คิดอะไรตอนนี้”
กินรินได้ยินการสนทนาของสองคนแม่ลูกจึงลุกขึ้นจากโซฟา เดินตรงไปที่เตียงเพื่อบอกลาคนป่วยก่อนกลับ
“กระเต็นกลับก่อนนะคะป้าพร แล้วพรุ่งนี้จะมาเยี่ยมใหม่ค่ะ” หญิงสาวเอ่ยลาพร้อมกับยกมือไหว้
“จ้ะ ขอบใจมากนะจ๊ะ ฝากบอกแม่ด้วยว่ากับข้าวอร่อยมาก”
“กลับก่อนนะคะพี่สิน” หล่อนหันมายกมือไหว้เพื่ออำลาเช่นกัน
“สิน เดินไปส่งน้องหน่อยสิ”
“เชิญครับ”
เขาผายมือให้หล่อนเดินนำออกจากห้องไปก่อน แต่กินรินเดินไปหยิบกระเป๋ากับถุงผ้าใส่ปิ่นโตและกระติกน้ำซุป จิรสินจึงต้องยื่นมือออกไปรับเพื่อช่วยถือตามมารยาท ก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมๆ กัน
“ส่งแค่นี้ก็ได้ค่ะ” หญิงสาวบอกเขาตรงหน้าลิฟต์
“ไม่เป็นไร จะเดินไปส่งที่รถ”
“ขอบคุณค่ะ” กินรินตอบด้วยความอึดอัด เขาดูไม่ค่อยเป็นมิตรกับหล่อนมากนัก และนั่นคงรวมไปถึงทุกคนในบ้านญานันทรด้วย
เมื่ออยู่ในลิฟต์ด้วยกันตามลำพัง จิรสินเห็นว่าหญิงสาวก้มหน้าลงเหมือนไม่อยากสบตากับเขาซึ่งยืนอยู่ตรงข้าม เขาจึงใช้เวลาที่มีอยู่เพียงน้อยนิดมองสำรวจใบหน้าสวยอ่อนหวานและเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนเป็นลอนสวยที่ถูกรวบไว้แบบง่ายๆ ด้วยกิ๊บตัวใหญ่ เปิดใบหน้าเรียวรูปไข่ชวนมอง
ไม่เท่านั้นยังมองเลยลงมาที่ลำคอเรียวเสลา จนกระทั่งมาถึงเนินอกอิ่มที่มีเสื้อสีขาวเนื้อบางปกปิดอยู่ แขนเปลือยกลมกลึงทั้งสองข้างนวลเนียนละเอียดน่าสัมผัส ทำให้คิดไปถึงภาพวาดนางกินรีเปลือยอกที่เพิ่งเปิดดูเมื่อครู่นี้
จิรสินต้องรีบสกัดความคิดของตนเอง ขณะที่อีกเสียงหนึ่งก็บอกข้างหูว่าอยากจะคิดอะไรก็คิดไป ไม่เห็นต้องแคร์ หล่อนก็เป็นพวกญานันทรที่ชอบดูถูกคนอื่น แล้วถ้าจะโดนใครสักคนดูถูกบ้างจะเป็นไรไป
‘ทำไมนายไม่ทำอะไรสักอย่างให้พวกนั้นรู้สำนึกบ้างล่ะ!’
ความคิดนี้ทำให้จิรสินต้องสูดลมหายใจลึกเพื่อระงับอารมณ์และความคิดที่ผุดขึ้นมา เขาไม่รู้สึกแปลกใจกับความคิดของตนเองที่ถูกฝังอยู่ในใจมานาน ทุกวันนี้พวกญานันทรก็ไม่เคยให้อภัยและคิดจะญาติดีกับแม่ของเขาซึ่งมีสายเลือดเดียวกัน
“ทำไมลูกผู้ดีอย่างคุณต้องไปเป็นพริตตีอยู่ตามงานโชว์” เขาโพล่งออกไปแบบไม่เกรงใจว่าคนฟังจะรู้สึกอย่างไร แม้จะรู้จากแม่มาสักระยะหนึ่งแล้วว่า ปัจจุบันบ้านญานันทรไม่สมบูรณ์พูนสุขและร่ำรวยเหมือนในอดีต เพราะต่างคนต่างใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย แทบไม่มีใครหาเงินเข้าบ้าน เขาคิดว่าแม่หมายถึงเฉพาะครอบครัวของตาธวัชเท่านั้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทางบ้านตาธารินทร์ก็อาจจะย่ำแย่ด้วยเช่นกัน
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาทันที แต่เหมือนยังนึกคำตอบไม่ได้ “กระเต็นเห็นเพื่อนทำแล้วรายได้ดี ก็เลยลองสมัครทำดูบ้าง”
“ตาธารินทร์ไม่ว่าเอาหรือไง”
“ว่าทำไมคะ”
“ก็หลานสาวไปยืนโชว์อยู่ตามงานรถยนต์ แล้วในงานก็มีแต่เสือสิงห์ทั้งนั้น”
กินรินถึงกับอึ้ง พูดไม่ออก นี่เขามองว่างานพริตตีล่อแหลมและไม่เหมาะที่ผู้หญิงควรจะทำใช่ไหม
ประตูลิฟต์เปิดออก การสนทนาจึงต้องหยุดลงเพียงเท่านั้น จิรสินเดินไปส่งหญิงสาวจนถึงที่จอดรถจึงเห็นว่าหล่อนขับรถเบนซ์เก่าๆ คันหนึ่งซึ่งไม่น่าใช่รถของหล่อนอย่างแน่นอน
“คุณยังไม่ได้ตอบเลยว่าตาธารินทร์ไม่ว่าเอารึไง แล้วตาธวัชด้วยอีกคน ถือยศถือศักดิ์กันขนาดนั้น”
“เอ่อ...” กินรินยิ่งรู้สึกอึดอัดเพราะเหมือนกำลังโดนคาดคั้นให้ตอบ
“ว่าไงครับ”
“คุณปู่ทั้งสองคนไม่รู้หรอกค่ะว่ากระเต็นไปทำงานอะไร”
“อ้อ...ถ้ารู้ก็อาจจะโวย เพราะงานแบบนี้คงไม่เหมาะกับผู้ดีสักเท่าไร”
“พี่สินคะ กระเต็นทำงานสุจริตนะคะ”
“ผมรู้...แล้วถ้าผมมีงานอื่นให้คุณทำล่ะ รายได้ดีกว่าเป็นพริตตีสนใจไหม”
“งานอะไรคะ” กินรินเริ่มมองเขาแบบไม่ไว้ใจ แม้จะเป็นญาติกัน แต่เขากับหล่อนไม่เคยรู้จักกันมาก่อนจึงเดาไม่ได้ว่าเขาเป็นคนอย่างไรกันแน่
“เป็นเลขาฯ ส่วนตัวของผม จะเรียกเงินเดือนเท่าไรก็ได้ ผมยินดีจ่าย” เขาบอกอย่างใจป้ำ
ทว่าคนที่ได้รับข้อเสนอกลับรู้สึกกลัวขึ้นมาเสียเฉยๆ แม้จะอยากได้เงิน แต่คนอย่างกินรินก็มีสมองมากพอจะฉุกคิดได้ว่ามีอะไรบางอย่างแอบแฝงหรือไม่ในข้อเสนอนั้น
“พี่สินทำงานอะไรคะ”
“ผมกำลังจะเข้าไปเป็นผู้บริหารโรงแรมบางกอกพาราไดซ์ปาร์ก เลยอยากได้เลขาฯ สักคน”
“เอ่อ...กระเต็นไม่เคยเป็นเลขาฯ มาก่อนนะคะ”
“คุณเรียนจบอะไรมา”
“นิเทศศาสตร์ค่ะ”
“บอกเป็นภาษาอังกฤษได้ไหม ผมเรียนที่เมืองไทยแค่ชั้นมอหนึ่ง ตอนนี้จำอะไรแทบไม่ได้แล้ว”
“คอมมิวนิเคชันอาร์ตค่ะ”
“เรียนจบด้านนี้ก็ใช้ได้ ผมต้องเริ่มงานเดือนหน้านี้แล้ว”
“กระเต็นขอคิดดูก่อนได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ นี่นามบัตรผม”
“ถ้าอย่างนั้นกระเต็นขอตัวนะคะ” หญิงสาวเอ่ยลาหลังจากรับนามบัตรไป แล้วรีบเปิดประตูขึ้นไปสตาร์ตรถทันที
จิรสินมองตามรถยนต์ที่ค่อยๆ เคลื่อนออกไปจากลานจอดรถชั้นล่างสุดด้วยสายตาครุ่นคิด เขายังไม่รู้ว่าตนเองยื่นข้อเสนอซึ่งเป็นความคิดที่เพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อตอนอยู่ในลิฟต์ออกไปเพื่ออะไร
ความคิดเห็น |
---|