3

ขวัญใจบ้านญานันทร


 

3

ขวัญใจบ้านญานันทร

 

จิรสินกลับขึ้นมาที่ห้อง พบว่าแม่นั่งคอยอยู่ด้วยสายตาเป็นกังวลก็พอเดาได้ว่าเป็นเรื่องใด

“ทำไมแม่ไม่นอนพักผ่อนล่ะครับ”

“แม่นอนมาทั้งคืนแล้วนะ แล้วช่วงนี้ก็หลับสนิทกว่าปกติ”

“ก็ดีแล้วครับ ผมไม่อยากให้แม่กังวล” เขาเดินเข้ามาจับมือผู้เป็นแม่ด้วยท่าทีอ่อนโยน เพราะรู้ว่านอกจากตนเองแล้ว แม่คงแทบไม่เคยได้รับจากใคร

“แต่เมื่อกี้แม่ได้ยินสินพูดกับกระเต็นเหมือนไม่ค่อยพอใจ อย่าไปแสดงออกกับน้องอย่างนั้นเลยนะลูก น้องเป็นคนดีและคอยช่วยเหลือแม่เท่าที่จะทำได้ ก็อย่างที่สินเห็นวันนี้นั่นแหละ”

“ครับ” แม้รับปาก แต่ในใจลึกๆ ยังต่อต้านอยู่

“ทุกวันนี้อะไรๆ มันก็ไม่เหมือนเดิมแล้วนะลูก พวกเขาก็ต้องอยู่กันแบบกระเบียดกระเสียร ไม่ได้หรูหราเฟื่องฟูเหมือนยุคก่อน ยิ่งช่วงห้าปีหลังมานี้ยิ่งแย่”

“ทั้งสองบ้านเลยหรือครับ”

“ใช่แล้วลูก เมื่อสามปีก่อนก็เอาบ้านไปจำนองกันหมดทั้งสองหลัง ป้าอำไพไปทำเรื่องจำนองก่อน ไม่นานทางบ้านตาธารินทร์ก็เอาด้วย”

“เอาบ้านไปจำนองแล้วเอาเงินออกมาทำอะไรกันครับ” เขาถามด้วยความสงสัย

“ได้ยินว่าทัดเทพเอาเงินไปลงทุนอะไรสักอย่าง แต่ทางพี่อำไพคงเอามาใช้จ่ายกันนี่แหละ ไม่ได้ไปลงทุนทำอะไรหรอก ใช้ไม่นานมันก็หมดแต่หนี้ยังอยู่”

“ช่วงนี้กำลังเดือดร้อนกันหนักเลยสิครับ หลานสาวตาธารินทร์ถึงได้ต้องออกไปทำงานเป็นพริตตียืนโชว์อยู่ตามงาน”

“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น นี่แม่ก็สงสารกระเต็นเหลือเกิน เด็กคนนี้มีความอดทนมากกว่าคนอื่นๆ ในบ้าน ไม่หยิบโหย่งแถมยังเป็นคนมีความคิดดีอีกด้วย”

จิรสินได้ยินแม่ของตนเองชื่นชมเด็กสาวคนนั้นแล้วต้องสูดลมหายใจเข้าลึก เขาไม่อยากรู้ว่าคนในบ้านหลังนั้นจะเป็นอย่างไร เพราะไม่เคยคิดนับญาติกับใครทั้งสิ้น

“อดทนหรือครับ”

“ใช่จ้ะ แถมยังเป็นคนรักครอบครัว ทุกวันนี้หาเงินได้กี่บาทไม่เคยเก็บไว้เอง ยื่นให้แม่หมดทุกครั้งเพราะรู้ว่าทางบ้านกำลังแย่”

“ดูเหมือนแม่สนิทกับกินรินมากเลยนะครับ” เขาเรียกชื่อจริงของหล่อน เพราะรู้สึกสะดุดใจกับชื่อนี้และเรียกง่ายกว่ากระเต็น

“แม่รู้ว่าสินไม่ชอบคนบ้านนั้น แต่ทุกอย่างต้องมีข้อยกเว้นนะลูก”

“กินรินอายุเท่าไรหรือครับ”

“เพิ่งเรียนจบได้ไม่ถึงปี น่าจะยี่สิบสองแล้วละ”

ตกลงว่าหล่อนเพิ่งเรียนจบมาหยกๆ แล้วอายุยี่สิบสองก็หมายถึงว่าเขาแก่กว่าหนึ่งรอบพอดิบพอดี

“แล้วบ้านสองหลังนั้นมีโอกาสจะถูกยึดไหมครับ ทุกวันนี้พวกเขายังมีเงินผ่อนจ่ายค่าบ้านกันอยู่รึเปล่า”

“ได้ยินกระเต็นบอกว่าพอจ่ายแค่ดอกเบี้ย เงินต้นแทบไม่ได้แตะกันเลย” จรัสพรมองหน้าคมสันของบุตรชายด้วยความสงสัย เขาเกิดอยากรู้เรื่องในบ้านญานันทรขึ้นมาทำไม ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยสนใจไยดี

“ผมคิดว่าแม่ควรจะออกมาอยู่กับผม เพราะไม่แน่บ้านนั้นอาจจะถูกยึดขึ้นมาวันไหนก็ได้”

“สิน...ทุกวันนี้แม่อยู่ที่นั่นก็สบายดีอยู่แล้วนะลูก”

“สบายดี แต่ทำไมแม่ป่วยแบบนี้ แล้วไม่เห็นจะมีใครสนใจแม่เลยสักคน” จิรสินอดค้านไม่ได้ แม้ว่าวันนี้จะเห็นอยู่ว่ามีอยู่คนหนึ่งที่เป็นห่วงเป็นใยแม่ของตน

“ตอนนี้พวกเขาก็ย่ำแย่กันถ้วนหน้า แม่ไม่อยากออกจากบ้านมาในเวลานี้ อยู่กันมายี่สิบกว่าปี แล้วพอถึงเวลาที่พวกเขาเดือดร้อน เราก็รีบเก็บข้าวของหนีออกมาก่อน มันจะดูไม่ดีนะลูก ตอนลำบากไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนแม่ก็หอบลูกเข้าไปหาพวกเขา”

“เขาไม่ได้ต้อนรับเราสองคนเลยนะครับแม่ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ต้องไปอยู่ถึงฝรั่งเศส”

“คิดเสียว่ามันเป็นโอกาสสิลูก ทุกวันนี้สินก็มีทุกอย่างแบบที่หลายๆ คนได้แต่ฝันถึง” จรัสพรลูบหลังมือลูกชายอย่างปลอบประโลมใจ “แม่เป็นพี่น้องแท้ๆ ของพวกเขาก็ไม่อยากทิ้งกันไปตอนลำบาก ถึงแม้ว่าแม่จะช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้เลย แต่ก็อยากอยู่ด้วยกันไปให้ถึงที่สุด”

“โธ่แม่...แล้วพวกเขาจะรู้ไหมว่าแม่คิดและรู้สึกแบบนี้”

“มันไม่สำคัญหรอกลูก ยังไงตาธวัชก็เป็นพ่อแท้ๆ ของแม่นะ ทุกวันนี้ท่านก็ยังอยู่ แล้วจะให้แม่ทิ้งมาทั้งที่รู้ว่าบ้านหลังนั้นอาจจะถูกยึดขึ้นมาวันไหนก็ได้ แม่ทำไม่ลงหรอก” จรัสพรบอกความในใจกับลูกชายถึงความผูกพันทางสายเลือดที่ยังมีต่อกัน

“แล้วถ้าวันนั้นมาถึง แม่จะทำยังไง พวกเขาคงต้องวงแตกแน่ๆ”

“ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ แม่จะย้ายออกมาอยู่กับสินนะลูก แล้วตกลงว่าสินจะกลับมาอยู่กรุงเทพฯ แน่นอนแล้วใช่ไหม”

“ครับ...ผมเป็นห่วงแม่ แต่คงต้องไปๆ มาๆ เพราะงานทางโน้นก็มีอยู่ แต่พ่อแม่ทางโน้นก็สนับสนุนให้ผมมาทำธุรกิจที่เมืองไทยตั้งนานแล้ว”

“แม่ก็นึกเกรงใจพ่อแม่บุญธรรมของลูก เขาดีกับลูกของแม่เหลือเกิน อีกใจก็อยากให้ลูกมาอยู่ใกล้ๆ แต่ช่วงนี้แม่ยังออกจากบ้านหลังนั้นไม่ได้ สินเข้าใจแม่นะจ๊ะ” ผู้เป็นแม่บอกด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน เพราะเกรงว่าลูกชายจะน้อยอกน้อยใจที่แม่ไม่ยอมย้ายออกมาพักอยู่ด้วยกัน ทั้งที่ยี่สิบกว่าปีมานี้แทบไม่เคยได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันเลย

“ผมรู้ว่าแม่เป็นห่วงตาธวัช”

“ตาเขาแก่มากแล้วนะลูก ให้อภัยเขาเถอะนะ”

จิรสินได้ยินน้ำเสียงขอร้องจากแม่แล้วส่ายหน้านิดๆ แม่เป็นคนดีขนาดนี้แต่กลับไม่มีใครสักคนเห็นใจ นั่นทำให้ชายหนุ่มที่เคยเผชิญกับความเจ็บปวดคับแค้นมาอย่างแสนสาหัสยังทำใจยอมรับไม่ได้ เขายังนึกไม่ออกว่าจะให้อภัยพวกญานันทรได้อย่างไร

“แต่ที่ผมเจอกับตาธวัชตอนไปรับแม่มารักษาตัว ตาก็ยังเป็นเหมือนเดิม เหยียดคนทั้งที่ตัวเองกำลังจะไม่มีบ้านอยู่”

“สิน...พูดไปก็บาปกรรมเปล่าๆ อย่าไปถือสาคนแก่เลยนะลูก”

“แล้วตาธวัชสนิทสนมกับกินรินหรือครับ เห็นบอกว่าจะไปคุยกับตาเรื่องให้ย้ายแม่ขึ้นมาอยู่บนบ้านหลังใหญ่”

เขาเพิ่งนึกออกถึงเรื่องนี้ เพราะไหนๆ แม่ก็ยังไม่ยอมย้ายออกมา คนเป็นลูกก็อยากให้แม่ได้อยู่แบบสบายๆ บ้าง

“แม่อยู่บ้านหลังเล็กข้างหลังก็สบายดีนะลูก อย่างที่สินเห็นนั่นแหละเป็นส่วนตัวดี อยากปลูกต้นไม้ดอกไม้อะไรก็ทำไป ไม่ต้องวุ่นวายกับใคร” จรัสพรต้องการให้ลูกชายรับรู้ว่าตนเองไม่ได้ลำบากลำบนแต่อย่างใดกับการใช้ชีวิตอยู่ในบ้านนั้น

“ส่วนเรื่องที่แม่ไม่สบายแล้วไม่มีใครพามารักษาก็อย่าไปว่าอะไรพวกเขาเลย พวกเขาเองก็ชักหน้าไม่ถึงหลังกันอยู่แล้ว ทุกวันนี้แม่ก็เอาเงินที่สินส่งมาให้ช่วยจ่ายค่าน้ำค่าไฟทุกเดือน บางทีก็แบ่งให้พี่อำไพไว้ซื้อของสดมาให้เด็กรับใช้ทำกับข้าว”

“จนจะแย่อยู่แล้วยังต้องมีคนใช้กันอีกเหรอครับ” ชายหนุ่มว่าอย่างนึกหมั่นไส้พวกผู้ดีจมไม่ลง

“ก็คนมันเคยมี แล้วหลานๆ ส่วนใหญ่ก็ทำอะไรไม่ค่อยเป็น ไม่เคยหัดทำกันเลย”

จิรสินส่ายหน้า ทีลูกหลานคนอื่นต้องมีคนรับใช้คอยทำทุกอย่างให้ แต่เขาจำได้ไม่เคยลืมว่าป้าอำไพ พี่สาวคนโตของแม่จะให้หลานในไส้ออกจากโรงเรียนมาเป็นคนรับใช้ในบ้านเพื่อประหยัดค่าจ้าง โดยไม่สนใจเลยว่าเด็กคนนั้นจะมีอนาคตเป็นอย่างไรทั้งที่ก็เป็นหลานแท้ๆ คนหนึ่งของบ้านญานันทร

แต่เขาไม่เหมือนคนอื่นก็ตรงที่มีพ่อเป็นคนไร้สกุลรุนชาติแถมจนติดดิน ไม่เท่านั้นยังมีเชื้อสายแขกอิหร่านจากปู่ทวดซึ่งเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของพวกญานันทร และจิรสินก็ยังมีเค้าหน้าไปทางพ่อมากกว่าแม่อีกด้วย พ่อของเขามีแค่ใบปริญญาเพียงอย่างเดียวที่พอเชิดหน้าชูตาได้ แต่นั่นก็ไม่มากพอจะเทียบเทียมคนในตระกูลของแม่ที่เป็นผู้ดีเก่า

“กระเต็นสนิทกับแทบทุกคนในบ้าน ไม่เว้นแม้แต่แม่อย่างที่สินเห็น” จรัสพรวกกลับมาเล่าถึงหลานสาวคนสวยพร้อมกับอมยิ้มบางๆ “ตาธารินทร์กับตาธวัชหลงรักแม่นกกระเต็นกันทั้งคู่ เพราะตอนเด็กๆ ช่างพูดช่างคุยแถมเอาใจเก่ง เรียกว่าหลงกันทั้งบ้านจนกลายเป็นหลานสาวคนโปรดมาจนถึงวันนี้”

“ถ้ากินรินไปคุยกับตาธวัชก็อาจจะสำเร็จใช่ไหมครับ”

“แม่ก็คิดว่าเป็นไปได้ เพราะเด็กคนนี้ช่างอ้อนผู้ใหญ่ ขออะไรได้ทุกทีจนไม่ค่อยกินเส้นกับพิสินี ลูกสาวของน้าประภา”

“งั้นเหรอครับ แต่ดูเหมือนอายุห่างกันอยู่นะครับ ผมจำได้ว่าพิสินีน่าจะอายุน้อยกว่าผมสักสามสี่ปี”

“ใช่จ้ะ พิสินีอายุสามสิบแล้วละมั้งแต่ยังไม่แต่งงานแต่งการ ธนดล ลูกชายป้าอำไพก็สามสิบสองแล้ว ยังโสดเหมือนกัน แต่ดูท่าว่ากระเต็นคงจะอยู่เป็นโสดไม่นานเหมือนอย่างคนอื่น”

“ทำไมล่ะครับ” จิรสินได้ยินแล้วรู้สึกหัวใจกระตุก หรือว่า...หล่อนมีคนรักแล้ว

“ก็ทั้งสวยทั้งเอาใจเก่งอย่างนี้ ผู้ชายที่ไหนจะไม่อยากได้ อีกไม่นานคงมีใครมาขอลูกสาวน้าทัดเทพแน่ๆ คอยดูสิ”

“เอ่อ...น้าทัดเทพน่าจะหวงลูกสาว รวมทั้งตาธารินทร์ด้วย ไม่น่าจะยอมยกให้ใครง่ายๆ”

“เขาก็หวงแม่นกกระเต็นกันทั้งบ้านนั่นแหละ เพราะเป็นขวัญใจบ้านญานันทรมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แม่เคยได้ยินเด็กๆ ในครัวคุยกันว่าธนดลก็แอบชอบกระเต็น แต่คงติดที่เป็นญาติใกล้ชิดกันเลยไม่กล้าแสดงออกมากนัก แล้วอีกอย่าง ฝ่ายกระเต็นก็ดูเฉยๆ ไม่มีท่าทีอะไร”

สิ่งที่ได้รับรู้เพิ่มเติมทำให้จิรสินต้องคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับหญิงสาวที่อยู่ในหัวข้อสนทนาอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งที่เขาไม่เคยนึกอยากข้องแวะกับคนบ้านนั้น แต่เหตุใดคราวนี้กลับสนใจใคร่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“รวมทั้งเป็นหลานสาวคนโปรดของแม่ด้วยใช่ไหมครับ”

“ก็มีแค่คนเดียวนี่แหละที่คุยกับแม่ ก็เลยนึกสงสารว่าถ้าบ้านจะต้องถูกยึดขึ้นมาจริงๆ แล้วกระเต็นจะทำยังไง ถ้ามีใครมาขอแต่งงานออกไปก่อนก็คงดี”

คนฟังได้ยินแล้วถึงกับสูดหายใจลึก เพราะไม่อยากให้บางสิ่งที่แม่พูดเกิดขึ้น แต่ดูเหมือนนั่นคงเป็นทางรอดเดียวของแม่นกกระเต็นในตอนนี้

‘แล้วทำไมนายไม่ไปขอหล่อนแต่งงานเสียเลย ก่อนที่จะมีใครมาขอตัดหน้า!’

จิรสินหายใจสะดุดกับเสียงเล็กๆ ในหัวที่ดังขึ้นมา

‘ไม่! นายจะมีเมียเป็นพวกญานันทรไม่ได้เป็นอันขาด’

เสียงที่เริ่มตีกันอยู่ในหัวทำให้ชายหนุ่มเผลอยกมือขึ้นลูบหน้า จากนั้นก็เริ่มดึงสติกลับมาได้ แต่ใจก็ยังคงนึกถึงเรื่องราวในบ้านญานันทรตามที่แม่เล่าให้ฟัง

“สิน...ถ้าแม่จะขอร้องอะไรบางอย่างจากลูกจะได้ไหม” จรัสพรตัดสินใจถามในสิ่งที่คิดทบทวนมาหลายวันตั้งแต่อาการเริ่มดีขึ้น

“ขออะไรครับ”

“ตอนนี้สินมีเงินเยอะมากเลยใช่ไหมลูก ถึงขนาดจะซื้อกิจการโรงแรมใหญ่ๆ อย่างที่เล่าให้แม่ฟัง”

“ครับ แต่นั่นไม่ใช่เงินของผมทั้งหมด”

“แล้วสินพอจะมีเงินเอามาช่วยที่บ้านแม่บ้างไหม”

“บ้านแม่?”

ทั้งแม่และลูกชายต่างสบตากันอยู่นาน เพราะเข้าใจความหมายทั้งหมดโดยไม่ต้องอธิบายให้มากความ

จิรสินถอนหายใจอย่างหนักอก แม่ยังคงนึกอยู่เสมอว่าที่นั่นคือบ้านของแม่ ทั้งที่ไม่มีใครอยากให้แม่อยู่แม้แต่คนเดียว ถ้าไม่มีคุณยายเสียคน แม่ก็คงหมดโอกาสได้กลับเข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านที่ตัวเองเคยอยู่มาตั้งแต่เกิด

“แม่จะให้ผมช่วยเรื่องที่พวกเขาเอาบ้านไปจำนองใช่ไหมครับ” เขาถามหลังจากนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่

“ใช่แล้วลูก แม่เป็นห่วงตาธวัช แก่ป่านนี้แล้วถ้าต้องออกไประหกระเหินจะทำยังไง”

“ตาชอบดูถูกคนจน คนไม่มีสกุลว่าเป็นพวกข้างถนน ก็ลองให้ตาออกไปเร่ร่อนตามถนนบ้างก็น่าจะดี จะได้รู้ว่าคนอื่นเขารู้สึกยังไง”

“โธ่...ลูกเอ๊ย อย่าพูดอะไรอย่างนี้เลย ยังไงท่านก็เป็นคุณตาของลูกนะ”

“ผมไม่นับญาติกับใครมานานแล้ว แม่ก็รู้นี่ครับ”

“คนเราหนีตัวเองไม่พ้นหรอกลูก แม่อยากให้สินคิดดูอีกทีได้ไหม”

เจ้าของร่างสูงใหญ่ที่มีใบหน้าคมสันผิดไปจากชายไทยทั่วไปเบือนหน้าหนีไปจากแม่ แล้วถอนหายใจออกมาอีกเฮือกด้วยความอึดอัดใจ

ถ้าแม่ขออย่างอื่น ถึงต้องจ่ายมากกว่านี้เขาก็ยินดีจะเซ็นเช็คให้ทันทีแบบไม่ต้องคิด แต่นี่เขาต้องเอาเงินที่ตนเองหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงและมันสมองไปช่วยคนใจดำอย่างพวกญานันทรอย่างนั้นหรือ

ชายหนุ่มก้มหน้าลงเพื่อใช้ความคิดอย่างหนักในเรื่องที่ผู้เป็นแม่ขอร้อง “ก็ได้ครับแม่” เขาเงยหน้าขึ้นตอบรับหลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่

“สิน!” จรัสพรเรียกชื่อลูกชายด้วยความดีใจ หน้าตาคนป่วยดูดีขึ้นในชั่วพริบตาจนคนเป็นลูกอดยิ้มออกมาไม่ได้ที่คำตอบของตนเองทำให้แม่แทบจะหายป่วยในทันที และนี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกดีในเวลานี้

“ลูกพูดจริงๆ นะ” คนที่กำลังดีใจถามย้ำอีกครั้ง เพราะเห็นว่าสีหน้าแววตาของลูกดูเปลี่ยนไปจากที่หนักอกหนักใจ กลับกลายเป็นมีแววมุ่งมาดปรารถนาบางอย่างปรากฏขึ้นมาแทนที่

“ครับ”

“แม่ดีใจที่สุดเลยลูกที่สินยอมให้อภัยญาติพี่น้องของแม่ แล้วคิดจะช่วยเหลือพวกเขา”

จิรสินไม่ได้ตอบว่าเขาให้อภัยแล้วหรือไม่ รู้แต่ว่าเขาจะช่วยให้ตาธวัชกับญานันทรทุกคนมีบ้านอยู่ต่อไปตามที่แม่ขอเท่านั้น แต่คนบ้านนั้นจะต้องสำนึกด้วยว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมต้องมีราคาค่างวดและทุกคนต้องจ่ายคืน

เขาจะเรียกร้องค่าตอบแทนให้มากที่สุดและคุ้มค่าเงินที่ต้องจ่ายไปทุกบาททุกสตางค์ คอยดู!

“แม่อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับใครนะครับ ผมจะจัดการทุกอย่างเอง”

“ได้จ้ะลูก” จรัสพรรีบรับปากแข็งขันด้วยความดีใจ

“ผมจะช่วยคนบ้านนั้น แล้วถ้าผมทำอะไรลงไปแม่ต้องเชื่อใจผมนะครับว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย”

“แม่เชื่อลูกเพราะสินรับปากแม่แล้ว”

“ยังไงตาธวัชก็จะมีบ้านอยู่ตลอดไปแน่ๆ อย่างที่แม่ต้องการ”

“จ้ะลูก” จรัสพรยื่นแขนโอบกอดร่างสูงใหญ่ที่โน้มตัวลงมาหาด้วยความปลาบปลื้มใจ อ้อมแขนแข็งแรงอบอุ่นของคนเป็นลูกสวมกอดร่างบอบบางของแม่ไว้เช่นกัน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น