7

ข้อเสนอที่แตกต่าง


 

7

ข้อเสนอที่แตกต่าง

 

ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ จิรสินกลับมาที่บ้านญานันทรอีกครั้งเพื่อมารับแม่ไปพบหมอที่โรงพยาบาลตามนัด ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาใช้วิธีโทรศัพท์มาถามไถ่อาการของแม่ทุกวัน จนได้ความเพิ่มเติมว่าคนในบ้านให้การดูแลเรื่องอาหารการกินของแม่เป็นอย่างดี รวมไปถึงคนรับใช้ก็มาช่วยดูแลทำความสะอาดที่พักให้ ซึ่งแต่ก่อนแม่ของเขาต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งหมด

“ผมไม่ได้มาหาแม่เลย เพิ่งไปดูโรงแรมที่หัวหินมาครับ” เขาบอกระหว่างทางที่ขับรถพาแม่ไปยังโรงพยาบาลที่ทันสมัยที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ

“ไม่เป็นไรหรอกลูก มีงานสำคัญก็รีบๆ ทำให้เรียบร้อย ไม่ต้องห่วงแม่ อยู่ทางนี้ไม่มีอะไรมาก แม่เองก็ดีขึ้นเยอะ”

“ท่าทางพวกเขาก็ยังไม่ค่อยญาติดีกับผมเหมือนเดิม แต่ก็ยังดีนะครับที่เขาเริ่มทำดีกับแม่บ้าง” จิรสินวกกลับมาคุยเรื่องที่รับรู้จากแม่ทางโทรศัพท์เกี่ยวกับท่าทีของคนในบ้านที่เปลี่ยนไป

“ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยละ ตอนนี้แม่แทบไม่ต้องทำอะไรเอง โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ทำมาให้ทั้งสองบ้านจนกินแทบไม่หมด ต้องแบ่งให้เด็กๆ ไปช่วยกิน”

“สองบ้านนี่หมายถึงบ้านไหนครับ”

“บ้านตาธวัชกับบ้านตาธารินทร์ไงลูก จำไม่ได้แล้วเหรอ”

“จำได้ครับ”

“ปกติแม่พิมพากับกระเต็นก็แบ่งกับข้าวมาให้กินอยู่เรื่อยๆ แต่ช่วงนี้สินีกับน้าประภาสั่งเด็กในครัวทำมาเผื่อแม่ด้วย กับข้าวก็เลยเยอะแยะไปหมด”

จิรสินฟังแล้วอดนึกถึงใบหน้าสวยหวานจับจิตจับใจขึ้นมาไม่ได้ นับตั้งแต่พบกันที่โรงพยาบาลวันนั้น เขาก็ไม่ได้เห็นหน้าหล่อนอีกเลย เรื่องที่เอ่ยปากชวนให้มาทำงานเป็นเลขาฯ ก็ยังไม่ได้คำตอบ

“กินรินยังไปทำงานเป็นพริตตีอยู่อีกหรือครับ”

“จ้ะ ได้ยินว่าตอนนี้มีงานอีกแล้ว”

“คราวก่อนผมชวนกินรินไปทำงานด้วยกันแต่ยังไม่ได้คำตอบ”

“สินมีงานให้น้องทำเหรอจ๊ะ” จรัสพรถามลูกชายด้วยท่าทีตื่นเต้นดีใจพอสมควร

“ครับ ผมอยากได้เลขาฯ ส่วนตัวสักคน งานผมเยอะมาก”

“แต่กระเต็นมาหาแม่ก็ไม่เห็นพูดถึงเรื่องนี้เลย”

ชายหนุ่มได้ยินแล้วพยักหน้านิดๆ ด้วยความรู้สึกว่าพริตตีสาวที่เคยทำงานสบายๆ ด้วยการไปโชว์ตัวตามงานคงได้ค่าจ้างไม่น้อย จึงไม่อยากทำงานกินเงินเดือนประจำ เพราะต่อให้เรียกเงินเดือนสูงแค่ไหนก็ไม่น่าจะเกินห้าหกหมื่นบาท ซึ่งเป็นอัตราค่าจ้างที่สูงมากสำหรับคนไม่มีประสบการณ์ทำงานมาก่อนหรือนักศึกษาจบใหม่ เงินเพียงไม่กี่หมื่นอาจไม่มีความหมายใดๆ กับสาวสวยอย่างกินริน

“คงไม่อยากทำ เพราะงานที่ทำตอนนี้รายได้อาจจะดี ไม่เครียดด้วยครับ”

“แต่แม่ว่ากระเต็นอาจจะสนใจก็ได้นะลูก เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสได้เจอกับสิน เอาไว้ถ้ากระเต็นมาหา แม่จะถามให้นะ”

“อย่าเลยครับ ถ้าสนใจอยากได้งานทำจริงๆ ก็คงติดต่อมาเอง” จิรสินให้นามบัตรกินรินไปในวันนั้นโดยหวังว่าจะได้รับการติดต่อกลับมา แต่ปรากฏว่าผ่านมาหนึ่งสัปดาห์ก็ยังไร้วี่แวว แถมแม่ยังมาย้ำอีกว่ากินรินไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลยสักคำ นั่นหมายถึงว่าหล่อนอาจลืมไปแล้วก็ได้

“แล้วทางป้าอำไพว่ายังไงบ้างครับ”

“ตั้งแต่วันนั้นแม่ก็ไม่ได้เจอหน้าพี่อำไพอีกเลย ที่ลงมาคุยด้วยก็มีแต่ประภากับสินี เขาฝากบอกว่าให้ลูกรออีกหน่อย ตอนนี้พวกเขาตัดสินใจกันแล้วว่าจะขายบ้านให้สิน ดีกว่าปล่อยธนาคารมายึดเอาไปให้อับอายผู้คน แต่ว่าพวกเขาติดปัญหาที่คุณตาคนเดียว”

“ผมไม่ได้เป็นฝ่ายที่ต้องรีบ พวกเขาต่างหากล่ะครับที่ต้องรีบไปเคลียร์กับทางธนาคารก่อนที่บ้านจะถูกยึด” จิรสินส่ายหน้า เมื่อนึกไปถึงคนแก่หัวดื้ออย่างตาธวัชที่ยังคงชิงชังรังเกียจหลานชายแท้ๆ มาจนถึงทุกวันนี้ เพียงเพราะเขามีพ่อเป็นคนไร้สกุลรุนชาติ แม้ว่าพ่อจะไม่เคยทำอะไรผิดนอกจากเลือกเกิดไม่ได้เท่านั้นเอง

“แล้วอีกบ้านล่ะครับ จำได้ว่าก็ติดหนี้แบงก์อยู่เหมือนกัน”

“ใช่ แต่ดูเหมือนจะน้อยกว่าทางพี่อำไพ”

“แล้วพวกเขาจะทำยังไงกันต่อไปครับ” จิรสินอดถามไม่ได้ เพราะคนบ้านนั้นมีแม่สาวน้อยกินรินรวมอยู่ด้วยคนหนึ่งถ้าไม่มีบ้านอยู่แล้วหล่อนจะทำอย่างไร

‘แต่สวยๆ แบบนั้นอาจจะมีเสี่ยกระเป๋าหนักสักคนรับไปเลี้ยงดูก็ได้!’

“หลายวันก่อน พิมพามาเยี่ยมแม่ที่บ้านก็เห็นบอกว่าปรึกษากันแล้วว่าอาจจะต้องขายบ้าน เพราะอีกไม่นานก็อาจจะถูกยึด” จรัสพรเล่าเพียงคร่าวๆ เท่านั้น

“แม่ของกินรินมาบอกแม่เพราะต้องการให้ผมซื้อบ้านของพวกเขาด้วยรึเปล่าครับ” จิรสินเริ่มสงสัย เพราะไม่เคยไว้ใจคนในบ้านญานันทรเลย แล้วที่สองคนแม่ลูกเทียวมาหาแม่ของเขาพร้อมข้าวปลาอาหารก็อาจมีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝงก็เป็นได้ ซึ่งก็ไม่ต่างจากสองคนแม่ลูกที่อยู่บ้านใหญ่ ถ้าไม่มีผลประโยชน์อะไรก็แทบไม่เคยชายตาแลทั้งที่เป็นญาติพี่น้องสายเลือดเดียวกัน

“พิมพาไม่ได้พูดอะไรถึงลูก รวมทั้งกระเต็นด้วย แม่ถามว่าเขาจะแก้ปัญหากันยังไง เขาก็เล่าให้ฟังว่ามีทางออกอย่างนี้ แล้วสินพอจะช่วยพวกเขาได้ไหมเล่า”

ลูกชายนิ่งเงียบไปชั่วครู่ มองตรงไปเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิด

“แม่รู้ว่าลำพังหนี้สินของพี่อำไพก็ตั้งสิบเจ็ดล้านเข้าไปแล้ว ถ้าจะให้สินช่วยทางบ้านตาธารินทร์อีกก็คงจะไม่ไหว รวมกันแล้วคงร่วมสามสิบล้าน” จรัสพรพูดแล้วถอนหายใจอย่างหนักอก

จิรสินปรายตามองหน้าแม่เพียงแวบเดียวแล้วจึงหันกลับมาตามเดิม เขารู้ว่าแม่เป็นคนรักญาติพี่น้อง ทั้งที่ตัวเองแทบไม่เคยได้รับความรู้สึกนี้จากใครเลย แต่แม่ก็ยังปรารถนาดีต่อทุกคนและยอมเป็นคนผิดไปตลอดชีวิต แต่เมื่อแม่เอ่ยถึงตาธารินทร์ขึ้นมาอีกหน ทำให้ชายหนุ่มต้องระลึกถึงชายสูงวัยอีกคนหนึ่งที่ชิงชังรังเกียจเขาไม่ต่างไปจากตาธวัช

“บ้านนั้นเป็นหนี้อยู่เท่าไรหรือครับ” จิรสินหันมาถามเสียงเครียด

“ได้ยินว่าประมาณสิบกว่าล้านเหมือนกัน”

“ก็ไม่ได้มากมายอะไรนี่ครับ” น้ำเสียงจิรสินเหมือนเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเขา

“สินช่วยพวกเขาได้รึเปล่าลูก” จรัสพรถามอย่างมีความหวัง เมื่อได้ยินน้ำเสียงของลูกชายที่ไม่สะทกสะท้านกับตัวเลขหนี้สินที่ได้ยิน

“มันก็ได้อยู่หรอกครับ แต่ว่า...ทางบ้านกินรินไม่ได้มาบอกขายบ้านให้ผมนี่ครับแม่ เขาไม่ได้พูดเรื่องนี้กับแม่เลยใช่ไหม”

“ไม่ได้พูดหรอกลูก คงเกรงใจ เพราะจะว่าไปแล้วสินก็ไม่ได้เป็นหลานแท้ๆ ของตาธารินทร์ แม่กับทัดเทพเป็นรุ่นลูกก็พอจะนับว่าเป็นญาติสนิทกันได้อยู่ แต่พอมาถึงรุ่นหลานมันก็เริ่มห่าง เขาคงไม่กล้าออกปากกับเราหรอก” จรัสพรเดาเหตุการณ์อย่างมีเหตุมีผล

“แล้วถ้าผมจะซื้อบ้านนั้นอีกหลัง ตาธารินทร์จะมีปัญหาอะไรไหมครับ”

“คงไม่มีหรอกลูก ตาธารินทร์คงไม่คัดค้าน เพราะตอนนี้คงเป็นห่วงลูกหลานจะไม่มีที่อยู่เสียมากกว่า”

“ทำไมถึงยอมง่ายๆ ล่ะครับ ทีตาธวัชยังเสียงแข็งมาจนถึงวันนี้ ไม่เห็นสนเลยว่าใครจะมีที่ซุกหัวนอนรึเปล่า” จิรสินทำเสียงเยาะด้วยความสมเพช

นี่ถ้าไม่ติดว่าแม่เป็นคนรักญาติพี่น้อง เขาคงหัวเราะเสียงดังให้ก้องฟ้าที่ตอนนี้ทุกคนในบ้านญานันทรต้องมาก้มหัวให้แก่เด็กลูกคนข้างถนนอย่าง ‘ไอ้สิน’ แล้วที่น้าพิมพามาเอ่ยปากกับแม่เรื่องที่อาจจะต้องขายบ้านก่อนจะถูกธนาคารยึด ก็คงเป็นการบอกผ่านมาทางแม่เขานั่นเอง เพราะรู้ว่าคนใจอ่อนและรักครอบครัวอย่างแม่คงไม่นิ่งดูดายปล่อยให้ญาติพี่น้องต้องตกระกำลำบาก

คนบ้านนี้แผนสูงกันทั้งนั้น เขาไม่เคยรู้สึกดีกับใครแม้แต่คนเดียว

 

หลังจากพบหมอเพื่อตรวจอาการเรียบร้อยแล้ว จิรสินพาแม่ไปนั่งรับประทานมื้อกลางวันในร้านอาหารชื่อดังกลางกรุง แล้วจึงพากลับมาส่งที่บ้านญานันทรในตอนบ่าย

ชายหนุ่มได้พบกับประภาพรและพิสินีที่รีบเดินออกมาต้อนรับ เพราะเขาต้องจอดรถไว้ที่หน้าบ้านใหญ่แล้วจึงเดินไปส่งแม่ที่เรือนหลังเล็กซึ่งอยู่ในสวนด้านหลัง ทั้งสองคนแม่ลูกเชื้อเชิญให้เขาขึ้นบ้านไปคุยกัน เขากับแม่จึงต้องเดินขึ้นเรือนหลังใหญ่ไปพบกับป้าอำไพที่นั่งคอยอยู่ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“ป้าอำไพไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมยังตกลงจะซื้อตามเงื่อนไขเดิมที่เราเคยคุยกันไว้”

“ถ้ายังไงเราจะรีบพูดกับคุณพ่อ อีกไม่กี่วันก็น่าจะเรียบร้อยจ้ะ” ประภาพรรีบบอกหลานชายด้วยน้ำเสียงเอาอกเอาใจ

“พี่สินใจเย็นๆ นะคะ” พิสินีช่วยพูดด้วยอีกแรง เพราะกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ ก่อนจะยิ้มหวานแล้วถามต่อไปว่า “เอ่อ...แล้วพี่สินจะย้ายมาอยู่ที่นี่กับเรารึเปล่าคะ”

อำไพเห็นท่าทางของน้องสาวกับหลานสาวแล้วต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทางเพราะยังปรับตัวปรับใจไม่ทัน ซึ่งน่าจะอารมณ์เดียวกับผู้เป็นพ่อของหล่อนในตอนนี้ที่ยังทำใจไม่ได้หากต้องกลายเป็นเพียงแค่ผู้อาศัยภายใต้ใบบุญของไอ้เด็กสิน

ฝ่ายจิรสินไม่ได้ยิ้มตอบญาติสาวที่หยิบยื่นไมตรีมาให้อย่างเปิดเผย และดูเหมือนจะเกินเลยกว่าความเป็นญาติ เขาอายุตั้งสามสิบกว่าแล้วมีหรือจะดูไม่ออกว่าผู้หญิงออกอาการแบบนี้บ่งบอกถึงอะไร

“ผมไม่ชินกับการอยู่บ้านเก่าๆ แบบนี้ แถมยังไกลที่ทำงานด้วย” เขาตอบแบบไม่คิดรักษาน้ำใจใคร

เจ้าของบ้านแต่ละคนทำหน้าอีหลักอีเหลื่อที่ถูกวิจารณ์บ้านช่องแบบตรงไปตรงมา มีแต่พิสินีที่พยายามฝืนยิ้มให้เขาอยู่นั่นเอง จนจิรสินอดรู้สึกสมเพชไม่ได้ที่หลานสาวตาธวัชไม่ไว้ตัวกับผู้ชายเลยแม้แต่น้อย

“สินทำงานที่ไหนเหรอจ๊ะ” ประภาพรรีบถามทันที

“โรงแรมบางกอกพาราไดซ์ปาร์ก ตอนนี้ผมพักที่นั่นด้วยครับ”

ประภาพรหันไปสบตากับลูกสาวด้วยความแปลกใจ เพราะรู้ว่าเขาเพิ่งกลับมาถึงกรุงเทพฯ ได้เพียงเดือนเดียว เหตุใดจึงหางานทำได้รวดเร็วปานนั้น แล้วเขาทำงานตำแหน่งอะไรในโรงแรมชื่อดังถึงได้มีเงินทองมากมายนับสิบล้าน

“พี่สินทำงานที่โรงแรมนั้นหรือคะ” พิสินีทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว คิดว่าทั้งแม่และป้าก็คงอยากรู้เช่นกัน

“ใช่” เขาตอบสั้นๆ แล้วก็เห็นว่าสายตาของญาติสาวยังเต็มไปด้วยคำถามจึงต้องอธิบายต่อ เพราะรู้ว่าต้องถูกถามต่อแน่ “พ่อบุญธรรมต้องการมาลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทย ตอนนี้เราเทกโอเวอร์โรงแรมในเครือบางกอกพาราไดซ์ปาร์กทั้งหมดแล้ว”

จิรสินเห็นว่าพิสินีตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่ ขณะที่ประภาพรนั่งนิ่งตาค้าง ส่วนอำไพได้แต่นั่งอึ้งและมองมาราวกับไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ” จิรสินลุกขึ้นยืนทันที

“พี่สิน!” พิสินีแทบจะถลาเข้าไปหาเมื่อเห็นว่าเขาทำท่าจะกลับเสียดื้อๆ

“มีอะไรเหรอสินี” เขาถามเสียงเรียบ แต่สายตาเริ่มรำคาญ

“ถ้าพี่สินงานเยอะ มีอะไรให้สินีช่วยก็บอกได้ทันทีเลยนะคะ”

“ตอนนี้ยังไม่มีอะไร” เขาบอกหญิงสาวแล้วหันไปยกมือไหว้ลาผู้ใหญ่ตามมารยาท ก่อนจะพาแม่เดินออกจากห้องรับแขก

“แม่!” พิสินีหันไปเรียกอย่างตื่นเต้น“ เขาไม่ได้รวยแค่หลักสิบหรือยี่สิบล้านนะคะแม่ ซื้อโรงแรมในเครือนั้นได้ทั้งหมดต้องใช้เงินหลายพันล้านแน่ๆ”

ประภาพรได้ยินแล้วถึงกับหันไปสบตากับพี่สาวคนโตที่ยังนั่งงงไม่หายกับความร่ำรวยของหลานชายที่หนีออกจากบ้านไปนานนับยี่สิบเอ็ดปี

“นี่แสดงว่านายสินไปตกลงในบ่อเงินบ่อทองที่ฝรั่งเศสเลยนะคะพี่อำไพ”

อำไพพยักหน้ารับรู้ แต่สีหน้ายังคงนิ่งและเครียดเช่นเดิม เพราะไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นไปกับสองคนแม่ลูกแม้แต่น้อย เพียงแค่คาดไม่ถึงเท่านั้นเอง ว่าเด็กไร้อนาคตอย่างจิรสินในเวลานั้นจะพลิกชีวิตได้ดิบได้ดีเป็นทายาทเศรษฐีไปแล้ว

 

จิรสินเดินไปส่งแม่ที่บ้านหลังเล็กแล้วเดินกลับมาขึ้นรถซึ่งจอดอยู่หน้าบ้าน ระหว่างทางที่เดินกลับออกมาเขาครุ่นคิดบางเรื่องอย่างลังเล

แต่สุดท้ายความคิดทุกอย่างก็หยุดลง เพราะมีรถยนต์กลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดข้างๆ ทำให้จิรสินต้องหยุดมองว่าใครเป็นเจ้าของรถ ไม่นานก็ได้เห็นคนที่เปิดประตูลงมา

หนุ่มร่างสูงเพรียวแต่งตัวทันสมัย ผิวพรรณขาวสะอาดตา รวมไปถึงใบหน้าหล่อเหลาตามความนิยมในยุคนี้ทำให้รู้สึกสะดุดตาอยู่มาก แล้วในที่สุดเขาก็จำได้ว่าหนุ่มหุ่นสำอางคนนี้เป็นใคร

ธนดลลูกชายคนเดียวของป้าอำไพ แม้อีกฝ่ายจะดูเปลี่ยนไปมาก แต่หน้าตายังคล้ายกับเด็กชายคนนั้นที่ไม่เคยญาติดีกับจิรสิน ดูจากบุคลิกท่าทางในตอนนี้นิสัยใจคอก็คงไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ตามประสาลูกชายคนเดียวที่ถูกตามใจจนเสียคน ในอดีตนั้นธนดลเป็นไม้เบื่อไม้เมากับจิรสินก็ว่าได้ และไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้นระหว่างเด็กทั้งคู่ จิรสินต้องตกเป็นฝ่ายผิดเสมอ

หลังจากเปิดประตูลงมายืนข้างรถ ธนดลถอดแว่นกันแดดสีดำออก เพราะรถเบนซ์เปิดประทุนสีดำที่จอดอยู่นั้นสะดุดตาเข้าอย่างจังสำหรับหนุ่มทันสมัยและชอบเข้าสังคมอย่างเขา ไม่นานนักคนในรถก็ดับเครื่องยนต์แล้วเปิดประตูรถลงมา

ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาในแบบลูกผสมที่ดูเหมือนมีเชื้อสายฝรั่งหรือแขกขาวอยู่ในตัวทำให้ฝ่ายที่เป็นเจ้าของบ้านต้องเพ่งพิศ เพื่อค้นหาจากความทรงจำว่าเคยพบเห็นกันมาก่อนหรือไม่ แต่สุดท้ายคำตอบก็คือไม่

“สวัสดี ไม่ได้เจอกันตั้งนานเป็นไงบ้าง” จิรสินเป็นฝ่ายทักทายก่อนโดยยืนกันอยู่คนละฟากของรถเบนซ์คันงาม

คนถูกทักทำหน้าเหลอหลา เพราะนึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าเจ้าของรถเบนซ์สุดหรูคันนี้เป็นใคร “คุณกับผมเคยรู้จักกันเหรอ”

“เมื่อก่อนผมก็อยู่ที่นี่ คุณลืมแล้วเหรอ”

“คุณเคยอยู่ที่นี่? เป็นไปได้ยังไง” ธนดลค้านทันที เพราะคนที่พูดก็น่าจะอายุอานามไม่ห่างจากตนมากนัก ถ้าเคยอยู่ก็ต้องเคยเห็นกันมาบ้าง

“ผมอยู่ไม่กี่ปี แล้ว...ย้ายไปอยู่ที่ฝรั่งเศส”

“คุณเป็นใครกันแน่เนี่ย ผมไม่รู้จักคุณ” ธนดลส่ายหน้าดิก เพราะนึกไม่ออกว่ามีญาติหรือใครในบ้านนี้ที่ไปอยู่ไกลถึงฝรั่งเศส

“ผมเป็นลูกแม่พร คุณจำได้รึยัง”

ธนดลถึงกับอ้าปากค้าง แล้วก็เพิ่งนึกออกว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทุกคนในบ้านนั่งถกกันเรื่องหนี้สินกับเรื่องขายบ้านให้แก่ใครคนหนึ่งที่เพิ่งกลับมา

“ไอ้สิน!”

“ใช่ ฉันเอง” คนถูกเรียกจิกหัวเหมือนยี่สิบเอ็ดปีที่แล้วพยักหน้ารับ

“นี่แกเหรอ” หนุ่มหล่อหุ่นสะโอดสะองมองร่างสูงใหญ่ล่ำสันอย่างแทบไม่เชื่อสายตา

‘เป็นไปได้ยังไง!’ ธนดลส่ายหน้าพลางมองทั้งคนและรถสลับกันอย่างเหลือเชื่อ ผู้ชายร่างใหญ่ที่แต่งตัวเหมือนพวกนักธุรกิจคนนี้หรือคือ ‘ไอ้เด็กสิน’ ลูกคนข้างถนนที่ใครๆ ต่างก็รังเกียจเดียดฉันท์

‘ไอ้สินมันไปรวยมาจากไหน!’

“เป็นไปไม่ได้...”

“ขอตัวก่อนนะ ยินดีที่ได้พบกันอีก” จิรสินบอกพลางจ้องหน้าคนที่ยังยืนอึ้ง

“แกกลับมาที่นี่ทำไม” สุดท้ายธนดลก็เริ่มได้สติและเกิดความไม่ไว้ใจขึ้นมาแบบช่วยไม่ได้

“นายนี่นิสัยกับมารยาทแย่ไม่เคยเปลี่ยนเลย” จิรสินไม่ยอมตอบว่ากลับมาทำไม เพราะคิดว่าไม่จำเป็น ปล่อยให้คนถามยืนสงสัยต่อไป เขาเปิดประตูรถแล้วรีบติดเครื่องยนต์ขับออกไปทันทีเพื่อตัดบทสนทนา

ส่วนเรื่องที่ลังเลใจเมื่อครู่ก่อนหน้า ตอนนี้ชายหนุ่มได้คำตอบเรียบร้อยแล้วจากความรู้สึกส่วนลึกในจิตใจ

 

รถเบนซ์สีดำรุ่นล่าสุดที่เลี้ยวเข้ามาจอดตรงหน้าบ้านทำให้ทั้งสองสามีภรรยาต้องลุกขึ้นจากเก้าอี้ในห้องโถงชั้นล่าง เพราะไม่แน่ใจว่าผู้มาเยือนเป็นใคร

กระทั่งเห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เปิดประตูรถลงมาแล้วเดินตรงผ่านสวนหย่อมมาที่ตัวบ้าน ทั้งคู่ก็ยังไม่แน่ใจว่าเคยพบเจอกับชายคนนี้มาก่อนหรือไม่

“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มยกมือไหว้พร้อมเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงราบเรียบพอกับสีหน้า

“เอ่อ...คุณมาพบใครหรือมีธุระอะไรครับ” ทัดเทพรับไหว้แล้วถามชายแปลกหน้าทันที โดยมีภรรยาออกมายืนอยู่ข้างๆ สีหน้าแววตาสงสัยเช่นกัน

“น้าทัดเทพจำผมไม่ได้หรือครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับยิ้มบางๆ ก่อนจะเหลือบไปมองคนข้างๆ แล้วรีบยกมือไหว้ “สวัสดีครับ น้าพิมพา”

“สวัสดีค่ะ เอ่อ...ใช่สินรึเปล่า” พิมพาเพิ่งนึกออกว่าอาจจะเป็นลูกชายของจรัสพร เพราะใบหน้าของชายหนุ่มคนนี้ดูละม้ายคนมีเชื้อแขกหรือฝรั่ง เพราะจมูกโด่งและตาคม ผิดคนไทยทั่วไป

“ครับ”

“นี่สินจริงๆ เหรอ น้าแทบไม่อยากเชื่อเลย” ทัดเทพถามย้ำ

“ครับ ผมเอง”

“โตจนจำแทบไม่ได้ เปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคน” พิมพาว่าพลางมองอย่างทึ่งจัด ไม่คิดว่าเขาจะดูดีและเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ เพราะตอนนี้เขาแทบไม่ต่างจากลูกหลานไฮโซตระกูลดัง ไม่เหลือเค้าเด็กผอมโซและแขนขายาวเก้งก้างคนนั้น

“เข้าไปนั่งในบ้านก่อนไหม” ทัดเทพรีบเชื้อเชิญคนที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานยี่สิบเอ็ดปี

“ขอบคุณครับ”

แม้ว่าสองสามีภรรยาจะต้อนรับขับสู้และดูมีความเป็นมิตรมากกว่าพวกบ้านใหญ่ แต่นั่นไม่ได้ทำให้จิรสินคิดเปลี่ยนใจในสิ่งที่เพิ่งตัดสินใจเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา

หลังจากได้พบกับธนดล จิรสินก็ไม่ลังเลใจใดๆ อีกเกี่ยวกับคนในบ้านหลังนี้โดยเฉพาะกินริน!

‘เขาก็หวงแม่นกกระเต็นกันทั้งบ้านนั่นแหละ เพราะเป็นขวัญใจบ้านญานันทรมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แม่เคยได้ยินเด็กๆ ในครัวคุยกันว่าธนดลก็แอบชอบกระเต็น แต่คงติดที่เป็นญาติใกล้ชิดกันเลยไม่กล้าแสดงออกมากนัก แล้วอีกอย่างฝ่ายกระเต็นก็ดูเฉยๆ ไม่มีท่าทีอะไร’

เขายังจำเรื่องที่แม่เล่าให้ฟังได้ทุกอย่างแบบไม่ตกหล่น และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องเดินเข้ามาที่นี่ ซึ่งจิรสินค่อนข้างแน่ใจว่าข้อเสนอของตนคงไม่ถูกปฏิเสธ

“น้าดีใจด้วยนะที่สินไปได้ดิบได้ดี มีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบาย เห็นแล้วก็อดดีใจกับพี่พรด้วยไม่ได้” ทัดเทพบอกหลานชายด้วยน้ำเสียงจริงใจตามนิสัยที่เป็นคนตรงไปตรงมา

“ขอบคุณครับ” จิรสินรับคำพร้อมรอยยิ้มบางๆ

แม้ว่าถ้อยคำของญาติฝ่ายนี้จะรื่นหูกว่าหลายเท่า แต่ก็ไม่ทำให้ความรู้สึกของเขาดีขึ้นมาได้แต่อย่างใด เพราะจิรสินเลิกนับญาติกับพวกญานันทรไปนานยี่สิบเอ็ดปีแล้ว และไม่เคยคิดจะหวนกลับมาญาติดีกันได้อีก แต่ที่ต้องกลับมาพัวพันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็เพราะแม่เพียงคนเดียวเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ เขาก็คงไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกเป็นอันขาด

แล้วไม่ว่าใครจะพูดดียังไงก็คงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาได้ เพราะความรู้สึกดีๆ ไม่มีหลงเหลืออยู่ในใจของเขามานับตั้งแต่วันที่ตัดสินใจหนีออกไปจากบ้านหลังนี้ โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะไปทางไหน...รู้แค่ว่าต้องไปเท่านั้น

“ขอบใจนะจ๊ะที่ยังนึกถึงแล้วแวะมาเยี่ยม” พิมพาเอ่ยปากตามมารยาท โดยสายตายังจับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มผู้มาเยือน ซึ่งดูแล้วไม่ต่างอะไรจากคนแปลกหน้าที่ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน เพราะ ‘เด็กสิน’ เปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมก็ว่าได้

ตอนนี้จิรสินกลายเป็นหนุ่มหล่อร่างสูงใหญ่ แถมหน้าตาที่มีเชื้อแขกของเขายังทำให้ดูคล้ายพวกลูกครึ่งหรือลูกเสี้ยวอีกด้วย เมื่อผสมเข้ากับสำเนียงพูดไทยแปร่งๆ ก็อาจทำให้คนมองว่าเป็นลูกครึ่งไปโดยปริยาย

“ไปอยู่ที่โน่นตั้งยี่สิบเอ็ดปี ดีนะที่ยังพูดภาษาไทยได้ เด็กบางคนไม่ได้ใช้นานๆ ก็ลืมได้เหมือนกัน”

“ผมไม่ลืมหรอก ตอนไปผมอายุสิบสามแล้ว” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับจ้องลึกลงไปในดวงตาของน้าสะใภ้ซึ่งเป็นมารดาของหญิงสาวคนที่เขาต้องการพบหน้าในตอนนี้ แต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะไม่อยู่บ้าน คงไปยืนโชว์ตัวตามงานที่ไหนสักแห่ง

พิมพาดูเป็นคนเรียบๆ ต่างจากคนในบ้านญานันทรที่วางท่าเป็นผู้ดีกันแทบทั้งนั้น แต่นั่นก็ไม่ช่วยอะไรอีกเช่นกัน เพราะจิรสินไม่ได้มาที่นี่เพื่อเห็นใจใคร หรือต้องมานั่งแยกแยะว่าใครเป็นอย่างไร เขาสรุปเอาแบบง่ายๆ ว่าคนที่นี่ไม่ควรค่ากับความรู้สึกดีๆ เพราะเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนเขากับแม่ก็ไม่เคยได้รับจากใครสักคน สิ่งที่เด็กคนหนึ่งประทับภาพไว้ในความทรงจำเกี่ยวกับญาติพี่น้องคือ การไม่ยอมรับและความรังเกียจเดียดฉันท์

“น้าได้ข่าวว่าสินจะมาช่วยทางบ้านใหญ่” ทัดเทพเอ่ยถาม เพราะเรื่องนี้รู้กันทั่วแล้วทั้งสองบ้าน

“น้าทั้งสองคนคงรู้แล้วว่าผมจะซื้อบ้านไว้เอง ไม่ได้เอาเงินมาช่วยไถ่ถอนเฉยๆ อย่างที่ป้าอำไพต้องการ” เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาก่อน เขาจึงบอกไปตามจริงอย่างไม่อ้อมค้อม ก็เห็นว่าทั้งคู่พยักหน้ารับคำคล้ายกับเห็นด้วย

“น้าเข้าใจ เงินตั้งสิบเจ็ดล้าน คงไม่มีใครมาให้กันฟรีๆ หรอก” ทัดเทพพยักหน้าเห็นด้วยอีกครั้ง

“แต่สินจะให้ทุกคนในบ้านอยู่กันต่อไปใช่ไหมจ๊ะ” พิมพาเห็นว่าชายหนุ่มพยักหน้าจึงยิ้มออกมาอย่างโล่งอกที่ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีสำหรับบ้านใหญ่ แม้ว่าทางบ้านของตนจะยังคาราคาซังอยู่ก็ตาม

“ที่ผมแวะมาที่นี่ ไม่ได้แค่จะมาทักทาย แต่อยากมาคุยเรื่องบ้านหลังนี้ด้วย” จิรสินเอ่ยขึ้นในที่สุดเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้

“คุยเรื่องบ้านหลังนี้?” พิมพาทวนคำอย่างไม่แน่ใจว่าเข้าใจผิดไปหรือไม่

“ครับ”

“หมายถึงว่าสินจะซื้อบ้านน้าอีกหลัง หรือว่ายังไง” ทัดเทพถามกลับไปตรงๆ เช่นกัน

“ไม่หรอกครับ” จิรสินตอบไปแล้วก็เห็นว่าทั้งสองคนมีสีหน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อยที่คาดผิด

“น้าเข้าใจ แค่ซื้อบ้านโน้นก็สิบเจ็ดล้านเข้าไปแล้ว ถ้ารวมหลังนี้ด้วยคงเกือบสามสิบล้าน มันก็มากโขอยู่” ทัดเทพบอกอย่างปลงตกตามประสาคนมีหนี้สินท่วมหัวและยังหาทางออกไม่ได้จนถึงตอนนี้

“เรื่องเงินสามสิบล้านไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม” จิรสินบอกพลางจ้องตากับทัดเทพเพื่อคาดคะเนอีกฝ่าย ก่อนที่จะเอ่ยปากในสิ่งที่ตั้งใจไว้

เขาเห็นแต่แววท้อแท้และหมดหวังอยู่ในดวงตาของหนุ่มใหญ่วัยห้าสิบกว่า ซึ่งมีความน่าเห็นใจอยู่ไม่น้อย แต่ไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มต้องรู้สึกในเวลานี้ เขาแค่ต้องการประเมินว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในภาวะอารมณ์ใดเท่านั้นเอง

“สินหมายความว่ายังไง” พิมพาถามแทรกขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ

“อันที่จริงผมไม่ได้คิดจะซื้อทั้งบ้านใหญ่กับบ้านหลังนี้ เพราะผมไม่ได้อยากกลับมาอยู่ที่นี่ แต่เป็นเพราะแม่ขอร้องให้ช่วยคุณตาธวัชกับป้าอำไพ ผมก็เลยต้องซื้อบ้านหลังนั้นเพื่อให้แม่ได้อยู่ที่นั่นต่อไป เพราะแม่เป็นห่วงคุณตากลัวว่าท่านจะลำบากตอนแก่”

ทั้งสองคนฟังแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย จิรสินจึงพูดเข้าเรื่องเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ เพราะเริ่มรู้สึกว่าเสียเวลามามากแล้ว

“ส่วนบ้านหลังนี้ ผมไม่ได้คิดจะซื้อแต่...” ชายหนุ่มมีทีท่าลังเลเล็กน้อยเพราะยังนึกหาคำพูดไม่ได้ เหตุเพราะเพิ่งตัดสินใจได้ก่อนขับรถเลี้ยวเข้ามาที่บ้านนี้นั่นเอง

ทั้งสองสามีภรรยาจึงหันไปสบตากันอย่างไม่แน่ใจว่าผู้มาเยือนกำลังจะบอกอะไรกันแน่

“มีอะไรก็พูดมาเถอะ” ทัดเทพบอกหลานชายอย่างคนที่พร้อมเปิดใจรับฟังทุกเรื่อง

“ผมจะให้เงินน้าทัดเทพไปถอนจำนองบ้านออกมา” เขาบอกเสียงดังฟังชัด เพื่อให้คนฟังได้ยินถนัดและไม่ต้องถามซ้ำ

“สินจะให้น้ายืมเงินใช่ไหม” ทัดเทพสรุปเอาเองหลังจากอึ้งไปหลายอึดใจ

“เปล่าครับ ผมให้เลย”

พิมพาอ้าปากค้างแล้วหันไปทางสามีที่อยู่ในอาการไม่แตกต่างกันนัก

“เราเป็นหนี้อยู่สิบสามล้าน แล้วสินจะให้เงินพวกน้าเฉยๆ ตั้งสิบกว่าล้านได้ยังไงโดยไม่มีสัญญาเงินกู้อะไรเลย” พิมพาตั้งสติได้ก่อนรีบถามเพื่อให้หายสงสัย

“นั่นสิ ทางบ้านใหญ่เขาจะว่ายังไง กับทางโน้นสินไม่ยอมให้เงินเฉยๆ แต่ให้โอนไปเป็นชื่อพี่พร แต่กับทางเรากลับจะยอมให้เงินเปล่าๆ ไม่ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยน ทางพี่อำไพกับพี่ประภาคงไม่ยอมแน่ๆ”

ฝ่ายที่ต้องรับเงินส่ายหน้าไม่เห็นด้วย แม้อยากได้เงินไปใช้หนี้ แต่ทัดเทพก็ยังไม่หน้ามืดถึงขนาดไม่คิดหน้าคิดหลัง

แต่คนยื่นข้อเสนอได้ยินคำค้านแล้วกลับยิ้มเย็น

‘ไม่ยอมสิยิ่งดี แค่นึกก็สนุกแล้ว!’

“ผมยังไม่ได้บอกว่าไม่มีข้อแลกเปลี่ยนนะครับ” จิรสินบอกแล้วยิ้มอย่างสะใจ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำหน้าเหลอหลาอย่างคาดไม่ถึง

“แล้วอะไรล่ะจ๊ะที่เป็นข้อแลกเปลี่ยน” พิมพาถามด้วยสีหน้าเป็นกังวลตามประสาผู้หญิงที่มักจะกลัวทุกเรื่องล่วงหน้า “ตอนนี้เราก็ไม่มีอะไรเลย นอกจากบ้านหลังนี้”

“ผมจะให้เงินสิบสามล้านไปถอนจำนอง หรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้ แต่ผมต้องการกินรินเป็นข้อแลกเปลี่ยน!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น