6

ทางรอด


 

6

ทางรอด

 

เรื่องที่จิรสินมาบ้านญานันทรแล้วยื่นข้อเสนอกับทุกคนต่อหน้าธวัชรู้กันทั่วบ้านภายในบ่ายวันนั้นเอง

ธนดล ลูกชายของอำไพไม่พอใจที่ต้องตกอยู่ในฐานะผู้อาศัย แม้ว่าจะเปลี่ยนชื่อเจ้าของบ้านไปเป็นจรัสพร แต่คนที่เป็นเจ้าของเงินจริงๆ ก็คือจิรสิน ซึ่งเคยเป็นเด็กที่ใครๆ ต่างก็รังเกียจกันทั้งบ้าน

ส่วนทางบ้านธารินทร์เมื่อรู้เรื่องก็รีบเดินมาที่บ้านใหญ่กันแบบพร้อมหน้าพร้อมตาเพราะเป็นวันหยุด ยกเว้นธวัชซึ่งเข้าห้องไปนอนพักผ่อนเพราะเครียดจัดจึงไม่ได้อยู่คุยกับทุกคน

“พี่ธวัชคงไม่ยอมหรอกใช่ไหม” ธารินทร์ถามหลานสาวทั้งสองคน

“คุณพ่อไม่เห็นด้วยหรอกค่ะ ที่เราจะยอมให้นายสินมาเป็นเจ้าของบ้านนี้” อำไพตอบอย่างหนักอก เพราะเวลาเริ่มจวนตัวเข้ามาทุกทีจนแทบนอนไม่หลับในแต่ละคืน

“แต่เขาจะให้โอนเป็นชื่อของป้าพรไม่ใช่หรือคะ” กินรินอดแย้งไม่ได้

“เป็นของแม่ก็เหมือนของลูกนั่นแหละครับน้องกระเต็น พี่ก็ไม่ยอมเหมือนกัน” ธนดลตอบหญิงสาวเสียเอง “ใครจะยอมเป็นแค่คนอาศัย แถมเจ้าของบ้านเป็นสองแม่ลูกนั่น”

คำตอบที่ได้รับจากชายหนุ่มทำให้กินรินต้องแอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเหลือบไปสบตากับพิมพาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ธนดลเองก็มีส่วนทำให้หนี้สินพอกพูนขนาดนี้จากการใช้เงินเกินตัวตามประสาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่แม่ตามใจแบบไม่ลืมหูลืมตา

“แต่ผมว่า...เอ่อ...มันก็เป็นทางออกที่ดีนะครับ ตอนนี้เราเองก็แย่” ทัดเทพบอกกับอำไพและประภาพร ซึ่งเป็นญาติผู้พี่เพื่อให้ทั้งคู่ลองคิดดูดีๆ อีกครั้งก่อนจะตัดสินใจ

“แล้วเธอล่ะทัด อยากขายบ้านให้นายสินด้วยรึเปล่า” ประภาพรถาม เพราะรู้ว่าอีกบ้านก็ย่ำแย่ด้วยปัญหาหนี้สินพอกัน

“ผม...” ทัดเทพอ้ำอึ้ง เพราะจิรสินไม่ได้มาออกปากหรือยื่นข้อเสนอใดๆ แก่เขา

“ตอนนี้เธอเองก็หนักใช่ไหม” อำไพถามตรงๆ เพราะไม่ได้คุยกันแบบนี้มานานนับปีแล้ว

“ครับ ตอนแรกผมกู้เงินมาแปดล้าน เอาไปลงทุนทำรับเหมาก่อสร้างกับเพื่อน แรกๆ ก็ดีอยู่ครับ แต่ตอนหลังเก็บหนี้ไม่ได้ แล้วค่าใช้จ่ายในบ้านเราก็เยอะมาก ผมเลยไปขอกู้เพิ่มอีกห้าล้าน ตอนนี้รวมเป็นสิบสามล้าน ดอกเบี้ยก็เอาการอยู่เหมือนกัน ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี งานก็ไม่ค่อยมีเข้ามาเหมือนช่วงทำกันใหม่ๆ”

“เธอยังส่งค่างวดไหวรึเปล่า” อำไพถามด้วยความเป็นห่วงเพราะสนิทสนมกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย

“ไม่ได้ส่งมาสี่เดือนแล้วครับ ผมหมุนไม่ทันจริงๆ ตอนนี้มีจดหมายจากธนาคารนัดให้ผมไปพบ”

กินรินฟังที่พ่อเล่าแล้วหันไปสบตากับวิธานผู้เป็นพี่ชายด้วยสีหน้าหนักใจ เพราะเรื่องนี้ทั้งสองพี่น้องเคยปรึกษากันมาหลายครั้งแต่ก็ยังไม่มีทางออก

วิธานทำงานรับราชการอยู่ในกระทรวงแห่งหนึ่งหลังจากเรียนจบกลับมาจากต่างประเทศ กินเงินเดือนข้าราชการเพียงหลักหมื่นจึงไม่มีกำลังมากพอจะช่วยเหลือครอบครัวเรื่องหนี้สิน ส่วนกินรินก็ช่วยหาเงินตั้งแต่ยังเรียนไม่จบด้วยการรับงานพริตตี แม้ทางบ้านไม่เห็นด้วย แต่จำใจยอมให้ลูกสาวออกไปทำงานเพราะครอบครัวกำลังขัดสน อย่างน้อยก็มีเงินเก็บไว้ใช้จ่ายส่วนตัวและจ่ายค่าเทอมโดยไม่ต้องรบกวนทางบ้าน

“แล้วถ้าจิรสินอยากจะซื้อบ้านของคุณอา คุณอาธารินทร์จะยอมไหมคะ” ประภาพรอดถามแทนทัดเทพไม่ได้ เพราะรู้ว่าญาติผู้น้องอยู่ในภาวะแทบจนมุม

“อาก็แล้วแต่ลูกๆ” ธารินทร์ตอบเสียงเบาอย่างอับจนหนทางเช่นกัน แม้จะรู้สึกไม่ชอบหน้าและมีอคติกับจิรสินมากแค่ไหน แต่ถ้าเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ทุกอย่างคลี่คลายก็คงต้องยอม ชายวัยเกือบแปดสิบแทบจะนึกไม่ออกว่าถ้าตนเองและลูกหลานไม่มีบ้านอยู่ขึ้นมาแล้วจะเป็นอย่างไร

เขามีลูกสองคนคือทัดเทพกับทิพวรรณ ตอนนี้ทัดเทพคือผู้ครอบครองบ้านหลังนั้น ส่วนทิพวรรณแต่งงานออกเรือนไปอยู่กับครอบครัวทางสามีนานกว่ายี่สิบปีแล้ว ธารินทร์เป็นคนรักลูกหลานจึงไม่เคยกล่าวโทษว่าทัดเทพทำให้เกิดหนี้สิน เพราะลูกชายตั้งใจเอาเงินไปลงทุนทำมาหากิน แต่กลับไม่เป็นไปตามที่คิด

“คุณตาจะยอมหรือครับ” ธนดลถามด้วยน้ำเสียงผิดคาด

“เขาอาจจะไม่ได้ต้องการซื้อทั้งหมดสองหลังก็ได้เพราะโฉนดก็ตัดแบ่งไปแล้ว แต่ที่จะซื้อหลังนี้อาจเป็นเพราะพี่พรอยู่บ้านหลังนี้” ทัดเทพคาดคะเน

“ตกลงว่าทางคุณอากับทัดยินดีจะขายบ้านให้เขาใช่ไหม ถ้าเขาสนใจจะซื้อ” ประภาพรสรุป

ทัดเทพได้ยินแล้วเหลือบตามาสบตากับพิมพาและลูกๆ ก่อนจะพยักหน้าด้วยสีหน้าหม่นหมอง เขาไม่อยากให้ลูกเมียต้องออกไปลำบากลำบนข้างนอก ถ้าบ้านถูกยึดหรือขายให้คนอื่นก็ต้องย้ายออกทันที แต่ถ้าขายให้จิรสินก็ยังพอคุยกันได้เพื่อขออาศัยอยู่ต่อไปตามเดิมในฐานะญาติ

แม้จะรู้เรื่องราวในอดีตระหว่างจิรสินกับคนในบ้านญานันทรว่ามีความบาดหมางกันเพียงใด แต่เรื่องนี้ทัดเทพไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยมากนัก แล้วยิ่งเป็นลูกๆ ของเขาก็เรียกว่าเกิดไม่ทันด้วยซ้ำไป ตอนจิรสินหนีออกจากบ้านวิธานเพิ่งเข้าอนุบาลปีแรก ส่วนกินรินเพิ่งเริ่มหัดเดิน ทัดเทพจึงไม่ได้รู้สึกว่าจิรสินเป็นฝ่ายตรงข้ามหรือมีอดีตไม่ดีต่อกัน

“แล้วทางแม่อำไพจะทำยังไง ในเมื่อพี่ธวัชไม่ยอมขายให้เด็กสินนั่น” ธารินทร์ยังคงเรียกจิรสินจิกเหมือนเดิม เพราะจรัสพรและจิรสินคือความอับอายของวงศ์ตระกูล แต่ตอนนี้จำเป็นต้องอดทนกล้ำกลืนเพราะทุกอย่างเปลี่ยนไป

“หนูกะว่าจะค่อยๆ พูดกับคุณพ่อค่ะ อย่างน้อยก็ให้เห็นแก่หลานๆ”

“นี่ตกลงว่าแม่จะยอมให้บ้านเราตกไปเป็นของไอ้เด็กข้างถนนนั่นเหรอ” ธนดลโพล่งถามเสียงดัง

“แล้วดลจะให้แม่ทำยังไง หรืออยากจะไปอยู่ข้างถนนเสียเอง” อำไพเสียงดังใส่ลูกชายด้วยความรำคาญ แม้จะรักดั่งแก้วตา แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมานั่งเอาอกเอาใจกันอีกต่อไป

“ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าบ้านเราจะอับจนกันถึงขั้นต้องไปก้มหัวให้ไอ้เด็กเวรนั่น” ธนดลเป็นหลานตาตัวจริงจึงจงเกลียดจงชังจิรสินไม่แพ้ธวัชที่พูดกรอกหูหลานอยู่ทุกวันจนฝังลึกในใจ

สองคนพี่น้องที่เป็นหลานปู่ธารินทร์จึงได้แต่มองสบตากันเองอย่างไม่เข้าใจ เพราะไม่เคยได้รับการปลูกฝังให้เกลียดใครแบบนี้มาก่อน โดยเฉพาะผู้เป็นแม่อย่างพิมพานั้นมักจะสอนให้ลูกๆ รู้จักผิดชอบชั่วดีมาแต่ไหนแต่ไร

“พี่ดลก็อย่าไปเรียกพี่สินอย่างนั้น เดี๋ยวป้าพรมาได้ยินเข้าจะไม่ดี” พิสินีรีบปรามเพราะธนดลเสียงดังลั่นห้องโถง

“เดี๋ยวนี้เธอเรียกมันว่าพี่สินเหรอ ยายสินี” ธนดลมองญาติผู้น้องที่เติบโตมาด้วยกันในบ้านหลังนี้เหมือนไม่เคยเห็นกันมาก่อน

“ก็ใช่น่ะสิ เขาแก่กว่าสินีตั้งสี่ปีจะให้เรียกว่าอะไรล่ะ” พิสินีแก้ตัว

“แต่เมื่อก่อนเธอเคยเรียกมันว่าไอ้ลูกไม่มีพ่อ ไอ้เด็กข้างถนน จำไม่ได้แล้วเหรอ” ธนดลรีบเตือนความจำญาติสาวที่อายุห่างกันเพียงสองปี เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะลืมเรื่องในอดีตไปแล้ว

“ตอนนั้นสินีเป็นเด็ก พูดอะไรไปก็ตามประสาเด็ก แต่ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่แล้วก็ต้องมีมารยาท พี่ดลก็เหมือนกัน”

“เชอะ! มีมารยาทหรือเห็นว่าไอ้ลูกแขกมันรวยกันแน่” ธนดลว่าแล้วแบะปากอย่างรู้ทันเพราะรู้นิสัยกันมานาน

“เอาละๆ ไม่ต้องเถียงกัน ใครจะรักจะเกลียดยังไงก็ต้องรู้จักเก็บอารมณ์ ดลก็เหมือนกันนะอย่าทำให้แม่กลุ้มใจมากไปกว่านี้เลย” ตอนท้ายอำไพหันไปปรามลูกชายที่ไม่ยอมโตเสียที

สุดท้ายคนเป็นแม่ที่มีลูกชายคนเดียวก็อดนึกถึงหลานชายที่ตนเองจงเกลียดจงชังไม่ได้ จิรสินอายุมากกว่าธนดลเพียงแค่สองปี แต่เหตุใดวาจาและท่าทางถึงได้แตกต่างกันมาก จิรสินพูดจาเชือดเฉือนและไม่ไว้หน้าใครก็จริง แต่มีบุคลิกที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวและมีความเป็นผู้นำซึ่งต่างจากธนดลอย่างเห็นได้ชัด

“ตกลงว่าผมต้องก้มหัวให้มันใช่ไหมแม่” ธนดลผุดลุกขึ้นยืนทันทีแบบคนที่ถูกตามใจจนเคยตัว

“แม่ไม่ได้บอกให้ดลทำอย่างนั้น แค่สงบปากสงบคำก็พอ”

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน” ธนดลตะโกนลั่นด้วยความขัดใจทั้งที่ผู้ใหญ่นั่งกันอยู่เต็มห้อง ก่อนจะหุนหันเดินออกไปปล่อยให้ผู้เป็นแม่นั่งกุมขมับด้วยความกลัดกลุ้ม

“ตาดลคงยังทำใจไม่ได้ พี่อำไพใจเย็นๆ นะครับ” ทัดเทพให้กำลังใจญาติผู้พี่

“ขอบใจนะทัด พี่อยากจะเป็นลมวันละหลายๆ รอบกับลูกคนนี้”

“มีอะไรกันนักหนาหรือแม่อำไพ” ธารินทร์อดถามไม่ได้ทั้งที่ทางบ้านตนเองก็มีเรื่องหนักอกอยู่ไม่น้อย

“ตาดลเขาไม่ยอมรับรู้อะไรเลยค่ะ คอยแต่จะมาขอเงินอยู่เรื่อย ไม่คิดบ้างว่าทุกวันนี้แม่ก็จะบ้าตายอยู่แล้ว” อำไพระบายความอัดอั้นกลัดกลุ้มออกมา เพราะทนเก็บไว้คนเดียวไม่ไหวอีกต่อไป

ตั้งแต่เลิกรากับสามี อำไพก็ทุ่มเททุกอย่างให้ลูกชายคนเดียวเพราะไม่อยากให้ลูกมีปมด้อย ส่วนธวัชก็สงสารหลานชายที่ขาดพ่อจึงแทบจะปรนเปรอให้ทุกอย่างจนธนดลกลายเป็นเด็กถูกตามใจจนแทบเสียคน กว่าจะเรียนจบปริญญาตรีมาได้ก็ต้องย้ายที่เรียนหลายแห่งเพราะถูกรีไทร์ หลังเรียนจบมาแบบลุ่มๆ ดอนๆ ก็ทำงานอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง กระทั่งมาขอเงินแม่ไปลงหุ้นกับเพื่อนเปิดร้านอาหารกลางคืน แต่ไม่เคยเห็นผลกำไรกลับคืนมาเลยสักบาท

“แต่ตอนนี้เรื่องใหญ่ไม่ใช่เรื่องลูกชายพี่อำไพหรอกนะ แต่เป็นคุณพ่อต่างหาก” ประภาพรอดเตือนพี่สาวไม่ได้ว่าให้ปล่อยลูกชายที่แสนจะไม่ได้เรื่องไปก่อน

“พี่รู้แล้วน่า...ยังไงก็ต้องลองคุยกับคุณพ่ออีกครั้ง แต่คงต้องทิ้งช่วงไปอีกสักสองสามวัน รอให้คุณพ่อใจเย็นลงกว่านี้”

“อาไม่แปลกใจหรอกนะที่ตาดลพูดออกมาอย่างนั้น อาเองก็แทบไม่อยากเชื่อว่าเราจะมีวันนี้ ต้องขายบ้านกันหมดทุกหลัง” ธารินทร์บอกกับหลานสาวคนโตราวกับว่ายังทำใจไม่ได้เช่นกัน

“คุณพ่อ...ผมขอโทษนะครับ เป็นความผิดของผมเองที่เอาเงินไปลงทุน” ทัดเทพยกมือไหว้บิดาด้วยความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ

“ไม่เป็นไรหรอกทัด พ่อรู้ว่าแกทำไปเพราะอยากให้ครอบครัวเรากลับมาสมบูรณ์พูนสุขเหมือนเดิม”

กินรินได้ยินทุกอย่างแล้วได้แต่ก้มหน้า ถอนหายใจเบาๆ ที่ตนเองไม่มีปัญญาช่วยกอบกู้ฐานะให้ครอบครัวได้ ทำได้ดีที่สุดก็แค่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายทางบ้านลงบ้างเท่านั้น โดยการหาเงินเป็นค่าใช้จ่ายและส่งตัวเองเรียนจนจบ และยังมีเงินเหลือหยิบยื่นให้แม่อีกด้วย

 

ครอบครัวของธารินทร์เดินลงจากบ้านใหญ่แล้วตรงกลับไปที่บ้านอีกหลังซึ่งอยู่ในรั้วเดียวกัน โดยแบ่งที่ดินเป็นฝั่งขวากับซ้าย มีสวนขนาดย่อมคั่นอยู่ตรงกลางระหว่างที่ดินทั้งสองแปลง บ้านทั้งสองหลังมีขนาดต่างกันไม่มากนัก แต่ทุกคนมักจะเรียกบ้านของธวัชซึ่งเป็นพี่ชายคนโตว่าบ้านใหญ่

“พ่อคิดว่าพี่สินจะซื้อบ้านเราหรือคะ” กินรินถามหลังกลับเข้าบ้านกันแล้ว โดยคุณปู่ขอตัวขึ้นข้างบนไปพักผ่อนตามประสาคนแก่

“พ่อก็เดาใจเขาไม่ถูกหรอกลูก แต่จะว่าไปเขาก็ทำถูกแล้วละที่จะซื้อบ้านใหญ่แล้วให้ทุกคนมีที่อยู่อาศัยกันต่อไป ก็เรียกว่าเขามีน้ำใจเป็นพิเศษแล้วนะ ถ้าขายให้คนอื่นก็ต้องย้ายออกไปไม่ต่างอะไรจากถูกธนาคารยึดนั่นแหละ ส่วนเรื่องที่ว่าเขาคิดจะมาฮุบสมบัติอะไรนั่นก็คงไปว่าเขาไม่ได้ เงินตั้งสิบเจ็ดล้าน ใครที่ไหนจะให้กันฟรีๆ ขนาดว่าเป็นพี่น้องคลานตามกันมายังไม่แน่เลยว่าจะยอมให้กันได้ไหม” ทัดเทพพูดอย่างเป็นกลางที่สุด ไม่เข้าข้างใคร

“แต่ก็น่าแปลกนะคะที่เขายอมยื่นมือเข้ามาช่วย ทั้งที่มีเรื่องหมางใจกันอยู่” พิมพาอดพูดไม่ได้ เพราะรู้ว่าคนที่นี่เคยทำกับเด็กตัวเล็กๆ อย่างจิรสินไว้สาหัสแค่ไหน

“ก็หวังว่าเขาจะลืมมันไปแล้ว” ทัดเทพพยายามคิดในแง่ดี

แต่ลูกสาวกลับไม่คิดอย่างที่พ่อนึกหวัง เพราะเท่าที่ได้สัมผัสตัวจริงของเขาวันนั้น กินรินรู้สึกว่าเขายังไม่ลืมเรื่องในอดีตไปง่ายๆ เพราะเขาดูไม่เป็นมิตรแม้แต่กับหล่อนเองซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ ทั้งสิ้น

ก่อนหน้านั้นที่เคยเจอกันในงานแสดงรถยนต์ เขายังมีท่าทีเป็นมิตรและยิ้มแย้มให้บ้างตามสมควร แต่พอมาเจอกันที่โรงพยาบาลแล้วรู้ว่าหล่อนเป็นใคร ท่าทีของชายหนุ่มกลับเปลี่ยนไปทันทีราวกับคนละคน โดยเฉพาะน้ำเสียงที่รู้สึกได้อย่างชัดเจน ยังไม่รวมถึงสายตาคมบาดลึกที่เต็มไปด้วยความระแวงและหมางเมินจนรู้สึกได้

 

“ทำไมพี่สินถึงได้รวยขนาดนี้ล่ะคะแม่”

“แม่ก็เคยได้ยินจากพี่พรว่ามีฝรั่งรับนายสินไปเลี้ยงเป็นลูก จำได้ว่าพี่พรต้องไปเซ็นยกให้เป็นลูกบุญธรรมแล้วหลังจากนั้นเขาก็พาไปอยู่ที่ปารีส แต่ไม่คิดว่าฝรั่งสองผัวเมียนั่นจะรวยขนาดนี้” ประภาพรเล่าให้ลูกสาวฟังด้วยน้ำเสียงที่บอกว่าแทบไม่อยากเชื่อเช่นกัน ใครจะคิดว่าเด็กอย่างจิรสินจะไปได้ดิบได้ดีกลับมาจนไม่เหลือเค้าคนเดิม

“นี่มันบุญหล่นทับชัดๆ เลยนะคะ ไม่ใช่แค่พี่สินแต่ป้าพรด้วยอีกคน ไปนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลแพงหูฉี่นานตั้งหลายอาทิตย์ แบบนี้เขาเรียกว่ารวยเข้าขั้นเศรษฐีเลยนะ”

ประภาพรฟังลูกสาวแล้วก็เริ่มรู้สึกอิจฉาพี่สาวที่เคยตกอยู่ในสภาพแทบไม่ต่างอะไรจากคนรับใช้มากว่ายี่สิบปี จรัสพรต้องอยู่แบบเจียมเนื้อเจียมตัวและแทบไม่เคยโผล่หน้าขึ้นมาบนเรือนใหญ่เลยถ้าไม่จำเป็น แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นแม่เศรษฐีภายในชั่วข้ามคืนอย่างน่าอัศจรรย์

“ทำไมไม่มีใครมาขอสินีไปเลี้ยงแบบนี้บ้างนะ” น้ำเสียงของพิสินีบ่งบอกว่าเสียดายที่ไม่มีเศรษฐีมาขอไปเลี้ยงบ้าง

ผู้เป็นแม่จึงอดค้อนควักลูกสาวไม่ได้ เพราะอุตส่าห์เลี้ยงดูมาอย่างดี แถมที่ผ่านมาก็ตามใจทุกอย่าง “ถ้าอยากได้อะไรดีๆ ตอนนี้ก็ยังไม่สายหรอกนะสินี”

“ยังไงคะแม่”

“ก็พยายามทำดีกับนายสินกับป้าพรด้วย แม่ได้ยินว่าเขายังโสด” ผู้เป็นแม่เริ่มบงการทันที เพราะกำลังจนแต้ม

พิสินีเรียนจบปริญญาตรีก็จริง แต่ไม่เคยทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะถูกเลี้ยงมาแบบคุณหนูจนกลายเป็นคนหยิบโหย่ง ชอบแต่งตัวรักสวยรักงามและใช้เงินมือเติบ ไม่ต่างไปจากธนดลซึ่งถูกเลี้ยงดูและเติบโตมาในบ้านเดียวกัน ก่อนหน้านี้ประภาพรไม่คิดว่าเป็นปัญหากระไรนัก แค่ลูกสาวคนเดียวพ่อแม่มีปัญญาเลี้ยงได้ แต่ตอนนี้เงินทองชักร่อยหรอ ก็คงต้องอาศัยลูกสาวเป็นสะพานเชื่อมไปหาความสุขสบายร่ำรวยแบบง่ายๆ

“แม่หมายถึงว่าจะให้สินี เอ่อ...” พิสินีคิดไม่ถึงว่าแม่จะพูดตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมจึงตั้งรับไม่ทัน ทั้งที่ตนเองก็รู้สึกสนใจจิรสินตั้งแต่แรกเห็น เพราะเขาเปลี่ยนไปมากจนแทบจำไม่ได้

“ใช่...ถ้าลูกทำได้ เราก็รอด”

“แม่คะ แล้วคุณตากับป้าอำไพจะว่ายังไงถ้าสินี...ในเมื่อคุณตาไม่ชอบพี่สิน”

“ชั่วโมงนี้ไม่ต้องสนใจอะไรแล้ว ทำตามที่แม่แนะนำก็พอ อยากอดตายรึไง!”

“ค่ะแม่”

“เราเองก็สามสิบแล้วนะ ถึงสมัยนี้เขาจะไม่ถือสากันว่าสามสิบแล้วทำไมยังไม่แต่งงาน แต่ถ้าปล่อยให้เนิ่นนานไปกว่านี้ก็มีหวังขึ้นคานแน่ๆ จ้ะ” ประภาพรอดเตือนลูกสาวไม่ได้

“แหม...ไม่ต้องย้ำหรอกค่ะ” พิสินีทำหน้าง้ำทันทีพอมีคนมาสะกิดเรื่องอายุ

ใช่ว่าพิสินีไม่อยากแต่งงาน แต่ตอนนี้จะหาผู้ชายฐานะดีๆ มาแต่งด้วยนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะใครๆ ก็รู้กันทั่วแล้วว่าญานันทรกำลังย่ำแย่ ซึ่งเป็นเหตุชายหนุ่มหลายคนหลุดมือไป กลายเป็นคบๆ เลิกๆ จนสุดท้ายพิสินีก็ไม่ได้ใครเลยสักคน

“ไม่ให้แม่ย้ำได้ยังไง เราน่ะอายุมากขึ้นทุกวัน อย่าทำเป็นนิ่งนอนใจ ถ้ายังเด็กอย่างยายกระเต็นก็มีโอกาสเลือกอีกเยอะ”

“เอาสินีไปเปรียบกับยายเด็กนั่นทำไมคะ” พิสินีทำเสียงไม่พอใจ

แม้จะอายุห่างกันถึงแปดปี แต่หล่อนจำได้ว่าตนเองมักถูกเปรียบเทียบกับหลานสาวของคุณตาธารินทร์อยู่เป็นประจำ ทั้งเรื่องหน้าตา ผิวพรรณ และกิริยามารยาท รวมไปถึงเรื่องการเรียนที่หลานคนไหนก็เรียนไม่เก่งเท่าแม่กระเต็น เพราะสอบได้ที่หนึ่งแทบทุกปี แถมยังเก่งภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก กระทั่งสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยอินเตอร์ได้แบบสบายๆ เป็นที่ปลาบปลื้มใจของทุกคนในตระกูล เป็นเหตุให้พิสินีไม่ค่อยชอบหน้าญาติผู้น้องไปโดยปริยาย

เมื่อพิสินีเริ่มโตเป็นสาวจึงสนใจเรื่องแต่งเนื้อแต่งตัวเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้ตนเองด้อยไปกว่าหลานสาวอีกคนที่มีหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักจนผู้ใหญ่หลงกันทั้งบ้าน แม้แต่ตาธวัชของหล่อนก็ยังปลื้มจนพูดถึงแม่กระเต็นไม่ขาดปาก

 

เช้าวันรุ่งขึ้นพิสินีจึงนำตะกร้าผลไม้หลายอย่างไปที่เรือนเล็กด้านหลัง ซึ่งหล่อนแทบไม่เคยเยี่ยมกรายไปที่นั่นมาก่อน

เรือนหลังนี้อยู่ลึกเข้าไปในสวนด้านหลัง ในอดีตเคยได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามเพื่อเป็นเรือนรับรองแขกจนกระทั่งจรัสพรกับลูกชายย้ายเข้ามาอยู่ ในระยะเกือบยี่สิบปีมานี้จึงถูกละเลยไม่ได้รับการดูแลมากนักตามกำลังเงินของเจ้าของบ้าน รวมไปถึงได้ยกเลิกการเป็นเรือนรับรองไปแล้วเพราะกลายเป็นที่พักของจรัสพรซึ่งมีฐานะแทบไม่ต่างจากคนรับใช้ในบ้าน

เมื่อพิสินีไปถึงเรือนไม้เก่าๆ ที่ป้าอาศัยอยู่มานานยี่สิบกว่าปีกลับพบว่ามีคนมาตัดหน้าเสียก่อน

‘นังกระเต็น!’

หญิงสาวนึกก่นด่าญาติผู้น้องอยู่ในใจ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงมาประจบเอาใจมารดาของจิรสินเช่นกัน ความรู้สึกที่เคยโดนเปรียบเทียบและเป็นคู่แข่งกันมาตลอดจึงเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าในตอนนี้

พิสินีเดินเข้าไปในเรือนไม้ชั้นเดียวสีครีมหลังย่อม แล้วทักทายเจ้าของบ้านด้วยท่าทีประดักประเดิดเล็กน้อยเพราะไม่เคยมาเยี่ยมเยือนกันมาก่อน ทั้งที่รู้ว่าป้าป่วยมานานแล้ว “สินีเอาองุ่นกับแอปเปิลมาให้ค่ะ” พิสินีเดินเข้าไปที่โต๊ะกินข้าวแล้ววางตะกร้าผลไม้ลง

จรัสพรซึ่งกำลังนั่งรับประทานอาหารเช้าจากปิ่นโตของหญิงสาวคนแรกที่มาถึงก่อนหน้านี้เงยหน้าจากจานอาหารขึ้นมาดูแล้วยิ้มบางๆ “ขอบใจนะจ๊ะ นั่งก่อนสิ”

“กระเต็นมาแต่เช้าเลยนะ” พิสินีหันไปทักแบบเสียไม่ได้ แล้วมองอาหารสองสามอย่างในปิ่นโตก่อนจะแบะปากอย่างหมั่นไส้

“กระเต็นมาหาป้าบ่อยๆ เอาโน่นนี่มาให้กินประจำ ตอนป้าอยู่โรงพยาบาลก็ไปเยี่ยมตั้งหลายหน” จรัสพรบอกให้คนมาใหม่รับรู้ไว้ว่าทุกอย่างที่เห็นเป็นเรื่องปกติที่เคยเกิดขึ้น

ส่วนกินรินได้แต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา เพราะรู้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าญาติผู้พี่ไม่ใคร่จะชอบหน้าตนเองนัก แถมตอนที่เป็นเด็กก็มักจะถูกแกล้งอยู่บ่อยๆ กระทั่งต่างคนต่างโตเป็นผู้ใหญ่จึงกลายเป็นว่าไม่ค่อยกินเส้นกันไปโดยปริยาย

“ป้าพรเป็นยังไงบ้างคะ ดีขึ้นรึยัง” พิสินีถามหลังจากนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งชิดริมผนัง

ภายในโถงเล็กๆ ของเรือนหลังนี้ไม่มีชุดรับแขก แต่มีเก้าอี้พอให้นั่งได้อยู่หลายตัว ส่วนโต๊ะกินข้าวเล็กๆ นั่งได้เพียงสองคน และตอนนี้กินรินก็กำลังนั่งอยู่กับเจ้าของบ้าน

“ดีขึ้นเยอะแล้วจ้ะ ได้หมอดีป้าก็เลยหายเร็ว” จรัสพรตอบหลานสาวที่แทบไม่เคยเห็นหน้าค่าตาแม้จะอยู่ในรั้วบ้านเดียวกัน

“โชคดีนะคะที่พี่สินพาป้าพรไปรักษาที่โรงพยาบาลนั้น สินีได้ยินมาว่าค่ารักษาแพงมากเลยนี่คะ”

“ก็คงอย่างนั้น แต่ป้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าเท่าไหร่กันแน่” คนป่วยตอบแล้วหันกลับไปมองหญิงสาวที่นั่งเงียบอยู่นานแล้ว “ที่หายเร็วอีกอย่างก็เพราะได้กินของอร่อยๆ ฝีมือกระเต็นกับแม่พิมพา”

“ป้าพรอยากทานอะไรบอกสินีได้นะคะ จะได้ไปสั่งในครัวทำมาให้” หลานสาวรีบเอาใจ

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เดี๋ยวจะยุ่งยากกันเปล่าๆ”

กินรินเหลือบมองญาติผู้พี่ด้วยความแปลกใจ ก่อนหน้านี้ทั้งพิสินีและทุกคนในบ้านต่างไม่เคยใส่ใจป้าพรกันเลยสักคน เหตุไฉนตอนนี้ถึงได้มาทำท่าเอาอกเอาใจเป็นพิเศษจนป้าพรวางตัวแทบไม่ถูก

“ไม่ยุ่งหรอกค่ะ สินีจะจัดการให้นะคะ กระเต็นกับน้าพิมพาจะได้ไม่ลำบาก” พิสินีบอกแล้วสบตากับกินรินคล้ายกับจะบอกว่าไม่ต้องทำกับข้าวมาอีก แต่กินรินทำทีไม่สนใจ เพราะตามปกติก็แทบไม่เคยเสวนากัน

“แล้วถ้าวันไหนป้าพรจะไปหาหมอบอกสินีได้ทันทีเลยนะคะ สินีจะพาไปเองค่ะ”

“ป้าคงไม่รบกวนสินีหรอกจ้ะ สินคงมารับป้าไปหาหมอเอง เพราะเขาอยากคุยกับหมอด้วย”

“แล้วพี่สินจะมาหาป้าพรอีกเมื่อไหร่คะ หรือว่าจะให้คนมารับป้าพรไปหาที่โรงแรมอย่างที่เคยบอกไว้”

“เขาคงมาหาป้าที่นี่แหละจ้ะ เพราะป้ายังไม่ค่อยอยากออกไปไหน”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยค่ะ สินีเองก็อยากคุยกับพี่สิน ไม่ได้เจอกันนานตั้งยี่สิบเอ็ดปี” พิสินีบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ส่วนอีกสองคนได้แต่มองตากันด้วยความแปลกใจ

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น