5

บ้านญานันทร


5

บ้านญานันทร

 

จรัสพรรักษาตัวในโรงพยาบาลนานร่วมเดือนจนอาการดีขึ้นเป็นปกติแพทย์จึงอนุญาตให้กลับบ้าน โดยลูกชายมารับในตอนสาย แล้วพาแม่กลับมาที่บ้านญานันทรตามเดิม

ชายหนุ่มในชุดสูทหรูราคาแพงมาถึงบ้านญานันทรด้วยรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลเค-คลาสรุ่นล่าสุดป้ายแดง พร้อมกับจรัสพรซึ่งจูงมือลูกชายคนเดียวเดินขึ้นเรือนใหญ่เพื่อทักทายทุกคนในบ้าน วันนี้เป็นวันหยุดจึงอยู่กันครบ ยกเว้นสามีของประภาพรที่ไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนอยู่ต่างจังหวัด ส่วนสามีของอำไพ พี่สาวคนโตนั้นเลิกร้างกันไปนานร่วมสิบปีแล้ว คนในบ้านจึงดูบางตาลงกว่าตอนที่จิรสินเคยอาศัยอยู่ที่นี่ เพราะคนรับใช้ก็น้อยลงด้วยเช่นกัน

“สวัสดีครับ” จิรสินยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทีละคน จนมาหยุดตรงหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ประภาพรซึ่งพอจำเค้าหน้าได้ว่าเป็นใคร คราวก่อนเขาไม่ได้เจอหลานๆ บ้านนี้เลยสักคน แล้วที่นั่งอยู่ตอนนี้ก็น่าจะเป็นสินี หรือพิสินี ลูกสาวของน้าประภาพร

“นั่งก่อนสิ” อำไพเอ่ยปากเชื้อเชิญด้วยน้ำเสียงเคร่งพอกับสีหน้า

คนถูกเชิญรู้สึกว่าป้าแท้ๆ ของตนดูมีน้ำใจมากกว่าตอนที่มารับแม่ไปโรงพยาบาล แต่ตาธวัชยังทำเมินเหมือนมองไม่เห็นและไม่รับไหว้

“สวัสดีค่ะ พี่สิน” พิสินีเป็นฝ่ายยกมือไหว้ก่อนหลังจากชายหนุ่มนั่งลงเรียบร้อยแล้ว

ไม่ได้เจอกันนานยี่สิบเอ็ดปี หญิงสาวไม่คิดว่าเขาจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนขนาดนี้ ตอนนี้เขาดูแทบไม่เหลือเค้าเด็กขอทานข้างถนนที่แม่ของหล่อนเคยเรียกจิกหัวจนหล่อนซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวจำเอาไปเรียกตามอย่างสนุกปาก

พิสินีส่งยิ้มให้เขาเพื่อผูกไมตรีก่อนเป็นอันดับแรก เพราะตอนนี้จิรสินดูดีราวกับเป็นลูกหลานตระกูลไฮโซก็ไม่ปาน แถมยังขับเบนซ์ป้ายแดงอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นใบหน้าคมเข้มและรูปร่างสูงใหญ่ของเขายังสะดุดตาเข้าอย่างจังจนต้องเผลอมองแบบไม่รู้ตัว

“สวัสดีครับ” จิรสินรับไหว้และเห็นว่าญาติสาวจ้องมองมาตาแทบไม่กะพริบ ดวงตาคมของหล่อนทอประกายบางอย่างที่ส่งมาถึงเขาแบบไม่คิดปิดบัง ใบหน้าคมสวยของสาววัยสามสิบสะดุดตาอยู่เหมือนกัน แต่ไม่มากพอที่จะตรึงสายตาเขาไว้ได้นานนัก

แล้วเขาก็เหลือบเห็นว่าป้าอำไพซึ่งนั่งใกล้กับแม่เอียงหน้ามากระซิบบางอย่างกับแม่แค่ให้ได้ยินกันสองคน

“พี่สินกลับมาคราวนี้จะมาอยู่ที่นี่เลยรึเปล่าคะ” พิสินีถามด้วยท่าทีสนใจทำให้ชายหนุ่มต้องเบือนหน้ากลับมาหาอีกหน

ในจังหวะที่พิสินีกำลังชวนจิรสินคุยเพื่อผูกสัมพันธ์นั้นเอง อำไพจึงได้โอกาสซักถามจรัสพรเรื่องที่ตนเคยโทรศัพท์ไปคุยตอนที่อีกฝ่ายอยู่ที่โรงพยาบาล ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ทั้งอำไพและประภาพรไม่เคยคิดไปเยี่ยม แต่จู่ๆ ก็โทร. ไปหา แล้วอ้างว่าเพิ่งรู้จากกินรินว่าจรัสพรเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังที่สุดในกรุงเทพฯ

น้ำเสียงของอำไพในวันนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจและตื่นเต้น เมื่อรู้ว่าจิรสินมีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาล และยิ่งได้รู้ว่าจิรสินทำธุรกิจหลายอย่างที่ปารีสและมีฐานะค่อนข้างดี ทำให้อำไพออกปากทวงบุญคุณที่ยอมให้จรัสพรอยู่ร่วมชายคาญานันทรมายี่สิบกว่าปี ด้วยการออกคำสั่งกลายๆ ให้น้องสาวคนกลางนำเงินลูกชายมาช่วยพยุงฐานะครอบครัวญานันทรในตอนนี้ ทั้งที่ตลอดมาอำไพไม่เคยคิดจะเสวนากับจรัสพรทั้งๆ ที่อยู่ในรั้วบ้านเดียวกัน

ทุกวันนี้อำไพกับประภาพรมีชื่อเป็นเจ้าของบ้านร่วมกันหลังจากธวัช ผู้เป็นบิดาได้เซ็นยกมรดกชิ้นสุดท้ายให้ลูกสาวทั้งสองคน  โดยที่จรัสพรไม่มีสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้นในบ้านหลังนี้ จึงเป็นเหตุให้อำไพยกเรื่องนี้ขึ้นมาทวงบุญคุณทั้งที่เป็นพี่น้องคลานตามกันมา

ฝ่ายจรัสพรเองก็ไม่กล้ารับปาก เพราะรู้แก่ใจดีว่าลูกชายนั้นตัดญาติกับคนบ้านนี้ไปนานแล้ว เพราะไม่เคยถูกนับญาติทั้งที่เป็นหลานแท้ๆ แต่สุดท้ายจรัสพรก็ขอร้องให้ลูกชายช่วยเหลือคนบ้านญานันทรก่อนที่พวกเขาจะไม่มีที่ซุกหัวนอน และเกรงว่าบิดาซึ่งอายุแปดสิบกว่าจะไม่มีบ้านอยู่ โดยที่จรัสพรไม่ได้บอกกับจิรสินว่าอำไพเป็นคนขอร้องให้ช่วย

“นายสินเขารับปากเธอรึเปล่า”

“ค่ะ เขาบอกแล้วว่าจะช่วย”

“เมื่อไร หรือที่ขึ้นบ้านมากะว่าจะมาคุยกันเรื่องนี้” อำไพถามอย่างร้อนใจตามประสาคนมีหนี้

“คงใช่ค่ะ เพราะเขาบอกว่าจะคุยเรื่องนี้เอง”

“มาคุยต่อหน้าคุณพ่อได้ยังไง ก็รู้อยู่ว่าท่านไม่ชอบหน้าลูกเธอ”

“เอ่อ...แล้วพี่อำไพจะให้คุยตอนไหน” จรัสพรถามอย่างเป็นกังวล

“บอกเขาให้คุยกับฉันสองคนก็พอ หรือเธอจะอยู่ฟังด้วยก็ได้” อำไพออกคำสั่งอย่างเคยชินในฐานะพี่สาวคนโตของบ้าน “รีบไปกระซิบบอกลูกเธอสิ ก่อนจะพูดออกมากลางวงต่อหน้าคุณพ่อ”

“ค่ะ” จรัสพรจึงหันไปสะกิดบอกลูกชายไม่ให้คุยเรื่องที่บ้านติดจำนองอยู่ในธนาคารเวลานี้

“ทำไมล่ะครับแม่” จิรสินขมวดคิ้วทันที แม้พอเดาได้ว่าคงเป็นคำสั่งมาจากป้า เพราะเห็นว่าซุบซิบอะไรกับแม่อยู่ชั่วครู่

“ป้าอำไพอยากคุยกับลูกสองคน”

“แต่ผมอยากคุยเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคน” เขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ป้าต้องการ จิรสินไม่เคยมีความคิดอยากช่วยเหลือใครในบ้านนี้ทั้งสิ้น แต่ที่ต้องเข้ามาข้องเกี่ยวก็เพราะแม่ออกปากขอร้อง และตอนนี้เขาเริ่มรู้แล้วว่าป้าอำไพอาจเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้แม่ต้องเอ่ยปากทั้งที่รู้ว่าลูกชายคงอึดอัดใจ เขาจึงไม่ต้องการให้ความช่วยเหลือแบบเงียบๆ หรืองุบงิบทำกันแค่สองคน แต่ต้องการให้ทุกคนในบ้านนี้ได้สำนึกว่ากำลังจะไม่มีที่ซุกหัวนอน แล้วยังต้องพึ่งพาลูกคนข้างถนนอย่างไอ้สิน

“คุยเรื่องอะไรกัน” ประภาพรถาม เพราะชายหนุ่มพูดเสียงปกติจึงได้ยินกันหมดทุกคน

อำไพหน้าเครียด หันมาจิกตาใส่สองคนแม่ลูกที่ไม่ยอมทำตามคำสั่ง โดยเฉพาะเจ้าลูกชายที่วางท่าเป็นผู้ดีมีเงินต่างจากสมัยเป็นเด็กลิบลับ

“แกจะมาคุยอะไร ไม่มีใครอยากฟังหรอก” ธวัชหันมาบอกหลานชายเสียงเข้ม แม้วัยจะล่วงเลยไปไกลมากแล้ว แต่คนถือยศถือศักดิ์แบบวางไม่ลงก็ยังคงวางหน้าเคร่งและทำเสียงข่มเหมือนยี่สิบกว่าปีก่อน

ในความรู้สึกของจิรสินนั้น คุณตาไม่เคยเปลี่ยนและยังคงชิงชังรังเกียจราวกับเขาไม่ใช่หลาน

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณพ่อ” อำไพรีบกลบเกลื่อน

“ถ้าป้าอำไพไม่ยอมให้ผมพูดตอนนี้ ผมก็จะไม่คุยเรื่องนี้กับใครอีก” จิรสินรู้ทันพี่สาวคนโตของแม่ตามประสาคนหัวไวที่ทำธุรกิจมาจนช่ำชอง และติดต่อพบเจอผู้คนมาหลากหลายรูปแบบจึงรีบดักทางเพื่อบีบให้อีกฝ่ายต้องยอมเจรจาต่อหน้าคนทั้งบ้าน เหตุเพราะเขารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ และนั่นคือความสนุกแกมสะใจเล็กๆ น้อยๆ ที่จะได้รับติดมือกลับไป

แต่นี่แค่ยกแรกหรือแค่น้ำจิ้มเท่านั้น เพราะยังไม่ถึงเวลาเสิร์ฟเมนคอร์สขึ้นโต๊ะ!

“แกจะมาพูดเรื่องอะไร” ธวัชถามหลานชายซ้ำ เสียงแข็งกว่าเดิมแบบไม่พอใจ

“คุณตาลองถามลูกสาวคนโตดูสิครับว่าอยากจะคุยกับผมเรื่องอะไร” จิรสินตอบกลับแบบเล่นลิ้น เขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจใครอยู่แล้วไม่ว่าคนคนนั้นจะอายุมากกว่าแค่ไหน ในเมื่อตนเองก็ไม่เคยได้รับความเห็นใจจากทุกคนที่นี่ แล้วตอนนี้เขาก็กำลังถือไพ่เหนือกว่า

เวลานี้ชายหนุ่มยึดถือกฎเดียวกันกับคนในบ้านญานันทรที่ว่า ใครมีเงินคนนั้นก็เป็นนาย ส่วนคนจนย่อมต้องตกเป็นบ่าวอย่างไม่ต้องสงสัย

“อำไพ นี่มันเรื่องอะไรกัน” ธวัชถามลูกสาวหน้าเคร่ง

“เอ่อ...คุณพ่อคะ”

“ว่ายังไง” คราวนี้คนถามทำเสียงแข็ง เมื่อลูกสาวคนโตยังอ้ำอึ้ง

“อย่าเครียดสิครับคุณตา เดี๋ยวเส้นเลือดในสมองจะแตกเอา” จิรสินเตือนชายชราด้วยความหวังดี

แต่น้ำเสียงกวนๆ กลับทำให้คนถูกเตือนหันมาหาพร้อมตาลุกวาว ส่วนคนอื่นๆ ที่นั่งกันอยู่ก็คงแทบตกเก้าอี้ที่เขากล้าพูดแบบนี้กับตาธวัช ซึ่งคงไม่มีลูกหลานคนไหนกล้าทำแน่ๆ

“ไอ้สิน!” ธวัชมองหลานชังตาแทบถลนออกมา ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่ยังแรงดีๆ อยู่คงวิ่งไปหาไม้มาแพ่นกบาลคนพูดไปแล้วแน่ๆ

“สิน...ไม่เอาน่าลูก เดี๋ยวก็กลายเป็นเรื่องหรอก” จรัสพรรีบปรามลูกชาย

“แกมันก็เหมือนเดิมนั่นแหละ ต่อให้แต่งตัวดีใส่สูทแพงๆ หรือเอาทองมาพอกไว้ทั้งตัว แต่ก็หนีไม่พ้นความเป็นลูกไอ้ขี้ครอก พอเผลอก็หลุดสันดานเดิมออกมาทันที” ธวัชตอกกลับอย่างเจ็บแสบด้วยความโมโหระคนชิงชังจนแยกไม่ออก

“ผมก็เป็นหลานตาคนเดิมนั่นแหละครับ จะเปลี่ยนไปเป็นคนอื่นได้ยังไง” จิรสินว่าอย่างใจเย็นและไม่สะทกสะท้านกับถ้อยคำที่เคยได้ยินจนชินในตอนเด็ก

“แกกลับไปได้แล้ว ไม่ต้องมาที่นี่อีก” ธวัชไล่เสียงดัง

“ป้าอำไพว่ายังไงครับ” เขาหันกลับไปถามอีกคนพร้อมกับเลิกคิ้วกวนๆ “ถ้าผมลงจากบ้านไปตอนนี้ ผมจะไม่กลับมาอีก”

“พี่อำไพ...มีเรื่องอะไรกันเหรอคะ” ประภาพรอดทนต่อไปไม่ไหวต้องถามซ้ำอีกครั้งด้วยความอยากรู้ ส่วนลูกสาวก็มองมาที่จิรสินด้วยความสนใจใคร่รู้เช่นกัน

“ว่ายังไงครับป้า ถ้าไม่มีอะไรผมก็จะได้กลับ แล้วคงไม่มาที่นี่อีก ถ้าอยากพบแม่ผมจะให้คนขับรถมารับแม่ไปที่โรงแรม แล้วคาดว่าอีกไม่นานก็คงต้องมาช่วยแม่เก็บของย้ายออกจากบ้านนี้”

“ทำไมแกไม่พาแม่ของแกไปอยู่ที่อื่นตั้งแต่วันนี้เลยเล่า” ธวัชถามเหมือนต้องการไล่จรัสพรด้วยอีกคน

“คุณพ่อคะ” จรัสพรเรียกบิดาด้วยความรู้สึกน้อยใจ

“ผมทำแน่ คุณตาไม่ต้องห่วงหรอก” ชายหนุ่มหันไปหาอีกคนที่ยังนั่งนิ่งโดยไม่มีคำตอบ “ถ้าไม่มีอะไรต้องคุยกัน ผมก็จะกลับ”

“เดี๋ยว!” อำไพรีบห้ามทันทีที่ร่างสูงใหญ่ทำท่าจะลุกขึ้นยืน

“อำไพ เธอมีเรื่องอะไรที่ต้องคุยกับมัน ถึงได้ทำท่ามีลับลมคมใน” ธวัชถามลูกสาวด้วยความคลางแคลงใจกับท่าทางที่เห็นมาตั้งแต่ต้น

“คุณพ่อใจเย็นนะคะ ฟังหนูก่อน”

“ฟังอะไร”

“หนูกับประภาคิดหาทางออกให้พวกเรากันมาหลายเดือนแล้วแต่ก็มืดแปดด้าน เลยลองปรึกษากับแม่พรว่า...สินพอจะช่วยอะไรเราได้ไหม”

ธวัชได้ยินคำอธิบายของลูกสาวแล้วถึงกับหน้าตึง ก่อนจะส่ายหน้าไปมาตามประสาคนทิฐิแรงที่ไม่ยอมก้มหัวให้ใครง่ายๆ “เธออย่าทำอย่างนั้นเด็ดขาดนะอำไพ ตราบใดที่พ่อยังไม่ตาย เธอจะทำแบบนั้นไม่ได้”

“คุณพ่อ...” อำไพเรียกบิดาด้วยน้ำเสียงหนักอก

แต่ใบหน้าคมสันหล่อเหลาของหนุ่มร่างใหญ่กลับจุดรอยยิ้มขึ้นมา เพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่คาด เขาต้องการให้เรื่องเป็นแบบนี้จึงยืนยันว่าต้องคุยกันต่อหน้าทุกคนเท่านั้น

ส่วนประภาพรกับลูกสาวมีสีหน้าตื่นเต้นยินดีเมื่อได้รู้ข่าวใหม่ว่าตนเองกำลังจะมีทางรอด

“คุณพ่อคะ ยังไงสินเขาก็เป็นลูกหลานตระกูลญานันทรคนหนึ่ง ถ้าจะกลับมาช่วยเหลือกันก็ไม่เห็นแปลกอะไรเลย ทำไมคุณพ่อต้องปฏิเสธด้วยล่ะคะ” ประภาพรพยายามเกลี้ยกล่อมอีกแรงเผื่อว่าคนแก่จะยอมใจอ่อน

“ฉันไม่ใช่คนเห็นแก่ได้ ถึงจะอดตายฉันก็ยอม” ธวัชประกาศกร้าวอย่างคนที่ถือศักดิ์ศรีน้ำหน้าทุกสิ่ง เรื่องที่จะยอมก้มหัวให้เด็กเมื่อวานซืนเป็นไม่มีแน่นอน

“โธ่...คุณพ่อ” จรัสพรได้แต่ทอดถอนใจ เพราะไม่กล้าออกความคิดเห็นใดๆ

“คนไม่เคยอดไม่รู้หรอกครับว่าความหิวมันเป็นยังไง พอถึงเวลาจริงๆ อาจจะทนไม่ไหว”

“ไอ้สิน!” ธวัชผุดลุกขึ้น เรียกหลานชายเสียงสั่นที่กล้าทำปากดีต่อหน้า แถมยังพูดจาเหมือนสั่งสอนอีก

“คุณพ่อคะ ที่สินพูดมันก็ถูกของเขานะคะ คุณพ่ออาจจะทนได้ แต่เคยนึกถึงหลานๆ บ้างไหมว่าจะไปอยู่ที่ไหนกัน บ้านเราเคยอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา คุณพ่ออยากให้พวกเราต้องแยกกันไปคนละทิศละทางหรือคะ” ประภาพรเป็นคนกล้าพูดมาตั้งแต่เด็กจึงกล้าโต้แย้งบิดาอย่างที่ลูกๆ คนอื่นแทบไม่กล้า แล้วเหตุผลของลูกสาวคนเล็กก็ทำให้คนที่กำลังโมโหต้องนิ่งไปนาน

“คุณตาให้พี่สินช่วยเราเถอะนะคะ สินีไม่อยากไปอยู่ที่อื่น เห็นป้าอำไพบอกว่าธนาคารแจ้งเรื่องมาแล้วตั้งแต่เดือนก่อน เรากำลังจะไม่มีที่ซุกหัวนอนแล้วนะคะคุณตา”

ฟังหลานสาวแล้วธวัชหลับตาลงเพราะตนเองก็จนปัญญา เขารับรู้มานานแล้วว่าบ้านญานันทรมีปัญหาด้านการเงิน เพราะแต่ละคนหาเงินไม่ทันกับรายจ่าย จนสุดท้ายต้องเอาบ้านไปจำนอง

“คุณตานั่งลงก่อนนะคะ” พิสินีลุกขึ้นมาประคองชายชราให้นั่งลงที่เก้าอี้ตามเดิมอย่างเอาอกเอาใจ เพราะเคยใช้วิธีนี้แล้วได้ผล

“แกมีเงินมากขนาดไหน ถึงขั้นจะเอามาไถ่บ้านหลังนี้คืนมาได้เชียวหรือ” ชายชราถามหลานชาย

“ถ้าไม่มีเงิน ผมคงไม่กล้ารับปากแม่หรอกครับ”

“แล้วทำไมแกต้องเอาเงินเยอะแยะมาช่วยเราฟรีๆ” ธวัชยังไม่ไว้ใจ เพราะที่ผ่านมาก็พอรู้อยู่ว่าจิรสินคับแค้นใจแค่ไหนจนต้องหนีออกจากบ้านไปตายเอาดาบหน้า

“ผมเป็นนักธุรกิจคงไม่เอาเงินเป็นสิบๆ ล้านไปช่วยใครฟรีๆ แน่นอน” ชายหนุ่มตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำให้ได้ยินกันทุกคน

“เธอหมายความว่ายังไง” อำไพถามคล้ายตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะเข้าใจว่าตนเองจะได้เงินจากหลานชายโดยไม่ต้องมีสิ่งใดแลกเปลี่ยน เพราะอาศัยจรัสพรเป็นตัวกลางหรือสะพานเชื่อม

“ป้าอำไพก็อยู่มาจนอายุหกสิบแล้ว ยังไม่รู้อีกหรือครับว่าของฟรีไม่มีในโลก” จิรสินยิ้มเหยียดสะใจ ดวงตาคมจับอยู่ที่ใบหน้าที่ทั้งโกรธและงงของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นป้าแท้ๆ เขาไม่เคยได้รับความเมตตาใดๆ จากผู้หญิงคนนี้เลย นั่นคือความทรงจำที่ไม่อาจลบออกไปได้ง่ายๆ

“แล้วจะเอายังไง” อำไพถามเสียงดังอย่างข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เพราะทุกวันนี้ก็ร้อนใจจนแทบลุกเป็นไฟอยู่แล้วกับเรื่องหนี้สินท่วมหัว

ธวัชทนไม่ไหวที่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า ครอบครัวของตนต้องยอมก้มหัวขอความช่วยเหลือจากเด็กไร้สกุลรุนชาติอย่างจิรสิน “ไม่ต้องเอายังไง แกกลับออกไปจากบ้านนี้ได้แล้ว ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากแก”

“คุณพ่อใจเย็นๆ ค่ะ” ประภาพรรีบเดินเข้าไปหาพ่อ เพราะตอนนี้จิรสินคือความหวังเดียวเท่านั้นของบ้านญานันทร “ฟังเขาพูดก่อนดีไหมคะ เห็นแก่ลูกหลานเถอะค่ะ”

ธวัชจึงค่อยสงบลงได้ แต่หน้าอกยังกระเพื่อมแรงด้วยความโมโห

“ผมไม่รู้ตัวเลขที่แน่นอน แต่ได้ยินจากแม่ว่า น่าจะมากกว่าสิบล้านจริงไหมครับป้าอำไพ”

“ใช่ สิบเจ็ดล้าน”

ชายวัยแปดสิบกว่าได้ยินแล้วถึงกับต้องยกมือขึ้นมากุมหน้าอก เพราะไม่เคยรู้ตัวเลขที่แน่ชัดมาก่อน และคาดไม่ถึงว่าจะมากมายถึงขนาดนี้

“คงไม่มีใครหอบเงินมาให้ป้าอำไพสิบเจ็ดล้านโดยไม่มีอะไรเป็นค่าตอบแทนจริงไหม”

“แล้วเธอต้องการอะไรเป็นค่าตอบแทน” ประภาพรเป็นคนตั้งคำถาม

“ผมจะไถ่ถอนบ้านหลังนี้ออกมา” จิรสินหันไปตอบน้าสาวแล้วมองสบตากันอยู่ชั่วครู่ด้วยแววตาสมเพช ก่อนจะบอกถึงเงื่อนไข “แต่ว่า...ต้องเปลี่ยนชื่อเจ้าของบ้าน”

“อะไรนะ!” ประภาพรถามเสียงดัง แม้จะฟังเข้าใจทุกคำ

“เธอหมายความว่ายังไง”

“ผมก็บอกไปสองหนแล้วไงว่าไม่มีใครให้เงินกันสิบกว่าล้านฟรีๆ เพราะฉะนั้นบ้านนี้ต้องเปลี่ยนชื่อเจ้าของมาเป็นของแม่ผม แล้วต้องย้ายแม่ขึ้นมาอยู่บนเรือนหลังนี้ด้วย”

“สรุปว่าแกก็ไม่ได้คิดจะช่วยจริงๆ อย่างที่ฉันนึกไว้ไม่มีผิด” ธวัชทำเสียงเยาะพร้อมแววตาเกลียดชังที่ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า

ส่วนอำไพ ประภาพร และลูกสาวได้แต่นิ่งอึ้งกับเงื่อนไขของจิรสิน

“นี่มันเท่ากับว่าเอาเงินมาซื้อบ้านหลังนี้ไปเป็นของแม่แก แล้วไหนตอนแรกบอกว่าจะช่วย” อำไพได้สติก่อนใครถามหลานชายเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์

“แกมันพวกแผนสูง คิดจะมาฮุบทุกอย่างไปเป็นของตัวเอง” ธวัชลุกขึ้นยืนอีกครั้ง จ้องหน้าหลานชายอย่างจะกินเลือดกินเนื้อถ้าทำได้ ก่อนจะไล่อีกหน “แกกลับไปได้แล้ว!”

“คุณตานึกว่าผมอยากอยู่ตรงนี้นักรึไง แล้วบ้านหลังนี้ผมก็ไม่ได้นึกอยากได้เลย ทั้งเก่าทั้งโทรมแถมแพงด้วย ตั้งสิบเจ็ดล้าน” จิรสินตอบกลับทันควันแบบไม่สนใจว่าคนฟังจะรู้สึกอย่างไร

“สิน...” จรัสพรรีบยื่นมือมากระตุกแขนลูกชายให้หยุดพูด “อย่าพูดกับคุณตาแบบนั้นลูก”

“ไม่มีใครยอมหรอกนะที่จะให้แม่เธอเป็นเจ้าของบ้านนี้คนเดียว ตอนนี้บ้านหลังนี้เป็นชื่อของพี่อำไพกับน้าถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันอยู่” ประภาพรรีบปฏิเสธข้อเสนอนั้นในฐานะที่เป็นเจ้าของบ้านร่วม ก่อนจะหันไปหาพี่สาวคนโตก็เห็นว่าอีกฝ่ายพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน

“ก็ตามใจครับ อยากจะระเห็จไปนอนข้างถนนกันก็เชิญ ส่วนแม่ผมไม่ต้องห่วง ผมกำลังทำสัญญาจองคอนโดกลางกรุงราคาแค่ยี่สิบล้านเท่านั้นเอง แม่คงพออยู่ได้สบายๆ จริงไหมครับแม่” จิรสินไม่พูดเปล่า แต่โอบแขนรอบเอวเล็กบางของผู้เป็นแม่ด้วยท่าทีรักใคร่ห่วงใย เพื่อให้ญาติพี่น้องของแม่ได้รู้ว่าตอนนี้ห้ามใครแตะต้องแม่ของเขาเป็นอันขาด

“ไอ้ลูกขี้ครอกอย่างแกอย่ามาทำอวดรวยที่นี่ ออกจากบ้านฉันไปได้แล้ว เอาแม่ของแกออกไปด้วย” ธวัชไล่ด้วยความโมโหสุดขีดที่หลานชายพูดจาไม่ไว้หน้า

“คุณพ่อคะ หนูไม่ไปไหนหรอกค่ะ หนูจะอยู่ที่นี่” จรัสพรรีบบอกเสียงร้อนรน

“แกจะอยู่ทำไม บ้านนี้กำลังจะถูกยึดอย่างที่แกรู้นั่นแหละ ลูกแกรวยแล้วก็ออกไปอยู่กับมันสิ”

“หนูเป็นห่วงคุณพ่อนะคะ”

“ไม่ต้องมาห่วงฉัน แกจะไปไหนก็ไป” ธวัชบอกแล้วเบือนหน้าหนีลูกสาวคนกลางที่เขาไม่เคยคิดให้อภัยกับความผิดพลาดอันใหญ่หลวงในอดีต

“แม่ครับ ผมว่าแม่ออกไปอยู่กับผมเถอะ ตอนนี้ไปพักที่โรงแรมก่อนก็ได้จนกว่าคอนโดจะเรียบร้อย” จิรสินเองก็เริ่มทนไม่ไหวกับคนบ้านนี้แล้วเช่นกัน ทุกคนยังเหมือนเดิมไม่ต่างจากยี่สิบเอ็ดปีที่แล้ว จิตใจคับแคบและเห็นแก่ตัว ไม่เคยนึกถึงหัวอกคนอื่น

“สิน...แม่ไม่ได้อยากเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้หรอกนะลูก” จรัสพรกระซิบบอกลูกชายโดยหวังว่าเขาจะยอมฟัง

“ผมรู้...” เขาบอกเสียงเบาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนอื่นๆ ในห้อง “ถ้าไม่มีใครยอมรับเงื่อนไขของผม ผมก็จะกลับแล้วนะครับ”

“ใครจะยอมรับไหว ถ้าบ้านกลายเป็นชื่อของแม่พรคนเดียวก็เท่ากับคนอื่นๆ กลายเป็นแค่คนอาศัยน่ะสิ” อำไพแทบไม่มีความหวังเหลืออีกแล้ว แต่ยังอดแย้งไม่ได้

“ป้าจะคิดมากไปทำไมล่ะครับ แม่ผมก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของป้า หรือว่า...ป้าไม่เคยนับว่าแม่ผมเป็นน้อง”

“ไม่เอาน่าสิน” จรัสพรต้องรีบปรามก่อนจะลุกลามกันไปอีกหลายเรื่อง

“ที่จริงผมก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ทุกคนจะลองเอาไปคิดดูอีกทีก็ได้ครับ ระหว่างถูกธนาคารยึดบ้านแล้วไม่มีที่จะอยู่แถมยังต้องอับอายผู้คน กับยอมขายให้ผมแล้วได้อยู่ที่นี่กันต่อไป ลองคิดดูว่าแบบไหนน่าจะดีกว่ากัน”

ทั้งสองพี่น้องและหลานสาวจึงหันไปสบตากันแบบไม่ได้นัดหมาย หน้าตาทุกคนเต็มไปด้วยความอึดอัดไม่พอใจแต่ก็พูดอะไรไม่ออก

“ผมยินดีจะให้ทุกคนอยู่ที่นี่ต่อไปฟรีๆ ไม่ต้องจ่ายค่าเช่า แต่ช่วยกันขยันทำมาหากินหน่อยก็ดีนะครับเพราะผมคงไม่จ่ายเงินค่าเลี้ยงดูใครนอกจากแม่ผมคนเดียวเท่านั้น”

“อำไพ! เธออย่ายอมขายบ้านนี้ให้มันเด็ดขาด”

ลูกสาวคนโตได้แต่ยืนนิ่งไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่สีหน้าเคร่งเครียดมีร่องรอยแห่งความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด

“เราไปกันเถอะครับแม่” จิรสินบอกกับแม่เมื่อเห็นว่าทุกคนยังตกลงกันไม่ได้

“แม่ขออยู่ที่นี่ไปก่อนนะลูก”

“ครับ ผมจะเดินไปส่งแม่ที่บ้านหลังเล็ก”

ชายหนุ่มพาแม่เดินออกจากห้องโถงโดยไม่สนใจใครอีกเพราะถือว่าได้ยื่นข้อเสนอไปแล้ว หลังจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องตัดสินใจเอาเองว่าจะเลือกทางไหน

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น