15

อย่าใจอ่อน


 

15

อย่าใจอ่อน

 

จรัสพรดีใจที่มีโอกาสรับประทานอาหารกลางวันกับหลานสาวคนโปรดที่บังเอิญมาเจอกันในห้างสรรพสินค้าแบบไม่คาดคิด กินรินจึงพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ และดูเหมือนจิรสินคงรู้ตัวจึงเลิกทำหน้าบูดบึ้งต่อหน้าแม่ หน้าเข้มๆ จึงดูผ่อนคลายลงมาก

หลังอาหารมื้อกลางวันเขาต้องพาแม่กลับบ้านไปพักผ่อน กินรินจึงขับรถเบนซ์คันเก่าที่ใช้อยู่เป็นประจำตามเข้ามาจอดที่หน้าบ้านใหญ่เพื่อเดินไปส่งแม่ของจิรสิน ระหว่างที่ทั้งสามคนลงจากรถ มีคนแอบมองอยู่จากภายในบ้าน

กินรินเดินเข้าไปช่วยประคองจรัสพรด้วยท่าทีสนิทสนมคุ้นเคย สิ่งที่เห็นทำให้จิรสินต้องแอบถอนหายใจ เขาไม่อยากคิดว่าหล่อนพยายามประจบ เพราะเคยเห็นกับตาว่าหญิงสาวไปนั่งป้อนข้าวแม่ที่โรงพยาบาล ตอนนั้นหล่อนคงไม่นึกอยากประจบผู้หญิงแก่ๆ จนๆ ที่ไม่มีใครเหลียวแล แต่คงทำไปด้วยความมีน้ำใจ

ชายหนุ่มเข้ามาช่วยประคองอีกข้างแล้วจึงเดินไปด้านข้างตัวอาคารสองชั้นเพื่อลัดไปยังเรือนเล็กด้านหลัง

เมื่อทั้งคู่ออกจากเรือนหลังเล็กของจรัสพรแล้ว จิรสินจึงคว้าแขนหญิงสาวไว้ข้างหนึ่งเมื่อเห็นว่าหล่อนกำลังจะเดินกลับไปที่รถ

“พี่สิน!” กินรินหันมามองด้วยความตกใจ

เขาเห็นว่าหล่อนทำตาโต จากนั้นก็เหลียวมองไปรอบๆ คล้ายกับกลัวคนเห็น “ดูเหมือนคุณจะกลัวคนในบ้านรู้ว่าเราเป็นอะไรกัน อ้อ...รวมทั้งเพื่อนร่วมคณะของคุณด้วยใช่ไหม”

“ปล่อยเถอะค่ะ” หล่อนบอกด้วยน้ำเสียงขอร้องพร้อมทั้งส่งสายตาอ้อนวอนเผื่อว่าเขาจะเห็นใจบ้าง

จิรสินมองหน้าหวานๆ ที่กำลังส่งสายตามาให้แล้วเกือบใจอ่อน หล่อนไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะรู้ว่าน้ำเสียงกับท่าทางอ้อนๆ แบบนี้มีสิทธิ์ทำให้ผู้ชายทุกคนใจละลายได้ง่ายๆ แต่ไม่ใช่คนอย่างจิรสินแน่นอน

“เขารู้กันหมดบ้านแล้ว ยกเว้นแม่ผม”

หล่อนทำตาโต ปากบอบบางอ้าค้างด้วยความตกใจ จิรสินจึงดึงหล่อนเข้ามาหาแล้วจับต้นแขนไว้ทั้งสองข้าง

“พี่สินว่าไงนะคะ”

“ป่านนี้คุณปู่ทั้งสองคนของคุณก็อาจจะรู้กันแล้วก็ได้” บอกไปแล้วก็เห็นว่าหล่อนส่ายหน้าช้าๆ เหมือนไม่อยากเชื่อ

นี่หล่อนคงคิดหาทางปิดบังเรื่องนี้ไม่ให้ใครรู้ แล้วพอถึงวันที่ต้องย้ายออกจากบ้านไปอยู่กับเขาก็คงจะบอกทุกคนว่าไปทำงานต่างจังหวัด หรือย้ายไปอยู่หอพักที่ไหนสักแห่งในกรุงเทพฯ เพื่อสะดวกต่อการเดินทาง

“พี่สินบอกพวกเขาหรือคะ”

“ใช่ แล้วตอนนี้ผมก็อยากจะบอกคนทั้งประเทศเลยด้วยซ้ำ”

“ทำไมคะ” หล่อนมองเขาแบบไม่พอใจ

“มานี่เลย” จิรสินเปลี่ยนไปจับข้อมือแล้วทำท่าจะฉุดให้หล่อนเดินตามไปทางด้านหลัง ซึ่งเป็นสวนรกเรื้อเพราะไม่มีคนดูแล

“ไม่นะ จะไปไหน” เจ้าของร่างบอบบางขืนตัวจิกเท้าไว้

“ผมอยากเจอคุณ แต่คุณไม่เคยว่าง แต่กลับมีเวลาไปเดินเล่นตามห้างกับผู้ชาย”

“นั่นมันเพื่อนกระเต็นนะคะ จะไม่ให้เจอใครเลยได้ยังไง”

“แต่ผมอยากเจอคุณ!” เขาเสียงดังกว่าเดิมอย่างลืมตัวจนต้องเหลียวไปมองทางเรือนเล็กที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก เพราะแม่ยังไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น

“พี่สิน!” หญิงสาวขืนตัวไว้ไม่อยู่อีกต่อไป หล่อนปลิวตามแรงกระชากให้เดินตามไปอย่างช่วยไม่ได้ ที่เคยรู้สึกกลัวๆ เกรงๆ ตอนนี้หล่อนบอกได้เลยว่า กลัวจับใจ!

จิรสินพาหญิงสาวเดินลึกเข้าไปด้านหลังที่เต็มไปด้วยต้นไม้แบบไม่กลัวเกรงใดๆ เพราะตอนเด็กๆ เขามาเล่นอยู่แถวนี้เป็นประจำเพื่อหลบเลี่ยงการพบปะผู้คนในบ้านที่ไร้ความเป็นมิตร

“พี่สินจะไปไหนคะ” หล่อนถามเสียงสั่นระหว่างที่ถูกลากไปตามทางเดินแคบๆ อันรกเรื้อและค่อนข้างน่ากลัวสำหรับหญิงสาวที่ไม่ใช่นักผจญภัย

“คุณก็น่าจะรู้ว่าผมต้องการเจอตัวคุณเพื่ออะไร” เขาหันมาตั้งคำถามโดยไม่หยุดเดิน เห็นว่าหล่อนทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้

“แต่กระเต็นยังไม่ว่างจริงๆ นี่คะ”

“ก็นั่นน่ะสิ ในเมื่อคุณธุระเยอะ หาเวลาว่างมาเจอผมแทบไม่ได้ ผมคิดว่าเราก็ควรจะเจอกันที่นี่แหละ”

“ไม่นะคะ พี่สิน!” กินรินแทบตาค้าง ปากก็ละล่ำละลักบอกด้วยความตกใจ ถ้าเขาคิดจะทำอะไรกับหล่อนในสวนรกๆ นี่จริงๆ ก็คงต้องร้องให้สวนแตก เพราะผู้หญิงอย่างหล่อนไม่ยอมแน่ๆ ถึงจะใช้เงินฟาดหัวถึงสิบห้าล้าน แต่ก็ใช่ว่าอยากจะทำอะไรก็ทำได้ทุกอย่างตามอำเภอใจ หากว่าเขาเป็นคนดิบเถื่อนขนาดนั้น หล่อนก็คงไม่ยอมแน่นอน

จิรสินยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นว่าแม่สาวน้อยคนสวยทำหน้าตาเลิ่กลั่กตื่นกลัว ขณะที่เขาลากหล่อนมาจนถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีใบดกหนาจนดูร่มครึ้มไปทั่วบริเวณ เขาจับร่างอรชรพิงกับต้นไม้ แล้วค่อยมองสำรวจตั้งแต่ใบหน้าเรียวสวยเรื่อยลงไปยังเรือนร่างที่อยู่ในชุดกระโปรงสีหวานซึ่งถูกใจจิรสินเป็นพิเศษ แต่เมื่อนึกไปถึงว่าหล่อนแต่งตัวสวยจับใจเพื่อออกไปเดินเที่ยวห้างกับหนุ่มอีกคน หน้าเข้มๆ ก็เปลี่ยนอารมณ์ไปทันที

“คิดว่าผมจ่ายเงินสิบกว่าล้านเพื่อให้คุณไปไหนกับใครก็ได้งั้นหรือ”

“พี่สิน...กระเต็นนัดกับภาไว้หลายวันแล้วว่าจะไปช่วยเลือกชุด” กินรินเริ่มรู้แล้วว่าเขาไม่พอใจที่เห็นหล่อนอยู่กับณัชพล

“นึกว่าผมโง่รึไง หรือคุณจะบอกว่าไม่รู้ว่านายณัชพลคิดอะไรกับคุณ”

“เราเป็นเพื่อนกันเท่านั้นเองค่ะ แล้ว...” กินรินต้องหยุดพูดเพราะถูกจับปลายคางให้เงยหน้าขึ้นมา “อย่าทำอะไรกระเต็นเลยนะคะพี่สิน”

น้ำเสียงอ้อนวอนของหล่อนยิ่งทำให้เขาอยากลองทำ ‘อะไร’ อย่างที่หล่อนว่าขึ้นมาจริงๆ

“ผมไม่คิดว่าเขาอยากเป็นเพื่อนกับคุณ คุณก็รู้แต่ก็ยังยอมสนิทกับเขา”

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ กระเต็นทำงานให้บริษัทรับจัดอีเวนต์ของพี่ณัช”

“เขาเป็นเจ้าของบริษัทด้วยเหรอ” จิรสินเลิกคิ้วแบบเหลือเชื่อ ก็หมอนั่นหน้าเด็กๆ ใครจะคิดว่าเป็นถึงเจ้าของกิจการ

“คุณพ่อเขาเป็นเจ้าของค่ะ กระเต็นรับงานที่นั่น เราก็เลยต้องเจอกันอีก”

จิรสินเดาว่ากินรินอาจเคยได้รับการอุปถัมภ์บางอย่างจากรุ่นพี่อย่างณัชพล ซึ่งมีท่าทีสนใจหล่อนอย่างไม่ต้องสงสัย  แล้วที่ได้งานจากบริษัทอีเวนต์แห่งนี้ก็คงเป็นเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวด้วยเช่นกัน ซึ่งก็คงไม่แปลก เพราะสาวสวยหลายคนก็มักจะหาผู้ชายมาคอยให้ความอุปถัมภ์ค้ำชูเป็นธรรมดา ง่ายกว่าการดิ้นรนต่อสู้ตามลำพังเป็นไหนๆ

หล่อนถึงได้ยอมรับข้อเสนอจากเขาแบบไม่ยากเย็นนัก อาจเพราะคุ้นเคยกับแนวทางนี้มาก่อน

“คุณจะเคยเจอกับเขามาขนาดไหน ผมไม่สนใจ แต่ต่อไปนี้ผมห้ามคุณเจอกับเขาหรือใครทั้งนั้น”

“นี่มันอะไรกันคะ”

“เรื่องเก่าๆ ผมไม่สนหรอก แต่ตอนนี้คุณเป็นของผม ห้ามยุ่งกับคนอื่น เพราะผมไม่ชอบใช้อะไรร่วมกับใคร”

“พูดเกินไปแล้วนะ” กินรินปัดมือที่จับคางออก แล้วตะโกนใส่หน้าเขาอย่างเหลืออด

“ผมผ่านโลกมาเยอะกว่าคุณ ทำไมแค่นี้จะดูไม่ออก” เขาตอบอย่างมีโมโหที่ถูกตะโกนใส่ ทั้งที่หล่อนไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้

“ดูออกว่ายังไง” กินรินไม่ยอมง่ายๆ

“ผู้หญิงสวยๆ อย่างคุณไม่ชอบทำงานลำบากนักหรอก หาผู้ชายมาซัปพอร์ตสบายๆ ดีกว่า” เขาตอบอย่างที่ใจคิดแบบไม่อ้อมค้อม เพราะภาพที่หล่อนยิ้มระรื่นกับหนุ่มเจ้าของบริษัทอีเวนต์ยังติดตามาจนถึงตอนนี้

กินรินมองจิรสินด้วยสายตาขุ่นเคืองและแทบพูดไม่ออก ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะมีความคิดที่ต่ำทรามได้ถึงขนาดนี้

“ที่ไม่เถียงเพราะมันจริงใช่ไหม”

เผียะ! เสียงฝ่ามือที่กระทบแก้มข้างหนึ่งของชายหนุ่มดังขึ้นมาอย่างที่เจ้าตัวไม่คาดคิด ใบหน้าคมสันหันไปตามแรงตบของหล่อนและนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น จิรสินนิ่งอึ้งไปด้วยความเจ็บและงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ฝ่ายที่กระทำก็นิ่งขึงไปเช่นกันด้วยความตกใจ พอได้สติแล้วกินรินก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจจึงรีบขยับตัวหนี แต่ขาเจ้ากรรมดันไปสะดุดเข้ากับกิ่งไม้รกๆ แบบไม่ทันระวัง

“โอ๊ะ!” ร่างบอบบางเซไปข้างหนึ่งเพราะถูกกิ่งไม้เกี่ยวจนรู้สึกเจ็บ แต่มีท่อนแขนมาโอบรั้งเอวเล็กๆ ไว้ได้ทันก่อนจะล้มลง

จิรสินโอบเอวบางแล้วลากกลับมาพิงกับต้นไม้ใหญ่เหมือนเดิม หล่อนเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาด้วยความหวั่นกลัว ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นราวกับลูกกวางตัวน้อยๆ ที่กำลังจะถูกเสือตะปบ

“คุณตบหน้าผม แล้วจะวิ่งหนีไปดื้อๆ เลยหรือ”

“พี่สิน...”

“ดูเหมือนคุณก็รังเกียจผมเหมือนคนอื่นๆ ในบ้านนี้ ทั้งที่เกิดไม่ทัน” เขากระซิบบอกเสียงขุ่น ขณะที่หญิงสาวก้มลงหลบสายตาด้วยความกลัว “ก็ดี...เกลียดให้มากๆ เพราะผมเองก็ต้องการให้เป็นอย่างนั้น”

“ไม่ใช่...” กินรินส่ายหน้า เพราะเขากำลังเข้าใจผิด

“ไม่ว่าจะเกลียดหรือรังเกียจแค่ไหน คุณก็ต้องนอนกับผม”

คนฟังได้ยินแล้วกลัวจับใจ เพราะดวงตาคมวาววับด้วยความโกรธ หล่อนจึงต้องยกมือขึ้นมาผลักอกหนาไว้แต่ก็ต้านไม่ไหว “กระเต็นขอโทษค่ะ พี่สิน” สุดท้ายหล่อนยอมอ้อนวอนเขาอีกครั้ง แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ฟัง กินรินน้ำตาร่วงด้วยความกลัวและร้องไม่ออกอย่างที่คิดไว้

ริมฝีปากหยักได้รูปสวยแนบประกบบดเบียดอย่างรวดเร็ว โดยที่หญิงสาวหมดโอกาสดิ้นหนี เพราะถูกตรึงแผ่นหลังไว้กับลำต้นขนาดใหญ่ จิรสินทั้งอยากกำราบที่หล่อนกล้าตบหน้าเขา และอยากเอาชนะความรังเกียจเดียดฉันท์ที่ได้รับจากพวกญานันทรทุกคน กระทั่งได้ยินเสียงสะอื้นซึ่งเรียกสติของเขากลับคืนมา

กินรินน้ำตาไหลพรากด้วยความเจ็บทั้งที่ข้อเท้าและริมฝีปากซึ่งเริ่มระบมจากการถูกบดจูบอย่างไม่ปรานี แถมด้วยความกลัวจับจิตจับใจทำให้ร่างกายของหล่อนแทบยืนไม่อยู่ หากไม่มีต้นไม้ให้ยืนพิงคงทรุดลงไปแล้ว

เขายังโอบเอวหล่อนไว้แน่นเพราะรู้สึกว่าร่างบอบบางกำลังจะทรุดลงคล้ายหมดเรี่ยวแรงได้ทุกเมื่อ ใบหน้าเรียวเล็กนองไปด้วยน้ำตาและไม่ยอมสบตากับเขาอีก หล่อนยังสะอื้นและหายใจแรงจนอกกระเพื่อมขึ้นลงบ่งบอกว่ากำลังกลัวมากแค่ไหน

“หยุดร้องไห้ได้แล้ว” เขาสั่งด้วยน้ำเสียงรำคาญ แล้วก็เห็นว่าหญิงสาวพยายามทำตามด้วยการเม้มปากสนิทและยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาป้ายน้ำตาให้แห้ง

‘สิน! นายกำลังจะใจอ่อนใช่ไหม’

‘ไม่มีทาง...หล่อนก็คงบีบน้ำตาแบบนี้กับผู้ชายทุกคน!’

“กลับกันเถอะ” เขาคว้าข้อมือแล้วจูงให้กินรินเดินตามออกมาจากใต้ต้นไม้ร่มครึ้ม

“โอ๊ย!” กินรินหยุดเดินแล้วก้มลงมองไปที่ข้อเท้าก็เห็นว่ามีเลือดไหลออกมาเป็นทาง

จิรสินก้มลงมองเช่นกัน แล้วนั่งคุกเข่าก้มลงไปดูแผลที่ข้อเท้าให้หล่อน “โดนกิ่งไม้ปักจนเลือดออก” เขาพึมพำคล้ายหัวเสียกับสิ่งที่เห็น

กินรินได้ยินแล้วแอบกลืนน้ำลาย นี่เขาคงโกรธหรือรำคาญหล่อนอีกแน่ๆ ที่ทำตัววุ่นวายไม่ได้อย่างใจสักเรื่อง ทั้งที่หล่อนต้องมีหน้าที่คอยเอาใจหรือบริการเขาทุกเรื่องต่างหากเพื่อให้คุ้มค่าเงิน

เขาเงยหน้าขึ้นมองมา หล่อนมองเห็นแววตารู้สึกผิดปรากฏขึ้นเพียงแวบหนึ่งเท่านั้นแล้วก็จางหาย “คุณเจ็บมากไหม”

“ไม่เป็นไรค่ะ แผลนิดเดียว”

“แต่เลือดออกเยอะ ผมจะพันผ้าให้ก่อน” เขาล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้านหลัง แล้วพับผ้าเป็นสามเหลี่ยมเพื่อพันทบให้หนา ก่อนพันปิดแผลที่ข้อเท้าแล้วมัดให้แน่นอย่างชำนาญราวกับเคยทำมาก่อน

กินรินมองสิ่งที่เขากำลังทำด้วยความแปลกใจ โดยเฉพาะท่าคุกเข่าต่อหน้าหล่อนในเวลานี้

จิรสินลุกขึ้นยืนแล้วเห็นว่าดวงตาแดงช้ำมองมาเหมือนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สีหน้าของหญิงสาวยังสับสนและหวาดระแวงจนเขาต้องมองไปทางอื่น หล่อนน่ารักบอบบาง และอาจจะทนไม่ไหวกับความเกรี้ยวกราดของเขา

“กลับไปทำแผลที่บ้าน”

“พี่สิน!” กินรินเรียกเขาด้วยความตกใจ เมื่อถูกอุ้มจนตัวลอยอย่างรวดเร็ว

“อยู่นิ่งๆ อย่าดิ้น ผมหนัก”

“เอ่อ...” กินรินพูดไม่ออกเมื่อถูกต่อว่าเรื่องตัวหนักแบบไม่คิดจะรักษาน้ำใจ คงไม่มีเรื่องไหนสำหรับผู้หญิงที่น่าอายไปกว่านี้อีกแล้ว

เขาอุ้มหล่อนกลับมาทางเดิมเพื่อออกไปตรงที่จอดรถหน้าบ้านใหญ่ เมื่อเดินออกมาก็เห็นว่ามีคนเดินลงจากบ้านมากันหลายคนราวกับว่ารออยู่นานแล้ว

“น้องกระเต็น!” ธนดลเรียกด้วยความตกใจเมื่อเห็นสภาพของหญิงสาวที่ถูกอุ้มออกมาขึ้นรถ

ส่วนอำไพ ประภาพร และพิสินียืนตกตะลึง แม้จะรับรู้แล้วว่าจิรสินกับกินรินมีข้อตกลงอะไรกันอยู่ แต่เมื่อมาเห็นต่อหน้าต่อตาก็ยังอดรู้สึกขัดตาไม่ได้ โดยเฉพาะพิสินีที่ไม่เพียงแค่ขัดตาขัดใจเท่านั้น แต่ในใจยังคุกรุ่นไปด้วยความริษยา

พิสินีอดคิดไม่ได้ว่าหากคนที่จิรสินอุ้มอยู่นั้นเป็นตนเองบ้าง หล่อนก็คงไม่ต้องมานั่งคิดกังวลใดๆ อีก เหมือนอย่างที่กินรินได้ไปทุกอย่างเพียงแค่ยอมทอดกายให้เขา สำหรับพิสินีแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่ต้องทนฝืนกล้ำกลืนแต่อย่างใด เพราะจิรสินในปัจจุบันไม่มีสิ่งใดน่ารังเกียจแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขาดูดีและหล่อเหลากว่าหนุ่มไฮโซหลายคน แถมยังรวยมากอีกด้วย

“กระเต็นเป็นอะไร” อำไพถาม

“โดนกิ่งไม้เกี่ยวที่ข้อเท้า เลือดออกครับ” จิรสินตอบเสียเอง เพราะเจ้าตัวอาจยังไม่พร้อมจะพูดกับใครในตอนนี้

“นายทำอะไรน้องกระเต็นรึเปล่า” ธนดลถลาเข้ามาหา สีหน้าเหมือนจะเอาเรื่องเต็มที่ “ทำไมกระเต็นร้องไห้”

“เจ็บค่ะ” คนเจ็บตอบเสียงเบาโดยไม่สบตาใคร

“ผมขอตัวก่อน” จิรสินรีบตัดบทแล้วหันไปที่รถ

“เดี๋ยวสิ!” ธนดลเรียกแล้วจ้องตากับจิรสินแบบเอาเรื่อง

“ว่าไง” ฝ่ายที่ถูกเรียกไว้ถามพร้อมเลิกคิ้วอย่างกวนอารมณ์

“เมื่อเช้าแกพูดกับยายสินีว่าน้องกระเต็นเป็นของแก มันหมายความว่ายังไง” ธนดลยังไม่อยากเชื่อจึงต้องถามต่อหน้าเพื่อให้รู้เรื่องกันไปเลย

“ก็อย่างที่เห็นนี่ไง” จิรสินตอบแบบรวนๆ เพราะเริ่มรำคาญ

 “แกทำแบบนี้กับกระเต็นไม่ได้นะ” ธนดลบอกเสียงดัง

“ทำไมจะไม่ได้ ก็ลองถามน้องกระเต็นของนายดูสิว่าได้ไหม”

ธนดลมองหน้าหญิงสาวที่ตนหลงรักมานานก็เห็นว่าหล่อนเม้มปากสนิทและไม่ยอมสบตาใคร ดวงตาแดงช้ำทั้งเจ็บและอายทำให้เขาเริ่มรู้สึกว่าหล่อนถูกบีบบังคับ

“ไอ้สิน! ฉันรู้นะว่าแกคิดจะเอาคืนพวกเรา” ธนดลบอกอย่างรู้ทันในฐานะคู่แค้นที่คงญาติดีกันไม่ได้ในชาตินี้

“ก็แล้วแต่พวกคุณจะคิด” จิรสินบอกพร้อมกับมองหน้าทีละคนด้วยสายตาสมเพช กระทั่งสายตาไปกระทบเข้ากับใบหน้าของชายชราที่ออกมายืนอยู่บนเทอร์เรซหน้าบ้าน

เขาไม่รู้ว่าตาธวัชมายืนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ภาพที่เห็นคงทำให้ชายวัยแปดสิบกว่ารู้แล้วว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นนับจากนี้ เขากำลังจะได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่หลานสาวคนสวยของญานันทร

“คนอย่างแกไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับพวกเรา” ธวัชบอกหลานชายที่แสนชิงชังด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดเหลือแสน เพราะได้ยินและได้เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น

“คุณพ่อ!” อำไพหันไปมองเจ้าของเสียงพูดที่ดังมาจากเทอร์เรซ

“ปล่อยกระเต็น แกไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้” ธวัชบอกอีกครั้งแล้วเดินลงมาจากเทอร์เรซด้วยความรีบร้อน พิสินีกับประภาพรต้องรีบวิ่งเข้าไปช่วยประคองด้วยความเป็นห่วง

“ถ้าฉันยังอยู่ แกจะมาทำอะไรคนในบ้านนี้ไม่ได้ แกต้องปล่อยกระเต็นเดี๋ยวนี้!”

“พี่สิน...ปล่อยกระเต็นลงก่อนเถอะค่ะ” หญิงสาวจำต้องขอร้องเขา เพราะไม่อยากให้กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต

จิรสินไม่สนใจคำขอร้องจากหล่อน ตอนนี้เขาต้องการประกาศให้ทุกคนรู้ว่าเขาจะทำอะไรก็ได้ในบ้านญานันทรเพื่อให้คุ้มกับเงินที่ต้องเสียไปตั้งสามสิบกว่าล้าน ทั้งที่ก่อนหน้านี้จิรสินไม่เคยคิดจะกลับมาเหยียบที่นี่อีก แต่เมื่อจำเป็นต้องกลับเข้ามาก็คงต้องมาแบบพายุทอร์นาโดเพื่อกวาดทุกอย่างให้ราพณาสูร ทั้งกลิ่นและรสชาติของการทวงคืนมันช่างหอมหวานอย่างบอกไม่ถูก

“ผมว่าคุณตาห่วงตัวเองก่อนดีกว่า แค่เดินก็ยังลำบากแล้ว” ชายหนุ่มว่าด้วยน้ำเสียงเยาะคนที่ต้องมีคนช่วยประคองลงบันได

“มันจะมากไปแล้วนะไอ้สิน แกพูดกับคุณตาแบบนี้ได้ยังไง” ธนดลตั้งท่าจะเอาเรื่อง

“นายก็เหมือน ถ้ายังอยากมีบ้านซุกหัวนอนก็ช่วยพูดจาให้มันน่าฟังหน่อย” จิรสินมองอีกฝ่ายอย่างเหยียดหยัน จนเหลือแต่ตัวแล้วยังวางท่าเป็นคุณชายไม่เลิก

“ดล! เอาตัวกระเต็นออกมาจากมัน” ธวัชสั่งหลานชาย

คนที่รับคำสั่งจึงไม่รีรอ ตรงเข้าไปแย่งเอาตัวหญิงสาวที่ถูกอุ้มอยู่ทันที

“โอ๊ย! ปล่อยกระเต็นลงก่อน” เจ้าของร่างที่กำลังถูกยื้อแย่งจากชายหนุ่มสองคนร้องเสียงดังด้วยความตกใจ

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”

“คุณปู่...” กินรินเพิ่งถูกปล่อยตัวลงมายืนบนพื้น พร้อมๆ กับที่คุณปู่ของหล่อนเดินเข้ามาในเหตุการณ์

“กระเต็นเป็นอะไรไปลูก” ธารินทร์ไม่สนใจอะไรอย่างอื่นอีก รีบเดินเข้าไปหาหลานสาวที่ยืนโงนเงนเพราะเจ็บแผลที่ข้อเท้า

“เดินไปข้างหลังแล้วโดนกิ่งไม้เกี่ยวเลือดไหลค่ะ”

“แล้วหนูเข้าไปในนั้นทำไม”

“เอ่อ...กระเต็นกับพี่สินไปส่งป้าพรเข้าบ้านค่ะ”

ธารินทร์เหลือบมองคนที่ถูกเอ่ยถึง ซึ่งไม่ได้พบหน้ากันมานานร่วมยี่สิบปีด้วยความฉงนฉงาย ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ที่ได้เห็นจิรสินครั้งแรก “สิน...” ธารินทร์มองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อผ้าราคาแพงอย่างไม่เชื่อสายตา

จิรสินไม่มีเค้าคนเดิมเลยก็ว่าได้ และตอนนี้ธารินทร์ไม่สงสัยอีกแล้วว่าชายหนุ่มเอาเงินที่ไหนมาซื้อบ้านของตนและคงจะซื้อบ้านของพี่ชายอีกหลังหนึ่งเร็วๆ นี้

“สวัสดีครับ” จิรสินยกมือไหว้ตามมารยาท แต่ใบหน้าเรียบนิ่งไร้ไมตรีต่อกัน

“เธอโตขึ้นเยอะเลยนะ ตาจำแทบไม่ได้” ธารินทร์รับไหว้แล้วทักทายแบบคนไม่ได้เจอกันนาน ซึ่งทำให้คนถูกทักรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย จิรสินรู้สึกว่าตาธารินทร์เปลี่ยนไปจากเดิมกลายเป็นคนแก่ที่วัยร่วงโรยและอ่อนล้าลงทุกวัน ต่างจากตาธวัชที่ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ยกเว้นสังขาร

“คุณตารู้รึเปล่าว่าไอ้สินมันจะเอาตัวน้องกระเต็นไป” ธนดลรีบฟ้องเหมือนเด็กๆ

“ว่าไงนะ!” คนเป็นปู่ของหญิงสาวถึงกับตกตะลึง

“แกพาหลานกลับบ้านไปซะ แล้วอย่าให้เจอกับมันอีก” ธวัชรีบเข้ามาบอกน้องชายอีกคน

“นี่มันเรื่องอะไรกัน”

“คุณปู่คะ กลับบ้านกันเถอะค่ะ” กินรินรีบบอกเพื่อยุติทุกเรื่อง หล่อนไม่อยากยืนให้ใครมาประจานอีกต่อไป เพราะตอนนี้ก็แทบยืนไม่ไหว

“ผมจะไปส่ง” จิรสินรีบบอกเมื่อเห็นว่าหญิงสาวโผเข้าไปหาปู่ของหล่อนอย่างต้องการที่พึ่ง

“ไม่ต้องค่ะ” หญิงสาวรีบส่ายหน้า “กระเต็นเดินกลับไปเองดีกว่า ไปกันเถอะค่ะคุณปู่”

กินรินรีบเดินไปเกาะแขนชายชราที่ยังเดินเหินได้คล่องแคล่วเพราะเป็นคนรักษาสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจมาโดยตลอด หล่อนเดินกะเผลกๆ ตามปู่ไปโดยไม่หันกลับมามองใครอีกเลย

จิรสินไม่ล่ำลาใคร แต่รีบเปิดประตูรถแล้วขับออกไปทันที ภาพที่เห็นเมื่อครู่ทำให้ชายหนุ่มที่มีไฟแค้นสุมอกปั่นป่วน หล่อนไว้ใจคนในครอบครัวมากกว่าคนแปลกหน้าอย่างเขา ในยามที่หล่อนต้องการที่พึ่งจึงไม่ได้นึกถึงเขาแม้แต่น้อย เผลอๆ อาจมองว่าเขาเป็นฝ่ายตรงข้ามหรือศัตรูด้วยซ้ำไป กินรินแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้อยู่ในใจหล่อนเลยแม้แต่เศษเสี้ยว แล้วคนที่ต้องการเอาชนะจะทำอย่างไรในเมื่อมีสิทธิ์ครอบครองแต่ตัวเท่านั้น

‘นายจะอยากได้ใจหล่อนไปทำไมกัน หรือว่า...นายหลงรักหลานสาวตาธารินทร์เข้าให้แล้ว!’

คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถเบนซ์คันงามรีบส่ายหน้า

‘ถึงยายเด็กนั่นจะบีบน้ำตาเก่ง แถมยังชอบทำเสียงอ้อนๆ แต่นายก็ต้องทำใจแข็งไว้ หล่อนก็ไม่ต่างจากญานันทรคนอื่นที่รังเกียจและเหยียดหยามนายเหมือนกับไม่ใช่คน!’

 

“กระเต็น หนูไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เพื่อใคร” ธารินทร์บอกหลานสาวด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด หลังจากที่ได้ฟังข้อตกลงทั้งหมดแล้ว โดยกินรินเล่าให้คุณปู่รับรู้ต่อหน้าทุกคนในบ้าน ยกเว้นพี่ชายที่ยังไม่กลับจากทำงาน

“แล้วที่เจ็บตัวเลือดออก แข้งขามีแต่รอยขีดข่วน สินทำอะไรหนูรึเปล่า”

“เปล่าค่ะ กระเต็นเดินไปสะดุดกิ่งไม้เองแล้วล้มลงจนได้แผล” กินรินจำต้องโป้ปด เพราะไม่อยากให้ทุกคนในบ้านกังวลหรือไม่สบายใจหากรู้ว่าจิรสินเป็นต้นเหตุให้หล่อนต้องเจ็บตัวถึงขั้นเลือดตกยางออก

ตั้งแต่เล็กจนโตหล่อนถูกเลี้ยงดูมาแบบไข่ในหินก็ว่าได้ เรียกว่ายุงไม่เคยให้ไต่ ไรไม่เคยให้ตอม แถมหล่อนยังเป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่ชอบเรื่องโลดโผนจึงแทบไม่เคยมีบาดแผลใดๆ บนเนื้อตัวมาก่อน แล้วหากทุกคนรู้ว่าจิรสินลากเอาตัวหล่อนเข้าไปในสวนหลังบ้านที่ไม่ต่างจากป่ารกๆ เพื่อลวนลามตามอำเภอใจ คงนอนไม่หลับกันไปอีกหลายคืน

“แต่ปู่รู้สึกเป็นห่วงกระเต็น แล้ว...เราสองคนไม่ห่วงลูกสาวบ้างเลยหรือ” สุดท้ายคนเป็นปู่ก็ต้องหันไปถามพ่อแม่ของหลานสาว

ทั้งสองคนทำท่าหนักอกอยู่ไม่น้อย แต่ในเมื่อลูกสาวยืนยันแข็งขันมาตั้งแต่ต้นว่ายินดีจะเลือกเส้นทางเดินนี้ เพราะจิรสินเองก็ยังโสดไม่มีพันธะกับใครก็คงไม่เป็นที่ครหานินทานัก ในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นโสดด้วยกันทั้งคู่ เพียงแต่ว่าฝ่ายชายไม่ได้เอ่ยปากเรื่องแต่งงานเท่านั้น

“ไม่ต้องเป็นห่วงกระเต็นนะคะ ยังไงพี่สินก็เป็นญาติของเรา เขาไม่ทำอะไรที่ไม่ดีกับกระเต็นหรอกค่ะ”

“แล้วทำไมเขาต้องมาตั้งเงื่อนไขอย่างนี้ ถ้าเขาอยากได้เราก็ควรจะมาสู่ขอกันตามธรรมเนียม” ธารินทร์ยังติดใจการกระทำของชายหนุ่มที่ยอมเสียเงินนับสิบล้าน ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากการให้สินสอดกับทางฝ่ายเจ้าสาว เพียงแค่ข้ามขั้นตอนการสู่ขอและจัดงานแต่งงานกันตามประเพณีเท่านั้น

“คุณปู่อย่าโกรธพี่สินเลยค่ะ คิดเสียว่าเราตอบแทนเขาที่ช่วยให้เรามีบ้านอยู่ต่อไป แล้ว...ยังให้เงินอีกสองล้าน กระเต็นจะให้แม่เก็บไว้ใช้จ่ายในบ้านนะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอกลูก หนูเก็บเอาไว้เถอะ” ทัดเทพบอกลูกสาวด้วยน้ำเสียงละอายใจ และตั้งใจจะไม่รับเงินก้อนนี้เด็ดขาด

“ตอนนี้หนูเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้แล้วใช่ไหม” คนเป็นปู่ถามอีกครั้งด้วยเสียงสั่นเครือ เพราะสงสารหลานสาวคนเล็กที่เห็นมาตั้งแต่แบเบาะ

“ค่ะ” กินรินตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง

“ดีแล้วละลูก” ธารินทร์ลูบศีรษะหลานสาวเบาๆ ด้วยความเอ็นดูและสงสารจับใจที่ชีวิตต้องหักเหถึงขนาดนี้

 

หลังเลิกงานชยาภาออกจากบริษัทจัดงานอีเวนต์เพื่อไปพบกินรินตามนัดที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งไม่ไกลนัก โดยไม่ได้บอกณัชพลทั้งที่เจอหน้ากันหลายหนในบริษัท เพราะกินรินต้องการคุยกับชยาภาเพียงลำพังตามประสาผู้หญิง

หล่อนเพิ่งเข้าทำงานเป็นครีเอทิฟอยู่ในบริษัทของณัชพลจากการแนะนำของเขา เป็นเหตุให้ต้องปรับลุคกันเล็กน้อยเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศและสถานที่ในการทำงาน เพราะเดิมทีนั้นชยาภาเป็นสาวคงแก่เรียนจึงแทบไม่เคยสนใจเรื่องแฟชั่นการแต่งตัวจนต้องปฏิวัติตัวเองใหม่

“มาทำงานกับพี่ณัชได้ไม่กี่วันกลายเป็นนิวชยาภา” กินรินกระเซ้ากึ่งชื่นชมที่เพื่อนซี้เปลี่ยนไปในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วัน กลายเป็นสาวสวยทันสมัยมาดครีเอทิฟ

“ขอบใจ แต่อย่าเพิ่งสนใจเรื่องของฉันเลย เพราะฉันอยากรู้เรื่องแกมากกว่า”

“เรื่องอะไร”

“อย่ามาทำเป็นบ้องแบ๊วหน่อยเลย ก็เรื่องญาติหนุ่มหล่อเชื้อสายแขกอาหรับราตรีคนนั้นไง”

“เขาเป็นลูกป้าพร เป็นหลานชายของคุณปู่ใหญ่ ปกติไม่ได้อยู่เมืองไทย เพิ่งกลับมาจากฝรั่งเศส”

“แหม...โพรไฟล์หรูพอๆ กับตัวเลยละ แต่ว่าฉันรู้สึกเหมือนแกกับเขามีซัมติงรองกันอยู่”

“แกรู้สึกเลยเหรอ” กินรินยิ้มเจื่อนๆ เพราะไม่คิดว่าจะมีคนดูออกง่ายๆ ทั้งที่หล่อนก็พยายามบอกว่าเป็นญาติกัน

“ก็ใช่สิ เขาทำท่าเหมือนไม่ใช่ญาติหรือพี่ชายธรรมดา ดูเหมือนเขาหวงแกนะ” ชยาภาตั้งข้อสังเกต แล้วก็เห็นว่าอีกฝ่ายถอนหายใจเหมือนหนักอก “ตกลงมันยังไงกันแน่”

“เขาให้เงินฉันไปไถ่ถอนจำนองบ้านออกมาจากธนาคารแล้วโอนเป็นชื่อฉันเรียบร้อยแล้ว แถมเงินให้อีกสองล้าน แต่ว่า...” กินรินยอมเปิดใจเล่า เพราะรู้ว่าชยาภาถามด้วยความเป็นห่วง

“แต่ว่าอะไร”

“ฉันต้องไปอยู่กับเขา”

“หา!” คนฟังแทบตาค้าง “ไปอยู่ทำไม”

“แกคิดว่าเขาจะเอาผู้หญิงไปอยู่ด้วยทำไมล่ะ” กินรินบอกแล้วหน้าแดงด้วยความอาย แม้จะสนิทกันมานานหลายปีแต่อดกระดากไม่ได้จึงไม่กล้าพูดออกมาแบบเต็มปากเต็มคำ ผู้หญิงที่ยอมนอนกับผู้ชายเพื่อแลกกับเงินหรือค่าตอบแทนในรูปแบบใดก็ตาม ก็คงไม่พ้นถูกตราหน้าว่าขายตัว!

“นี่มันเรื่องบ้าชัดๆ”

“ฉันนึกแล้วว่าแกต้องไม่เห็นด้วย แต่ฉันก็ทำไปแล้ว” กินรินเริ่มมองหน้าเพื่อนแบบไม่สนิทใจ

ชยาภาถอนหายใจแต่หน้ากลับเครียด “ไม่มีทางออกอย่างอื่นเลยเหรอ”

“ฉันขอให้เขาช่วยซื้อบ้านไว้ก่อน แล้วค่อยลงประกาศขาย ส่วนพวกเราก็จะรีบหาทางย้ายออกไปอยู่ที่อื่น แต่เขาก็ไม่ยอม”

“นี่เขาอยากได้แกจริงๆ เลยนะเนี่ย ยอมทุ่มเป็นสิบล้าน บ้าไปแล้ว” ชยาภายิ่งฟังยิ่งงง ไม่เข้าใจหนุ่มหล่อหน้าเข้มคนนั้นว่าคิดอะไรกันแน่ หากว่าเขาแค่อยากได้สาวสวยสักคนไประบายอารมณ์เปลี่ยวก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินถึงสิบกว่าล้านก็ได้ คงมีสาวๆ อีกหลายคนอยากสนองความต้องการของเขา เพราะนอกจากรวยแล้ว จิรสินยังหล่อลากดินจนแม้แต่ชยาภาเองยังอึ้งไปหลายวินาที

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าทำไมเขาต้องทำแบบนี้”

“แกไปกับเขามาแล้วเหรอ” ชยาภาถามตรงๆ

กินรินหน้าแดงกว่าเดิมแล้วรีบส่ายหน้าหวือ นอกจากอายแล้วตอนนี้ยังเริ่มรู้สึกกลัวอีกด้วย เพราะใกล้ถึงวันที่ต้องย้ายออกไปอยู่กับเขาทุกที หล่อนไม่เคยไปอยู่ที่ไหนหรือกับใครมาก่อน ทั้งชีวิตก็อยู่กับครอบครัวที่อบอุ่นมาโดยตลอด นับจากนี้ยังไม่รู้ว่าชีวิตจะเปลี่ยนไปอย่างไร

“ก็ยังดีนะที่เขายังให้เวลาได้ตั้งตัวบ้าง”

“ภา...แกไม่รังเกียจเหรอที่ฉันกลายเป็นแบบนี้” กินรินอดถามไม่ได้

“ฉันเป็นห่วงแกต่างหากล่ะ”

“ขอบใจมากนะภา”

“แต่ท่าทางพี่สินเขาเครซีแกมากเลยนะ อย่างวันนั้นก็เกือบจะมีเรื่องกับพี่ณัช ถ้าเขาชอบแกขนาดนี้ก็คงจะดีกับแกอยู่หรอก” ชยาภาออกความเห็นเชิงให้กำลังใจ เพราะคงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

“แกคิดว่าเขาชอบฉันเหรอ”

“ก็ใช่สิ ไม่งั้นเขาจะทำท่าหึงพี่ณัชทำไม ใครๆ ก็มองออกว่าพี่ณัชชอบแก ยิ่งผู้ชายด้วยกันยิ่งดูง่ายเข้าไปอีก” ชยาภาบอกอย่างมั่นใจ

“ท่าทางพี่ณัชก็คงสงสัยเหมือนกัน แต่ฉันไม่รู้จะพูดยังไง”

“เรื่องพี่ณัชคงไม่สำคัญแล้วละ แกสนใจพี่สินดีกว่า เพราะยังไงแกก็ต้องอยู่กับเขาไปอีกนาน”

กินรินได้ยินแล้วต้องกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ เพราะเขาไม่ได้บอกว่าจะให้หล่อนอยู่กับเขานานแค่ไหน นั่นหมายถึงว่าไม่มีกำหนด และหล่อนก็หมดสิทธิ์คิดวางแผนชีวิตใดๆ อีกนับจากนี้...จนกว่าจะถูกเขี่ยทิ้ง!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น