บทนำ
ติดค้าง
“วอสอง วอสอง เหตุห้าหนึ่งหนึ่งพิกัดก่อนถึงสี่แยกตำบล...สองกิโลเมตร มีรถได้รับความเสียหายหนึ่งคัน ยังไม่ทราบจำนวนผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต เจ้าหน้าที่ท่านใดอยู่ใกล้...”
เสียงสัญญาณแจ้งเหตุห้าหนึ่งหนึ่ง โค้ดอันหมายถึงได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นแล้ว ดังระรัวผ่านวิทยุสื่อสาร
เอี๊ยด...!
ร้อยเอก ชานนท์ กระโดดสูง ผู้กองหนุ่มซึ่งใกล้ปลดประจำการในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้าแตะเบรกกะทันหันจนรถจักรยานยนต์ส่ายสะบัด ต้องเหยียดขาข้างหนึ่งลงพื้นช่วยประคองจึงสามารถควบคุมเหล็กกล้าทั้งคันที่คร่อมอยู่ไม่ให้ต้องเทกระจาดทั้งคนทั้งรถไปข้างทาง
“วอศูนย์ วอศูนย์ ร้อยเอก ชานนท์ กระโดดสูง ห้านาทีจะถึงที่เกิดเหตุ”
ชายหนุ่มหยิบวิทยุสื่อสารข้างเอวขึ้นมารับคำสั่ง แล้วเสียบมันกลับเข้าไปยังเข็มขัดข้างเอวตามเดิม ในขณะที่เสียงดังตอบกลับจากวิทยุสื่อสารเร็วรี่ถี่กระชั้น
“วอศูนย์ศูนย์ วอศูนย์ศูนย์ สถานที่ยังไม่เคลียร์ ระวังอันตรายด้วย” วอศูนย์ศูนย์ หมายถึงให้คอยก่อนจะรับคำสั่งอีกที อย่าเพิ่งผลีผลามทำการใดโดยพลการ
ผู้กองหนุ่มรับคำสั่งนั้นโดยการพยักหน้าเพราะเขาได้เก็บวิทยุสื่อสารของตนเข้าที่แล้ว สองมือขณะที่เสียงสัญญาณดังขึ้นจึงจับมั่นที่แฮนด์รถจักรยานยนต์ทั้งสองข้างและบิดพาเจ้าเหล็กกล้าทั้งคันพุ่งออกจากที่
บรื้น!
เสียงเบิลรถจักรยานยนต์ประกาศศักดาผ่านท่อไอเสียดังขรม พอๆ กับเสียงหัวใจหนุ่มแน่นที่เต้นตุบตับด้วยแรงอัดมหาศาลจากแรงกระตุ้นความรู้สึกนึกคิดจนสะท้าน
พิกัดที่ได้คือแยกหนึ่งของอำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ยังระอุไปด้วยเหตุก่อการร้ายสร้างสถานการณ์แทบทุกย่อมหญ้า
ร้อยเอก ชานนท์ กระโดดสูง ทหารหนุ่มจากรั้วโรงเรียนนายสิบทหารบกชั้นเยี่ยมรุ่นที่แปด เลือกเป็นอาสาสมัครประจำการลงใต้ภายหลังได้รับเลื่อนยศเป็นจ่าสิบเอกในวัยยี่สิบหกปีไม่กี่วัน และประจำการมาแล้วถึงสี่ปีกับอีกเกือบหกเดือนเต็ม เขาทุ่มเทเวลาและกำลังให้แก่ภาระหนักบนบ่าในฐานะทหารกล้าของชาติอย่างไม่หวั่นเกรงความตาย บุกทะลวงทุกเหตุการณ์จนหลายครั้งหลายคราก็ได้เป็นหนึ่งในผู้กล้านอนนิ่งรักษาตัวอยู่บนเตียงผู้ป่วยไปเกือบเดือน
ความตายไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่ความตายไม่ใช่ใครก็จะสามารถเอามันมามอบให้ใครอีกคนได้ตามแต่ใจ!
เขาไม่ใช่คนชอบขัดแย้งในศรัทธาของผู้อื่น แค่เป็นเพียงบุคคลซึ่งไม่ชอบความเดือดร้อนอันเกิดจากความศรัทธาที่ขัดแย้งกัน!
วืดดด!
ผู้กองหนุ่มหักหัวรถเลี้ยวขวาในระดับความเร็วที่เสียววาบไปทั้งร่างทันทีที่เจอสี่แยก แต่เขาก็ไม่ได้สะทกสะท้านใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่จ้องตรงไปเบื้องหน้า และบิดคันเร่งเพิ่มขึ้นจนเกือบจะมิดไมล์
“ช่วยด้วย...อุ๊บ”
เสียงร้องขอความช่วยเหลือของเด็กสาววัยใกล้สิบแหปดปีบริบูรณ์ ถูกปิดกั้นด้วยฝ่ามืออวบอูมของชายวัยกลางคนซึ่งใบหน้าและร่างกายอาบไปด้วยโลหิต เช่นเดียวกับบริเวณโดยรอบที่เจิ่งนองไปด้วยลำธารเลือดและกลิ่นเหม็นไหม้คละคลุ้งผสมผสานกลิ่นคาวอันรุนแรง ทั้งชวนสะอิดสะเอียนและสังเวชใจสุดประมาณ
บนท้องถนนปรากฏรถเก๋งสีดำคันหนึ่งเสียหลักครูดไปกับพื้นคอนกรีตยาวกว่าร้อยเมตร ล้อรถด้านหลังข้างหนึ่งระเบิดจนรุ่งริ่งยับเยิน ตัวรถหมุนคว้างเป็นลูกข่างอยู่หลายตลบก่อนจะหยุดแน่นิ่งกลางถนนจากห่ากระสุนปริศนาไม่ทราบทิศทางที่แน่ชัด แต่เป้าหมายมีเพียงจุดเดียวเท่านั้น คือรถเก๋งสีดำซึ่งหมดหนทางจะเยียวยาซ่อมแซมแล้วคันนี้
“ยะ...อย่าพูด” เจ้าของฝ่ามือเค้นเสียงห้ามปรามอันสั่นพร่า กระแสเสียงนั้นแผ่วเบาถึงขนาดที่ใกล้เพียงไม่กี่คืบยังได้ยินเพียงเสียงกระซิบ แต่ก็ยังพยายามเค้นมันออกมา “งะ...เงียบไว้”
“ฮือ ฮื้อ!”
เด็กสาวยังไม่รู้อะไร นอกจากความเป็นความตายของบิดาที่เฉียดใกล้เงื้อมมือมัจจุราชเพียงคืบ แผ่นหลังซึ่งเธอกำลังวางมือทาบอยู่เหนอะไปด้วยความข้นเหนียว คลองจักษุก็รับภาพใบหน้าบิดาที่อาบย้อมไปด้วยสีแดงสดครึ่งซีก ร่างเล็กพยายามดิ้นรน แต่ก็ถูกร่างหนาหนักของบิดาตรึงไว้ด้วยน้ำหนักร่างกายที่มากกว่า
“ยะ...อย่าดื้อ”
ผู้เป็นบิดาดุเสียงระโหยโรยแรง เขารู้ว่าในใจของลูกนั้นตระหนักถึงสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ดีแล้ว จึงได้แสดงอาการต่อต้านคำพูดของเขาปานนี้ เขาเองก็ไม่ได้อยากจะจากไปโดยต้องปล่อยลูกสาวให้ผจญความเลวร้ายนี้ต่อเพียงลำพัง
แต่ทุกสิ่งอย่าง...เขาไม่ใช่ผู้กำหนด!
“นะ...หนู ตะ...ต้องรอด หนูต้องเชื่อพ่อ...อั๊ก!” ทั้งที่พยายามสะกดกลั้นไว้สุดกำลัง แต่โลหิตจำนวนหนึ่งก็ยังพุ่งออกจากปากที่กำลังพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะเอ่ยถ้อยคำออกมาให้ลูกเข้าใจมากที่สุด
ลูกสาวอาจไม่ได้ยิน แต่บิดาซึ่งผ่านโลกมามากกว่าสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังมุ่งมาที่พวกเขาอีกครั้ง!
“อยู่...นะ...นิ่งๆ”
เขากระจ่างแจ้งตั้งแต่นาทีที่รถถูกกระสุนนัดแรกเจาะตัวผนัง จนคนขับรถของเขาหมดลมหายใจคาที่ ทำให้รถเสียหลักส่ายสะบัดจนป่นปี้ขนาดนี้ สิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ไม่ใช่การสร้างสถานการณ์ธรรมดาๆ แต่พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับอันตรายที่มากกว่าหลายเท่า
“ฮื้อ...”
พ่อ!
บิดากดเธอลงจนศีรษะติดเบาะนั่ง เธอไม่รู้ว่าท่านกำลังหลบเธอให้พ้นรัศมีซึ่งจะมองเห็นผ่านกระจก และร่างที่โชกไปด้วยบาดแผลอาบโลหิตของบิดาก็พยุงกายขึ้นคร่อมเหนือร่างเธอไว้
กึกๆ กึกๆ
เด็กสาวหยุดชะงักอาการดิ้นรนในทันที เมื่อได้ยินเสียงประตูที่บุบเข้ามาเกือบศอกถูกเขย่าแรงๆ หมายจะกระชากออก หรือลองทดสอบเพื่อหาทางที่จะเข้ามาภายในได้
“ไปกันเถอะแก ไปจากที่นี่กันเถอะ”
หญิงสาววัยเพิ่งบรรลุนิติภาวะได้ไม่ถึงเดือน รูปร่างแบบบางแบบฉบับวัยรุ่นซึ่งกำลังให้ความสนใจเรื่องรูปร่างเป็นพิเศษเขย่าแขนเพื่อนวัยเดียวกันที่ยื่นมือไปจับตัวรถ ไม่สิ เรียกตัวรถไม่ได้แล้ว ต้องเรียกว่าซากรถ เพราะสภาพพังยับเยินไม่มีชิ้นดี เธอกลัวเหลือเกินด้วยว่ามันจะระเบิดขึ้นไม่นาทีใดก็นาทีหนึ่งข้างหน้านี้ ฝ่ามือที่คล้องแขนเพื่อนอยู่จึงชื้นไปด้วยเหงื่อชุ่มเป็นน้ำ
“เดี๋ยวสิ กว่าทหารตำรวจจะมาถึง ถ้ายังมีคนรอดจะตายเอานะ”
จามิกร หญิงสาวที่เพิ่งก้าวข้ามคำว่าเด็กสาวมาได้เพียงสองเดือนเศษๆ รั้งเพื่อนไว้พลางตบเบาๆ บนหลังมือ ไม่ใช่ไม่กลัวหรือใจกล้าเกินคนปกติ แต่ในฐานะนักศึกษาพยาบาลวัยยี่สิบปีบริบูรณ์แล้ว ไม่อาจนิ่งดูดายทั้งที่รู้เต็มอกนั่นละว่าอันตราย
ถึงการลงใต้มาหนนี้จะไม่ใช่เพื่อการเรียน แต่มาเพื่อร่วมงานศพตาทวด คุณตาของมารดาซึ่งเธอเคยได้ใกล้ชิดสมัยเด็กๆ ยามปิดเทอม เธอออกจากบ้านมาซื้อของกับลูกพี่ลูกน้องที่เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เยาว์วัย สมัยที่ยังไม่มีเหตุการณ์ต่างๆ เช่นทุกวันนี้
“คนข้างในเป็นยังไงบ้างคะ ได้ยินเสียงฉันไหมคะ!”
หญิงสาวไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปมากกว่านั้น หันไปลองเขย่าประตูที่แน่นเหลือเกินอีกครั้ง พร้อมกับพยายามเพ่งมองเข้าไปและตะโกนขอการตอบสนองจากผู้บาดเจ็บ
“แก...”
“แกไปหาไม้มาให้ฉันสักท่อนซิ เราต้องงัดประตูพังๆ นี่ออก ไม่งั้นจะช่วยคนที่อยู่ข้างในไม่ได้”
จามิกรร้องขอความช่วยเหลือ ขัดถ้อยคำประท้วงของเพื่อนรัก เธอไม่อยากได้ยินการฉุดรั้งใดๆ ที่จะทำให้ผู้บาดเจ็บด้านในต้องเฉียดเข้าใกล้ความตายมากไปกว่านี้ ใจของเธอเริ่มหนักอึ้งเรื่อยๆ เมื่อเห็นแผ่นหลังของผู้บาดเจ็บยังกระเพื่อมขึ้นลง แต่แผ่วเต็มที แต่นั่นก็คือเครื่องหมายว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่
“จ๋า!”
“เขายังไม่ตาย ฉันกำลังจะเป็นพยาบาลนะ ฉันจะทิ้งคนเจ็บไปเฉยๆ ไม่ได้”
ถ้าต้องทิ้งคนเจ็บที่ยังมีโอกาสรอด ตำแหน่งพยาบาลที่พยายามมาถึงสองปีเต็มๆ นี้ ก็ไม่ต้องไปเรียนต่อมันแล้ว
“แต่รถนี่จะระเบิดหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ”
พรระวินท์เป็นนักศึกษาบัญชีจึงไม่มีจิตใจมุ่งมั่นจะช่วยเหลือใดๆ สนใจเพียงแค่ความเจ็บไข้ได้ป่วยและอันตรายของตนเอง ความกลัวจึงไม่ได้หายไปไหนเลยไม่ว่าจะโดนเพื่อนรักกระตุ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่มีกลิ่นก๊าช รถใช้น้ำมันไม่ระเบิดง่ายๆ หรอก เร็วเข้าเถอะน่ะ เขาหายใจแผ่วลงเรื่อยๆ แล้วนะ”
ผู้บาดเจ็บที่เสียเลือดมากต่อให้มีความอดทนกับความเจ็บปวดยิ่งยวด ร่างกายก็ไม่อาจต้านทานอาการขาดเลือดมากขึ้นๆ ทุกทีได้
“กลับไปถึงบ้าน ฉันจะฟ้องคุณลุงแน่!”
พรระวินท์คาดโทษกระฟัดกระเฟียด แต่ก็หันหลังวิ่งไปข้างทางเพื่อหาไม้ตามที่เพื่อนต้องการ ครู่เดียวก็ย้อนกลับมายื่นท่อนไม้ไผ่กลมๆ ท่อนนึ่งให้ ความยาวเกือบสองเมตร
“เจอแต่อันนี้แหละที่พอใช้ได้ ที่เหลือรอบๆ บริเวณนี้มีแต่เศษไม้ทั้งนั้น”
“มีก้อนหินไหม ดูให้หน่อย” ใช้ได้ไม่ได้แค่มองก็รู้สึกได้ จึงอยากจะได้ตัวช่วยอีกสักหน่อย
จามิกรไม่ได้มองว่าเพื่อนรักวิ่งกลับไปหรือเดินกลับไป เธอรับไม้ไผ่มาและจัดการกระแทกแรงๆ ไปตรงจุดล็อกประตู เพราะถึงตัวรถจะบุบเข้าไปค่อนข้างมาก แต่ถ้าเธอกระแทกส่วนที่บิดเข้ามาขวางกั้นประตูตรงนี้ให้พ้นไปได้ ก็จะสามารถเปิดประตูรถได้
“สะเทือนหน่อย แต่อย่าเพิ่งขยับตัวนะคะ คุณลุงได้ยินหนูใช่ไหม อย่าเพิ่งขยับนะคะ”
“หนูได้ยิน หนูจะไม่ขยับ จะไม่ให้พ่อขยับ” แทนที่จะเป็นเสียงผู้ชาย กลับเป็นเสียงเล็กปนสะอื้นของเด็กสาวที่มองไม่เห็นจากด้านนอกแทน
“ยังมีคนอื่นอยู่ตรงนั้นด้วยเหรอ หนูเป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนมากเป็นพิเศษหรือเปล่า แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวกมีไหม”
จามิกรชะงักไปเล็กน้อย มือที่กำลังกระหน่ำทุบชะงักไปเสี้ยววินาที ก่อนจะกลับมาเร่งมือต่อและซักอาการเจ้าของเสียงที่ได้ยิน ดีจริงๆ ที่เธอไม่ยอมทิ้งพวกเขาไปอย่างที่พรระวินท์ประท้วงแล้วประท้วงอีก
“ปวดที่หัวมากๆ เลยค่ะ แต่หนูไม่เป็นไร แต่...พ่อของหนูกำลังจะตาย”
เด็กสาวสามารถพูดได้ เพราะบิดาได้ปล่อยมือที่ปิดปากเธอออกแล้ว ตั้งแต่ที่ได้ยินเสียงผู้หญิงถกเถียงกันด้านนอก
“ไม่ต้องกลัวนะ พวกพี่โทร. แจ้งตำรวจแล้ว อีกสักพักรถพยาบาลก็จะมาถึง พี่เองก็เป็นนักศึกษาพยาบาล พี่สามารถช่วยดูอาการพ่อหนูเบื้องต้นได้”
ตอนโทร. แจ้งความ พวกเธอได้ยินเสียงล้อรถระเบิดจึงเข้าใจว่าเกิดเหตุระเบิด ไม่ได้โทร. กลับไปแก้ไขหลังจากที่เห็นชัดๆ ว่าเป็นเพียงการเข้าใจผิด
“พ่อ...พ่อหนูเลือดออกเยอะมาก เยอะมากๆ ฮือ!” พอได้ยินว่าใกล้จะได้รับความช่วยเหลือเช่นนั้น เด็กสาวก็ถึงกับร้องไห้โฮ
“อีกนิดเดียวพี่ก็จะเปิดประตูนี่ได้แล้ว อีกนิดเดียว”
ตึก! ตึก! ตึก!
จามิกรเพิ่มกำลังสุดแรงจนรถทั้งคันสั่นสะเทือน ฝ่ามือที่กำท่อนไม้ก็ปวดหนึบ ประตูจึงหลุดออกจากผนังรถส่วนที่บิดมาขัดขวาง
“ได้แล้ว!”
ตุ้บ!
พรระวินท์โยนหินก้อนเท่ากำปั้นสองก้อนลงพื้นอย่างไม่ไยดี ทั้งที่กว่าจะเฟ้นหามาได้ช่างยากเย็น
“คุณลุงเลือดออกมาก แกมาช่วยฉันหน่อย ข้ามไปที่เบาะหน้าและดึงเบาะนี้แรงๆ” เพราะตัวรถหมุนไปมาอยู่หลายรอบ กลไกต่างๆ ของตัวรถจึงเสียหายบิดเบี้ยวซ้อนทับกันไปหมด ถ้าไม่มีคนช่วย ช่องว่างเล็กน้อยเท่านี้ไม่เพียงพอให้เธอพาตัวผู้บาดเจ็บออกมาแน่
“ตะ...แต่มีคนอยู่เบาะหน้านะ”
พรระวินท์แทบร้องไห้ ใบหน้าเหยเกจนบิดเบี้ยว เพราะเบาะหน้ามีคนขับรถนอนหมดลมหายใจอยู่ ทั้งเลือดทั้งบาดแผลเหวอะหวะ เธอยังไม่กล้าเหลือบมองเต็มตา
“พร แกอย่าเพิ่งกลัวสิ เขาก็คือคนเหมือนเรานั่นแหละ” คนเหมือนเราที่แค่หมดลมหายใจไปแล้ว ปลอบเพื่อนไปเช่นนั้น แต่ความจริง เธอเองก็ขาสั่น
“จากนี้ไป ฉันจะไม่ไปไหนกับแกอีกแล้ว!” น้ำตาหยดโตๆ ไหลรินจนนัยน์ตาทั้งคู่แดงก่ำ
“ดึงแรงๆ เลยนะ”
“ไม่ต้องมาพูดเลย ฮือ! ฮือๆ!”
พรระวินท์ถึงกับร้องไห้โฮอย่างจริงจังและพยายามใช้หางตานำทางผ่านความหวาดกลัวนั้นไปจนถึงที่หมาย แต่กลิ่นคาวเลือดซึ่งโชยขึ้นมาแตะจมูกอย่างรุนแรงก็ทำเอาหญิงสาวต้องปิดปากฉับพลันกลั้นอาการพะอืดพะอม
“ฉันขอโทษ”
จามิกรรู้สึกผิดจนอึดอัดเมื่อเห็นอาการของเพื่อนรัก หากนั่นก็เพียงเสี้ยวขณะสั้นๆ เพราะผู้บาดเจ็บตรงหน้าอาการสาหัสกว่ามาก ความกลัวไม่ทำให้คนเป็นตาย แต่ความเจ็บปวดกำลังจะทำให้คนบาดเจ็บสิ้นลม!
“คุณลุงยังได้ยินหนูไหมคะ ถ้าได้ยิน ช่วยหนูนิดนึงนะคะ หนูกำลังจะช่วยคุณลุงออกจากรถ”
ตามหลักไม่ควรเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บโดยพลการ ต้องได้รับการประเมินร่างกายอย่างละเอียดเสียก่อนว่าจะต้องยกเคลื่อนย้ายด้วยรูปแบบใดถึงจะส่งผลเสียต่อร่างกายผู้บาดเจ็บน้อยที่สุด แต่ในสถานการณ์เร่งด่วนเช่นนี้ เธอไม่อาจรอได้นานขนาดนั้น เพราะถึงจะเอ่ยปลอบเพื่อนรักไปว่าไม่ได้กลิ่นก๊าซธรรมชาติที่นิยมเปลี่ยนไปใช้กันมากในยุคน้ำมันแพง แต่ความเป็นจริงเธอได้กลิ่นน้ำมันจางๆ ซึ่งเป็นไปได้มากว่ารถคันนี้ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ถังน้ำมันอาจมีการรั่วไหลก่อเกิดอันตรายที่คาดไม่ถึง
หญิงสาวขยับเข้าไปในรถ โดยไม่ได้สำรวจอาการบาดเจ็บอื่นๆ เพิ่มเติมจากที่เห็นภายนอก เธอสอดมือทั้งสองข้างใต้รักแร้ผู้บาดเจ็บไปประสานกันแน่นตรงอก แล้วออกแรงทั้งหมดดึงเขาออกมา
ฮึบบบ...
จามิกรใช้แรงหมดทั้งตัวแล้วจริงๆ แต่ให้ตาย! ผู้บาดเจ็บคนนี้หนักเกินไป ร่างกายท้วมสมบูรณ์ที่ชุ่มไปด้วยเลือดไม่ขยับเลยสักนิด
“ได้หรือยังแก”
พรระวินท์ซึ่งหลับตาปี๋ตลอดเวลาเร่งเร้าเสียงพร่า ความอดทนของเธอจวนเจียนจะขาดผึงเต็มที
มีความกังวลฉายชัดบนใบหน้าของจามิกร เม็ดเหงื่อเล็กๆ ถึงกับผุดขึ้นมาประกาศความยากลำบากบนหน้าผาก ทว่าหญิงสาวไม่ยอมแพ้เพียงแค่การล้มเหลวครั้งเดียว เธอรีบสูดหายใจเข้าปอดให้สุดและรวบรวมกำลังอีกครั้ง
“อีกทีนะคะคุณลุง คุณลุงต้องช่วยหนูนะ หนึ่ง สอง สาม ฮึบบบ...”
ตึก!
รอบนี้สำเร็จ แต่คนออกแรงสุดตัวกลับหงายหลังไม่เป็นท่า ดีที่ศีรษะไม่ได้กระแทกเข้ากับเหล็กกล้าอย่างตัวรถ แต่เป็นฝ่ามือของใครบางคน
“ขอบใจมากนะพร”
จามิกรคิดว่าเพื่อนรักเป็นคนช่วยเหลือไม่ให้ศีรษะต้องแตกเพราะแรงกระแทก จึงเอ่ยคำขอบคุณขึ้นมาโดยไม่ได้หันไปมอง นอกจากกุลีกุจอจัดการผู้บาดเจ็บที่ตามติดเธอขึ้นมาจนทาบทับส่วนล่างของเธอไปครึ่งท่อน
“ฉันปล่อยมือได้แล้วใช่ไหม” เพื่อนขอบคุณแสดงว่าหมดหน้าที่ช่วยเหลือของเธอแล้ว
“แกก็ปล่อยแล้วนี่” แถมผลักเธอนิดหน่อยด้วย ยังแปลกใจอยู่เลยว่ากลัวขนาดร้องไห้โฮ ยังอุตส่าห์เค้นความกล้ามาช่วยรองรับศีรษะเธอไม่ให้กระแทกได้อีก
“ฉันยัง...”
“เด็กมัธยมสมัยนี้ไม่อยู่บ้านอ่านหนังสือกันแล้วหรือไง พวกเธอมาทำอะไรกันที่นี่!”
เสียงคำรามที่ไม่ได้ทุ้มแต่กร้าวกระด้างจนอาจจะบาดคนให้เป็นรอยแผลได้ง่ายๆ กังวานขึ้นกลบวาจาสั่นพร่าของพรระวินท์
สองสาวซึ่งต่างไม่รู้ว่ามีบุคคลอื่นเพิ่มเข้ามาในสถานการณ์ลำบากนี้ จึงพร้อมใจกันหยุดหายใจไปชั่วขณะ ก่อนที่พรระวินท์ผู้ถูกความหวาดกลัวคืบคลานมาครอบครองทั่วกายจะสะดุ้งโหยงร้อง ‘โอ๊ะ’ ออกมาคำหนึ่ง พลอยเรียกสติจามิกรให้สะบัดศีรษะหันควับจนดังก๊อก
ใช่ คอเธอเคล็ดเสียแล้ว เอ้า...ไม่สิ มันยังไม่เคล็ด!
ฝ่ามือหนาหนัก แถมยังอุ่นจนร้อนช่วยเธอไว้อีกครั้ง
“เด็กบ้าเอ๊ย ไม่รู้กันหรือไง ว่าตรงนี้มันอันตราย!” ชายหนุ่มเจ้าของเสียงคำรามถึงกับตบหลังคารถไปหนึ่งที ซ้ำโมโหจนดีดนิ้วไปบนศีรษะดกดำด้วยเส้นผมหนานุ่ม ทว่ายุ่งเหยิงจนคล้ายนางเพิ้งเข้าไปทุกทีของเด็กสาวตรงหน้าไปหนึ่งครั้งด้วย
“ที่นี่เป็นหน้าที่ของทหารตำรวจ เด็กผู้หญิงอย่างพวกเธอสองคนเห็นเป็นที่เที่ยวหรือยังไง รีบถอยออกมาเดี๋ยวนี้เลย!”
หากเป็นลูกเป็นหลาน เขาจะจับมายืนตรงหวดไม้เรียวให้เต็มก้น เลือดไม่ออกอย่ามาเรียกเขาว่าผู้กองชานนท์!
แต่ถึงไม่ใช่เขา ก็คงจะต้องรายงานความประพฤตินี้ต่อบิดามารดาให้อบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวดให้หนักๆ
“พะ...พี่ช่วยดึงหนูหน่อยสิคะ คุณลุงหนักมาก หนูขยับไม่ได้เลย”
จามิกรไม่เพียงไม่ถือสาถ้อยวาจาดุร้ายของพี่ชายด้านหลัง ทันทีที่หายตกใจหญิงสาวก็กระจ่างแจ้งดีแล้ว มันเป็นธรรมดาที่ผู้ใหญ่จะโกรธกับสิ่งที่เธอสองคนกำลังกระทำ ไม่รู้สึกอะไรเลยสิถึงจะเรียกว่าแปลก
“รู้ว่าหนักมาก ทำไมถึงไม่รู้จักรอ ไม่รู้จักกลัวกันบ้างหรือไง”
ในฐานะทหารยังรู้สึกขนลุกกับเหตุการณ์เช่นนี้ ยังต้องมีกฎข้อบังคับไม่ให้บุ่มบ่ามทำอะไรตามอำเภอใจ เพราะมักจะมีอันตรายที่คาดไม่ถึงซุกซ่อนอยู่ โทสะของเขาจึงพุ่งปรี๊ดจนปวดหัวกับคำตอบที่ไม่ได้แฝงความหวาดกลัวแม้แต่น้อยนั้น
“คุณลุงจะไม่ไหวแล้ว พี่ชายคนดี ช่วยหนูหน่อยนะ”
จนแล้วจนรอดก็ยังจะช่วยเหลือต่อไป!
ชานนท์ขบกรามจนขึ้นสัน เด็กสาวข้างในนั้นจึงต้องรับผลของการใจกล้าบ้าบิ่นเป็นเสียงกรีดร้อง
“ว้ายยย!”
ร่างกายถูกยกจนพ้นออกจากประตูรถในท่านั่ง แม้แต่ช่วงเวลาที่ลอดผ่านประตูรถอันคับแคบ เจ้าของมือยังไม่ชะงักสักเสี้ยววินาที มีแต่เธอที่หดศีรษะจนเกร็งไปทั้งตัว ต้องแข็งแรงขนาดไหนกัน ร่างเล็กจึงได้ลอยออกมาในรวดเดียว ทิ้งหัวใจดวงน้อยให้กองอยู่ในนั้น
“กลับบ้านไปกินนมได้แล้วเด็กน้อย!”
ชานนท์วางเด็กสาวลงแบบไม่เบามือ พอได้เห็นใบหน้าเล็กๆ อันเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดมอมแมมก็คะเนอายุได้ทันทีว่าไม่ถึงสิบแปดปี จงใจลงโทษเธอเสียด้วย จะได้รู้เสียบ้างว่าอันตรายจริงๆ เขาไม่เคยดูตาม้าตาเรือ ไม่เคยเห็นแก่หน้าอินทร์หน้าพรหม เด็ก สตรี คนชราที่ไหนทั้งนั้น ร่างเล็กแถมบอบบางจึงทรงตัวไม่อยู่จ้ำเบ้ากับพื้น
“หนูไม่ใช่เด็กแล้วนะพี่ชาย” ตกใจก็ตกใจ เจ็บก็เจ็บ จามิกรโต้ตอบด้วยวาจาสบประมาท ใบหน้าแดงก่ำ
“เด็กไม่รู้ความ!”
ถ้าไม่ใช่เด็กจะทำการบุ่มบ่ามเช่นนี้ได้อย่างไร เขาไม่หันกลับไปมองอีก ผลุบช่วงบนกลับเข้าไปด้านในรถ เอ่ยวาจาดุดัน
“เธอก็ออกมาได้แล้ว กลัวขนาดนั้นแล้วยังจะใจกล้าบ้าบิ่นกันอีก!”
สิ่งที่จามิกรทำไม่ได้ แต่พี่ชายคนดีกลับทำได้ง่ายดาย พริบตาที่จามิกรชันตัวลุกขึ้นมา ชายหนุ่มก็ดึงผู้บาดเจ็บออกจากตัวรถพร้อมกับย่อตัวลงใช้แผ่นหลังตนเองแบกแทนเปลหาม จ้ำอ้าวพาผู้บาดเจ็บไปในจุดที่ห่างไกลจากรัศมีอันตราย
ถึงจะปากร้าย แต่เขาก็เป็นผู้ชายที่แข็งแรงมากจริงๆ
จามิกรอดชื่นชมคนเก่งเช่นเด็กสาวคนหนึ่งไม่ได้ ก่อนจะถูกเสียงจากด้านในเบี่ยงเบนความสนใจ
“พี่คะ เหมือนขาหนูจะหัก”
ก่อนหน้าถูกบิดาทับ น้ำหนักตัวทำให้ร่างกายของเธอปวดร้าวไปหมด จึงแยกไม่ออกว่าอะไรคือความผิดปกติจริงๆ ของร่างกาย พอบิดาถูกเคลื่อนย้ายออกไป ความเจ็บปวดจริงๆ จึงเพิ่งปรากฎแจ่มแจ้ง
“อย่าเพิ่งขยับนะ พร แกออกมาก่อน”
จามิกรร้องห้ามและสั่งเพื่อนรักที่ยังอืดอาดยืดยาดเพราะแข้งขาไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับความรู้สึก จนเพื่อนรักออกมาชักสีหน้าด้านนอกรถ จึงรีบผลุบกลับเข้าไปข้างในอีกหน ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคำสั่งเฉียบขาดของพี่ชายคนดีแต่อย่างใด
“แขนไม่เจ็บใช่ไหม” เธอถามขณะใช้สองมือประคองขาข้างที่บาดเจ็บของเด็กสาวขึ้นมาวางบนตัก
“ไม่ค่ะ” เด็กสาวทั้งตอบและพยักหน้า
“เราไม่มีเวลามากพอจะปฐมพยาบาลในนี้ ใช้มือช่วยพี่เขยิบตัวนะ พี่จะประคองขาเราไว้” ขอแค่ขยับเข้ามาใกล้ทางออก พี่ชายคนดีก็จะสามารถแบกเด็กสาวคนนี้ไปได้อีกคน
และก็เป็นเช่นนั้น ถึงเธอจะถูกพี่ชายคนดีชักสีหน้าบึ้งตึงใส่ ดำคล้ำยิ่งกว่าท้องฟ้าที่ใกล้จะปลดปล่อยหยาดพิรุณ เขาก็ยังแบกเด็กสาวขึ้นหลังง่ายดาย
“พี่คะ สร้อย สร้อยของหนู”
“ไม่ต้องสนใจ!” ชายหนุ่มที่แบกเด็กสาวอยู่ตวาดลั่น นาทีนี้ยังจะมีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตอีก
“แม่หนูให้มา ถ้าหนูทำหาย หนูก็จะไม่เห็นแม่อีกแล้ว” เด็กสาวสะอื้นไห้ หันกลับไปมองซากรถอย่างอาวรณ์
จามิกรถูกถ้อยคำและสายตาอาวรณ์นั้นสาปไว้กับที่ขณะกำลังจะวิ่งตาม หากไม่มีเสียงพรระวินท์เร่งเร้า เธอก็อาจจะชะงักอยู่ตรงนั้นอีกหลายอึดใจ
“รีบไปจากตรงนี้กันเถอะ”
พรระวินท์เอี้ยวตัวกลับไปร้องเรียก จามิกรจึงออกวิ่งอีกครั้ง จนกระทั่งเธอเห็นพี่ชายคนดีก้าวไปถึงจุดที่วางผู้บาดเจ็บรายแรก และอีกอึดใจพรระวินท์ก็จะเข้าไปสมทบ หญิงสาวจึงหันขวับและวิ่งกลับไป เธอไม่ได้ไม่ห่วงชีวิต เพียงแต่จะให้วิ่งหนีไปโดยไม่รู้สึกอะไร ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงยังมีโอกาสช่วยอีกฝ่ายได้ ขอแค่เพิ่มความกล้าเข้าไปอีกหน่อยเท่านั้น
แล้วเพราะเธอวิ่งช้ากว่าทั้งสองคนเบื้องหน้าอยู่ก่อน ระยะห่างระหว่างไปถึงพวกเขากับย้อนไปหารถจึงเหลื่อมล้ำพอสมควร
“ไอ้จ๋า!”
“ไม่ต้องห่วงฉัน”
จามิกรโต้ตอบโดยพลัน เธอค่อนข้างมั่นใจว่าแชมป์เหรียญทองสี่คูณร้อยของตนเองจะทำให้เก็บสร้อยของเด็กสาวได้ก่อนที่เพื่อนรักจะวิ่งตามมาถึงที่ อีกอย่างพรระวินท์เป็นคนขี้กลัว อีกฝ่ายจะต้องใช้เวลาตั้งสติอีกพักใหญ่เลยเชียวละกว่าจะตระหนักได้ว่าต้องวิ่งตาม
เพราะความมั่นใจเหล่านั้น จามิกรจึงไม่เสียเวลาชักช้า กวาดสายตามองโดยรอบเพื่อตรวจสอบว่าของสำคัญของเด็กสาวตกอยู่ที่ใด และเธอก็พบว่ามันอยู่ตรงจุดพักเท้าตรงจุดที่เด็กสาวนั่งอยู่ แต่ไม่ได้มีเพียงเท่านั้นนั่นสิ สายตาคู่งามซึ่งเต็มแน่นไปด้วยประกายความมุ่งมั่นและความหวังหม่นแสงลงโดยพลัน เมื่อประสบกับกลุ่มควันสีขาวสายหนึ่งที่กำลังพวยพุ่งออกจากกระโปรงหน้ารถ
ไม่ต้องมีใครเอ่ยสิ่งใด จามิกรก็รู้ชัดดีแล้วว่าซากรถคันนี้กำลังถูกความอันตรายยิ่งยวดกลืนกิน!
หญิงสาวกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ไม่ใช่เพียงความหวาดกลัว แต่เป็นเสี้ยววินาทีของการชั่งใจ...
สามสิบวิสำหรับการแทรกตัวเข้าไปเก็บสร้อย อีกสามสิบวิสำหรับการสปีดตัวออกห่าง ทั้งหมดนั้นแค่หนึ่งนาทีเท่านั้น
“ยัยเด็กนี่!”
จามิกรประเมินเพียงพรระวินท์ ไม่ได้ประเมินเผื่อแผ่ไปถึงพี่ชายคนดีที่คำรามลั่นจากเบื้องหลัง ขนทั้งกายจึงสามัคคีอย่างยิ่งพร้อมใจกันลุกชันส่งภาพใบหน้าดุร้ายของเขาขึ้นมาในมโนสำนึกโดยไม่จำเป็นต้องหันกลับไปเผชิญหน้ากับความโกรธามหันต์
กระนั้นก็ไม่ช่วยอะไร ถึงพี่ชายคนดีจะไม่เห็นด้วยรุนแรงเพียงใด จามิกรก็ผลุบเข้าไปด้านในแล้ว ยื่นมือข้างขวาคว้าสร้อยเจ้าปัญหาได้ในครั้งเดียว
“ฉันจะฆ่าเธอแน่ยัยเด็กไม่รู้ความ!”
ครานี้จามิกรได้ยินเสียงคำรามใกล้เสียจนหูแทบดับ ก่อนจะรู้สึกถึงแรงกระชากที่รุนแรงยิ่งกว่าน้ำเสียงอันน่าครั่นคร้าม และโลกที่หมุนเคว้งไม่แตกต่างจากลูกข่างซึ่งถูกเหวี่ยงอย่างแรงลงบนพื้น ตาทั้งสองข้างโฟกัสได้แต่ความพร่าเลือน ในโพรงปากรับได้แต่รสชาติปะแล่มแกล้มกลิ่นคาวเลือด ร่างทั้งร่างร้าวระบมจนจับจุดไม่ได้ว่าเจ็บหรือปวดตรงที่ไหนบ้าง
ตู้ม!
“พี่ชาย!”
ในห้วงอารมณ์เดือดดาลขั้นสุด ชานนท์ทันเห็นปากสีชมพูตะโกนถ้อยคำอันไร้เสียง ไม่...เขารู้ว่ามันไม่ได้ไร้เสียง เพียงแต่การรับฟังของเขาถูกเสียงคำรามเบื้องหลังทำลายไปจนสิ้น จึงไม่สามารถรับสารอะไรเข้ามาได้อีก เหลือแต่ดวงตาที่ยังรับภาพได้เลือนราง
ไม่สิ แม้แต่ดวงตาก็ถูกอานุภาพเบื้องหลังสยบไปแล้วเช่นกัน ภาพอันเลือนรางค่อยๆ หายไป รูม่านตาค่อยๆ หดลง พร้อมกับแสงสว่างอันริบหรี่สุดท้ายที่มอดดับลงในที่สุด เหลือไว้เพียงภาพอันอเนจอนาถเต็มไปด้วยโลหิตคณานับไม่ได้สู่สายตาของเด็กสาวที่ถูกประนามว่า ‘ไม่รู้ความ’ แช่แข็งเธอทั้งเป็นด้วยภาพของตนแทนที่ความโหดร้ายด้านหลัง
ความคิดเห็น |
---|