ร้อยเอก ชานนท์ กระโดดสูง

           

            ‘ขอโทษนะคะพี่ชาย ฉันต้องไปก่อนแล้ว ไม่อาจรอให้พี่ตื่นขึ้นมาก่อนได้จริงๆ แต่สัญญาค่ะ...’

“สัญญาอะไร สัญญาอะไร”

เสียงนุ่มนวลอ่อนหวานที่กระซิบแผ่วข้างหูเงียบหายไปดื้อๆ ไม่แตกต่างจากสายลมแผ่วๆ ที่เพียงแค่พัดผ่านเข้ามาชั่วแวบหนึ่งเท่านั้น คนได้ยินไม่ถนัดไขว่คว้าสะเปะสะปะกับอากาศเพื่อทวงถามเนื้อความต่อไป ในใจหดรัดอย่างไม่ทราบสาเหตุ คล้ายว่ากำลังสูญเสียบางอย่างที่ผูกพันและสำคัญยิ่งไปอย่างยากจะตะกายกลับมาได้ ทั้งที่ใบหน้าของเจ้าของเสียงเป็นเพียงภาพสีขาวสะท้อน เสมือนว่าไร้ตัวตนมาตลอด

“ผู้กองฟื้นแล้ว!”

หนึ่งในสองทหารหนุ่มที่ก้าวย่างมาถึงหน้าประตูห้องพักเอะอะขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินเสียงจากด้านใน เร่งให้อีกคนที่เหลือหันมองและผลักประตูเข้าไปฉับพลัน

“ผู้กองครับ ผู้กอง”

วรินทรคว้ามือตะกายอากาศของผู้บังคับบัญชาไว้ เขาใช้สีข้างด้านซ้ายแนบเตียงไว้เพื่อหยุดการสั่นสะเทือนอันเกิดจากการกระทำของผู้ป่วยที่ยังไม่รู้สึกตัว แต่คนป่วยบนเตียงก็ยังสั่นรุนแรง

“เดี๋ยว! หยุดก่อน หยุด!” เรือนร่างที่เห็นบางๆ เลือนรางจนคล้ายมีอยู่และไม่มีอยู่ สองมือของเขาเกือบจะคว้าได้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่แล้วก็ว่างเปล่า หลายครั้งเข้าชานนท์ก็เดือดดาลจนตวาดกราดออกมา “อย่าไป!”

“นายขึ้นไปจับผู้กองไว้ก่อน ขึ้นไปบนเตียงเลย”

กฤตดนัยเห็นวรินทรเริ่มรับมือไม่ได้ เสนอแนวทางที่จะส่งผลกระทบต่อผู้บังคับบัญชาสายตรงของพวกเขาทั้งสองให้น้อยที่สุด เพราะปกติหัวหน้าก็เรี่ยวแรงเกินมนุษย์มนา พอตกอยู่ในภวังค์ที่ไม่อาจควบคุมสติของตนได้ ความรุนแรงก็ยิ่งทวีคูณ ไม่ต่างจากช้างที่กำลังตกมัน หากปล่อยไปแบบนี้เรื่อยๆ รับรองว่าอีกไม่กี่อึดใจ หัวหน้าจะต้องกระทำการอันตรายต่อชีวิตของตนเองเป็นแน่

“นายก็รีบไปตามหมอเร็ว!”

วรินทรเห็นพ้องต้องกันกับความคิดคู่หูกระโจนขึ้นไปบนเตียงและใช้เรือนร่างชายชาติทหารตรึงหัวหน้าไว้ ทันเห็นแผ่นหลังของคู่หูผ่านประตูออกไป ไม่ต้องรอให้ได้รับการตะโกนบอกเป็นครั้งที่สอง

เขาและกฤตดนัยล้วนเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของร้อยเอก ชานนท์ กระโดดสูง หรือผู้กองชาแมน หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับของหน่วยภารกิจข่าวกรอง ผู้บังคับบัญชาสายตรงที่ปฏิบัติภารกิจเสี่ยงอันตรายมากมาย ผู้ทุ่มเทกำลังกายใจในการทำภารกิจจนได้โล่เกียรติยศไปประดับ

ไม่สิ หน่วยสืบราชการลับเช่นพวกเขา โล่เกียรติยศใดๆ ไม่อาจรับเป็นชิ้นเป็นอันมาประดับบารมีได้สักชิ้น พวกเขาทำงานในเงามืด อาศัยอยู่ภายหลังตัวตนที่เป็นเพียงประชาชนคนธรรมดา ผลงานและคำชื่นชมไม่มีใครภายนอกได้รู้ทั้งสิ้น

ยามบาดเจ็บหรือล้มตาย ก็จะมีสาเหตุมากมายก่ายกองมากรอกลงในประวัติการรักษาหรือใบมรณบัตร แต่พวกเขาก็ยังพร้อมปฏิบัติภารกิจอย่างไม่เกี่ยงงอน เพราะเกียรติยศของชายชาติทหารไม่ใช่จำนวนคำชื่นชมสรรเสริญ ไม่ใช่จำนวนโล่เกียรติยศบนฝาผนัง แต่เป็นจำนวนภารกิจที่ประสบความสำเร็จได้ช่วยเหลือชีวิตผู้คนจากหนึ่งไปถึงร้อยและนับล้านเหล่านั้นต่างหาก

“ผู้กองอย่ากัดผม!”

วรินทรร้องลั่นแต่ก็ไม่อาจแทรกเข้าไปในภาพฝันของคนป่วย เรียวฟันแสนคมของหัวหน้างับลงบนหัวไหล่เขาเต็มปากเต็มคำ ดวงตาสีนิลกาฬเบิกกว้างแต่ไร้แววยิ่ง ทำเอาคนที่เพิ่งวิ่งกลับเข้ามาเบรกตัวเองไว้จนศีรษะเกือบทิ่ม

“ผู้กอง!”

เคยเห็นผีดิบในภาพยนตร์หรือไม่!

กฤตดนัยผวาจนอกสั่น คนหมดลมหายใจเลือดสาดแขนขาขาดผ่านตามานับไม่ถ้วน แต่กับคนเป็นๆ ที่เป็นคนใกล้ชิดกัน เขาไม่เคยควบคุมความตื่นตระหนกได้สักที ลืมกะทันหันแม้กระทั่งว่าจะต้องเข้าไปช่วยคู่หูออกจากมหันตภัยร้าย ร้อนให้คนถูกฝังคมเขี้ยวต้องชักเสียงตวาดกร้าวเอ่ยถาม

“หมอเล่า!”

“อะ...กำลังมา” เขาเป็นทหาร แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวร่างกายย่อมรวดเร็วกว่า ไหนเลยจะมีบุคลากรทางการแพทย์ตามมาได้ทัน “ผู้กองฝันอะไรอยู่กันนี่” เสียงตวาดได้ผลค่อนข้างชะงักกับอาการตะลึงงัน

“ไหล่จะหลุดแล้ว ยังจะมาสงสัยอยู่อีก”

“ก็ให้มันหลุดไปสักข้างจะเป็นไรไป” คนหนังเหนียวแบบวรินทรอย่างมากก็แค่ปวดไปไม่กี่วัน เขาห่วงฟันผู้กองมากกว่า...

“อย่า!” สันมือที่เกือบจะฟาดใส่ท้ายทอยหัวหน้าถูกเสียงตวาดของวรินทรยั้งไว้เพียงเสี้ยววินาที เลือดในอกของเขาถึงกับแข็งตัวไปชั่วขณะ “นายอยากตายรึไง”

เจ็บซึ่งๆ หน้าไม่เคยหวั่น แต่ใครแอบลอบกัดลับหลังชีวิตไม่ตายดี นั่นคือผู้บังคับบัญชาของพวกเขา

ฉากหน้าหัวหน้าเป็นชาวสวนทุเรียนที่มีรายได้อีกทางจากการเป็นข้าราชการบำนาญ เป็นชายหนุ่มแสนดี มิตรไมตรีเหลือเฟือแจกจ่ายให้ไม่มีหมด ไม่มีใครรู้นอกจากพวกเขาว่าฉากหลังผู้กองนั้นโหดปานใด ขืนให้ฟื้นขึ้นมาพบกับความจริงที่ว่าถูกพวกเขาทำร้ายร่างกายขณะไร้สติ ชาตินี้ก็อย่าหวังจะได้ก้าวย่างไปใกล้สวนทุเรียนกำนันปูอีก

เมื่อหลายปีก่อนก็ช่างมันเถอะ ที่นั่นก็แค่สวนธรรมดาๆ ผิดกับหลายปีมานี้ที่ตรงนั้นกลายเป็นความสว่างไสว ไม่ได้ไปเพียงไม่กี่สัปดาห์ก็เหมือนจะลงแดง

“งั้นก็เหลือแค่วิธีนี้...”

กว่าสองปีที่พวกเขาคู่หูไม่เคยจับจุดอ่อนใดๆ ของหัวหน้าได้ กระทั่งปีนั้นที่อาซ้อเดินเข้ามาในเส้นทางชีวิตสายรกรุงรังของผู้บังคับบัญชา พวกเขาจึงได้ค้นพบหนทางรอดมาใช้ประโยชน์ในเวลาคับขัน

‘หลังหูของเขามีไฝนูนๆ อยู่เม็ดหนึ่ง แค่แตะโดนหน่อยเดียว ร่างทั้งร่างก็เหลวเป็นน้ำเลยเชียวละ’

อาซ้อช่างมีเมตตากรุณาต่อสิ่งมีชีวิตเช่นพวกเขาสองคนคู่หูนัก เพราะถ้อยวาจาในวันนั้น พวกเขาจึงหลุดพ้นเคราะห์กรรมมาแล้วหลายครั้งหลายครา ไม่เว้นแม้แต่ตอนที่อาซ้อหายตัวไปและหัวหน้าของพวกเขาคลุ้มคลั่งแทบไม่เป็นผู้เป็นคน แต่ก็เพราะความเมตตาของอาซ้ออีกเช่นกัน ที่ทำให้พวกเขาคู่หูมีชะตาอยู่มิสู้ตาย เหมือนถูกยัดของร้อนไว้ในปาก เผลอกลืนลงไปก็ตาย คายออกมาเมื่อใดก็ไม่รอด จำต้องประคบประหงมไว้อย่างกล้ำกลืน นานๆ ถึงจะหยิบมาใช้ประโยชน์ได้สักครา ซึ่งหากเอาผลได้ผลเสียมาชั่งน้ำหนัก เกรงว่าวันนั้นพวกเขาคงไม่ยินดีได้รู้จุดอ่อนนี้ของหัวหน้าอย่างแน่นอน

สองคนคู่หูมองหน้ากันเสี้ยวอึดใจ คล้ายจะปรึกษากันในวาระสุดท้าย ว่าพร้อมใช่ไหมหากผลลัพธ์ที่ได้จะร้ายแรงกว่าสับต้นคอ ซึ่งก็ต่างพยักหน้าเห็นพ้องต้องกันว่าความเป็นไปได้จะน้อยกว่าวิธีแรก เพราะนั่นมันจะทิ้งร่องรอยความเจ็บปวดเอาไว้ให้หัวหน้าสืบสาวราวเรื่องต่อ ต่างกับวิธีหลังที่ขอเพียงหัวหน้าไม่ได้สติมาโดยพลัน ก็ยากจะรู้ว่าพวกเขาใช้วิธีการใดกระทำลงไป

‘ลงมือ’

คำสั่งที่มาทางสายตา ฉุดมือกฤตดนัยให้ยื่นเข้าไปใกล้จุดอ่อนนั้นอย่างไม่กริ่งเกรงความตาย และเพียงปลายนิ้วแตะโดนจุดอันตรายเข้าให้ ชานนท์ก็แหงนหน้าปล่อยเสียงหัวเราะ แผ่นหลังที่เหยียดตรงหงายกลับลงไปบนที่นอน

“ฮ่าๆๆๆ”

“ให้ตาย ผู้กองฟันคมชะมัด”

วรินทรโอดครวญยาวเหยียด ยกมือลูบหัวไหล่ที่เกือบต้องจากกันชั่วนิรันดร์ไว้อย่างหวงแหน พลางเวทนาโชคชะตาของพวกเขาคู่หู เมื่อสบไปพบกับดวงตาคมเข้มที่กำจายความทมิฬออกมาเรื่อยๆ สวนทางกับปากที่ยังคงหัวเราะไม่หยุด

ผู้กองได้สติแล้ว!

เขาควรดีใจสุดซึ้งดิวะ แต่ไม่ เขากำลังภาวนาสุดกำลัง

‘อาซ้อช่วยด้วย’

พระโพธิสัตว์เท่านั้นที่รู้ ชีวิตของพวกเขาคู่หูจบแล้ว

ความดำมืดค่อยๆ คืบคลานเข้ามาจนห้องที่เคยสว่างไสวกลายเป็นม่านรัตติกาลอันหนาทึบ ซ้ายไม่เห็นทาง ขวาไม่พบกระทั่งแสงสว่างอันริบหรี่ อากาศที่เคยไหลเวียนจนเต็มห้อง คล้ายจะเปลี่ยนเป็นเศษฝุ่นที่ถูกสูดเข้าไปอุดกั้นจนเต็มปอด น้ำลายอันเคยใสก็แปรสภาพเป็นกาวอันเหนียวหนึบ ได้แต่ปล่อยให้มันค้างอยู่ในปาก ไม่มีความกล้าแม้แต่จะฝืนกลืนมันลงไป

‘พวกนายสองคนคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม’

สองคู่หูคล้ายจะได้ยินประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมา ทั้งที่ริมฝีปากของหัวหน้าเพิ่งจะหยุดหัวเราะได้

คุกเข่าตอนนี้จะทันไหม...

พวกเขามองหน้ากันอย่างไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา ยังคงคิดอย่างดื้อดึงว่าอาจจะเหลือทางรอดสักนิด

“พวกนาย”

ชานนท์คำรามเสียงแหบห้าว อานุภาพของน้ำเสียงนั้นกระทบโสตแม้แต่แพทย์และพยาบาลซึ่งกำลังย่ำฝีเท้าเข้ามา ทำให้พวกเขาหยุดยืนตัวตรงอยู่นอกประตู

ตึง!

“เฮีย พวกเราผิดไปแล้ว” สามัคคียิ่งกว่านี้ก็เอไอแล้ว

หัวเข่าทั้งสี่ข้างกระแทกลงพื้นพร้อมเพรียงไม่กลัวเจ็บ ลำตัวทั้งคู่ค้อมลงจนเกือบติดพื้น

วรินทรและกฤตดนัยต่างก็มีสายเลือดจีนกันทั้งคู่ ต่อหน้าบุคคลอื่นจึงมักจะแสดงเป็นพี่น้องกันและยกหัวหน้าขึ้นเป็นพี่ชายคนโต ด้วยการสวมหมวก ‘เฮีย’ ไว้บนศีรษะเสียเลย แม้หน้าตาของหัวหน้านั้นจะไม่เหมาะกับหมวกที่เขาสวมให้เสียเท่าไร หมายถึงสภาพผิวกายอะนะ พวกเขาล้วนขาวผ่อง ผิดกับหัวหน้าที่คมเข้มแบบฉบับชายไทยแท้ยุคพ่อขุนรามคำแหง

‘ช้างกูอยู่ไหน’

ออ...ผิดเรื่อง

“พวกนายคิดจะทำอะไรกัน” คิดว่าเขาจะบีบคอหรืออย่างไร ก็แค่จะถามว่า...“ไตฉันยังอยู่ไหม”

“หา!”

“หาย!”

“มะ...ไม่ๆๆๆ”

วรินทรรีบแก้ต่างโดยพลัน ยังดีที่พอมีสติไม่ตอบคำว่า ‘ครับ’ ออกไปให้เส้นตายสั้นลง

“เฮียหมายถึงไตในนั้นใช่ไหม”

กฤตดนัยรีบช่วยเพื่อน เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและชี้นิ้วไปยังหน้าท้องแบนราบภายใต้เสื้อผู้ป่วย

“ยังอยู่ไหม” เสียขายังเสียได้ เสียแขนหรือแล้วไป เสียไตนั้นเขาไม่ยอม!

ความทมิฬที่แผ่รังสีอำมหิตอีกคำรบทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชารัวกันตอบเสียลิ้นพันกัน

“อยู่ครับ อยู่ครบทั้งสองข้าง ไม่สิ เฮียมีอยู่ข้างเดียว เอ๊ะ หรือสอง อยู่ๆ มันยังอยู่ครับเฮีย”

“สรุปว่าอยู่หรือไม่อยู่” พวกเขาทั้งคู่ล้วนรู้ดีว่าไตนี้เขาได้แต่ใดมาและมีความสำคัญไฉน แต่คำตอบที่ได้ทำเขารวนไปหมด ฟังไม่ได้ศัพท์สักนิด

“อะแฮ่ม...” คำถามนี้เห็นทีแพทย์ต้องเป็นคนให้คำตอบถึงจะคลี่คลายสถานการณ์ภายในห้องนั้นได้ บุคคลที่ยืนอยู่หน้าประตูจึงถือโอกาสแสดงตัวตนและช่วยเหลือสองหนุ่มในห้องให้พ้นภัยไปด้วย

“คุณหมอ” ชานนท์หันไปเอ่ยทัก สีหน้าก็ยังคงแผ่ไอเย็นอยู่เนืองๆ

“ฟื้นมาได้ก็ดุเชียวนะคุณ”

นายแพทย์วัยเลขสี่ปลายๆ ก้าวเข้ามาภายในห้อง ใบหน้าเขายังคงแต้มสีระเรื่อเล็กๆ จากอารามกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่เพิ่งประสบหมาดๆ และยิ่งก้าวเข้าไปใกล้เสมือนจะสัมผัสได้ถึงไอสังหารอันเข้มข้นจากผู้ป่วยบนเตียง พลอยทำให้ขาทั้งสองข้างสั่นเล็กน้อย

“พวกเขาพูดไม่รู้เรื่อง” ผู้กองหนุ่มยังคงไม่สบอารมณ์ “คุณหมอมาก็ดีแล้ว สรุปไตผมยังอยู่ไหมครับ”

เขาจะไม่ห่วงเลยหากว่าวิถีกระสุนนัดล่าสุดที่ได้มานอนนิ่งทะลุเข้ามาในร่างกายของตนจะไม่ใช่ผ่านทางหน้าท้อง และจุดที่เขาสัมผัสได้ถึงโลหิตหลั่งรินจะไม่ใช่ด้านที่มีไตอันสวยงามหนึ่งเดียว

“ไตน่ะไม่เป็นอะไรหรอก แต่ที่ควรห่วงน่ะคือกระดูกสันหลัง T-Spine 12[1] ถึงจะไม่หนักหนาถึงขั้นแตกหรือยุบและรอยร้าวไม่นับว่าสาหัส แต่จากนี้คุณจำเป็นต้องงดการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างน้อยหนึ่งเดือน เพื่อให้รอยร้าวเชื่อมกันเอง รู้สึกแล้วใช่ไหมว่าปวด...” แพทย์หยั่งเชิงจากใบหน้าอันเหยเกของผู้ป่วยซึ่งค่อยๆ เพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ

“ครับ” ชานนท์พยักหน้า “แต่มันต้องหนึ่งเดือนเลยเหรอครับหมอ” มันออกจะนานเกินไปหน่อย

“หรือคุณอยากพิการละ ถ้ารอยร้าวกลายเป็นแตกหักหรือยุบ วิธีที่ใช้รักษาก็คือการผ่าตัด และโอกาสที่ผ่ามาแล้วจะกระทบเส้นประสาทจนเดินไม่ได้ ยืดหลังไม่ตรงก็มีให้เห็นร่ำไป”

หากเป็นเคสปกติ แพทย์ไม่มีทางจะพูดตัดทอนกำลังใจผู้ป่วยเช่นนี้เด็ดขาด แต่นี่เป็นกรณีพิเศษกับผู้ป่วยที่ดื้อรั้นผิดปกติ ข่มขู่เอาไว้บ้างก็ดี

“เป็นญาติก็ควรจะห้ามปรามกันไว้บ้าง อย่าได้ตามใจกันจนเกินเหตุ ไม่เช่นนั้นจะเป็นการทำร้ายผู้ป่วยทางอ้อม”

“พวกเราจะไม่ให้เฮียขยับเลยครับคุณหมอ” สองคู่หูตอบพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง

ทีอย่างนี้คล่องกันดีจริง!

ชานนท์ชักสีหน้าทมิฬ และค่อยๆ ขยับจัดท่าทางตนเองใหม่ไม่ให้กระดูกสันหลังผิดรูป เกิดเป็นลูกผู้ชายนอกจากไตที่ได้มาอย่างแสนพิเศษนี้ ก็กระดูกสันหลังนี่ละที่จะปล่อยให้บาดเจ็บไม่ได้ เพราะอะไรน่ะเหรอ ลองนึกถึงผู้ชายที่ใช้เอวไม่ได้ดูสิ นั่นเท่ากับชีวิตทั้งชีวิตได้ถูกกดปิดสวิตช์ไปแล้วเชียวนะ พูดได้คำเดียวว่าโหดร้าย!

และเหมือนแพทย์เองจะหยั่งได้ถึงความคิดของผู้ป่วยหนุ่ม หลังตรวจร่างกายเสร็จเรียบร้อยจึงได้ทิ้งวาจาไว้ก่อนไป

“เป็นผู้ชายนั้นเอวสำคัญยิ่ง หมอเตือนด้วยความหวังดี”

หวังดีจริงๆ นั่นละ ไม่ได้มีการเอาคืนแต่อย่างใดเลยจริงๆ เพียงแค่แอบแฝงความแสบความคันไว้เล็กน้อยเท่านั้น

ชานนท์ผ่อนลมหายใจทิ้งแรงๆ หลายที ก่อนจะวางฝ่ามือหนาหยาบกระด้างของตนลงบนหน้าท้องซึ่งเป็นจุดที่ไตอันสวยงามเพียงหนึ่งเดียวในร่างกายนอนสงบนิ่งอยู่

โชคดีจริงๆ ที่ไม่เป็นอะไร

เมื่อก่อนตอนที่เขาเข้าไปช่วยเหลือเด็กสาวไม่รู้ความผู้หนึ่งจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เขารู้เพียงว่าไตทั้งคู่ของตนบอบช้ำหนักจนไม่สามารถใช้การได้อีก ตอนนั้นจะเรียกไปว่าต้องตายเท่านั้นก็ไม่ผิด แต่กลับเกิดเรื่องมหัศจรรย์ขึ้นมาราวปาฏิหาริย์ มีผู้บริจาคไตให้แก่เขา และเขาก็สามารถรับไตนั้นได้โดยไม่ต่อต้าน มันเข้ากับเขาได้ดีชนิดที่แพทย์ผู้ทำการรักษายังเอ่ยทีเล่นทีจริงว่าไตข้างนี้เป็นของเขามาแต่ต้น เพียงแค่ยืมร่างกายผู้อื่นอาศัยรอเวลาคืนกลับมาเท่านั้น

ตอนฟื้นขึ้นมาเขาจึงคิดว่าปาฏิหาริย์นี้เกิดขึ้นจากผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว ทว่า...มันไม่ใช่ ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นกับเขาเกิดจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่และไม่ใช่คนในครอบครัวของเขา เป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ยินยอมผูกเงื่อนชีวิตของตนกับคนที่เหลือเพียงลมหายใจรวยริน เธอยินยอมจดทะเบียนกับชายแปลกหน้าที่ใกล้ตายคนหนึ่งเพื่อช่วยชีวิตของเขา เพราะกฎหมายอนุญาตเพียงคนในครอบครัวเท่านั้นที่สามารถบริจาคไตให้แก่กันได้

และเธอคนนั้นก็คือเด็กไม่รู้ความในวันวานของเขาคนนั้นนั่นเอง

จามิกร จริยวงษ์สกุล

ภรรยาที่ไม่เคยจดทะเบียนหย่ากระทั่งบัดนี้...

“ขอประทานโทษนะขอรับผู้กอง แต่...ท่านประธานโทร. มารอบที่สิบของวันนี้แล้ว”

วรินทรสีหน้าเกรงใจอย่างยิ่ง เอียงโทรศัพท์มือถือของหัวหน้าให้อีกฝ่ายได้เห็นสายเรียกเข้าอันโชว์หรา ‘ประธานที่เคารพรัก’ บนหน้าจอ เขารู้ดีว่าไม่ควรขัดช่วงเวลาที่หัวหน้ากำลังขบคิด แต่สายที่เรียกเข้ามานี้ไม่รับไม่ได้ หัวหน้าของเขาเองก็รู้เช่นเดียวกัน เพียงแต่...

“ท่านประธานยังไม่ทราบเรื่องหรอกครับ พวกกระผมยังไม่มีใครกล้าบอก” เห็นสายตาตั้งคำถามโดยไร้เสียง คล้ายจะเค้นถ้อยคำออกมาได้ว่า ‘พวกนายปากสว่างอะไรออกไปหรือไม่’ ลูกน้องก็ไม่กล้าแม้แต่จะอธิบายชักช้าแถมยังสำทับด้วยความหวังดีล้นเหลือ“

แต่ว่า...หนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ผู้กองเตรียมเหตุผลสำหรับโต้การอภิปรายไม่ไว้วางใจจากท่านประธานหน่อยก็ดีนะครับ อย่าว่ากระผมสะเออะเลย แต่กระผมไม่อยากเห็นผู้กองถูกต้อนจนจนมุม ท่านประธานนั้นร้ายกาจนัก”

ความร้ายกาจของท่านประธานนั้น...

“นายว่าใครร้ายกาจ” ยังไม่ทันได้ทบทวนสักหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของร้อยที่มี วรินทรก็ถึงกับหน้าเจื่อน...

“มีเหตุผล ท่านประธานท่านมีเหตุผลน่ะขอรับ” ถึงเหตุผลนั้นจะต่างจากชาวบ้านชาวช่องก็เถอะ เขาหลิ่วตาขอความช่วยเหลือจากคนข้างๆ “ใช่มะ”

“จริงครับ แค่ผู้กองหาเหตุผลดีๆ สักข้อก็น่าจะพอลดหย่อนโทษได้แล้ว” กฤตดนัยรีบช่วยคู่หู ล้อตามกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

ชานนท์ทำท่ารูดซิปปาก เป็นอันรู้กันว่า...พวกนายหุบปากกันได้แล้ว พูดแต่ละเรื่องไม่เข้าหูทั้งนั้น

ภายในห้องจึงเงียบกริบ มีเพียงลมหายใจแผ่วเบาดังอยู่เนืองๆ ขณะที่ฝ่ามือหยาบกร้านยื่นออกไปคว้าโทรศัพท์มากดรับสายแนบกับหู

“ว่าไงนะ!” ยังไม่ทันได้ทักทายสักแอะ ร่างสูงก็ดีดตัวขึ้นจากเตียงจนสันหลังรวดร้าว และทันทีที่พอทราบความจากปลายสายมากขึ้น ผู้กองหนุ่มก็โยกตัวลงจากเตียงราวกับคนไม่ได้บาดเจ็บใดๆ “เค ฉันจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้!”

“เกิดอะไรขึ้นครับผู้กอง ผะ...ผู้กองอย่าเพิ่งลุกอย่างนั้นสิครับ”

ชานนท์หยุดชะงักแล้วหันขวับกลับมา ชี้นิ้วไปที่วรินทร ก่อนจะตามด้วยกฤตดนัยติดๆ

“นายไปเคลียร์ค่าใช้จ่าย ส่วนนายไปเตรียมรถ ท่านประธานหายไป ตามหากันจะชั่วโมงนึงแล้วยังไม่พบ ฉันต้องกลับไปเดี๋ยวนี้”

ท่านประธานหายไป!

ไม่ต้องมีคำอธิบายอะไรมากไปกว่านั้นเลย คู่หูหนุ่มรับรู้ได้ถึงความรุนแรงที่ไม่อาจชักช้าได้แม้เสี้ยววินาที ทั้งห้องจึงไม่มีเสียงคัดค้านนอกจากเสียงตึงตังจากการวิ่งออกจากห้องเพื่อทำตามคำสั่ง

วรินทรและกฤตดนัยต่างรู้กันดีว่าไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่ปานนี้ ขอแค่เป็นเรื่องของท่านประธาน ต่อให้เลือดอาบไปทั้งร่างหัวหน้าก็พร้อมถลาไปหาอย่างไม่ลังเล

ท่านประธานที่เคารพ ได้โปรดอย่าเป็นอะไรไปเด็ดขาด!


[1]กระดูกสันหลังมีทั้งสิ้น 24 ชิ้น และแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก คือส่วนคอ (C-Spine) 7ชิ้น ส่วนอก (T-Spine) 12ชิ้น และส่วนเอว (L-Spine) 5ชิ้น

-T-Spine 12คือ กระดูกสันหลังส่วนอกชิ้นที่สิบสอง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น