โตแล้วต้องไม่โกหก

“คุณลุงหมอค่ะลูก ไม่ใช่คุณลุงหมา”

ปลิวลมกระซิบบอกเสียงเบา ไหนๆ คุณหมอก็เสียหน้าไปแล้ว แก้ไปอย่างไรตอนนี้ก็ไม่ทัน รังแต่ดึงความสนใจต่อไปเปล่าๆ ไม่เป็นผลดี ไม่สู้แก้ไขความเข้าใจของเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขน คราวหน้าจะได้ไม่มีข้อผิดพลาดเช่นนี้อีกจะดีกว่า

“ตำไมจุนยุงหมาไม่ไต้”

เจ้าตัวเล็กเลียนแบบตาม กระซิบถามเสียงเบา แต่ดวงตาสุกใสทั้งคู่กลับจดจ่อไปที่คุณลุงหมอกันต์ของเธอไม่กะพริบ ไม่ให้คนรอบข้างตีความผิดไปสักคนเดียวว่าคุณลุงหมอที่ตนเองร้องเรียกเสียงดังเมื่อครู่นี้เป็นคนอื่น

นางมารน้อย!

นี่แหละเด็กน้อย พร้อมจะเรียนรู้ทุกสิ่งอย่าง...

ปลิวลมช่างคิดต่างจากแพทย์หนุ่มเสียจริง

“เพราะคุณลุงเป็นหมอ ไม่ได้เป็นหมาไงคะ คุณหมอเป็นคน แต่หมาเป็นสัตว์”

พยาบาลห้องตรวจเด็กอธิบายอย่างใจเย็น ช้าๆ ชัดๆ เธอค่อนข้างแน่ใจว่าเด็กน้อยจะเข้าใจเพราะหมอกับหมาแตกต่างกันชัดเจนอยู่แล้ว กระทั่งได้รับคำตอบจึงรู้ว่าคิดผิด เด็กคนนี้มีความคิดแบบที่เธอตามไม่ทันเอาเสียเลย

“แต่พี่หมาไปหาจุนหมอไต้นะ พี่หมาชื่อจุนหมอไต้ต้วย” ที่บ้านของเธอพี่หมาตัวโตๆ ของคุณพ่อยังชื่อ ‘คุณหมอ’ เลย

“...” ปลิวลมเหมือนถูกกรอกน้ำล้นปากกะทันหัน

“ทำไมป้าปิวหิวนมอีกแย้ว”

“ป้า...”

“เดี๋ยวผมอธิบายเอง”

ไม่รู้อีกฝ่ายขยับฝีเท้าเข้ามาใกล้พวกเธอขนาดได้ยินเสียงกระซิบตั้งแต่เมื่อไร แต่เมื่อแพทย์หนุ่มได้ยินแล้ว เช่นนั้นก็ให้เขาเป็นคนอธิบาย

“ค่ะหมอกัน”

ปลิวลมยื่นเด็กน้อยในอ้อมแขนไปสู่อ้อมแขนแพทย์หนุ่ม ซึ่งเจ้าตัวเล็กก็ยินยอมโผไปหาคุณลุงหมอด้วยความเต็มใจ ยกสองมือที่ข้างหนึ่งยังคงถือดาบอัศวินไว้มั่นขึ้นโอบไปรอบคอ เอนใบหน้าเล็กๆ เข้าไปกระซิบที่หูของเขา

“จุนยุงหมอ จุนยุงหมอเป็นจุนยุงหมาไม่ไต้หยอคะ พี่หมาของน้องหนูยังชื่อจุนหมอเลยนะ”

ดีแค่ไหนนะที่เจ้าตัวเล็กใช้การกระซิบ!

ใบหน้าของคุณลุงหมอกันสลดลงไปอีกราวๆ สองนิ้วเต็มๆ เห็นจะได้ กับความหมายในคำถามนี้ที่ตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจาก...ถ้าคุณลุงหมอเป็นคุณลุงหมาไม่ได้ คุณลุงหมอก็ไม่เฟี้ยว สู้พี่หมาของน้องหนูไม่ได้

‘ถือว่าลุงผิดไปแล้วลูก!’ 

ปราณกันต์ยินยอมรับความผิดและปฏิญาณเงียบๆ ในใจว่าจากนี้จะไม่สะใจกับการที่ชานนท์ถูกภรรยาทิ้งไปอีก เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าเด็กน้อยคนนี้

“ลุงจะพาน้องหนูไปดูอะไรสนุกๆ กับพี่เจ้ายา น้องเจ้าจิง และน้องเจ้าซินที่บ้านลุงหมอดีไหม” 

เจ้ายา เจ้าจิง เจ้าซิน คือลิงซนทั้งสามคนของบ้านสวนตากมล ลูกสาวและลูกชายของเขาเอง ซึ่งปกติเด็กๆ รู้จักมักคุ้นกันดีอยู่แล้วจากการไปมาหาสู่กันอยู่ตลอดของผู้ใหญ่ทั้งสองครอบครัว

เจ้ายาถือเป็นพี่ที่โตสุด เพราะอายุห่างจากน้องหนูถึงเกือบหนึ่งปีครึ่ง เจ้าจิงเป็นน้องน้องหนูไม่กี่เดือน แต่เพราะความเป็นเด็กผู้ชายและค่อนข้างเงียบ ชอบเข้ามุมเล่นกับตัวเองเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่ค่อยซี้กันเท่าไร ส่วนเจ้าซินเป็นน้องคนเล็กที่อายุยังไม่ถึงสามเดือน ห่างจากทุกคนมากโข จึงแน่นอนว่ามักจะถูกพี่ๆ ปล้นจุ๊บอยู่เป็นนิจ

“ตีๆ แต่น้องหนูจะหาจุนแม่จ่อน น้องหนูจะพาจุนแม่ไปต้วย” ที่ผ่านมาเธอชอบมาโรงพยาบาลแต่ไม่ค่อยชอบไปบ้านคุณลุงหมอกันต์ เพราะไม่ชอบเท่าไรเวลาที่ต้องเห็นพวกเขามีคุณแม่แต่เธอไม่มี แต่วันนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เธอกำลังจะได้เจอคุณแม่ ต่อไปเธอก็จะไปบ้านคุณลุงหมอกันต์พร้อมกับคุณแม่ได้ตลอดๆ

แค่ลองจินตนาการความสุขก็ปริ่มล้นจนเอ่อออกมาเป็นรอยยิ้มหวาน

“น้องหนูบอกว่ามีคนเห็นน้องจ๋าอยู่ที่โรงพยาบาลน่ะค่ะ”

ปลิวลมไม่รู้ว่าแพทย์หนุ่มมาทันได้ยินอะไรไปแค่ไหน จึงเท้าความส่วนสำคัญให้อีกฝ่ายได้ทราบและเดินตามหลังทั้งคู่ไป เมื่อปราณกันต์พาเจ้าตัวเล็กออกเดิน

“จุนยุงหมอเห็นจุนแม่ของน้องหนูมั้ยคะ”

“เห็นดีไหมนะ”

“เอ๊ะ...จุนยุงหมอห้ามโจหกนะ โตแย้วต้องไม่โจหก”

“แล้วถ้าคุณลุงหมอบอกว่าไม่เห็น น้องหนูจะยอมเชื่อคุณลุงหมอไหมคะ”

เด็กปัจจัยสำคัญคือต้องทำความเข้าใจกับเขาให้ชัดเจน ให้เขาได้มีสิทธิ์คิด มีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยตนเองก่อน อย่ายัดเยียดเพราะคิดว่าเขาไม่รู้ เขายังไงก็ได้ เพราะนั่นจะเป็นการทำให้เขาปิดตัวเอง ปฏิเสธความจริงจากทุกทาง และไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น

“แต่พี่ต้นบอกว่าเห็นจุนแม่ของน้องหนูจิงๆ นะ น้องหนูจ้อโตแย้ว น้องหนูไม่โจหก”

“งั้นเรากลับไปถามพี่ต้นให้ดีก่อนดีไหมคะ ว่าพี่ต้นเห็นคุณแม่ตรงไหนของโรงพยาบาล เราจะได้ไม่หลงกับคุณแม่เป็นไง” ตัวแปลของคดีนี้คือต้น ความจริงจะเป็นหัวหรือก้อยก็ย่อมต้องให้ต้นเป็นคนแก้ เหมือนน้ำหนักของสิ่งของในมือนั่นละ เราได้สัมผัสมาแล้ว รู้แล้วว่ามันมีน้ำหนัก ใครจะพูดอย่างไรเราก็ยังจะเชื่อในสิ่งที่ได้สัมผัสมา มีแต่การได้สัมผัสมันอีกครั้งเท่านั้น เราถึงจะยอมรับความเปลี่ยนแปลง

“แต่น้องหนูไต้ยินจิงๆ นะคะ”

“แล้วน้องหนูได้ยินไหมคะว่าพี่ต้นเห็นคุณแม่ตรงไหน”

ปราณกันต์หยุดลงตรงแยกให้เจ้าตัวเล็กได้มองไปรอบๆ ได้เห็นความกว้างใหญ่ของตัวตึกชัดๆ บางอย่าง ภาพย่อมอธิบายได้ดีกว่าคำพูด

“น้องหนู...ไม่ไต้ยิน” คิดๆ ไปแล้วดวงหน้าเล็กๆ ก็ส่ายไปมาและก้มต่ำลงจนคางชิดอก

“งั้นแล้วน้องหนูไม่อยากรู้เหรอคะ ว่าพี่ต้นเห็นคุณแม่ตรงไหน”

คราวนี้เจ้าตัวเล็กพยักหน้าและเงยหน้าขึ้นจ้องคุณลุงหมอตาแป๋ว 

“น้องหนูจับบ้าน พี่ต้นต้องตู่น้องหนูแน่ๆ ไม่ให้น้องหนูมาหาจุนแม่อีก น้องหนูจะหาจุนแม่”

ก็รู้เหมือนกันว่าที่ทำจะต้องโดนดุ

“งั้นถ้าคุณลุงหมอพาน้องหนูหาคุณแม่ให้หมดทุกที่ในนี้เลย แล้วเราไม่เจอคุณแม่ น้องหนูจะทำยังไง” ปราณกันต์ยื่นหนทางตัดสินใจให้

“จับบ้าน น้องหนูจะจับบ้าน” เสียงดังฟังชัด ใบหน้าเล็กระบายยิ้มแป้นแล้น เพราะแน่ใจเหลือเกินว่าจะต้องเจอคุณแม่อยู่แล้ว ในสมองไม่มีความคิดว่าจะไม่เจอคุณแม่เลยสักนิด

ปลิวลมผ่อนลมหายใจออกจากปอดเหมือนยกภูเขาออกจากอกได้ สถานการณ์เหมือนจะคลี่คลายได้แล้ว แต่...ลมเหล่านั้นออกไปแค่ครึ่งทางเท่านั้นก็มีอันต้องสะดุด

“แล้วต้าน้องหนูเจอจุนแม่ จุนยุงหมอจะตำไง”

นี่มันคำถามท้าทายชัดๆ เจ้าตัวเล็กกำลังยื่นพนันกับแพทย์หนุ่มเห็นๆ !

“น้องหนูจะให้คุณลุงหมอทำอะไรก็ได้ทั้งหมดเลย”

ปราณกันต์พนันลงไปอย่างใจป้ำ เรียกได้เลยว่ายอมเทหมดทั้งหน้าตัก ก็เขามีอะไรให้กลัวแพ้กัน ใครๆ ต่างก็รู้ว่าจามิกรหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับคนทั้งคนได้สลายไปกับอากาศธาตุ ชานนท์ถึงได้เป็นบ้าเป็นหลังอยู่ตั้งนานสองนาน การจะได้เจอจามิกรในตอนนี้ความเป็นไปได้มีแค่ศูนย์จุดศูนย์หนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้น

“ไต้ พูดแย้วพูดเยย ต้าโจหกจูกหนอนน้อยจับจ้น”

“ได้ พูดแล้วพูดเลย ถ้าโกหกถูกหนอนน้อยจับก้น”

คนหนึ่งโต คนหนึ่งเล็ก ทำสัญญากันด้วยนิ้วก้อยสองขนาด ให้ปลิวลมเป็นพยานอยู่ท่ามกลางทางแยกของตัวอาคารโรงพยาบาล ความสดใสร่าเริงขนาดนั้นไม่มีใครคาดคิดว่าเจ้าหนูน้อยจะได้กลับบ้านไปพร้อมกับความผิดหวังอันรุนแรงที่ทำเอาทุกคนที่พบเห็นเจ็บปวดหัวใจ

กว่าชานนท์จะเหยียบเบรกให้รถจอดลงเบื้องหน้าบ้านสวนทุเรียนกำนันปูได้ เวลาก็เกือบจะล่วงเลยเข้าสู่ยี่สิบสองนาฬิกาเหลือเศษแค่ไม่กี่นาที เขาผ่อนลมหายใจที่คับแน่นเต็มอกออกมาจนสุด เมื่อสุดท้ายก็ค้นพบว่าสามารถพาตนเองกลับมาถึงบ้านได้แบบไม่แหลกสลายไปเสียก่อน

บ้าน เบื้องหน้านี้คือบ้านเขาแล้วจริงๆ

บ้าน ที่มีท่านประธานตัวน้อยของเขารออยู่

บ้าน ที่ไม่รู้ว่าท่านประธานซึ่งอยู่ในนั้นตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง

ผลัวะ!

ชานนท์ผลักประตูรถเปิดออกพร้อมกับแสงไฟภายในบ้านติดรับกันเป็นทอดๆ ช่วยกันยืนยันว่าภาพตรงหน้านี้ไม่ใช่ฝัน เขาได้กลับมาถึงแล้วจริงๆ อย่างปลอดภัย ชายหนุ่มไม่รั้งรอวิ่งเข้าไปหาร่างท้วมของบิดาซึ่งเปิดประตูบ้านก้าวออกมา

“ขอโทษทีครับพ่อ เที่ยวบินเต็มกว่าจะหาไฟลต์บินลงกรุงเทพฯ ได้ก็เกือบจะเย็น น้องหนูเป็นยังไงบ้างครับ”

เนื่องจากจันทบุรีไม่มีท่าอากาศยานบริการพาณิชย์ ทางเลือกที่สะดวกสุดสำหรับเดินทางจากภาคอื่นๆ จึงเป็นการใช้บริการคนละครึ่ง ครึ่งทางเครื่องบิน ครึ่งทางรถยนต์ ซึ่งก็ทำให้เขาเกือบคลั่งอยู่หลายหน

“หลับไปแล้ว" ชนาชัยวางมือลงบนบ่าพลางตบเบาๆ ความหมายคือไม่ต้องขอโทษ ไม่เป็นไรสักนิด ก่อนจะเอ่ยต่อ... “แต่ร้องไห้ไปยกใหญ่ ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน พ่อเองก็หมดปัญญา เลยได้แต่ให้นอนหลับไป” 

ตั้งแต่เจ้าตัวเล็กเกิดมา เขาก็เพิ่งจะเคยเห็นแกร้องไห้เอาเป็นเอาตายก็หนนี้

“ยอมบอกไหมครับว่าเพราะอะไร” 

“ยังจะเพราะอะไรได้อีกล่ะ ไอ้ต้นน่ะสิ ตาไม่ดีดันเห็นคนเหมือนแม่ยายหนูที่โรงพยาบาล แล้วยังดันมาปากสว่างเล่าให้ไอ้เปรี้ยวมันฟัง ยายหนูได้ยินเข้าเลยออกไปตามหาแม่” พูดถึงเรื่องนี้ เขาเองก็ยังรู้สึกเคืองไม่หาย

ชานนท์เองก็ถึงกับตาลุกเป็นไฟ...

แต่ไม่...เขาไม่ได้โกรธต้น ผู้หญิงอย่างจามิกรต่างหากที่ทำให้เขาเดือดดาล คนอย่างเธอน่ะหรือจะมาปรากฏตัวที่นี่ หลายปีมานี้แค่จะโผล่มาแอบมองเขาและลูกสักคราก็ยังไม่มี ใจแข็งดั่งหินผา ความรู้สึกถูกหลอมเป็นเหล็กกล้าไปหมดแล้ว มีแต่เขา...

เหลวไหลสิ้นดี!

“พ่อด่ามันไปแล้ว ใจมันก็รู้สึกผิดจนอยากให้พ่อเอาปืนยิง แกก็อย่าไปซ้ำมันเลย มันเองก็ไม่ได้ตั้งใจ” 

ชนาชัยไม่รู้ความคิดบุตรชาย เห็นดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ก็แย้งขึ้นเพื่อป้องกันเรื่องราวไปกันใหญ่

ต้น เป็นเด็กวัดที่เขาพามาอยู่ด้วยตั้งแต่เด็ก เห็นหลานสาวเขาตั้งแต่อ้อนแต่ออก แถมดูแลใกล้ชิดกว่าเด็กในบ้านคนอื่นๆ ความรักที่มีจึงเชื่อได้ว่าไม่แตกต่างไปจากพวกเขา เหตุการณ์ในครั้งนี้อีกฝ่ายก็เสียใจ และเพราะเหตุนี้เขาจึงได้กลั้นความโมโหไว้ส่วนหนึ่ง ไม่ได้โยนให้เด็กมันแบกรับทั้งหมด

“รู้แล้วครับ" เห็นความกังวลในดวงตาบิดา ชานนท์ก็รู้ว่าอีกฝ่ายตีความผิด จึงลดความแข็งกร้าวในดวงตาตนเองลง

“แต่ก็คงต้องอบรมกันอีกสักรอบ เกิดมีครั้งต่อไป ใครจะคิดว่าเราจะโชคดีเหมือนครั้งนี้อีก”

โชคดีแค่ไหนที่น้องหนูไปถึงโรงพยาบาลโดยไม่เกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง แค่คิดใจเขาก็ไหววูบดั่งถูกโยนสดๆ ลงเหว ถึงไม่ได้โกรธต้นเท่าไร แต่ก็ไม่อาจให้มีความผิดพลาดเช่นนี้เกิดขึ้นได้อีก

“แล้วแต่แกละกัน จะกินข้าวหน่อยไหม พ่อทำแกงไก่ใส่หน่อไม้ไว้ให้แน่ะ”

ชนาชัยตบบ่าลูกไปทีอย่างเข้าใจและเคารพการตัดสินใจของลูก เหตุการณ์ครั้งนี้ถือว่าร้ายแรงจริงๆ ไม่หาทางป้องกันเอาไว้ก่อนให้ดีๆ คงไม่อาจสบายใจได้ในวันถัดไป 

“ขอไปหาลูกก่อนครับพ่อ” ต่อให้ร่างกายจะเหนื่อยจะล้าแค่ไหน นาทีนี้ชานนท์อยากจะเห็นหน้าลูกก่อนสิ่งอื่นใด ยิ่งร้องไห้ไปขนาดนั้น ไม่รู้ว่าป่านนี้หัวใจดวงน้อยจะบอบช้ำแค่ไหน

แค่หลับตาและลองจินตนาการใบหน้านั้น เขาก็ทุรนทุรายแล้ว!

“ถ้าปลุกได้ก็พาลงมากินอะไรสักหน่อยแล้วกัน พ่อจะอุ่นกับข้าวและนมอุ่นๆ ไว้ให้” เขาจนปัญญา แต่ผู้เป็นบิดาที่เจ้าตัวเล็กผูกพันรักใคร่ที่สุดอาจมีหนทางที่ดีกว่า

“ครับพ่อ” บิดาเขาไม่ใช่คนพูดมาก เขาเองก็เป็นจำพวกทึ่มทื่อพูดไม่เก่ง ส่วนใหญ่จึงเข้าใจกันและกันได้ง่ายๆ เพียงไม่กี่ประโยค ไม่คะยั้นคะยอ หรือยกเหตุผลต่างๆ มาอธิบายอะไรให้มากความ “อุ่นแล้วไม่ต้องอยู่รอนะพ่อ ที่เหลือผมจะจัดการเอง”

“รู้แล้วน่ะ” 

ชนาชัยตอบรับไม่อิดออด พรุ่งนี้เขายังมีประชุมเช้า ถึงจะไม่รู้ว่าจะข่มตานอนได้ตอนไหน แต่ก็ไม่คิดจะตั้งใจอดตาหลับขับตานอนแน่นอน

ชานนท์พยักหน้า สองคนบิดาบุตรจึงได้เดินเข้าบ้านมาด้วยกัน ก่อนบิดาจะแยกไปทางครัวและเขาขึ้นบันไดไปด้านบน เดิมบ้านสวนกำนันปูเป็นบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้ เพิ่งจะบูรณะใหม่ทั้งหมดเป็นปูนเปลือยทั้งหลังเมื่อสองปีก่อน แต่ทุกอย่างภายในก็ยังคงรูปแบบการตกแต่งไว้แบบเดิม โดยเฉพาะประตูไม้สักทองที่ฉลุลวดลายมังกรเหินทั้งบาน สถาปนิกเพียงแค่ให้ช่างถอดออกและนำกลับมาติดตั้งใหม่ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย

บ้านสวนกำนันปู เหตุที่มีชื่อเช่นนี้ เพราะผู้เป็นต้นกำเนิดของสวนทุเรียนคือปู่ของเขา กำนันปู นายโชติ กระโดดสูง ภายหลังเมื่อปู่ท่านจากไป บิดาก็มารับช่วงต่อและเจริญรอยตาม ทำอาชีพชาวสวนควบคู่กับรับราชการ ชาวบ้านละแวกนี้จึงมักจะเรียกบิดาเขาว่า นายอำเภอชัย ตามชื่อ ชนาชัย กระโดดสูง

เขาเคยถามปู่สมัยเด็กๆ ว่าทำไมต้องตั้งนามสกุลเช่นนี้ รู้ไหมว่าเพื่อนๆ ล้อเลียนเขาไม่เว้นแต่ละวัน โดยเนื้อแท้ปู่เป็นคนตลกถึงตอบเขาว่า...

‘พวกเขากระโดดไม่สูง จึงอิจฉาเราน่ะสิ ถ้าใครกล้าล้อเลียนอีก ก็ตอบไปเลยว่ากระโดดไม่สูงอย่ามาพูด’

พอเขานำไปใช้จริงๆ กลับถูกเพื่อนๆ ล้อต่อไปอีกว่า ‘กระโดดสูงให้ดูดิ ขี้โมทั้งเพ’

เขาจึงไม่กลับไปฟ้องปู่อีก แต่ตั้งใจกระโดดให้สูงๆ แทน กลายเป็นว่าการที่จะกระโดดสูงๆ ได้ ต้องมีร่างกายที่แข็งแรงมากๆ เขาจึงขยันออกกำลังและเล่นกีฬาที่มีอยู่ในโรงเรียนทุกอย่าง เมื่อโตขึ้นนอกจากจะเป็นนักกีฬาประจำโรงเรียน ยังได้เป็นแชมป์เหรียญทองกีฬากระโดดสูงที่เกิดขึ้นจริงๆ ได้กลายเป็น นายชานนท์ กระโดดสูง ตัวจริงเสียงจริง พวกที่เคยล้อเลียนเขาจึงไม่กล้าปริปากอีกเลย 

ส่วนเรื่องที่มา เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็เข้าใจเอง ว่าในอดีตคนเฒ่าคนแก่มักจะตั้งชื่อหรือนามสกุลตามสิ่งของหรือสิ่งรอบๆ ตัว เพื่อง่ายต่อการเรียกและจดจำ จึงมีตาสี ตาสา ยายแมว ยายไก่ ยายนก แตกต่างจากยุคสมัยนี้ที่ทุกอย่างต้องดูยากๆ ไว้ก่อนถึงจะไม่เหมือนใคร ถึงจะเก๋ไก๋สไลเดอร์

คำตอบสำหรับคำถามนี้จึงง่ายมากๆ เพียงแค่เด็กไม่เข้าใจเท่านั้น

ชานนท์ก้าวข้ามบันไดขั้นสุดท้ายมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของประตูไม้สักทองหนึ่งในสี่ บานที่มีรูปเอลซ่าในชุดกระโปรงสีฟ้าติดอยู่ตรงส่วนศีรษะของมังกร ช่วยลดทอนดวงตาที่แลดูดิ่งลึกเปี่ยมด้วยพละกำลังอันแข็งแกร่งของผู้พิทักษ์ ให้กลายเป็นงูน้อยลูกสมุนตัวกระจ้อยในภูเขาหิมะ บานประตูที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นม่านห้องหอของเขาและภรรยา มารดาผู้ให้กำเนิดท่านประธานตัวน้อย 

และเธอก็ทิ้งพวกเขาไป!

กรอด!

บดกรามเข้าหากันแรงๆ เมื่อหวนนึกถึงเรื่องราวในวันวาน เรื่องราวที่ส่งผลร้ายแรงจนเกิดเรื่องราวบานปลายในวันนี้

เอี๊ยด...

ประตูที่ไม่ได้ปิดจนสนิทตั้งแต่ต้นถูกผลักเข้าไป เกิดเป็นเสียงบานพับเสียดสีกันขึ้นมาแผ่วเบา ทว่าภายในห้องก็ยังคงเงียบกริบ ไม่มีการเคลื่อนไหวตอบรับใดๆ บนเตียงขนาดคิงไซซ์ก็เรียบสนิทไร้เงาของเด็กหญิงตัวเล็กที่มักจะกลิ้งไปกลิ้งมาทั่วทั้งเตียง

ก็ไหนบิดาว่าน้องหนูหลับไปแล้ว?

ใจที่เพิ่งสงบลงได้กึ่งหนึ่งเต้นโลดขึ้นมาอีกครั้ง เขาหันหลังจะย้อนกลับลงไปด้านล่างหลังกวาดตาสำรวจไปรอบห้องแล้วปะทะเพียงความว่างเปล่า

ทว่า...

“พี่เอลต้าว่าจุนแม่ของน้องหนูอยู่ตี้ไหน จุนแม่จะจิดถึงน้องหนูยื้อป่าว” เสียงเล็กเจือกระแสสั่นเครือดังลอดประตูตู้เสื้อผ้าออกมา ตามติดด้วยการสะอึกสะอื้นที่เด็กน้อยเองก็ไม่คิดจะยั้งเอาไว้ เพราะในหลุมหลบภัยนี้มีเพียงตน หลุมหลบภัยที่เธอค้นพบว่าเหมือนได้อยู่ใกล้คุณแม่มากที่สุด 

“พี่ต้นโจหก พี่ต้นนิฉัยไม่ตี น้องหนูหาจุนแม่ไม่เจอ น้องหนูไม่เจอจุนแม่เยย ฮื้อๆ”

เจ้าตัวเล็กกำเสื้อมารดาไว้ด้วยมือหนึ่ง แนบใบหน้าชื้นน้ำตาลงไปบนนั้น สูดเอากลิ่นหอมอันเจือจางเข้าไปช้าๆ  เย็นนี้เธอหาคุณแม่ไปทั่วโรงพยาบาล เธอมั่นใจมากว่าต้องได้เจอคุณแม่ ต้องได้กอดคุณแม่แน่นๆ เหมือนพี่เจ้ายา เจ้าจิง และน้องเจ้าซิน แต่เธอก็ไม่เจอ!

“จุนพ่อจ้อโกหก บอกว่าจะหาจุนแม่มาให้น้องหนู น้องหนูโทสับจ้อไม่ยับ จุนปู่จ้อโกหก บอกให้น้องหนูนอนๆ ตื่นมาได้เจอจุนแม่ น้องหนูตื่นมา น้องหนูจ้อไม่ได้เจอจุนแม่” ถ้อยคำตัดพ้อเอ่ยออกมาไม่ขาดสาย ความเสียใจที่สะสมมายาวนานถูกความผิดหวังในวันนี้กลั่นออกมาจนหมดสิ้น “น้องหนูจิดถึงจุนแม่ พี่เอลต้าพาน้องหนูไปหาจุนแม่หน่อยนะ น้องหนูจะไม่ตื้อไม่จน น้องหนูจะเป็นเด็กดี”

ภายในหัวใจอันบอบช้ำไม่มีผู้ใหญ่คนใดสามารถให้ความหวังได้อีกแล้ว เจ้าตัวเล็กเห็นเพียงตุ๊กตาในอ้อมแขนของตน เสียงอ้อนวอนเหมือนหัวใจกำลังจะขาด ต่อให้หัวใจทำด้วยหินผาก็ยังต้องปริกระจาย นับประสาอะไรกับหัวใจที่ทำจากก้อนเนื้อซึ่งวางทั้งหมดไว้ในกำมือน้อยๆ นั้นไปแล้ว 

ชานนท์ชะงักงัน แผ่นหลังค่อยๆ เหยียดตรงสั่นไหว ความคมเข้มกล้าแกร่งอันเคยฉายชัดเต็มดวงตาถูกฉาบด้วยม่านทึบของสิ่งที่เรียกว่าความเจ็บปวดโดยพลัน 

ผู้คนภายนอกต่างรับรู้กันเพียงว่าภรรยาเขาหายตัวไปหลังคลอด เธอทอดทิ้งเขาและลูกน้อยไว้เบื้องหลัง ปล่อยให้เขาแทบกลายเป็นบ้ากับการพลิกแผ่นดินตามหาเธอ มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่านั่นไม่ใช่การทอดทิ้ง แต่เป็นการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ เป็นการทำเพื่อเขา เพียงแต่แค่ไม่เคยถามว่าเขาต้องการเช่นนั้นหรือไม่ ไม่เคยถามว่าเขายังมีคนอื่นในหัวใจโดยไร้เงาของเธอจริงหรือ 

เขาจึงจงใจกระทำให้ทุกคนเข้าใจเธอผิด จงใจให้เธอได้ยินเรื่องราวผิดๆ เหล่านั้น ได้ยินเรื่องของพวกเขาพ่อลูกอยู่เสมอไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใด เพื่อจะใช้สิ่งเหล่านั้นฉุดดึงเธอกลับมา เพราะเขาจะไม่มีทางตามเธอไป ไม่มีทางอ้อนวอนให้เธอกลับมา เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ไม่เคยกระทำการเลวทรามให้เธอต้องชอกช้ำ ไม่เคยนอกใจให้เธอเห็นหรือได้ยิน คนที่ตัดสินใจอะไรเองทั้งหมดโดยไม่ถามความจริงให้กระจ่าง สมควรได้สำนึกด้วยตนเอง

แต่เธอก็ไม่เคยกลับมาเลยสักครั้งเดียว!

เธอใจแข็งยิ่งกว่าที่เขาคิด เขาจึงต้องใจแข็งให้มากกว่า แต่ตอนนี้คนที่คั่นอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขา คนที่อ่อนไหวที่สุดในเกมนี้ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เขาควรจะทำอย่างไร! 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น