๔
ล่า
“ชานนท์ นั่นแกจะไปไหน”
ชนาชัยก้าวออกจากห้องครัวแทบไม่ทัน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าระรัวมาจากด้านบน
“ฝากน้องหนูด้วยนะครับพ่อ ขึ้นไปดูแกแทนผมหน่อย บอกแกว่าผมจะเอาแม่กลับมาให้ได้ ครั้งนี้ผมให้สัญญา!”
ชานนท์ฝากเพียงคำพูดที่เขาไม่มีหน้าเข้าไปบอกท่านประธานตัวน้อยด้วยตนเอง แต่เขาได้ปฏิญาณต่อเจ้าตัวเล็กด้วยศักดิ์ศรีทั้งหมดที่มี ไม่ว่าจามิกรจะยินยอมกลับมาหรือไม่ ไม่ว่าเธอจะมีเหตุผลร้อยแปดพันเก้าอย่างไร เขาจะมัดเธอแบกกลับมาให้จงได้!
“นี่...”
ปัง!
ไม่มีใครรอฟัง มีแต่เสียงดังของบานประตูรถที่กระแทกปิดโดยแรง แล้วจากนั้นเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ก็ประกาศให้ชนาชัยรู้ว่าลูกชายไปแล้ว
ชานนท์มุ่งย้อนกลับไปทางเดิมด้วยความเร็วที่ไม่ทิ้งไปจากตอนกลับมา และด้วยถนนที่เปล่าเปลี่ยวยามค่ำคืน จึงเปรียบเสมือนเจ้าของถนนที่สามารถทะยานไปข้างหน้าได้แบบไร้ผู้เทียมทาน มือข้างหนึ่งหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าขึ้นมา เสียงสัญญาณดังขึ้นไม่กี่ทีปลายสายก็รับ
“ครับผู้กอง เจอท่านประธานไหมครับ สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”
วรินทรเป็นเจ้าของเสียงที่ตอบกลับมา ประโยคที่ควรจะเป็นแค่การขานรับจึงยาวเหยียดเพราะความกังวล
“เจอแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วง ทางนั้นล่ะ มีความเคลื่อนไหวอะไรผิดปกติอีกหรือเปล่า”
ตอนออกจากโรงพยาบาล เขาไม่ได้ให้วรินทรกับกฤตดนัยติดตามมาด้วย เพราะภารกิจที่พวกเขาได้รับยังไม่เรียบร้อยดี ความล่าช้าที่เกิดจากการบาดเจ็บของเขาก็เพียงพอให้เบื้องบนพลาดเหตุการณ์ที่เป็นประโยชน์แล้วหลายอย่าง ทั้งสองถึงต้องอยู่เพื่อสานภารกิจต่อ
“ยังสงบดีครับ แต่อย่างที่ผู้กองเคยบอกไว้ ยิ่งสงบก็ยิ่งน่าสงสัย คนพวกนี้สงบกันเกินไป ผิดกับสถานการณ์ในตอนนี้ คาดว่าไม่กี่วันข้างหน้าจะต้องมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นแน่นอน”
ให้มันเกิดเถอะจะได้รวบแหให้หมดในคราวเดียวและปิดภารกิจเสียที กลัวแต่มันจะไม่เกิด!
ชานนท์ไม่ได้พูดทั้งหมดในความคิดออกไป เพียงแค่หรี่ดวงตาลงคล้อยตามสถานการณ์ และเน้นย้ำถึงเจตนารมณ์อันแท้จริงของการติดต่อในครั้งนี้
“สายๆ พรุ่งนี้ฉันน่าจะขึ้นไปถึงไว้ค่อยมาคุยเรื่องจัดการยังไงต่อ แต่ตอนนี้มีเรื่องจะให้นายทำให้สักหน่อย”
“เชิญสั่งได้เลยครับผู้กอง”
“จำหน่วยแพทย์อาสาแพทย์รักษ์ด้วยภักดีได้ไหม ฉันอยากได้ข้อมูลของพยาบาลที่อาสาเข้าไปเป็นกำลังเสริมทั้งหมด ขอพิกัด ณ ปัจจุบันว่าตอนนี้อยู่ตรงส่วนไหน กำลังทำอะไรอยู่ ขอทุกคน ห้ามขาดไปแม้แต่คนเดียว”
แพทย์รักษ์ด้วยภักดีเป็นหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เพื่อผู้ยากไร้ แต่ละครั้งจะออกหน่วยช่วยเหลือตามคำร้องขอหรือเขตที่เป็นถิ่นทุรกันดารเข้าถึงการรักษาได้ยาก และครั้งนี้พวกเขาก็กำลังเข้าร่วมกับหน่วยพิทักษ์ตาลูลาของรัฐตาลูลา[1]ที่กำลังเกิดสงครามกบฏภายในจนระอุไปทุกหย่อมหญ้า เกิดเหตุปะทะแทบไม่เว้นวัน
“ผู้กองกำลังตามหาใครหรือเปล่าครับ” ระบุให้ชัดไปเลยง่ายกว่าไหม ไม่ปากไวย่อมไม่ใช่วรินทร “แล้ว...พรุ่งนี้สายๆ ผู้กองหมายความว่า...”
หัวหน้าเพิ่งจะลงไปได้ไม่ถึงวันเลยด้วยซ้ำ ถ้าพรุ่งนี้ช่วงสาย ไม่ได้กำลังหมายถึงว่าการเดินทางกลับเริ่มขึ้นแล้วหรือ
“ฉันพูดขนาดนี้แล้ว นายยังต้องการให้ฉันระบุให้ชัดอีกหรือไง ตอนนี้ฉันกำลังขับรถกลับ นายรีบเตรียมตัวให้พร้อม” เหลือพื้นที่ไว้ให้เขาประดับศักดิ์ศรีสักนิดเถอะ!
ชานนท์รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกระทำไม่เคยรอดพ้นสายตาของลูกน้องไปได้ พวกเขาล้วนรู้ดีกันอยู่แล้วว่าภายใต้หน้ากากความโกรธ ความอดทน คือความร้อนรนที่ไม่เคยระงับได้อย่างปากว่า
“พรุ่งนี้เที่ยง ช้าสักนาทีนายโดนฉันบดขยี้แน่”
“แต่นี่มันจะเที่ยงคืน...”
“ยากไปหรือไง” เสียงที่กดจนต่ำ อยากตอบว่ายากก็หาได้มีหัวใจกล้าแกร่งปานนั้น
“รายงานจะถึงมือผู้กองภายในเที่ยงวันพรุ่งนี้เลยครับ”
“ดี” ทีมเขาปฏิบัติภารกิจข่าวกรอง การหาใครสักคนจึงไม่ใช่เรื่องยาก และเรื่องเวลาก็ไม่เคยเป็นปัญหาอยู่แล้ว ติดแค่ว่าพวกเขาต้องการหาหรือไม่เท่านั้น “ฉันจะรอ แล้วเจอกันพรุ่งนี้ บอกดนัยระวังตัวด้วย”
สำหรับภารกิจในคราวนี้กฤตดนัยคือผู้อาสาแฝงตัวเข้าไปเป็นไก่ในเล้า คนที่เสี่ยงอันตรายที่สุดจึงเป็นเขา
ชานนท์วางสายหลังได้รับการขานรับจากลูกน้อง เขาไม่ยัดโทรศัพท์ลงกระเป๋าดังเดิม แต่โยนไปยังเบาะข้างๆ และเหยียบคันเร่งเพิ่มขึ้นอีก
ใครก็ตามที่ทำท่านประธานของเขาเสียน้ำตา คนคนนั้นจะต้องชดใช้!
เขาไม่ได้จะไปหา แต่เขากำลังตามล่า เตรียมใจไว้เถอะ จามิกร!
ห้าทุ่มเข้าไปแล้ว รอบๆ บริเวณหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เหลือเพียงแต่แสงคบเพลิงและเสียงนกเค้าแมวสั้นๆ ยาวๆ ไม่ใกล้ไม่ไกลภายในกระโจมพักผู้ป่วยวิกฤติซึ่งจำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญคอยกำกับดูแล ดึกนี้ตกเป็นของพยาบาลรูปร่างเล็กอย่าง...
จามิกร จริยวงษ์สกุล
หญิงสาวที่เพิ่งเข้าร่วมทีมแพทย์อาสาได้เพียงสามเดือน และเพิ่งเข้ามาที่หน่วยแพทย์รักษ์ด้วยภักดีนี้ได้เพียงเดือนเศษ ประสบการณ์ในด้านค่ายอาสายังนับว่าน้อยเมื่อเทียบกับบุคคลอื่นๆ ในค่าย แต่ประสบการณ์ด้านหัวใจที่อยากช่วยเหลือผู้บาดเจ็บไม่ได้ยิ่งหย่อนด้อยค่าไปกว่าผู้ใด
ในอดีตเธอเคยเป็นบุคคลที่ใจกล้าจนเคยถูกใครบางคนขนานนามว่า ‘เด็กไม่รู้ความผู้บ้าบิ่น’ ทว่าเพราะบุคคลที่ขนานนามให้แก่เธอในครั้งนั้นเช่นเดียวกัน ทำให้ความกล้าเหล่านั้นหายไปจนเกือบสิ้น ทุกครั้งที่ต้องเผชิญเหตุการณ์ลักษณะใกล้เคียงกับคราวนั้น จึงอดสร้างความรู้สึกขนลุกจนหวาดกลัวไปทั่วทุกตารางนิ้วในร่างกายไม่ได้ แต่ก็เป็นเพราะเขาอีกเช่นกันที่ทำให้เธอมีความกล้าอีกชนิดหนึ่ง ความกล้าที่เรียกว่า...‘การเผชิญความจริง’
“งีบบ้างก็ได้ ไม่ต้องถ่างตากว้างขนาดนั้นตลอดเวลาหรอก คนป่วยหลับกันหมดแล้ว”
แว่วเสียงคุ้นเคยที่ด้านนอก เสียงที่มักจะได้ยินเกือบตลอดทั้งวัน เพราะเจ้าของเสียงช่างพูดที่สุดในบรรดาแพทย์ของหน่วยแพทย์รักษ์ด้วยภักดี
จามิกรหันไปแล้วยิ้ม...“จะเที่ยงคืนแล้ว ทำไมหมอพงษ์ยังไม่นอนคะ”
เธอเพิ่งเหลือบมองนาฬิกาไปก่อนหน้าแค่ไม่กี่นาที จึงไม่ต้องเหลือบไปมองอีกตอนเอ่ยเตือนแพทย์หนุ่มเรื่องเวลา
“นั่นสิ”
พัฒนพงษ์ไหวไหล่ก้าวเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้พับข้างๆ หญิงสาว เขายกขาขึ้นไขว่ห้างแล้วเหม่อมองออกไปด้านนอกผ่านช่องว่างของปากกระโจม ถึงเขาจะตอบออกไปเหมือนตนเองก็ไม่ทราบสาเหตุ หากความเป็นจริงเขาตระหนักถึงสาเหตุได้ดีทีเดียวและเข้าใจดีว่าเหตุใดตัวเองถึงได้มาอยู่ตรงนี้แทนที่กระโจมพัก
“คุณเชื่อเรื่องเสียงร้องของนกเค้าแมวไหม ว่ากันว่ามันคือหายนะนำความตายมาสู่ผู้พบเห็นหรือได้ยินเสียงของมัน บ้านหลังไหนที่มันบินผ่านหรือเกาะหลังคาแล้วส่งเสียงร้อง บ้านหลังนั้นมักจะมีคนตาย เพราะมันคือยมทูตส่งวิญญาณคนตายไปสู่สัมปรายภพ”
“หมอพงษ์เชื่อเหรอคะ”
จามิกรที่เหม่อมองไปตามแพทย์หนุ่มเบนสายตากลับมาที่เขา สัมผัสได้จากน้ำเสียงอันหดหู่และสีหน้าอันหม่นหมองว่าอีกฝ่ายกำลังถูกสถานการณ์อันตึงเครียดตอนนี้ทำให้กังวลใจ ซึ่งแน่นอนสำหรับบุคคลที่เป็นแพทย์ต่างก็คาดหวังให้มีคนเจ็บคนป่วยน้อยที่สุด แต่สิ่งที่พวกเขากำลังเจอมันตรงกันข้าม
“จ๋าเคยอยู่เมืองนอกหลายปีจึงไม่ได้รู้สึกถึงความเชื่อเหล่านั้น แถมยังรู้มาอีกว่าพวกมันคือสัญลักษณ์แห่งความโชคดี หลายๆ ประเทศไม่ถือว่ามันเป็นหายนะ ถือว่ากำลังจะมีโชคลาภมาถึงตัวด้วยซ้ำ แต่ก็อย่างว่าละค่ะ อดจะรู้สึกขนลุกทุกครั้งที่ได้ยินเสียงพวกมันไม่ได้”
“ก็เพราะขนลุก คนถึงได้เชื่อ” ปกตินายแพทย์พัฒนพงษ์ก็ไม่ใช่คนหวาดกลัวอะไรเรื่อยเปื่อย เขาออกจะเป็นคนที่ร่าเริงได้แม้ในสถานการณ์คับขัน ทว่าหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องก็ปั่นป่วนความรู้สึกจนเริ่มไม่เป็นตัวเอง “ผมเพิ่งรู้นะนี่ว่าจ๋าจบเมืองนอก”
จริงๆ เขาก็รู้เรื่องราวของพยาบาลสาวที่เพิ่งเข้าร่วมหน่วยแพทย์คนนี้ไม่มาก ถึงจะเป็นคนเข้าสังคมเก่ง วันๆ ทักคนนี้คุยกับคนโน้นไปทั่ว แต่สถานการณ์จวนตัวตอนนี้ก็มีเวลาให้เขาทำความรู้จักคนได้น้อยจริงๆ
“ค่ะ แต่ไม่ใช่ปริญญาหรอกนะคะ จ๋าเคยเรียนสมัยประถมและมัธยม พ่อจ๋าเป็นคนจีน เลยมีโอกาสไปมาอยู่หลายประเทศ”
บิดาเป็นนักธุรกิจชาวจีน ท่านชอบบุกเบิกการค้าไปต่างประเทศ ท่านเคยบอกว่าหากอยากประสบความสำเร็จต้องกล้าที่จะเติบโต และธุรกิจต่างประเทศก็มีโอกาสเติบโตมากกว่าจับเจ่าอยู่แต่กับที่ จึงพาครอบครัวย้ายถิ่นฐานไปมาอยู่หลายครั้ง
“มิน่า จ๋าถึงผิวขาว” เคยได้ยินว่าอีกฝ่ายมีเชื้อใต้ แต่ผิวกลับขาวผ่องราวกับคนเหนือ ที่แท้ก็เพราะมีเชื้อจีน
“เชื้อพ่อแรงน่ะค่ะ เลยอดได้ตากลมโต” คนใต้มักจะมีดวงตาที่สวยงาม กลมโตและคม
“นี่ยังไม่เรียกว่าโตเหรอ...” แพทย์หนุ่มขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดจากสีหน้าว่าตัวเขาไม่เห็นด้วย
จามิกรหัวเราะเบาๆ “ถ้าโตกว่านี้ก็ดีกว่าไงคะ”
“ผมละไม่เข้าใจผู้หญิง” พัฒนพงษ์ส่ายศีรษะแล้วลุกขึ้น “ไม่ต้องฝืนตัวเองให้มากหรอก ดึกแล้วก็พัก พรุ่งนี้ยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ”
แพทย์หรือพยาบาลล้วนไม่อาจกะเกณฑ์เวลาพักที่แน่นอนได้ การช่วงชิงโอกาสพักสักเล็กน้อยในเวลาที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ควรเรียนรู้
“ค่ะหมอ”
แพทย์หนุ่มออกจากกระโจมไปแล้ว จามิกรจึงรู้สึกได้ว่าแท้จริงเขาก็เป็นบุคคลที่มีสองด้าน ต่อหน้าใครต่อใคร ต่อหน้าเหตุการณ์เลวร้ายก็ยังสามารถเฮฮาลดความตึงเครียดให้คนอื่นได้ มีเพียงเวลาอยู่กับตัวเองจึงจะทุกข์ตรม เหมือนใครบางคนไม่มีผิด
ต่อหน้าคนอื่นทำเป็นผู้ชายใจดี เป็นสุภาพบุรุษผู้ใจกว้างดุจมหาสมุทร แต่พออยู่กับตัวเองกลับเหี้ยมโหด แม้แต่เฉือนหัวใจตัวเองใส่โหลเพื่อผู้หญิงที่ตัวเองรักก็ยังทำไปได้
จามิกรถอนหายใจพลางกวาดสายตาไปทั่วทั้งกระโจมรอบหนึ่ง เมื่อไม่พบสิ่งใดผิดปกติจึงได้เอนตัวลงคุดคู้กับแคร่ไม้ไผ่และหลับไป ไม่รู้ว่าฝันหรือไม่ เธอรู้สึกว่ามีคนมาห่มผ้าให้และนั่งลงตรงเก้าอี้พับที่แพทย์พัฒนพงษ์ลุกจากไป จ้องมองเธอเงียบๆ ความรู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่นกระตุ้นให้สะดุ้งตื่นขึ้นมาเต็มตา
“ผะ...อุ๊บ...”
ยังไม่ทันได้หลุดถ้อยคำเต็มๆ ออกจากปาก เทปแถบหนึ่งก็ถูกทาบเข้ามาปิดปากสั่งให้เธอกลืนคำพูดของตนกลับลงไป และยังไม่ทันหายตกใจ เงาสีดำทะมึนตรงหน้าก็จับช่วงหัวไหล่ของเธอยกทั้งตัวขึ้นมายืน โดยที่เงานั้นหย่อนสะโพกพิงไปกับโต๊ะที่ใช้วางอุปกรณ์เครื่องมือ แล้วจัดการถอดเสื้อผ้าของตนเอง
จะ...ทำอะไร!
ถึงจะเห็นแค่เงาเพราะอีกฝ่ายเลือกจะยืนในจุดที่แสงตะเกียงภายในกระโจมส่องมาไม่ถึง แต่พฤติกรรมที่เขากำลังทำ จามิกรคิดเป็นอื่นไปไม่ได้เลย
“ฮื้อ..."
เธอกรีดร้องทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ และให้ตายเถอะ เงาทะมึนนั่นคว้าเธอไว้ไม่ยินยอมให้วิ่งหนี
‘อย่านะ!’
จามิกรกรีดร้องอีกครั้ง กระตุกมือกลับโดยแรง ตอนถูกเงาทะมึนกระชากมือไปทั้งสองข้างให้สัมผัสกับความเย็นของผิวเนื้อ และเพราะเธอกระตุกในขณะที่เขาไม่ยินยอมปล่อย ร่างกายที่บอบบางกว่าจึงถูกดึงเข้าไปยังแผงอกเย็นยะเยือก กักขังไว้ด้วยวงแขนที่ทั้งแข็งแกร่งและหนั่นแน่น
“ทำตามคำบอกแล้วจะรอด” เสียงนั้นเข้มและดุราวกับไม่ใช่เสียงของคน เธอเองก็ไม่ค่อยนิยมดูหนังปีศาจ แต่เท่าที่ผ่านตามาก็นับว่าไม่แตกต่าง
นี่มันอะไรกันนี่!
ดวงหน้างดงามเปื้อนคราบน้ำตาโดยพลัน ริมฝีปากที่จะกรีดร้องอีกครั้งโดยไร้เสียงถูกความหวาดกลัวทำให้สั่นระริก ได้ยินเสียงฟันกระทบกันกึกกัก
“จับ”
“ฮื้อ!” ยังไม่ทันได้คำตอบสักกะอย่าง คำสั่งก็มาปุบปับจนต้องคว้าหมับเข้าให้ และเธอก็คว้าอะไรเป็นแท่งๆ จามิกรแทบปล่อยโฮกับชะตากรรม ถ้าไม่เพราะเงาทะมึนขยับทำให้เธอพบว่า...มันเป็นด้ามปืน
“อย่าจับซี้ซั้ว เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน”
เจ้าเงาทะมึนก้มลงกระซิบชิดใบหูร้อนผ่าว ถึงจะเห็นแค่เงา แต่เธอก็เห็นส่วนกลางร่างกายเขาขยับไหว เหมือนว่ามันกำลังเติบโตขึ้นอีกนิดจากการกระทำของเขาเองเมื่อครู่
จามิกรไม่รู้ว่าตัวเองใกล้เสียสติหรือไม่ ถึงได้ยินเสียงหัวเราะเยาะกลายๆ และเสียงนั้นกำลังพึงพอใจมาก
“อย่าดิ้น!”
ไม่ดิ้นสิแปลก!
ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของโจรหรือปีศาจจากขุมนรกไหนก็หารู้ จะให้นิ่งสนิทเป็นรูปปั้น ปล่อยให้เขาจับต้องลวนลามตามอำเภอใจหรือ!
“ถ้ายังไม่หยุด จะ...” เจ้าเงาทะมึนรวบร่างเล็กเข้าไปจนแน่น ยื่นความเย็นเจี๊ยบหนึ่งเข้ามาแตะลงบนกลางหลัง
ปัง!
จามิกรได้ยินเสียงนั้นเอง ร่างทั้งร่างสะดุ้งโหยงดีดขึ้นจนเกร็ง เส้นเลือดบนศีรษะปูดโปนจนคล้ายว่าจะปริแตกได้รอมร่อ และมันคงได้ส่งเธอลงปรโลกจริงๆ หากเจ้าเงาทะมึนจะไม่พูดขึ้นเสียก่อน
“ที่ให้จับคือไอ้นี่” เงาทะมึนคว้ามือเธอไปจับของสิ่งหนึ่งบนโต๊ะอุปกรณ์ที่เขาทิ้งสะโพกอยู่
กรรไกร!
การสัมผัสบอกเธอเช่นนั้น แต่ให้ตาย สมองเธอยังไม่ทำงานจึงคิดไม่ออกว่าเขาให้เธอจับกรรไกรทำไม และนึกสภาพเธอตอนนี้ออกหรือไม่ ถูกดึงมือไปจับกรรไกรที่อยู่ด้านหลังเขาอีกที ทั้งที่ตัวทั้งตัวทาบอยู่กับเขา ส่วนที่อ่อนนุ่มแทบจะถูกความแข็งแกร่งของเขาบดขยี้จนบี้แบน และส่วนที่แข็งขึงของเขาก็เบียดเธอเสียจน...
“ทำ” เหมือนเขาจะรู้ว่าอากาศที่เคลื่อนเข้าสู่ปอดเธอน้อยลงเรื่อยๆ จึงผลักเธอออกและกดให้นั่งลง แอ่นสะโพกโยกเอวออกมาในจุดที่แสงจากตะเกียงภายในกระโจมส่องถึง ซึ่งไม่แตกต่างอะไรเลยกับการที่เขายกส่วนนั้นของตนเข้ามาสู่สายตาเธอชัดๆ ปลายจมูกแทบจะแตะกับความดึงดันที่โป่งออกมาจากเป้ากางเกง
ไอ้ลามก!
“ให้ตาย!” เขาสบถโหดเหี้ยมในลำคอ คว้ามือเล็กที่พุ่งเข้ามาพร้อมกรรไกรหมายจะเสียบจุดตายให้ทะลุ อีกนิดเดียวก็หมดโอกาสสืบเชื้อสายต่อไปแล้ว “ให้ทำคือแผล ในหัวเอาแต่คิดอะไรอยู่”
เอ้า ใครจะไปรู้ล่ะ!
ใบหน้าจามิกรร้อนผ่าว เพิ่งเห็นตอนเขาพูดนี่แหละว่าตรงบริเวณหน้าท้องมีผ้าพันแผลชุ่มเลือดอยู่ และผิวกายเขาก็เย็นเจี๊ยบเสมือนว่าตากน้ำค้างลมหนาวอยู่นานนับครึ่งค่อนคืน
“ทำ”
‘นายไปทำอะไรมา’
จามิกรเริ่มมั่นใจแล้วว่าเงาทะมึนนี่ไม่ใช่ปีศาจและไม่ใช่ทหารฝั่งตน ไม่เช่นนั้นก็คงไม่เข้ามาให้รักษาด้วยลักษณะเยี่ยงโจรเช่นนี้
เธอเงยหน้าขึ้นตั้งคำถามทางสายตา อีกฝ่ายอยู่ในความมืด เธออยู่ในความสว่าง แม้มองไม่เห็นเขา แต่เขามองเห็นเธอ จึงเชื่อได้ว่าเขาจะสามารถอ่านความคิดนี้ออกมาได้
“ไม่ต้องถามมาก หน้าที่คุณคือทำ”
‘ฉันไม่รักษากบฏ’
นี่คือคำปฏิญาณนับจากเห็นประชาชนล้มหายตายจากมากมาย และเห็นพวกมันแฝงตัวเข้ามายังค่ายในฐานะผู้บาดเจ็บเพื่อก่อเหตุร้าย จนแพทย์คนหนึ่งในค่ายอาการสาหัสเกือบเอาชีวิตไม่รอด ถ้าเจ้ากบฏนี่คิดว่าบุกเข้ามาในค่ายข่มขู่แล้วจะได้รับการรักษา เขาก็คิดผิดแล้ว
“ผมไม่ใช่กบฏ”
‘ไม่จริง’ หัวคิ้วเธอเลิกขึ้นแล้วตอกกลับทางสายตาอย่างมุ่งมั่น
“ผมไม่ใช่ทหาร”
‘ฉันรู้อยู่แล้วทหารไม่มีทางทำพฤติกรรมแบบนาย’
“ผมเป็นแค่คนธรรมดา”
‘ไปพูดให้ตุ๊กตาฟังเถอะ มันไม่มีปากและหูก็ไม่ได้ยิน คงจะเชื่ออยู่หรอก’
“ถามจริง...” เงาทะมึนถอนหายใจฟืดฟาด รวบเอวบางรั้งขึ้นมาหาตัวอีกครั้ง “จำสามีตัวเองไม่ได้แล้วจริงเหรอ”
[1]ตาลูลา เป็นรัฐสมมุติ ไม่มีอยู่จริง
ความคิดเห็น |
---|