หยุดได้หรือยัง

จำสามีตัวเองไม่ได้แล้วจริงเหรอ หมายความว่าอย่างไร

จามิกรถึงกับลืมหายใจไปชั่วขณะ ลืมความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น ลืมว่าปลายจมูกของเขาและเธอถูกแรงรั้งก่อนหน้านี้ทำให้ชิดกัน บัดนี้ดวงตาที่ตื่นตระหนกห่างจากความคมกล้าที่พ้นเข้ามาภายใต้แสงตะเกียงแค่หน่อยเดียว

“สามีที่ไม่ได้หมายถึงผี ผมยังไม่ตาย ที่มานี่ก็ไม่ใช่วิญญาณ” เขาตัวเป็นๆ เขาที่ยังคงดำรงตำแหน่งสามีเหนียวแน่น

ชานนท์!

จามิกรตาเบิกโพลง สิ่งลี้ลับที่ว่าน่ากลัว ยังไม่อาจสู้คนคนนี้สักกระผีกริ้น

เป็นเขาจริงหรือ 

เป็นเขาตัวเป็นๆ จริงหรือ 

ละ...แล้วเขามาได้อย่างไร!

ชานนท์พยักพเยิดไปทางความมืดมิดด้านนอก เสมือนได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นของภรรยา ไหล่หนาไหวขึ้นลงไม่ได้ยี่หระกับอาการตื่นตระหนกจนขวัญผวา

“เดินมาสิ คุณก็รู้ว่าผมเหาะไม่ได้”

ใช่ เธอรู้ รู้ดีเชียวละว่าเขาเป็นเพียงผู้กองชาแมน ไม่ใช่ซูเปอร์แมน แต่เขา...

กวนประสาท!

“ก็นิดหน่อย” ไหล่หนาไหวขึ้น ยอมรับดื้อๆ ยังคงไม่สะท้านใดๆ ทั้งสิ้น

เห็นเช่นนั้น อาการตื่นตระหนกของจามิกรก็เริ่มคงที่และตั้งคำถาม

แล้วมาทำไม!

คราวนี้ชานนท์ไม่ได้ตอบ เขายกมือขึ้นดึงเทปที่ปิดปากภรรยาออก ในเมื่อจำกันได้แล้ว ก็ไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะเอะอะอะไรให้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต ใช้ปากกับปากคุยกันจะง่ายกว่า

“โอ๊ย!” 

คิดจะปิดก็ปิด คิดจะเอาออกก็เอาออกไม่บอกสักคำ

จามิกรเจ็บจนฟาดป๊าบเข้าใส่สีข้างเขาเต็มแรง และยกทั้งสองมือขึ้นยันแผงอกที่ไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนาน แต่ยังคงความหนั่นแน่นลื่นมืออยู่เช่นเดิม

หล่อนคิดอะไรของหล่อนอยู่!

“ยังแน่นเหมือนเดิมเลยใช่ไหมล่ะ” สะบัดหน้าหนีคิดว่าเขาจะมองความคิดที่เธอต้องการสลัดทิ้งนั้นไม่ออกหรือ 

ชานนท์ยกมือขึ้นตรึงคางแล้วบิดให้กลับมาอยู่ในระนาบเดียวกัน เผลอกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง

“ไม่เจอกันตั้งนาน จะไม่ถามกันหน่อยเหรอว่าเป็นยังไงบ้าง”

“ก็เห็นอยู่ว่าคุณสบายดี”

“แล้วจะไม่ถามหน่อยเหรอว่าเขา...”

“ฉันไม่อยากรู้”

จามิกรรีบขัด เธอไม่อยากได้ยินเรื่องราวของคนที่ทำให้ใจอ่อนยวบ เมื่อตัดสินใจจะตัดใจก็ต้องตัดให้ขาด ตัดบัวอย่าให้เหลือใย แต่ไหนแต่ไรก็ต้องเป็นเช่นนั้น

“เลือดเย็นขึ้นมาก” โอเคไม่อยากรู้ก็ไม่อยากรู้ แล้วอย่ามาถามหาทีหลัง เขาคนนี้จะไม่มีทางเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาแล้วให้ฟังสักคำเดียว “ไม่อยากรู้เหมือนกันสิ ว่าผมมาได้ยังไง”

“ก็บอกแล้วนี่ว่าเดินมา ฉันรู้หรอกว่าคุณเหาะไม่ได้” 

ความจริงคือจำเป็นด้วยหรือ เธอรู้อยู่แล้วว่าเกล้าเศียรจะส่งข่าวให้เขา หวั่นใจตั้งแต่วันนั้นที่เกล้าเศียรเจอเธอกระทั่งวันนี้ก็ยังสงบใจไม่ได้ ถึงจะบอกตัวเองลึกๆ มาตลอดว่าเขาไม่ได้ตามหาเธอจริงๆ เขาไม่ได้ต้องการให้เธอกลับไปอย่างที่ทำให้ใครๆ เข้าใจ เพราะหากเขาต้องการหาเธอ มันใช่เรื่องยากที่ไหน ที่คาดเดาไม่ได้ก็แค่คนคนนั้นที่เธอเองก็ตัดให้ขาดยากเหลือเกิน

“นั่นสิ” ชานนท์พยักหน้าหงึกๆ ลอบกัดกระพุ้งแก้มหนึบหนับในปาก นอกจากเลือดเย็นขึ้นมาก ยังปากเก่งขึ้นด้วย “งั้นก็คงไม่อยากรู้เหมือนกัน ว่าผมมาทำไม”

“มีอะไรก็พูดมา คุณคงไม่ได้มาเพื่อจะตามฉันกลับไปหรอก ฉันรู้” สำหรับเรื่องนี้จามิกรอยากรู้ คนอย่างชานนท์ไม่มีทางเดินเตร่ๆ แล้วมาโผล่ที่นี่โดยไม่มีเรื่องมีราวอันใด และแน่ใจได้ว่าเขาไม่ได้มาตามเธอกลับไปแน่ๆ

“รู้ได้ยังไง” ชานนท์ถามลอดไรฟัน ท่าทีมั่นอกมั่นใจนั้นน่ากัดแล้วบดขยี้ทิ้งเสียจริงๆ

“ถ้าคุณคิดจะตามหาฉันจริงๆ คงไม่รอจนป่านนี้หรอก จริงไหม” เขาทำอาชีพอะไร เธอและเขาต่างก็กระจ่างแจ้งดีแก่ใจ หากเขาจะตามหาคน ถามจริงๆ มันยากขนาดต้องใช้เวลาสามสี่ปีเชียวหรือ

เรื่องเขาทำงานกับหน่วยข่าวกรองจามิกรรู้ชัดเจนตั้งแต่พวกเขากลับมาเจอกันอีกครั้งได้ไม่นาน หลังจากที่เธอเข้าไปขอพบเพื่อยื่นเรื่องหย่าและเปิดเผยสถานะภรรยาเพียงในนาม ไม่รู้เช่นกันว่าหลังจากนั้นตอนเขาได้รับบาดเจ็บจากภารกิจ จะเกิดความคิดตื้นเขินมาขอรับการรักษาจากเธอเข้า และกลายเป็นว่าเขาบาดเจ็บเมื่อใดก็มักจะนึกถึง เพราะคิดว่าไหนๆ เธอก็รู้เรื่องงานของเขาแล้ว คงไม่มีตัวเลือกไหนดีกว่าเธอ กระทั่งเกิดเรื่องที่ทำให้เจ้าตัวเล็กถือกำเนิดขึ้นในค่ำคืนที่แผลใจเขาเหวอะหวะขั้นสุด เพราะเขาดันนึกถึงเธอแม้แต่ในยามที่บาดเจ็บทางใจ พวกเขาจึงตกลงแต่งงานกัน

การแต่งงานที่เกิดจากความรับผิดชอบ ไม่ใช่ความรัก!

“หึ...” ชานนท์ส่งเสียงขึ้นจมูก นอกจากเลือดเย็น ปากเก่ง ยังยอกย้อนเก่งขึ้นด้วย น่าสนใจจริงๆ

“หรือว่าคุณแค่จะแวะมาทำแผล...” 

ในอดีตเขาก็ชอบทำแบบนั้นไม่ใช่เหรอ

สีหน้าก็เอาซิ นั่งลงฉันจะทำแผลให้ของเธอ ทำให้ชานนท์ยกมุมปากแล้วร้อง “หึ” อีกคำ

กว่าประโยคที่ยาวกว่านั้นจะดังขึ้น จามิกรก็พบว่าริมฝีปากเขาประกบเข้ามาทาบกลีบปากของเธอ เรียวฟันที่พร้อมใจกันหุบเพื่อต้านภัยยังช้ากว่าเรียวลิ้นร้อนผ่าวที่ฉกชิงเข้ามาราวกับขโมย เสี้ยววินาทีที่เปลี่ยนลมหายใจเธอก็ตกอยู่ภายใต้กลิ่นอายของเขาจนหมดสิ้น

“ใช่ ทำแผลในปากแล้ว นั่งลงสิ ผมมีแผลที่ท้องอีกที่” 

ทั้งหมดทั้งมวลที่เพิ่มขึ้นของจามิกร ชานนท์ยกให้ความหวานล้ำในปากสวยๆ นี้ชนะเลิศ ปลายลิ้นสีเข้มแลบขึ้นเก็บกวาดความหวานที่หลงเหลืออยู่ ไม่กระดากยามต้องสบกับดวงตาแข็งกร้าวของอดีต ไม่สิ ภรรยา เธอยังคงดำรงตำแหน่งภรรยายืนหนึ่งของเขาจนบัดนี้ เพียงแค่เจ้าตัวน่าจะไม่รู้

“ขอให้ติดเชื้อตาย” ก่อนตายก็ขอให้ทรมานหนักๆ เลยด้วย

“คงจะยากสักหน่อย มีเมียเป็นพยาบาลเลยเหมือนมีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นโดยปริยาย ความตายเลยถามหายากนิดนึง” ก่อนหน้าเขาส่งเสียงขึ้นจมูก ขณะนี้กลับส่งยิ้มขึ้นบนมุมปากแทน นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้รู้สึกเลือดลมสูบฉีดเหมือนเด็กหนุ่ม

ไม่ต้องตอบ เขารู้เป็นอย่างดีว่ามันตั้งแต่เมื่อไร

“คนแบบคุณตอนซื้อผลไม้ คนขายคงไม่ได้ห่อพริกเกลือให้แน่นอน”

“เขาเผามา ผมรู้ ได้รับโดยไม่ได้ตั้งตัวบ่อยๆ อาการก็แสบๆ คันๆ นิดหน่อย”

ไม่ยี่หระ แถมด้วยการอธิบายผลที่ได้ให้เสร็จสรรพ จามิกรเบือนหน้าหนี ขืนมาในรูปการณ์นี้ สู้ไปก็ไม่ชนะ คนอย่าง ชานนท์ กระโดดสูง เธอรู้ซึ้งดีที่สุดว่าเขามักจะดีกับคนทั้งโลก แต่ปากร้ายได้โล่กับเธอแค่คนเดียว ครั้งแรกที่เจอกันเป็นอย่างไร ครั้งสุดท้ายที่จากกันจนบัดนี้ก็ไม่มีอะไรต่าง

“คราวนี้ไปโดนตัวไหนมาอีกล่ะ” เธอก้มลงเก็บกรรไกรที่หล่นพื้นไปตั้งแต่เมื่อไรก็จำไม่ได้ ขึ้นมายื่นไปตรงผ้าพันแผลชุ่มเลือด

“เฮ้ย...” ชานนท์หลบหวืด

“แผลไม่ได้ลึก การเคลื่อนไหวยังทำได้ดี แบบนี้ราดด้วยแอลกอฮอล์สักขวดก็พอแล้ว”

จามิกรวินิจฉัยพร้อมกับงับกรรไกรตัดผ้าพันแผลโดยไม่ยื่นมือไปจับ ทำเอาคนเพิ่งตั้งลำตัวได้ตรงแขม่วท้องโดยพลัน

“หมอว่ากระดูกสันหลังร้าวด้วยหนึ่งชิ้น ต้องระวังให้มากๆ ไม่เช่นนั้นจะใช้เอวไม่ได้อีก”

จามิกรชะงักมือ เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้ม “แต่ถ้าหักก็จะใช้งานไม่ได้ตลอดไป น่าลองนะคะ”

‘น่าลองนะคะ’ ช่างพูดได้น่าฟังยิ่งนัก

ชานนท์ยิ้มแยกเขี้ยวไม่โต้ตอบอะไรต่อ สำหรับจามิกร เธอสามารถลดความบ้าบิ่นของตัวเองกับคนทั้งโลกได้ แต่ไม่สามารถลดกับเขาได้เพียงคนเดียว เพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้นก่อเกิดความกลัวชนิดหนึ่งในใจ ความกลัวที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น นี่คืออภิสิทธิ์พิเศษของคนที่เคยช่วยชีวิตเธอไว้ คล้ายจะเป็นสายใยที่ถักทอพวกเขาไว้จนแน่นแฟ้น เลยทำให้เธอมีปฏิกิริยาต่อเขาชนิดรุนแรง ทำให้เธอกล้าทิ้งพวกเขาบิดาบุตรไปอย่างเลือดเย็น เพียงคิดว่านั่นจะเป็นผลดีต่อพวกเขามากกว่า

“ฮื้อ...จะราดหมดนั่นจริงๆ เหรอ” นั่นมันทั้งขวดเลยจริงๆ นะ เขาออกจะเกรงใจผู้บาดเจ็บคนอื่นๆ

“ก็น่าอยู่หรอก แต่ที่นี่ทุกอย่างต้องใช้อย่างคุ้มค่า” 

ถ้าไม่ติดว่าหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ตั้งอยู่ไกลจากเส้นทางหลัก การขนส่งทำได้ยาก อีกทั้งใช้เฮลิคอปเตอร์ในการขนส่งก็ไม่ได้ เพราะติดขัดเรื่องความลับของพื้นที่ เธอก็อยากจะเทให้หมดขวดสักครั้ง บาดแผลฉกรรจ์ขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รักษาคำพูด ไม่ดูแลตัวเองให้ดี

“ฮุ้ย...นั่นก็ประหยัดไป ชุ่มอีกหน่อยก็ได้ ไม้พันสำลีแข็งขนาดนั้น เจ็บ” ไม้ยังไม่ได้จุ่มลงไปในแอลกอฮอล์เลยด้วยซ้ำ ปาดซะเนื้อเขาจะหลุดติดออกมา

‘สมน้ำหน้า’ 

จามิกรทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ยังคงปาดต่อ...

“ก็บอกแล้วว่าของมีน้อย ต้องใช้อย่างประหยัด คนเจ็บแผลฉกรรจ์ยังจะมาอีกไม่รู้เท่าไหร่ แผลคุณใกล้จะหายแล้ว ใช้น้อยๆ ก็พอ จะได้ไม่แสบ”

ไม่แสบ แต่เจ็บชะมัด!

ชานนท์เม้มปากเป็นเส้นตรง อดกลั้นสุดฤทธิ์ เมื่อเห็นรอยยิ้มที่เก็บไม่หมดบนหน้าภรรยา เห็นเขาเจ็บแล้วมีความสุข เช่นนั้นเขาก็จะอดทนให้เธอมีความสุขมากขึ้นอีกสักหน่อย

แต่ว่า...เหมือนเขาจะคิดผิด!

“แผลมันปริตรงนี้นิดนึง ต้องเย็บเพิ่มสักสองสามเข็ม คุณโอเคหรือเปล่า” จามิกรวางไม้พันสำลีอันใหม่ลงตรงจุดที่แผลปริ เงยหน้าขึ้นขอคำตอบ

ชานนท์หน้าเหยเก ถามกลับไม่เต็มเสียง “ไม่ได้จะประหยัดยาชาหรอกใช่ไหม”

“ไม่”

“งั้นก็...”

“ไม่มี”

“...”

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ชายชาติทหาร รับมือกับสถานการณ์ไร้ยาชาออกจะบ่อยไป คุณเคยบอกไม่ใช่เหรอว่าเย็บแผลสดๆ มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง”

นั่นก็ใช่ แต่ใช้เฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉินเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น ไม่ใช่กับ...

ชานนท์เม้มปากแล้วปล่อย ก้มลงไปจนใกล้คนตั้งอกตั้งใจกับแผลบนหน้าท้องของตัวเอง

“นี่คือค่าจูบเมื่อกี้ใช่ไหม” ถ้าใช่เขาจะได้เลือกใหม่ให้เย็บเพิ่มอีกสี่ห้าเข็ม ขอแค่เพิ่มจูบให้เขาอีกสักทีก็พอ

“เปล่า” จามิกรรู้ว่าเขาเข้ามาใกล้ในระยะอันตราย ถ้าเงยหน้าปุบปับมีปะทะกับปากเขาแน่นอน จึงเลี่ยงปัดไปอีกทาง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอธิบายด้วยเหตุผล 

“มันไม่มีจริงๆ ถ้าจะใช้ก็ต้องลุกไปเอาที่คลังยา คุณคงไม่อยากให้ฉันไปเบิกเอาตอนนี้และแจ้งว่ามีกบฏมาขอความช่วยเหลือหรอกมั้ง”

ถึงจะอยากเอาคืนเขาอยู่ถึงแปดส่วน แต่นี่ก็คือเหตุผลหนึ่งที่สำคัญและเป็นความจริง!

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องพึ่งยาชาธรรมชาติ” 

เขายังไม่เคยบอกเธอกระมังว่าก่อนจะทำการเย็บแผลสดๆ ในแต่ละครั้ง จะต้องหาสิ่งอื่นมาดึงดูดความสนใจเพื่อใช้ลดทอนความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้น

“คุณต้องการอะไรล่ะ” 

เคยได้ยินอยู่เหมือนกันว่าทหารที่ต้องออกแนวหน้า เพื่อให้มีชีวิตรอดกลับมาในแต่ละครั้ง ยอมกรีดเลือดกรีดเนื้อยามพลาดพลั้งไร้ทางรอดเพื่อรักษาชีวิต และพวกเขาก็มักจะมีสิ่งหนึ่งที่จะใช้ลดทอนความเจ็บปวด

“ไม่รบกวนคุณมากหรอก” ก็ไม่ได้คิดจะขอค่าตอบแทนความเจ็บปวดมากอะไรหรอก

“ก็พูดมาสิ”

“ฮื้อ...” ชานนท์ส่ายหน้า ยาชาที่เขาจะขอไม่ได้เอ่ยออกมาได้ด้วยคำพูด แต่มันต้องใช้การกระทำ

“นี่...อุ๊บ”

จามิกรไม่รู้ว่าเขาวางฝ่ามือที่ท้ายทอยเธอตั้งแต่เมื่อไร ทันทีที่ศีรษะเขาส่ายไปมา เธอก็ถูกฝ่ามือใหญ่ดันท้ายทอยขึ้นรองรับริมฝีปากอันร้อนผ่าวเสียแล้ว

ถ้าได้ยาชาชนิดนี้ เย็บไปเถอะ ร้อยแผลเขาก็ยินดีให้เย็บสดๆ !

ชานนท์ไม่แยแสกับกำปั้นน้อยซึ่งกระหน่ำทุบลงบนแผ่นหลัง รุกคืบไปข้างหน้าพร้อมๆ กับถอยกลับออกมาเป็นระยะ หลอกล่อเธอด้วยชั้นเชิงที่พิถีพิถัน พอผึ้งน้อยตกหลุมพราง เจ้าขโมยตัวร้ายจึงได้ดันลิ้นร้ายกาจเข้าไปเช่นเดียวกับกลยุทธ์การทำศึก บุกทะลวงครอบครองแอ่งพลังงานแสนวิเศษซึ่งไม่ได้บรรจุไปด้วยน้ำทิพย์ชโลมใจ แต่เป็นน้ำหวานที่สามารถชโลมไปถึงจิตวิญญาณอันแห้งเหี่ยวในครั้งเดียว

หากจูบก่อนหน้าเป็นกลยุทธ์พิฆาตศัตรู จูบครานี้ก็คือกลยุทธ์การสังหารหมู่ที่เล่นงานทุกสัดส่วนในร่างกายจามิกรให้อ่อนระทวยกลายเป็นแป้งนุ่มๆ เพียงก้อนหนึ่งในมือมาร!

เขาไม่ควรชี้โพรงให้กระรอกเลยจริงๆ !

ชานนท์ขบกรามจนขึ้นสัน ขบจนฟันทั้งสามสิบสองซี่รวดร้าวไปถึงราก แม้แต่เส้นประสาทที่เชื่อมต่อกับสมองยังรับรู้ได้ถึงความตึงเครียดในช่องปาก

“ไม่เจ็บเลยใช่ไหมล่ะ ได้ยาชาแล้วนี่” ได้ไปเยอะเสียด้วย ตักตวงเสียเรี่ยวแรงเธอเกือบจะหมดร่าง

จามิกรลงฝีเข็มแต่ละครั้งอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ก็เหมือนจะไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงจึงเล็งพลาดอยู่หลายที บางทีแทงไปแล้วก็เหมือนจะไม่ถูกต้อง ต้องถอยออกมาแล้วทิ่มเข้าไปใหม่ แต่ก็เผลอใช้แรงมากไป เลยต้องคว้านสักหน่อยเพื่อหาจุดสมดุล

“มะ...ไม่เจ็บ!” น้อยที่ไหน

ชานนท์เค้นเสียงอันแหบพร่าลอดไรฟันอันแน่นขนัด เขาต้องใช้ความพยายามยิ่งยวดถึงจะเค้นถ้อยคำสั้นๆ นั้นออกมาได้ คงต้องจดจำให้ขึ้นใจแล้ว...

“จริงนะ เพราะตรงนี้มันไม่ค่อยสวย ฉันอยากแก้ใหม่สักหน่อย”

“ไม่ ไม่...ต้องสวย” ไม่ต้องสวยเลย ทุเรศยิ่งกว่าไก่ใช้เท้าเขี่ยก็ยังได้ ขอให้เย็บเสร็จสักทีเถอะ

“แต่มันจะทำให้แผลคุณนูนนะ” จามิกรยังไม่พึงพอใจกับผลงาน เขยิบออกมาอีกนิด พิศดูแผลในระยะห่างสักหน่อย แต่กลับทำเขาหลุด ‘โอ๊ย’ออกมา 

“อุ้ย...โทษทีๆ ฉันลืมไปว่าไหมมันสั้น”

เหรอออ!

สีหน้าชานนท์คือไม่เชื่อชัดเจนมาก และต่อให้โดนหมัดหนักๆ ต่อยเสียจนมืนงงใกล้น็อกหมดสติ เขาก็ยังจะคงสีหน้านี้ไว้ไม่เปลี่ยนแปลง

“ก็ได้” ยอมรามือก็ได้ เห็นแก่ใบหน้าที่ดำคล้ำเกือบเป็นตอตะโกแล้วสักครั้ง แต่หวังว่าจะไม่มีครั้งต่อไป 

จามิกรยอมจบการลงฝีเข็มที่พิถีพิถันที่สุดในชีวิตการเป็นพยาบาลของตนลง ด้วยการผูกปมไหมแล้วตัดฉับสิ้นสุดความเจ็บปวดของเขา 

“แผลหายมาแล้วไม่สวย อย่ามาว่าฉันทีหลังก็แล้วกัน ถือว่าฉันเตือนคุณแล้ว”

“ผมไม่ว่าคุณแน่นอน” แค่จะขอยาชาเพิ่มหนักๆ “โทษที ยาชามันดีด”

“นี่...”

ให้ตาย!

เธอช้ากว่าฝ่ามือเขาอีกสักกี่ครั้ง คนคนนี้ก็จะรวดเร็วไม่สนสิ่งใดอีกสักกี่หน!

ร่างทั้งร่างถูกเขายกลอยหายไปในความมืดในจุดที่แสงตะเกียงส่องไปไม่ถึง สะโพกงอนงามถูกหย่อนลงบนโต๊ะอุปกรณ์ จามิกรดิ้นอย่างโทสะเต็มกระเพาะ แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นอุ้งมือมารที่โฉบขึ้นมาประคองท้ายทอยให้แหงนเงยขึ้นรับจุมพิตอันหนักหน่วง และครั้งนี้เขาไม่ปรานีสักนิด 

มืออันร้อนผ่าวอีกข้างที่ยังว่างสอดลึกเข้าไปยังเสื้อกันหนาวของเธอ รั้งมันขึ้นจนอกเต่งตึงทั้งคู่ชูช่อหลุดพ้นจากเกาะป้องกันสู่ภายนอก กอบกุมความอวบอิ่มที่จนป่านนี้ท่านประธานของเขาก็ยังไม่ได้ลิ้มลองสักครั้ง ขย้ำอย่างไม่ผ่อนปรนจนอกอ่อนนุ่มต้องแอ่นตัวขึ้นขอความเมตตา ทว่า...คนชั่วช้าหรือจะมีให้ เขาผละจากริมฝีปากลงมาครอบครองเม็ดบัวข้างหนึ่งอย่างเร็วรี่ พร้อมๆ กับบดขยี้อีกข้างอย่างไม่ยอมน้อยหน้า

“ฮื้อ...!”

จามิกรกลั้นเสียงครางเอาไว้แทบไม่ได้ ความปุบปับที่เขากระทำอย่างอุกอาจ กำลังจะทำให้เธอหมดลมหายใจ มันมากไป มันแรงไป มันเร็วเกินกว่าที่เธอจะรับไหว!

“ฉัน...ฉันขอโทษ” ก่อนที่เธอจะตายเพราะการปรนเปรอนี้ จามิกรยินดียอมพ่ายแพ้

ความเสียวซ่านชะงักงัน ชานนท์หยุดลงเพื่อฟังถ้อยคำนั้นให้ชัดๆ ซึ่งจามิกรก็รีบช่วงชิงโอกาสพูดอีกครั้ง

“ฉันไม่ควรแกล้งคุณ ฉันไม่ควรทำให้คุณเจ็บ ฉันขอโทษ”

“แค่นั้นเหรอ”

ชานนท์เอ่ยชิดอกอิ่ม ถึงจะยอมหยุด แต่เขายังไม่ยอมถอยจนกว่าจะได้ยินในสิ่งที่อยากได้ยินมากที่สุด

“ยะ...ยังจะมีอะไรอีกล่ะ”

“คิดให้ดีๆ” สิ่งที่เธอควรขอโทษที่สุด ไม่ใช่การหนีมา ทิ้งให้เขาและลูกต้องเจ็บปวดใจหรอกหรือ

แต่จามิกรนึกไม่ถึงตรงนั้นสักนิด เพราะคิดมาตลอดว่าที่เธอทำคือสิ่งที่ทำให้เขามีความสุข จึงไม่นับว่าเป็นความผิดต่อเขา ถ้าจะผิดก็แค่กับลูก

“ฉันไม่มีอะไรต้องขอโทษอีก”

“แน่ใจนะ” ฝ่ามือเริ่มขยับอีกครั้ง

“ฉันขอโทษ ขอโทษกับทุกอย่างที่คุณคิดว่าผิด”

คราวนี้ชานนท์ยอมหยุดแล้วจริงๆ เขาขยับกลับขึ้นมาจนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกัน แล้วจดจ้องเข้าไปในความสับสนวุ่นวายของดวงตากลมโตที่คงไม่รู้ตัวว่าความงดงามภายในนั้น ล่อลวงภมรหนุ่มตนนี้จนจะคลั่งวันละเป็นร้อยหน เพียงแค่นึกถึงช่วงเวลาสั้นๆ

“งั้นจะหยุดหนีได้หรือยัง” ชานนท์แนบหน้าผากเข้ากับความเนียนละเอียดของหน้าผากกลมมน เอ่ยประโยคถัดไปด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “เลิกหนีแล้วกลับบ้านของเรานะจ๋า”

บ้านของเรา บ้านที่มีเขา มีเธอ มีลูก บ้านที่จะเป็นครอบครัวสุขสันต์เช่นที่ครอบครัวคนอื่นๆ เขาเป็นกัน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น