6

ตอนที่ 6


ชุดทำงานในฟาร์มที่สุชาติเลือกให้ดูสวยจนหอมนวลไม่กล้าสวมใส่ ขืนสกปรกเลอะเทอะไปเธอคงเสียดายแย่ เพราะมันทั้งสวยทั้งแพง แม้แต่ป้ายราคาเธอยังเก็บใส่กล่องเพื่อเตือนใจว่าข้าวของที่ซื้อมานี้ต้องดูแลรักษาอย่างดี ไม่ให้มีริ้วรอยขีดข่วนแม้แต่ปลายเล็บ

                เสื้อเชิ้ตสัญชาติญี่ปุ่นแขนยาวลายสกอตสีฟ้าสลับขาวถูกหยิบมาสวมเป็นตัวแรก สวมคู่กับกางเกงยีนยี่ห้อดัง หอมนวลหันซ้ายหันขวา ก่อนนึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้แกะรองเท้าหนังออกจากกล่อง หญิงสาวละสายตาจากกระจกบานใหญ่ เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า คว้าถุงรองเท้าที่เธอยัดไว้ในตู้นับสิบคู่มาเลือก ซึ่งสุชาติย้ำนักหนาว่าถ้าเข้าฟาร์มต้องสวมคู่นี้เท่านั้น

                ‘รองเท้าก็ต้องมีให้ครบทุกประเภท ไม่ใช่ว่าทำกิจกรรมอะไรก็ใช้รองเท้าคู่เดียวกันหมด อย่างถ้าจะไปเรียนเธอก็ใส่คัตชูสวยสีเรียบๆ หน่อยดูผู้ดี จริงๆ แล้วต้องมีสามถึงห้าคู่นะ แต่วันนี้เอาไปสองก่อน วันหลังค่อยว่ากัน แล้วรองเท้าแตะทั่วไปอีกหนึ่งคู่ ไม่ต้องเว่อร์มากแต่ขอให้มียี่ห้อไว้ก่อน ส่วนรองเท้าออกกำลังกาย ต้องมีทั้งรองเท้าวิ่งแล้วก็รองเท้าที่เหมาะกับประเภทกีฬา’

                ‘โอ๊ย! ฉันจะไปออกกำลังกายที่ไหนกัน ไม่ต้องซื้อหรอก’

                ‘ซื้อสิยะ เชื่อฉัน เป็นภรรยาของพ่อเลี้ยงเขมราช แกอาจต้องไปไดร์ฟกอล์ฟเป็นเพื่อนลูกค้าก็ได้ ใครจะรู้ หยุดพูดแทรกแล้วฟัง เดี๋ยวเอารองเท้าใส่ไปงานราตรีอีกสอง สุดท้ายสำคัญมาก รองเท้าหนัง เอาไว้ใส่เวลานายหญิงต้องเดินสำรวจความเรียบร้อยของฟาร์มที่มีเนื้อที่หลายพันไร่ รองเท้าต้องแข็งแรงทนทาน ใช้งานได้ทุกสภาพดินฟ้าอากาศ’ 

                “เฮ้อ!” หญิงสาวถอนหายใจกับรองเท้าหนังด้านสีน้ำตาลอ่อนในมือ แม้ใฝ่ฝันอยากแต่งตัวสวยๆ มาตลอดชีวิต แต่พอเอาเข้าจริง เธอกลับคิดว่าเป็นเรื่องยาก

                อันที่จริงฐานะเธอก็ไม่ได้ยากจนข้นแค้นถึงขั้นที่หาซื้อเสื้อผ้าดีๆ มาสวมไม่ได้ แต่ที่สวมเสื้อผ้าเก่าๆ ทำตัวปอนๆ ก็เพราะเหตุผลสองประการ หนึ่ง...คือเธอเกรงใจแม่เลี้ยงมณีแดงที่ต้องเลี้ยงดูเธอทั้งที่ไม่ใช่เลือดในอก อะไรที่ประหยัดได้เธอก็ต้องประหยัด สอง...คือความชอบแบบแปลกๆ ของจันทร์นรีที่คอยกะเกณฑ์ให้เธอแต่งตัวในแบบที่ตรงกันข้ามกับที่จันทร์นรีเป็น ทั้งกระเป๋า รองเท้า รวมถึงการสวมแว่นตาอันโตทั้งที่เธอไม่ได้มีปัญหาเรื่องสายตา ล้วนเป็นความคิดของญาติผู้พี่ทั้งสิ้น  

                ‘พี่อยากมีน้องสาวน่ารักเหมือนตุ๊กตา ตุ๊กตาต้องใส่แว่น น่ารักจะตายไป’

                ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หอมนวลก็สวมแว่นมาตลอดตามความต้องการของจันทร์นรี และเธอก็ยินดีจะสวมต่อไปเพราะมันกลายเป็นความเคยชินเสียแล้ว ชนิดที่วันไหนไม่ได้สวมแว่น เธอจะรู้สึกแปลกๆ ไปทั้งวัน แต่ทั้งสุชาติและปารณีย์ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอควรเลิกเป็นคนสายตาดีที่สวมแว่นตาเสียที

                เสียงเปิดประตูห้องน้ำพร้อมกับการปรากฏตัวของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี ทำให้หอมนวลซึ่งมองเขาแวบเดียวก็ต้องรีบหลบสายตา แต่กระนั้นเธอก็รู้ว่าเขากำลังจ้องเธออย่างเอาเป็นเอาตาย

                เขมราชใจกระตุกวาบเมื่อเห็นใบหน้าหวานที่ปราศจากแว่นตา หัวใจที่แข็งแกร่งเต้นแรงจนได้ยินเสียง เขานึกโมโหตัวเองที่ควบคุมความรู้สึกไม่ได้จนพานโกรธหอมนวลไปด้วยข้อหาที่เป็นต้นเหตุ เขาอยากจะจับแว่นตามายัดใส่หน้าเธอแล้วตอกตะปูไว้ไม่ให้เธอถอดมันได้อีก  

                ‘เพราะเห็นเพื่อนใส่แว่นแล้วดูเท่ดีก็เลยลองใส่ตามบ้าง รู้ตัวอีกทีหอมก็ใส่มันมาเป็นสิบปีแล้วค่ะ’

                คำบอกเล่าของเธอช่างตลกสิ้นดี เขมราชเลิกสนใจหญิงสาวแล้วหันมาเปิดตู้เสื้อผ้า เลือกชุดโดยไม่ได้ใส่ใจจริงจังนักเพราะกำลังหัวเสีย ไม่คิดเลยว่าเรื่องแค่นี้จะกระทบจิตใจของเขาได้ถึงเพียงนี้

                “หอมเตรียมชุดทำงานให้แล้วนะคะ” หอมนวลยิ้มแป้น พร้อมกับบุ้ยปากไปที่ราวแขวนเสื้อ

                เขมราชมองตามก็เห็นเสื้อเชิ้ตลายสกอตสีเดียวกับเสื้อที่หอมนวลใส่แขวนคู่กับกางเกงยีนสีเข้ม ช่างพอเหมาะพอดีเสียจริงที่เสื้อเขาลายเดียวกับเสื้อเธอเป๊ะ ทำอย่างกับเป็น ‘เสื้อคู่รัก’ ที่หนุ่มสาวสรรหามาสวมโชว์ความหวาน

                เขมราชทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะดีใจ เสียใจ หรือรู้สึกอะไรดี เขายังรักจันทร์นรีอยู่เต็มอกและมั่นใจว่าไม่สามารถลืมเธอได้ง่ายๆ แต่เพราะเหตุใดถึงหวั่นไหวทุกครั้งกับผู้หญิงที่เขาไม่เคยคิดจะสนใจ

                ‘หรือยายนี่เป็นแม่มด’

                “ทำไมมองหอมเหมือนเป็นตัวประหลาดแบบนี้คะ” หอมนวลถามขึ้นเมื่อเขมราชยืนมองเธอไม่วางตา ไม่ใช่แววตาพิศวาส ทว่าเป็นแววตาที่เคลือบแคลงสงสัยมากกว่า

                “ไม่มีอะไร” น้ำเสียงเข้มต่ำเช่นเดิม ก่อนรีบคว้าชุดที่เธอเลือกให้เดินหายเข้าห้องน้ำไป

                “ทำไมต้องทำเสียงเข้มด้วย” เธอบ่นเบาๆ ไม่ให้เขาได้ยิน

                หลังจากวันที่เขมราชและเธอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งจนเป็นเหตุให้กลายเป็นสามีภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เขมราชก็กลายเป็นคนใหม่ที่เอาแต่ทำหน้านิ่ง เย็นชาและเคร่งขรึมราวกับรูปปั้น หอมนวลเข้าใจว่าเป็นอาการของคนที่ช้ำรัก เพราะเธอก็ช้ำไม่ต่างกัน เพียงแต่เธอไม่อยากแสดงออกให้เขาเห็นว่าเธอรู้สึกอย่างไร จึงพยายามอย่างยิ่งที่จะทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

                แต่กระนั้นเธอก็ยังคิดถึงเขมราชคนเดิมที่อ่อนหวานเสมอกับจันทร์นรี เขมราชคนที่เป็นสุภาพบุรุษ กวนโทสะ ยั่วโมโห และปากร้ายเวลาที่อยู่กับเธอ ไม่ใช่เขมราชคนนี้ที่เย็นชาเป็นภูเขาน้ำแข็ง

                ไม่รู้เลยว่าจะได้พบเขมราชคนนั้นอีกเมื่อไร หรืออาจไม่มีวันนั้นแล้วสำหรับเธอ

 

                โต๊ะอาหารเรือนแสงอรุณดูมีชีวิตชีวาขึ้นถนัดตาเมื่อลูกชายกับลูกสะใภ้พร้อมใจกันสวมเสื้อคู่รักมานั่งหน้าสลอนตั้งแต่เช้า กรองแก้วยิ้มไม่หุบเลยเมื่อได้เห็นสาวชาวไร่ผู้มีใบหน้าเลอะดินอยู่เสมอ กลายเป็นเจ้าหญิงแสนสวยที่ใครได้เห็นก็ต้องเหลียวมอง

                “สวยไหมจันเป็ง” แม่เลี้ยงแสงอรุณเอ่ยทั้งที่ตายังไม่ละจากภาพตรงหน้า ลูกชายก็หล่อ สะใภ้ก็สวย แบบนี้สินะ ที่เขาเรียกกิ่งทองใบหยก  

                หอมนวลได้แต่ก้มหน้า เธอขัดเขินจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาใคร เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครมองเธอด้วยความชื่นชมมาก่อน อดคิดไม่ได้ว่ากรองแก้วกับจันเป็งชมเธอมากเกินไปหน่อยด้วยซ้ำ

                “งามเจ้า งามแต๊งามว่า หันกั๋นมาตั้งเมิน บ่กึ๊ดว่าหนูหอมจะเป็นเจ้าเงาะที่ถอดรูปเนาะเจ้า” จันเป็งพูดไปตามความรู้สึก ซึ่งทำให้กรองแก้วหัวเราะร่วนชอบอกชอบใจใหญ่

                ในขณะที่ทุกกำลังชื่นชมความงามของเงาะสาว เสียงหงุดหงิดของใครบางคนกลับทำลายบรรยากาศลงในทันที

                “ตักข้าวได้แล้วป้า”

                เขมราชหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ต่อไปหอมนวลคงกลายเป็นที่สนอกสนใจของใครต่อใคร ไม่ใช่หญิงสาวชาวไร่หน้าตาขะมุกขะมอมที่ทุกคนมองผ่านเลยไปเช่นแต่ก่อน แล้วเหตุใดเขาจึงต้องรู้สึกไม่พอใจด้วยเล่า ใครจะสนใจหรือไม่สนใจเธอก็ไม่ได้เกี่ยวกับเขาสักนิด

                จันเป็งตักข้าวตามคำสั่งของพ่อเลี้ยงหนุ่มด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม นายน้อยเขมราชที่เธอเลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย มีหรือแม่บ้านเก่าแก่อย่างเธอจะไม่รู้นิสัย แม้ว่าเจ้านายหนุ่มจะมองหอมนวลเป็นแค่เด็กแก่นแก้ว ถึงจดทะเบียนสมรสเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมายก็ไม่สามารถยกย่องเชิดหน้าชูตาได้เช่นจันทร์นรี แต่เขมราชก็ยังรู้สึกดีและวางใจมากกว่าการที่หอมนวลจะสวยขึ้นมาทันตาเช่นนี้ อะไรที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่ใช่สถานการณ์ที่เขมราชพึงพอใจนัก

                “อารมณ์ดีอะไรนักครับ ทั้งแม่ทั้งป้าจันเป็ง ยิ้มกันหน้าบานเชียว” เขมราชเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นจันเป็งตักข้าวไปก็ยิ้มไป ส่วนมารดานั้นไม่หุบยิ้มเลยตั้งแต่เขากับหอมนวลมาที่โต๊ะอาหาร จนกลัวกว่าถ้ายิ้มนานกว่านี้อีกนิดจะหุบยิ้มไม่ได้เพราะเหงือกแห้ง

                “ก็อารมณ์ดี เห็นลูกชายกับลูกสะใภ้น่ารักเหมาะสมกันขนาดนี้ แม่ก็เกิดความหวังอยากจะมีหลานขึ้นมาแล้วสิ”

                เขมราชหันขวับมามองลูกสะใภ้ของมารดาก็พบว่าเธอหน้าแดงเป็นลูกตำลึง แดงจัดจนถึงใบหูเลยทีเดียว นั่นทำให้เขาอดรู้สึกขันไม่ได้ เรื่องแค่นี้ก็ต้องอายด้วย เด็กหนอเด็ก 

                “ก็...ไม่น่ายากนะครับแม่ เพราะลูกสะใภ้แม่เตรียมตัวท้องอยู่ตลอดเวลา” ใบหน้าคมเข้มยื่นเข้าไปใกล้หอมนวลจนลมหายใจรดใบหน้า คนถูกคุกคามยิ่งก้มหนีจนหน้าแทบจะซุกกับจานข้าว “ขนาดแค่จูบ ยังคิดว่าทำให้ท้องได้”

                คราวนี้คนที่เอาแต่ก้มหน้าหันขวับมามองคนพูดตาเขียว เมื่อไรจะเลิกเป็นคนพูดจาตรงเป็นไม้บรรทัดแบบนี้เสียที ไม่คิดว่าคนอื่นจะอายบ้างหรือไง

                “จริงเหรอจ๊ะหนูหอม” กรองแก้วถามย้ำ “แหม ไร้เดียงสาจริงเชียว ถ้าหนูสงสัยอะไรเกี่ยวกับเรื่องทำนองนั้น ถามพี่เขาได้เลยลูก ผัวเมียกัน คุยกันได้ทุกเรื่อง”

                หอมนวลแทบกลั้นใจตาย แม่ลูกเหมือนกันไม่มีผิด “หอมทราบดีอยู่แล้วค่ะ ไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้น แต่คุณเขมเล่าไม่หมดต่างหากล่ะคะ”

                “งั้นเธอก็เล่าให้แม่กับป้าจันเป็งฟังเลยสิ เล่าให้ละเอียดเลย”

                “ตาเขม พอได้แล้ว น้องอายจนหน้าแดงหมดแล้วเห็นไหม” กรองแก้วเอ็ด

                เขมราชยังยิ้ม เป็นรอยยิ้มแรกของเขาตั้งแต่วันที่จันทร์นรีทิ้งไป และเป็นรอยยิ้มที่หอมนวลเกลียดที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา เพราะในดวงตาระยับคู่นั้นแสดงความเยาะเย้ยอย่างเห็นได้ชัด การทำให้เธอได้อายคงเป็นเรื่องสนุกสำหรับเขามากเลยสินะ นึกแล้วอยากเอาเล็บข่วนหน้าหล่อๆ นั่นให้หายโมโห แต่เพราะทำไม่ได้อย่างที่คิด หอมนวลจึงก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารตรงหน้าโดยไม่สนใจใครอีก

                หารู้ไม่...ในความไม่พอใจนั้น มีความอิ่มใจปะปนอยู่ด้วย ความอิ่มใจที่ไม่รู้สาเหตุว่ามาจากอะไร บางทีอาจเป็นความรู้สึกในส่วนลึกของหัวใจที่กำลังค่อยๆ ถูกเผยออกมาทีละนิด ความรู้สึกที่เธอไม่ประสงค์ให้ใครได้รู้แม้แต่ตัวเอง

 

                ภูเขาน้ำแข็งละลายลงแล้ว หอมนวลบอกกับตัวเองแบบนั้น เพราะนับจากวันที่เขมราชกระชากเสื้อเธอจนขาดต่อหน้าคนงาน เขาก็เริ่มเปลี่ยนไป ไม่รู้ว่าเพราะรู้สึกผิดหรือว่าพอใจเรื่องที่เธอยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น หรืออะไรกันแน่ที่ช่วยลดความเย็นชาของเขาลงได้ แต่ไม่ว่าอะไรก็ดีทั้งนั้น การใช้ชีวิตเป็นนายหญิงฟาร์มแสงอรุณจึงดูลำบากน้อยลงไปอีกนิด

                หอมนวลไม่มีเรียนวันศุกร์จึงนับเป็นโอกาสดีที่จะช่วยงานในฟาร์มได้เต็มที่ แล้ววันนี้เจ้าของฟาร์มก็เอื้อเฟื้อให้เธอได้เดินสำรวจจนทั่ว เธอเพิ่งเห็นข้อดีของสุชาติก็เวลานี้เอง รองเท้าที่เพื่อนแนะนำช่วยได้มากจริงๆ เพราะมันหนามากพอที่จะใช้เดินฝ่าดงข้าวโพดอย่างปลอดภัยจากคมหนามของวัชพืช เสียอยู่อย่างเดียว...เสื้อของเธอสวมเพื่อความสวยงามได้เท่านั้น เพราะทันทีที่ก้าวเข้าไปในไร่ ใบข้าวโพดก็เกี่ยวเสื้อจนด้ายหลุดลุ่ย ผิดกับเสื้อของเขมราช...ที่ถึงแม้จะลายเดียวกันเป๊ะ แต่เนื้อผ้าหนากว่าเสื้อที่เธอสวมอยู่มาก

                พอเห็นเสื้อราคาแพงเป็นรอยแล้วเธอแทบใจสลาย

                “เป็นไง” เขมราชยื่นน้ำให้หญิงสาวที่นั่งปาดเหงื่ออยู่ใต้ร่มไม้ แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยเหงื่อไคลแต่หอมนวลก็ยังดูสวย ไม่น่าเชื่อว่าแค่ถอดแว่นเทอะทะออก ทำผมทรงใหม่ เธอก็สวยจนแทบลืมหอมนวลคนเดิมไปเลย

                ดูจากปฏิกิริยาของคนงานในไร่เมื่อเช้าที่มองหญิงสาวเหมือนกับไม่เคยเห็นมาก่อน ยิ่งซอมพอกับฟ้าฮ่ามนั่นแสดงออกชัดเจนว่าชื่นชมแค่ไหน ขนาดเป็นลูกน้องยังกล้ามองภรรยาเจ้านายขนาดนี้ แล้วผู้ชายคนอื่นจะขนาดไหน

                “เหนื่อยกว่าไร่ดอกไม้จอมนรีเยอะเลยค่ะ ไร่ของป้ามณีเดินสองชั่วโมงก็ทั่วแล้ว แต่ฟาร์มแสงอรุณนี่สิ ขนาดหอมเดินเล่นมาตั้งแต่เด็กยันโต ก็ยังมีอีกตั้งหลายที่ที่หอมไม่เคยไป”

                “เธอมาที่นี่ตั้งแต่เด็กแล้วงั้นเหรอ แล้วเธอเคยเห็นฉันหรือเปล่า” เพราะเขมราชไม่เคยเห็นหอมนวลเลย หรือถ้าเห็นก็คงจำไม่ได้

                “เห็นสิคะ คุณเป็นเจ้าของที่นี่ ไม่เห็นก็คงตาเซ่อ”

                คราวนี้คนฟังถึงกับสะดุ้ง เหมือนโดนหลอกด่าอย่างไรไม่รู้ เขาคงเซ่อจริงๆ ขนาดคบหากับจันทร์นรีร่วมสามปี ไปบ้านเธอสัปดาห์ละหลายครั้ง แต่เขาจำหอมนวลไม่ได้เลย

                “งานเลี้ยงปีใหม่ตอนหอมอายุแปดขวบ หอมยังมาร่วมจับของขวัญด้วยเลย แต่คุณเขมไม่ได้สนใจหอมหรอกค่ะ หอมก็แค่เด็กมอมแมม สู้สาวๆ ที่ล้อมหน้าล้อมหลังคุณไม่ได้” หอมนวลหวนย้อนคิดถึงอดีต ขณะนั้นเขมราชเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบเจ็ดปีที่หล่อมากกว่าใครในละแวกนั้น เขาโดดเด่นจนใครๆ ต่างพากันให้ความสนใจ ยกเว้นเธอกับเพื่อนวัยเดียวกันเพราะยังเป็นเด็กน้อยไม่ประสีประสา

                คิดแล้วก็น่าขัน เพราะพอเธอเริ่มรู้ประสาขึ้นมา ก็ไม่พ้นหลงใหลชายหนุ่มโดยไม่รู้ตัว หญิงสาวหน้าแดงขึ้นมาอีกเมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอรีบเมินหน้าไปอีกทางเพื่อไม่ให้เขาสังเกตเห็น

                “งั้นเหรอ” เขมราชพยายามนึก แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก

                ในขณะที่กำลังใช้ความคิดอยู่นั้น ยานพาหนะสีดำปลาบที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าราคาไม่ต่ำกว่าสามล้านทะยานมายังทิศทางที่เขมราชและหอมนวลยืนอยู่ เร็วจนเจ้าของฟาร์มถึงกับคิ้วกระตุก ชูนิ้วชี้ขึ้นส่งสัญญาณให้ซอมพอและฟ้าฮ่ามซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลระวัง สองสมุนพยักหน้าอย่างรู้ความหมายรีบตะปบวัตถุซึ่งเหน็บไว้กับเอวตลอดเวลาเป็นการเตรียมพร้อม

                เอี๊ยดดด!

                รถเบรกกะทันหันทำให้ฝุ่นตลบฟุ้งไปทั่วบริเวณ หอมนวลถึงกับสำลักฝุ่นดิน ขณะที่เขมราชเผลอดึงตัวหญิงสาวเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนตามสัญชาตญาณผู้ปกป้อง พร้อมจับศีรษะได้รูปซบลงกับหน้าอกแข็งแกร่งเพื่อป้องกันอันตรายจากเศษหินที่อาจกระเด็นใส่คนตัวเล็ก

                “ใครวะ ขับรถห่วยฉิบ” เขมราชสบถ

                นาทีนั้นหอมนวลไม่ได้สนใจใครเลย ไม่สนใจว่าดินจะเลอะใบหน้าหรือไม่ หินจะกระเด็นใส่หัวไหม คนขับรถห่วยๆ คันนั้นเป็นใคร เพราะเอาแต่แหงนมองใบหน้าคมเข้มอย่างซาบซึ้งใจในความเป็นสุภาพบุรุษ จนหัวใจดวงน้อยแทบละลาย

                “ไอ้เขมครับ”

                ผู้มาเยือนก้าวลงมาจากรถพร้อมเสียงทักทายอย่างเป็นกันเอง ทำให้ใบหน้าโกรธขึ้งเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มยินดี คนขับรถห่วยๆ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเพื่อนรักสมัยมัธยมของเขา...ภาคินัย ทายาทเจ้าของโรงแรมห้าดาวในตัวจังหวัดเชียงราย หนุ่มหล่อผู้รักความโลดโผนโจนทะยาน ผ่านไปสิบปี...นิสัยเดิมก็ยังไม่เปลี่ยน

                เขมราชคลายอ้อมแขนจากร่างบางแล้วโผเข้ากอดเพื่อนรักด้วยความยินดี

                “ไอ้ภาค นี่ถ้าแกลงจากรถช้ากว่านี้สักหน่อยนะ โดนลูกน้องฉันเป่ากบาลแยกไปแล้ว ขับรถกวนบาทาจริงๆ”

                “เฮ้ย! บ้านเมืองมีขื่อมีแป ใครทำอะไรผิดก็ว่ากันไปตามกฎหมายสิวะ จะมายิงเขาทิ้งง่ายๆ เป็นผักปลาไม่ได้นะโว้ย” ภาคินัยขนลุกเกรียว คำของมารดาลอยเข้ามาในหัว

                ‘ขับรถแบบนี้ สักวันคงได้ตายอยู่ข้างถนน’

                “แกก็ขับรถให้มันเหมือนคนปกติหน่อยสิวะ แล้วนี่กลับมาจากอังกฤษตั้งแต่เมื่อไหร่”

                “กลับมาได้อาทิตย์กว่าแล้ว แต่ยุ่งกับงานที่โรงแรมเลยไม่ได้โผล่หัวไปไหนเลย วันนี้กะมาหาที่กินเหล้ากับเพื่อนเก่าสักหน่อย” ภาคินัยพูดไปเรื่อย จนกระทั่งสะดุดตากับหญิงสาวที่ยืนข้างกายเขมราช พินิจอยู่ครู่เดียว ดวงตาเรียวรีอย่างลูกคนจีนก็เบิกกว้างอย่างตื่นเต้น “น้องหอมใช่ไหม”

                เขมราชกระตุกคิ้วทันทีเมื่อเพื่อนเอ่ยทักภรรยาราวกับว่าเคยสนิทชิดเชื้อกันมาก่อน เขามั่นใจว่าภาคินัยไม่เคยมาเหยียบไร่เขาอีกเลยตั้งแต่สิบปีที่แล้วก่อนไปต่างประเทศ แต่เพราะอะไรเพื่อนรักถึงจำหอมนวลได้ทันทีในวินาทีแรกที่เห็น ในขณะที่เขาต้องใช้เวลาตั้งหลายปี

                “ใช่ค่ะ คุณภาค” หอมนวลระลึกได้ก่อน และนั่นยิ่งทำให้บุคคลที่สามอย่างเขมราชขุ่นเคือง

                “แกรู้จักหอมนวลด้วยเหรอ”

                “รู้จักสิวะ เคยเจอกันงานวันปีใหม่ที่บ้านแกไง น้องเขาก็มาจับของขวัญด้วย ตอนนั้นยังตัวกะเปี๊ยกอยู่เลย ตอนนี้โตเป็นสาวแล้ว สวยด้วย” ภาคินัยชมตรงๆ แววตาเป็นประกายอย่างผู้ชายเจ้าชู้ เมื่อเห็นสิ่งสวยๆ งามๆ ก็จ้องกระโจนเข้าใส่

                หอมนวลได้แต่ยิ้มตอบโดยไม่พูดอะไร แม้จะเป็นครั้งแรกที่มีผู้ชายชื่นชมเธออย่างออกนอกหน้า ทว่าช่างเป็นเรื่องแปลก เพราะเธอไม่ได้รู้สึกหวามไหวเช่นที่ควรจะเป็น ต่างจากผู้ชายอีกคน ที่ไม่ต้องเอ่ยคำพูดใดๆ สักคำ เพียงแค่มอง เธอก็อ่อนระทวยได้ง่ายยิ่งกว่าขี้ผึ้งลนไฟ

                “งานปีใหม่เหรอ แกจำได้ทั้งที่ตอนนั้นเธอยังเด็กมากเลยเนี่ยนะ”

                “ใช่! ไม่ถึงสิบขวบ แต่เด็กผู้หญิงที่ตาโตแถมขนตาหนาเป็นแพแบบนี้มีแค่คนเดียว ใครจะจำไม่ได้”

                คำตอบของภาคินัยทำให้เขมราชรับรู้ได้ในวินาทีนั้นว่าเพื่อนรักจอมเจ้าชู้เริ่มสนใจแม่ลูกแกะของเขาเข้าให้แล้ว วิญญาณราชสีห์ผู้หวงแหนอาณาเขตเข้าสิงในทันที เมื่อนักล่าอีกตัวคิดจะตะครุบเหยื่อในเขตของตน ถึงแม้จะเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ก็อย่าคิดว่าเขมราชจะละเว้น

                “ไม่มีใครบอกแกหรือไง ว่ามองเมียคนอื่นด้วยสายตาแบบนี้ มักไม่ตายดี” เขมราชไม่พูดเปล่า เขารั้งเอวบางของภรรยามาแนบชิด ประกาศด้วยอวัจนภาษา

                ภาคินัยถึงกับตกตะลึงอ้าปากค้าง เขาไม่ได้เสียดายหอมนวลที่มีเจ้าของแล้ว แต่เขาแปลกใจเพราะจู่ๆ เพื่อนก็มีภรรยาโดยที่เขาไม่รู้เรื่องเลยสักนิด

                “นี่น้องหอมเป็นเมียแกเหรอ”

                “เออสิวะ ทำไม ตกใจมากเลยหรือไง” เขมราชนั้นคิดไปอีกทางว่าเพื่อนหวังจะสานสัมพันธ์กับคนในอ้อมแขนของตน มือหนากระชับขึ้นกว่าเดิมจนคนที่ถูกพันธนาการทำหน้าไม่ถูก ใจเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น

                “ไอ้เขม ไม่ต้องมาทำท่าหวงขนาดนั้นเลยนะ ฉันก็แค่สงสัยที่คนอย่างพ่อเลี้ยงเขมราชแต่งงานทั้งที ไม่บอกให้ใครรู้ เป็นไปได้ไงวะ”

                “ก็...” เขมราชไม่กล้าบอกความจริง เพราะมันจะเป็นผลร้ายกับชื่อเสียงของหอมนวล “ก็หอมยังเรียนอยู่ เราก็เลยจดทะเบียนสมรสไว้ก่อน เรียนจบเมื่อไหร่ฉันแต่งแน่นอน”

                ‘ฉันแต่งแน่นอน’ หอมนวลทวนคำพูดในใจและมันดังก้องอยู่ในหูอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

                จะแต่งได้อย่างไร กว่าจะถึงวันนั้น เขาคงพบคนที่เป็นตัวแทนของจันทร์นรีได้สมบูรณ์มากกว่าเธอ หอมนวลไม่เคยคิดว่าทะเบียนสมรสระหว่างเธอกับเขมราชจะยืนยาว แม้ว่าเธอจะรักเขาหมดหัวใจและปรารถนาจะยึดเขาไว้กับตัวไปจนวันตาย

                ทว่าดวงตาคู่นั้นที่มองเธอไม่เคยมีความหมายลึกซึ้งเฉกเช่นที่เขามองจันทร์นรี ดวงตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยรักที่เขมราชไม่มีวันมอบให้ผู้หญิงอย่างเธอ คือสิ่งเตือนใจว่าอย่าลืมตัวเผลอใจให้เขาไปทั้งหมด

                ภาคินัยพยักหน้าเข้าใจ ทว่าใบหน้าหล่อของเพื่อนที่แสดงความวิตกเพราะแรงหึงหวงทำให้ชายหนุ่มอยากแกล้งขึ้นมา

                “งั้นระวังให้ดีนะ เมียสวยแบบนี้ ไม่เฝ้าให้ดีอาจถูกฉกไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว”

                คำพูดยั่วโทสะได้ผลเกินคาด เขมราชปล่อยมือจากเอวบางก่อนสาวเท้าเข้าไปหาภาคินัยช้าๆ นาทีนี้ ภาคินัยไม่แน่ใจว่าทำถูกหรือไม่ที่คิดแหย่เสือขี้โมโหอย่างเขมราช ครั้งหนึ่งสมัยมัธยมเขาเคยถูกเตะร่วงเพราะคิดจับคู่เพื่อนรักให้นักเรียนหญิงห้องข้างๆ ทั้งที่รู้ว่าเพื่อนไม่ชอบมาแล้ว เขายังจำความเจ็บปวดครั้งนั้นได้ดีจนถึงทุกวันนี้

                “แกคิดจะเตะก้นฉันอีกแล้วใช่มั้ย”

                “ไม่ใช่!”

                “ต้องอย่างนี้สิวะเพื่อน แกก็รู้ว่าฉันพูดเล่น” ภาคินัยยิ้มได้ เขมราชคงเลิกที่จะใช้กำลังตัดสินปัญหาเหมือนเมื่อก่อน แต่คำพูดของเพื่อนในประโยคต่อมา ทำให้ภาคินัยรู้ว่าเขาคิดผิด

                “แต่เปลี่ยนมาเป็นเตะปากแทน” เขมราชสืบเท้าเข้าหาเพื่อน

                ภาคินัยตัวเล็กกว่า เรื่องกำลังย่อมสู้ไม่ได้ ทว่าความเร็วในการหลบหลีกเป็นที่หนึ่ง เพราะเหตุนี้เขาจึงรอดพ้นจากปลายเท้าของเขมราชได้อย่างฉิวเฉียด

                หอมนวลมองดูเพื่อนรักทั้งสองวิ่งไล่กันเป็นเด็กๆ แล้วนึกขัน เธออยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่างเป็นความจริง ไม่ใช่สิ่งสมมุติที่สร้างขึ้นเพื่อรับผิดชอบสิ่งที่เขมราชทำไว้กับเธอ เพราะถึงแม้เขาจะพยายามทำให้ดูเหมือนเธอเป็นคนรักของเขาอย่างไร เธอก็รู้ว่าไม่ใช่ ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด

 

                เที่ยงคืนแล้ว หอมนวลนั่งมองถนนหน้าเรือนแสงอรุณที่ทอดยาว ด้วยหวังว่ารถของคนที่เธอรอจะมาถึงเสียที เขมราชออกไปกับภาคินัยตั้งแต่เย็น เห็นว่าไปกินเลี้ยงกับกลุ่มเพื่อนมัธยม กินเลี้ยงอย่างไรไม่ทราบ ป่านนี้ถึงยังไม่กลับ

                “เพื่อนสมัยมัธยมของคุณเขมจะมีเพื่อนผู้หญิงบ้างหรือเปล่านะ ทำไมเที่ยงคืนแล้วยังไม่กลับ หรือว่า...เขาจะไปต่อกับผู้หญิง”

                แค่คิด...ใจก็สั่นระรัว หอมนวลเพิ่งสัมผัสและเข้าใจความรู้สึกหึงหวงก็ตอนนี้ ความรู้สึกมันทรมานไม่ต่างจากการแอบรักเลย มิหนำซ้ำยังเพิ่มเติมความกระวนกระวาย หวาดระแวงจนกลายเป็นวิตกจริตไปอีก ถ้าเขมราชไปกับผู้หญิงคนอื่นจริงๆ เธอจะทำอะไรได้ โวยวายอาละวาดทำตัวเป็นภรรยาขี้หึงอย่างนั้นหรือ

                เธอทำไม่ได้...

                หญิงสาวรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้น เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ การเดินไปเดินมาเพราะนั่งไม่ติดตั้งแต่ห้าทุ่มจึงหยุดลง ก่อนจะทิ้งตัวลงบนม้านั่งยาวริมระเบียง ซบศีรษะกับพนักพิงอย่างหมดเรี่ยวแรง

                เธอรู้ว่าหัวใจของเขมราชอยู่ตรงไหน แต่ไม่รู้หนทางที่จะเดินไปให้ถึง ดังนั้นการเดินทางไปสู่หัวใจของเขาจึงเหมือนการเดินอยู่ในเขาวงกตที่ซับซ้อน บางครั้งเห็นแสงสว่าง แต่พอเข้าไปใกล้...แสงแห่งความหวังนั่นกลับหายไปเฉยๆ

                ไปไม่ถึงใจก็ไม่เป็นไร...ได้อยู่ข้างใจก็มากพอ    

 

                คิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อเห็นหอมนวลนอนคอพับอยู่กับโต๊ะอาหารที่ชานเรือน เขมราชรีบก้าวเข้าไปหาจนเกือบกลายเป็นวิ่ง

                “มานอนตากน้ำค้างแบบนี้เดี๋ยวก็ป่วยตายกันพอดี”

                ไม่รอช้า เขมราชช้อนร่างบางที่ยังคงนอนหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวขึ้นมาไว้ในวงแขน ขณะที่คนในบ้านหลับหมดแล้ว เหตุใดยายจอมจุ้นถึงได้มานอนคอพับอยู่นอกบ้านคนเดียว ถ้าใครเข้ามาทำมิดีมิร้ายจะทำอย่างไร ถึงแม้จะแน่ใจว่าไม่มีใครกล้ากระตุกหนวดเสือ หรือทำอะไรอย่างนั้นเพียงเพื่อเอาชีวิตมาทิ้ง แต่ก็อดใจหายไม่ได้

                ชายหนุ่มสาวเท้าไปยังห้องนอนซึ่งอยู่ด้านในสุดของบ้าน ค่อยๆ วางเธอลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา ตั้งใจไม่ให้เธอรู้สึกตัว ทว่าหญิงสาวที่หลับใหลกลับลืมตาตื่นขึ้นมาเสียก่อน

                “คุณเขม กลับมาแล้วเหรอคะ” หอมนวลเด้งตัวลุกขึ้น พลันหันไปมองนาฬิกาโดยอัตโนมัติ “ตีหนึ่ง นี่คุณเขมกลับตีหนึ่งเชียวเหรอคะ”

                ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่แสดงความหึงหวง แต่เป็นเพราะอาการสะลึมสะลือของคนที่เพิ่งตื่นนอนทำให้ความสามารถด้านการเก็บอารมณ์ไม่ดีเท่าใดนัก หอมนวลยังเผลอสูดลมหายใจเข้าแรงๆ เพื่อสำรวจกลิ่นผิดปกติจากร่างกำยำของสามี หรือกลิ่นน้ำหอมจากผู้หญิงคนอื่น

                เมื่อพบว่าไม่มีกลิ่นผิดปกติใดๆ นอกจากกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ เท่านั้น เธอก็ช้อนตาขึ้นมองเขา...หวังหาความผิดปกติเพิ่มเติมตามสัญชาตญาณหญิง แต่ต้องพบกับสายตาที่ทำให้ภรรยาขี้หึงคืนสติ

                “ฉันเมาหรือว่าคิดไปเองกันแน่ ที่เห็นว่าเธอกำลังทำตัวเป็นเมียขี้หึง” เขมราชยังคงเอกลักษณ์การพูดตรงได้ดีเยี่ยม

                “เอ่อ...ปะ...เปล่านะคะ” หอมนวลรีบปฏิเสธ “หอมก็แค่ถาม เพราะปกติคุณเขมไม่เคยออกไปไหนตอนกลางคืนนี่คะ”

                “งั้นเหรอ” เขมราชไม่พูดเปล่า เขาโน้มตัวเข้าไปหาร่างบางที่กำลังสั่นด้วยความประหม่า ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังทำตัวเป็นเสือกางกรงเล็บเตรียมฉีกเนื้อเขาเต็มที่

                “ค่ะ” หอมนวลหลบตาไม่กล้าสู้หน้า

                คนเป็นสามีคลี่ยิ้มเมื่อเห็นว่าชุดนอนของภรรยาเป็นชุดลายหมีน่ารักแต่ขะมุกขะมอม ทำให้เขานึกถึงเด็กหอมนวลจอมเซอะซะ สวมแว่นหนาหน้าตามอมแมม ไม่ใช่หอมนวลคนใหม่ที่สวยตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าที่เห็นแล้วพาอกสั่นขวัญหาย

                ‘สรุปแล้ว หอมนวลคนนี้ปลอดภัยกว่าเยอะ’

                “โอเค งั้นนอนเถอะ”

                เพราะมัวแต่ก้มหน้าจึงไม่ทันตั้งรับกับชายหนุ่มที่ตวัดขาขึ้นมาบนเตียง หอมนวลขยับหนีตามสัญชาตญาณหญิงสาวผู้รักนวลสงวนตัว ซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยนักเมื่ออยู่กับชายตรงหน้า

                “ที่นอนคุณเขมอยู่ข้างล่างค่ะ”

                เขมราชไม่ตอบ ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เขามึนบ้างเล็กน้อย ทว่ายังมีสติสมบูรณ์ทุกอย่าง สมบูรณ์พอที่จะเย้าคนข้างกายให้ตกใจเล่นอย่างนึกสนุก เมื่อเห็นว่าหอมนวลพยายามถอยห่าง เขาก็ยิ่งขยับเข้าไปเบียดเธอจนชิดขอบเตียง หมดหนทางไป จังหวะนั้นมือแข็งแรงราวคีมเหล็กก็คว้าเอาร่างบางมากอดไว้แน่นด้วยท่าทีคุกคาม

                “อย่านะคะคุณเขม หอมไม่ยอมนะคะ” หอมนวลเสียงแข็ง

                “ฉันไม่เข้าใจที่เธอพูดหรอกนะ” เขมราชแสร้งทำเสียงอ้อแอ้ พร้อมกับพลิกตัวขึ้นคร่อมเธอไว้ “ฉันเมา”

                เมา!...นี่เขากำลังจะทำกับเธอแบบวันนั้นอีกงั้นหรือ หอมนวลตระหนก เธอไม่มีวันยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก

                “รู้ตัวว่าเมาก็ปล่อยสิคะ คุณกำลังขาดสตินะคะ ถ้าคุณไม่รีบดึงสติกลับมา คุณต้องทำสิ่งที่ผิดพลาดอีกแน่ๆ”

                ริมฝีปากหยักที่กำลังซุกไซ้ลำคอระหงถึงกับยิ้มออกมา ก็ไร้เดียงสาแบบนี้ไงเล่า ถึงได้น่าแกล้ง

                “ใช่! ฉันเมา เมาจนควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว” ไม่พูดเปล่า เขาสูดดมความหอมจากเรือนผมดำขลับ ริมฝีปากร้อนจูบลำคอขาวนวลเรื่อยมาจนถึงเนินอกอวบอิ่มที่เคยครอบครองมาแล้วครั้งหนึ่ง เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาไม่ได้ขาดสติอย่างที่เธอเข้าใจ และภาพตรงหน้าก็ชัดเจนเต็มสองตา ทั้งใบหน้าหวาน ผิวกายเนียนละเอียด และริมฝีปากแดงระเรื่อ ร่างที่อยู่ใต้เขาเป็นหอมนวลแน่...ไม่ใช่ผีสางนางไม้ที่ไหน

                “คุณเขมอย่าทำแบบนี้ค่ะ นี่หอมนะคะ ไม่ใช่...คนที่คุณคิด” หอมนวลเข้าใจว่าเขมราชคิดว่าเธอเป็นจันทร์นรี

                “โกหก หอมนวลไม่สวยแบบนี้ อีกอย่าง หอมนวลตัวจริงต้องใส่แว่นสิ นี่ไม่ใส่ก็แสดงว่าไม่ใช่” ว่าแล้วใบหน้าหล่อเหลาก็ซุกไซ้เรือนกายสาวอย่างหื่นกระหาย มือหยาบจับสะเปะสะปะไปทั่วร่าง จากที่แกล้งหื่น ดูเหมือนตอนนี้เขาจะเริ่มหื่นจริงๆ เข้าให้แล้ว

                “นี่...” หอมนวลดันใบหน้าคมเข้มออกห่าง ไม่ให้ริมฝีปากรุกรานผิวกายได้อีก “หอมไม่มีวันยอมให้คุณเขมทำแบบนี้กับหอมทั้งที่คิดว่าหอมเป็นคนอื่นอีกแล้วนะคะ”

                คำพูดของหอมนวลทำให้เขมราชหยุดการกระทำที่เต็มไปด้วยอารมณ์ปรารถนา เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมใสไร้เดียงสาอย่างสื่อความหมาย

                หอมนวลไม่แน่ใจว่าคนเมาจะแววตาสุกใสได้อย่างที่เขมราชกำลังเป็นหรือไม่ เธอรู้สึกว่ามันไหวระริกเหมือนแสงยามเย็นตอนกระทบผืนน้ำ ชวนมอง ทว่าดูอันตรายไปในคราเดียวกัน

                “แล้วถ้าฉันไม่ได้คิดว่าเธอเป็นผู้หญิงคนอื่นล่ะ ถ้าฉันคิดว่าเธอคือหอมนวล เธอจะยอมฉันใช่มั้ย”

                เขมราชปัดปอยผมที่ปรกใบหน้าหวานออกอย่างเบามือ หอมนวลเหมือนคนถูกสะกดจิต เธอควรตอบว่าไม่ ไม่ใช่นิ่งเฉยอยู่แบบนี้

                “ไม่ตอบ ก็แปลว่าใช่”

                หอมนวลเบิกตากว้างกับข้อสรุปของเขา คนอะไรพูดเองเออเองได้อย่างหน้าด้านๆ

                “เอ่อ...คือ...ไม่..”

                ยังไม่ทันที่หอมนวลจะได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น ริมฝีปากหยักก็โฉบลงมาลิ้มรสความหวานจากเรียวปากนุ่มอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่การจูบอย่างคุกคามเหมือนคราวก่อน แต่มันหวานละมุนอย่างที่สาวแรกรุ่นอย่างหอมนวลเพิ่งเคยสัมผัสครั้งแรกในชีวิต หวานซึ้งกว่าที่เธอวาดฝันไว้มากมาย และนั่นทำให้ร่างกายเธอแทบละลายด้วยเปลวไฟปรารถนาที่ยังไม่คุ้นเคย  

                เธอรู้ว่ารักของเธอที่มีให้เขมราชไม่ใช่รักธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นรักที่ลุ่มหลง หวั่นไหว และหวงแหนจนยากเกินจะควบคุม

                “ตอนนี้ฉันรู้อยู่เต็มหัวใจว่าเธอคือหอมนวล เธอจะยอมเป็นของฉันใช่มั้ย”

                เธอคิดว่ากำลังใกล้จะถึงจุดหลอมละลายเต็มที เอาอย่างไรดีล่ะหอมนวล จะยอมมอบกายถวายชีวีให้เขาหรือว่าจะถอยดี หญิงสาวกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก อะไรๆ ก็ดูฝืดคอไปหมด อีกทั้งจมูกโด่งของเขาที่คลอเคลียกับปลายจมูกของเธอ ทำให้ต้องกลั้นหายใจจนร่างกายรวนไปหมด

                “ตอบ”

                เสียงแข็งทำให้หอมนวลโพล่งคำตอบที่น่าอายออกไปในที่สุด

                “คงงั้นมั้งคะ”

                เมื่อได้คำตอบที่พอใจ เขมราชถึงกับยิ้มออกมา เขาบรรจงจูบเรียวปากอวบอิ่ม สอดมือเข้าไปใต้ร่างบางแล้วจัดการปลดตะขอบราด้วยสองนิ้วอย่างชำนาญ

                เสื้อลายหมีถูกปลดกระดุมออกจนหมดตอนไหนไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อผิวกายปะทะเข้ากับความเย็นของอากาศยามค่ำคืน หอมนวลเผลอห่อตัวด้วยความเหน็บหนาว ปล่อยให้เขาทำทุกอย่างตามความพอใจ

                เขมราชเอาแต่จ้องใบหน้ารูปไข่ไม่วางตาราวกับกำลังท่องคาถาสะกดวิญญาณ ในคราแรกเขาตั้งใจแค่แกล้งหอมนวลเล่นสนุกๆ แต่เวลานี้...ร่างกายกลับประท้วงไม่ยอมให้หยุดคุกคามเธอ

                “คุณเขม”

                “หืม”

                เสียงครางของเขาเหมือนเวทมนตร์ของนางฟ้าที่บันดาลให้เลือดในกายสาวสูบฉีดรุนแรง เธอกลืนคำพูดทุกคำลงคอ หมดความสงสัยในทุกสิ่ง

                เขมราชผละจากเรือนกายเปลือยเปล่า จัดการถอดเสื้อทิ้งไปและโถมทับร่างนุ่มนิ่มอีกครั้งภายในเวลาเสี้ยวนาที รวดเร็วจนคนใต้ร่างไม่ทันได้หายใจหายคอ

                “อย่ามองฉันแบบนั้น”

                เจ้าของร่างกำยำหยุดชะงักเมื่อเห็นสายตาของหอมนวลที่มองมา มันเป็นแววตาที่ทำให้หัวใจของชายชาตรีกระตุกอย่างรุนแรง

                “ทำไมคะ” มือของเธอดันหน้าอกเปลือยไว้ด้วยแรงอันน้อยนิด ในขณะที่ดวงตาจับจ้องที่ใบหน้าหล่อเหลา “หอมมองคุณเขมยังไงคะ”

                ทั้งที่อากาศในฤดูฝนเย็นสบายเป็นปกติ แต่ใบหน้าหล่อเหลากลับปรากฏหยาดเหงื่อผุดเต็มใบหน้า เขาตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไม่ได้ ราวกับหนุ่มน้อยที่เพิ่งเคยลงสนามรักเป็นครั้งแรก เขารู้สึกว่าร่างกายจวนระเบิดเป็นเสี่ยงๆ เพราะแววตาคู่นั้นที่มองมาด้วยความหลงใหล ในขณะเดียวกันก็มีความใสซื่อในแบบฉบับของเธอ จนเขาเกิดความสับสน ใจหนึ่งคิดว่าเธอเชื้อเชิญอย่างเปิดเผย อีกใจหนึ่งกลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นไอ้โรคจิตที่กำลังบังคับขืนใจหญิงสาวผู้ไร้เดียงสา

                “หลับตา”

                คำสั่งของเขาทำให้เธอยิ่งงุนงง ทว่าหญิงสาวก็ยอมทำตามแต่โดยดี

                ชายหนุ่มบรรจงส่งจูบสุดท้ายที่หน้าผากมน เขาไม่สามารถทำตามความต้องการของร่างกายได้ทั้งที่หัวใจยังไม่พร้อม ในเมื่อบางครั้งเขายังคิดถึงอดีตคนรัก จันทร์นรียังอยู่ในห้วงความคิด การใช้ร่างกายของผู้หญิงอีกคนมาช่วยให้ลืมรักเก่าที่ผิดหวังนั้นเป็นเรื่องน่ารังเกียจเกินไป

                เขาจะไม่ทำอะไรเกินเลยไปกว่าการกอดจูบ จนกว่าจะให้คำตอบที่ชัดเจนแก่หัวใจได้

                “รออีกหน่อย”

                “คะ” หอมนวลลืมตาโพลง ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาบอก

                “อย่าทำหน้าเหมือนผิดหวังสิ” เขาเย้าเธออย่างอารมณ์ดี “วันนี้เสือจะปล่อยกวางน้อยไปก่อน รอเวลาให้เนื้อหวานกว่านี้อีกนิด ถึงจะอร่อย”

                หอมนวลกัดริมฝีปากแน่น ไม่จริง เธอไม่ได้ผิดหวัง เธอโล่งใจต่างหากที่เขาไม่ทำอะไรแบบนั้นกับเธอ

                “หอมไม่ได้ผิดหวังนะคะ คุณเขมเลิกคิดเองเออเอง ถามเองตอบเองเสียที แล้วก็รีบออกไปจากตัวหอมด้วย”

                “เธอดูเหมือนไม่เต็มใจเลยนะ” เขมราชหัวเราะออกมา เมื่อเห็นว่าการกระทำกับคำพูดเธอสวนทางกัน

                “ก็ใช่น่ะสิคะ” หอมนวลผลักเขาออก

                “ฉันจะติดกระดุมเสื้อลายหมีน้อยน่ารักให้เธอก่อน”

                เขมราชสอดมือเข้าไปใส่ตะขอบราและจัดการติดกระดุมเสื้อให้หอมนวลอย่างเบามือ ไม่นานเธอก็อยู่ในสภาพเดิมเหมือนเมื่อห้านาทีก่อน ชายหนุ่มพลิกตัวนอนอีกฝั่งหนึ่งของเตียง มองเพดานเหมือนต้องการหาที่ดับอารมณ์เร่าร้อนในกาย

                “เอ่อ...” หอมนวลลุกขึ้นนั่ง ลังเลที่จะพูดบางอย่างออกไป “คุณเขมไม่นอนข้างล่างเหรอคะ”

                ทว่า...สายตาที่ตวัดมองเธอทำเอาร้อนๆ หนาวๆ ไหงดวงตาหวานปานน้ำผึ้งถึงได้หายไปเร็วนัก กลับมาเป็นดวงตายักษ์จอมโหดไปเสียได้

                “หอมไม่ได้ไล่นะคะ คุณเขมจะนอนบนเตียงก็ได้ค่ะ” พูดจบก็ล้มตัวลงนอน พลิกกายหันหลังให้เขาทันที

                ยักษ์จอมโหดไม่พูดอะไร ไม่คิดแม้แต่จะหยิบเสื้อมาสวมให้เรียบร้อย มีเพียงกางเกงยีนตัวเก่าปกปิดร่างกาย ใช่! เขาไม่พอใจ โมโหตัวเองที่ไม่สามารถทำตามความต้องการได้ โมโหยายตัวจุ้นที่ทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง โมโหไปหมดทุกอย่าง

                ยิ่งคิดมากก็ยิ่งปวดหัว ‘ไม่คิดแล้วโว้ย’

                “อุ๊ย!”

                เขมราชคว้าร่างนุ่มนิ่มมากอดอีกครั้ง พร้อมกับกดจมูกฝังลงบนพวงแก้ม “นอนเถอะ”

                คืนนั้นคงเป็นค่ำคืนที่แสนหวาน หากชายหญิงต่างมีรักให้กัน หอมนวลสะท้อนใจ สวรรค์จะเมตตาให้ฝันของเธอเป็นจริงสักครั้งจะได้ไหมนะ



รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น