5

ตอนที่ 5


“คุณเขม หอมไม่พร้อมค่ะ” หอมนวลพูดหลังจากที่ยืนคว้างอยู่กลางห้อง

                เขมราชซึ่งกำลังถอดเสื้อชะงัก มองอย่างไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นใบหน้าตระหนก แสดงความหวาดระแวงอย่างชัดเจนก็รู้ในทันทีว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไร

                “ฉันไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกน่า วันนี้ฉันไม่ได้เมา เลิกกลัวแล้วก็ปูที่นอนให้ด้วย ที่พื้นนั่นแหละ ฉันจะไปอาบน้ำ” ชายหนุ่มคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วหายเข้าไปในห้องน้ำ ทิ้งให้คนคิดมากพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด

                “ไม่ได้เมา ชิ! คิดว่าคนอย่างหอมนวลไม่มีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามหรือไง” เธอบ่นกระปอดกระแปด แต่ก็เดินไปเปิดตู้ คว้าที่นอนออกมาปูตามคำสั่งของเขา จัดหมอนผ้าห่มจนเรียบร้อยจึงไปนั่งแหมะอยู่บนเตียงขนาดคิงไซซ์ที่เธอเลือกเองกับมือ

                เตียงที่เธอและเขา...เคยร่วมรัก

                ในความเงียบสงัด หญิงสาวมองข้าวของที่เธอกับเขมราชช่วยกันเลือกหามาตกแต่งห้องอย่างสะท้อนใจ เขมราชคงมีความสุข หากผู้หญิงที่อยู่ในห้องนี้เป็นจันทร์นรีที่เขารักและทุ่มเท เฝ้ารอวันที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน

                “เฮ้อ!”

                “ถอนหายใจเพราะเสียดายที่ฉันไม่ได้ทำอะไรเธอใช่ไหม”

                คนถอนหายใจสะดุ้งโหยงเมื่อหันไปตามเสียงพูด ร่างสูงเปลือยท่อนบนเผยกล้ามเนื้อของชายชาตรี ความแข็งแรงบึกบึนยิ่งเย้ายวนเมื่อมีหยดน้ำเกาะพร่างพราย พันท่อนล่างหลวมๆ ด้วยผ้าเช็ดตัวสีน้ำเงินเข้ม ชนิดที่สะกิดนิดเดียวก็ปลดพันธนาการให้หลุดจากสะโพกกระชับของเขาได้ในทีเดียว

                หอมนวลเผลอกลืนน้ำลาย ดวงตากลมโตเบิกกว้างจนแว่นหนาก็ไม่สามารถปกปิดแววตาตื่นเต้นนั้นได้

                “เป็นอะไร” เขมราชถามโดยไม่สนใจท่าทีแปลกๆ เขาเดินผ่านหน้าหอมนวลไปเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วหยิบเสื้อกล้ามที่แขวนอยู่ตัวเดียวกับกางเกงขาสั้นที่พับไว้อย่างเรียบร้อยมาสวม กระทั่งแต่งตัวเรียบร้อยแล้วหอมนวลก็ยังยืนนิ่งอยู่ในท่าเดิม

                “แว่น” เขาเรียกอีกครั้ง คราวนี้หญิงสาวสะดุ้งตื่นจากภวังค์ หันรีหันขวางทำตัวไม่ถูก “เป็นอะไร”

                “ปะ เปล่า หอมง่วงแล้ว นอนดีกว่า”

                หอมนวลไม่กล้าสบตา กลัวว่าเขาจะเห็นความรู้สึกของเธอ ถ้าเขารู้คงไม่ดีใจแน่ อาจจะโกรธเธอมากด้วยซ้ำไป

                เขมราชปิดไฟดวงใหญ่ โคมไฟจากหัวเตียงสว่างพอให้เขาเดินมาถึงที่นอนของตัวเองโดยไม่ชนอะไรเข้า ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนบนที่นอน และคงจะหลับไปในทันทีถ้าเสียงเรียกของคนเพ้อเจ้อไม่ดังขึ้นเสียก่อน

                “คุณเขมไม่ควรรับผิดชอบหอมด้วยวิธีจดทะเบียนสมรสเลยนะคะ”

                “เรายังต้องพูดเรื่องนี้กันอยู่อีกเหรอ” เขาตอบแม้ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท

                “แต่เราไม่ได้พูดเรื่องนี้กันจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง คุณเขมไม่คิดบ้างเหรอ ถ้าวันหนึ่งคุณเขมรักผู้หญิงคนอื่น คุณเขมจะลำบากเพราะติดที่หอม”

                “ฉันไม่คิดจะรักใครอีก”

                น้ำเสียงแน่วแน่ทำให้หัวใจของคนฟังกระตุกวูบ ‘ฉันไม่คิดจะรักใครอีก’ เหมือนคำยืนยันว่าเขมราชไม่มีวันมองผู้หญิงคนไหน แม้กระทั่งคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาเช่นเธอ

                ความเงียบทำให้เขมราชลืมตาขึ้นอีกครั้ง “หรือว่าเธอมีคนรักอยู่แล้ว” เขาถามทั้งที่มั่นใจว่าหอมนวลไม่มีใคร หรือว่าเขาอาจมองผิดไป

                “เปล่าค่ะ”

                “ฉันคงเหมือนคนเห็นแก่ตัว แต่ถ้าหากวันหนึ่งเธอรักใครสักคนขึ้นมา แล้ว...” เขาคิดไม่ออกว่าหากวันนั้นมาถึงแล้วจะเป็นอย่างไร เส้นทางชีวิตคู่ของเขากับหอมนวลเหมือนภาพจางๆ ไม่มีอะไรชัดเจนเลยสักอย่าง

                “หอมก็ไม่ได้คิดที่จะรักใคร...อีก” นอกจากคุณคนเดียว คำพูดสุดท้ายถูกกลืนหายไป

                เมื่อไม่มีประโยคสนทนาใดๆ อีก คนทั้งคู่จึงจมอยู่กับความคิดของตัวเองโดยเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงหลับไปอย่างสบายใจ คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าหัวใจของคนทั้งสองว้าวุ่นสับสนเพียงใด

 

                ภายในหอพักนักศึกษาที่กว้างเพียงยี่สิบห้าตารางเมตร สองสาวนั่งเท้าคางมองเงินปึกหนึ่งบนโต๊ะญี่ปุ่นอย่างใช้ความคิด

                “กรุณาดูสารร่างฉันด้วยค่ะคุณหอมนวล ฉันไม่ใช่คนที่แกจะมาปรึกษาเรื่องพวกนี้นะ” ปารณีย์กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อเพื่อนรักขอให้ช่วยในสิ่งที่เธอไม่อาจช่วยได้

                “ฉันก็มีแกคนเดียวที่เป็นเพื่อน ไปเถอะ ไม่ยากหรอกน่า”

                หอมนวลมองปารณีย์อย่างอ้อนวอน เพื่อนของเธอเป็นสาวร่างบางชนิดที่ว่าผอมแกร็น ใบหน้าที่ไม่เคยผ่านเครื่องสำอางดำคล้ำอย่างคนที่ตากแดดอยู่เป็นนิตย์ ผมหยักศกยาวประบ่าแห้งกรอบไม่มีน้ำหนัก

                หอมนวลคบหากับปารณีย์ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามหาวิทยาลัย คงเป็นเพราะความคล้ายคลึงกันที่เป็นเสมือนแรงดึงดูดให้ทั้งคู่กลายมาเป็นเพื่อนรัก หากดูผิวเผินอาจเหมือนกัน แต่ความจริงแล้วทั้งคู่รู้ดีว่าแตกต่างกันคนละขั้ว

                “แล้วให้เงินมาเยอะขนาดนี้ ซื้อทั้งตลาดเลยหรือไง โอ๊ย! ปวดหัวกับพวกคนรวยจริง” ปารณีย์กุมขมับมองเงินตรงหน้า ประเมินด้วยสายตาน่าจะเหยียบแสน

                “ใครจะไปคิดล่ะ ว่าคุณเขมจะบ้าให้เงินมาเยอะขนาดนี้ นี่ถ้าฉันใช้เงินหมดนี่แล้วยังไม่สวยนะ มีหวังถูกเยาะเย้ยตายแน่”

                สองสาวมองหน้ากันแล้วพ่นลมหายใจออกมา ปารณีย์เห็นใจเพื่อนอยู่ครามครัน หอมนวลเติบโตมาในครอบครัวที่เข้าขั้นเป็นเศรษฐี ทว่ากลับอยู่ในฐานะที่ต้องคอยรับใช้จันทร์นรี พี่สาวต่างบิดามารดาผู้รักความสบาย ใครๆ ก็รู้ว่าจันทร์นรีปฏิบัติกับหอมนวลราวกับเป็นสาวใช้ประจำตัว จะมีก็แต่หอมนวลที่ไม่รู้อยู่คนเดียว  

                เคราะห์ซ้ำกรรมซัด นอกจากหน้าที่สาวใช้ส่วนตัวแล้ว ยังต้องกลายมาเป็นภรรยาของพ่อเลี้ยงหนุ่มแทนพี่สาวอีกด้วย ในตอนแรกที่ปารณีย์ฟังเรื่องราวจากปากเพื่อน เธออดเป็นกบฏไม่ได้ เพราะแทนที่จะเห็นใจเพื่อนผู้ถูกพรากพรหมจรรย์ แต่เธอกลับสงสารเขมราชที่พลาดจากนางฟ้ามาได้คนสวน

                “เฮ้อ...ฉันเหนื่อยกับชีวิตแกจริงๆ เลยนะหอม แล้วคุณเขมของแกเป็นยังไงบ้าง เขาปฏิบัติกับแกเหมือนสามีภรรยาไหม”

                คำถามของเพื่อนทำให้หอมนวลคิดไปถึงภาพในห้องนอนของเธอกับเขมราช แม้ไม่เคยมีคนรัก แต่เธอก็รู้ว่าไม่ใช่ เขาไม่ได้ทำเหมือนว่าเธอเป็นภรรยาของเขา ยกเว้นวันนั้นวันเดียวที่เขานอนกอดเธอจนถึงเช้า แถมตื่นมาทำท่าจะจูบเธออีก

                “ไม่นะ”

                “ไม่เลยเหรอ”

                “อืม..” หอมนวลยืนยัน “คุณเขมยังคิดถึงพี่ลูกจันทร์อยู่ทุกวัน ฉันรู้ เขาซึมเศร้า ไม่ร่าเริงเหมือนเมื่อก่อน ทำงานหนักมากกว่าเดิม คงหวังให้ลืมพี่ลูกจันทร์ได้บ้าง”

                “แล้วแกจะบอกคุณเขมไหม ว่าแกรักเขามาตลอด เขาจะได้รู้ว่ายังมีผู้หญิงอีกคนที่รักเขามาก ไม่แน่นะ คุณเขมอาจลืมพี่ลูกจันทร์ไปเลยก็ได้”

                “ไม่ได้นะ” หอมนวลเบิกตากว้าง ส่ายหน้ารัว “คุณเขมต้องโกรธแน่ๆ ฉันรู้จักนิสัยเขาดี เขาไว้ใจฉันเหมือนเพื่อนอีกคน ถ้าเขารู้ว่าฉันรักเขามาก่อนหน้านี้ เขาต้องผิดหวังมากแน่ๆ”

                “อ้าว! เห็นว่าเป็นเพื่อน แต่มานอนกับแกจนต้องจดทะเบียนสมรสเนี่ยนะ โอ๊ย!...ฉันไม่เข้าใจ แต่ช่างเถอะ เรามาคิดกันดีกว่าว่าจะทำยังไงถึงจะชุบตัวนางซินก้นครัวให้เป็นเจ้าหญิงในรถฟักทองได้”

                ผลัวะ!

                เสียงเปิดประตูอย่างถือวิสาสะ พร้อมกับการปรากฏกายของสาวร่างใหญ่ผู้มีอดีตเป็นชาย ใบหน้าคมเข้มถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางหนาจนแทบมองไม่เห็นเค้าเดิม ผมยาวสลวยปล่อยให้สยายถึงกลางหลัง ชุดนักศึกษาหญิงรัดรูปจนแทบปริ ทว่าคนสวมยังมีความมั่นใจอยู่เกินร้อย

                “สองสาวเล่าเรื่อง มาอยู่นี่เอง ฉันมีความตามหาพวกแกทั่วมหาวิทยาลัยเลยรู้ไหม” สาวประเภทสองพูดรัวจนลิ้นแทบพันกันโดยไม่เปิดโอกาสให้ใครได้พูดแทรก พลันสายตาเหลือบไปเห็นสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ เล่นเอาหัวใจแทบทะลุออกมาจากหน้าอกที่นูนใหญ่เพราะฟองน้ำขนาดมหึมาในบราตัวจิ๋ว

                “ตาเถร เงินอะไรเยอะมากมายก่ายกองขนาดนี้ หรือว่าพวกแกกำลังทำเรื่องผิดกฎหมาย นี่...อย่าเอาฉันเข้าไปเกี่ยวข้องนะ ฉันจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น โอเค ฉันจะกลับไปเงียบๆ”

                “โอ๊ย! แกหายใจทางไหนฮะไอ้ชาติ” ปารณีย์เรียกเพื่อนไว้ก่อนที่ร่างยักษ์จะหนีไปเพราะความเข้าใจผิด “นี่มันเงินสำหรับทำสวยของไอ้หอมมัน”

                “อะไรนะ” สุชาติไม่เข้าใจ แต่ก็คิดได้ว่าเพื่อนรักทั้งสองไม่ใช่ประเภทที่จะทำสิ่งผิดกฎหมาย ดังนั้นร่างใหญ่จึงค่อยๆ ทรุดตัวนั่งร่วมวงสนทนา “ทำสวย หมายความว่าไง ช่วยอธิบายชัดๆ”

                “ก็ผัว...เอ้อ! สามีของนางให้เงินมาแสนนึงเพื่อให้นางกลับไปพร้อมกับความสวยระดับดาวมหา’ลัยอย่างพี่สาวผู้เลอโฉมของนางยังไงล่ะ”

                ปารณีย์พูดตรงเสียจนหอมนวลหน้าชา แต่พอจะเถียงก็จนปัญญา ก็เรื่องจริงทั้งนั้น

                สุชาติหัวเราะเสียงดังด้วยความขบขัน “แสนนึงพอเหรอคะ ถ้าให้สวยเบอร์นั้นน่ะ”

                “สุชาติ” หอมนวลตีเผียะเข้าที่แขน ข้อหาพูดจาเหยียดหยาม “ไม่ต้องเอาสวยเบอร์นั้นก็ได้ เอาแค่ดูดีขึ้นเล็กน้อยก็พอ ช่วยหน่อยสิ นะ”

                สุชาติทำท่าคิดหนัก ทว่าเรื่องสวยๆ งามๆ เธอถนัดนักแล ถ้าไม่ใช่สุชาติแล้วจะเป็นใครไปได้เล่า           

 

                สายวันนั้นความโกลาหลจึงเริ่มต้นขึ้น เมื่อสองสาวแท้และหนึ่งสาวเทียมออกสำรวจแหล่งความงามราวกับหน่วยลาดตระเวน สุชาติในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านความงามมากที่สุดในกลุ่มเป็นผู้นำในภารกิจครั้งนี้ ซึ่งเพื่อนรักทั้งสองก็เห็นด้วยโดยไม่มีข้อโต้แย้ง

                “อันดับแรกแกควรสปาผมฟูไร้น้ำหนักให้ตรงสลวยสวยเลิศเสียก่อน แต่เพราะมันต้องใช้เวลาถึงสามชั่วโมง ดังนั้นควรเลือกร้านทำผมที่มีบริการขัดผิวไปด้วย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา”

                “ต้องขัดผิวด้วยเหรอ” หอมนวลไม่เข้าใจ เธอคิดแค่ว่าซื้อชุดสวยๆ ก็น่าจะพอ

                “ผิวแกเนี่ย ตากแดดตากลมมานานหลายปีดีดัก บำรุงบ้างอะไรบ้าง เป็นผู้หญิงนะยะ”

                จากนั้นหอมนวลก็กลายเป็นตุ๊กตาให้สุชาติได้จับแต่งเนื้อแต่งตัวตามใจชอบ เธอมองเพื่อนรักหยิบเสื้อตัวโน้นทีตัวนี้ทีมาทาบกับเรือนร่างตัวแล้วตัวเล่าจนเวียนหัวไปหมด แม้แต่ปารณีย์ที่ยืนดูเฉยๆ ก็ยังเอ่ยปากยอมแพ้ขอเป็นฝ่ายนั่งรออยู่นอกร้าน คอยช่วยถือของอย่างเดียว

                ภารกิจเปลี่ยนนางซินก้นครัวให้เป็นหญิงงามช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน

 

                เจ้าของฟาร์มแสงอรุณยืนกอดอกอยู่บนระเบียงบ้านนานนับชั่วโมง ดวงตาสีสนิมจับจ้องที่ถนนเล็กๆ หน้าบ้านสลับกับมองนาฬิกาตลอดเวลา สามทุ่มครึ่งแล้วแต่หอมนวลยังไม่กลับบ้าน เขาเป็นห่วงว่าเงินหนึ่งแสนบาทที่ให้ไปจะเป็นเหตุให้เธอได้รับอันตราย ครั้นจะโทร. ไปถามก็กลัวก้าวก่ายชีวิตของเธอมากเกินไป จึงทำได้ดีที่สุดแค่เฝ้ารออย่างใจเย็น แม้ว่าภายในใจจะร้อนรนมากก็ตาม  

                แสงไฟจากรถยนต์ทำให้เขาละจากความคิดของตัวเอง ชายหนุ่มเดินปรี่ลงบันไดมารอตรงลานกว้างหน้าเรือน ไม่รู้ทำไมจึงคิดไปในทางร้ายว่าในรถญี่ปุ่นคันเล็กนั่นอาจเป็นรถของผู้ชายสักคนที่สนิทสนมกับหอมนวล สนิทมากถึงขั้นมารับมาส่งได้ในยามวิกาล

                แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาจะทำอะไรได้ ในเมื่อเขากับเธอก็ไม่ได้เป็นสามีภรรยาที่รักกันเสียหน่อย

                รถคันดังกล่าวเคลื่อนมาจอดสนิทตรงหน้า แต่คนที่ก้าวลงจากรถในตำแหน่งผู้โดยสารก็ทำให้เขมราชแปลกใจ หญิงสาวรูปร่างดีสวมเดรสผ้าฝ้ายสีขาวแขนยาวถึงข้อมือ ชายกระโปรงสั้นเหนือเข่าปักด้วยลูกไม้น่ารัก ผมดำตรงยาวสยายเต็มแผ่นหลัง กำลังก้มๆ เงยๆ หยิบของลงจากรถ เสียงกรุ๊งกริ๊งของกระดิ่งเล็กๆ จากกำไลข้อมือยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าไม่ใช่คนที่เขารู้จักแน่

                ผู้หญิงที่ไหนกัน     

                ไม่เพียงเท่านั้น ยังตามมาด้วยกะเทยตัวสูงปรี๊ดที่แต่งสาวจัด กับหญิงสาวรูปร่างผอมแกร็นอีกหนึ่งคน

                “อ๊าย! สวัสดีค่ะ คุณเขมราช” เสียงทุ้มใหญ่ที่พยายามบีบให้แหลมเล็กเอ่ยทักทายด้วยความตื่นเต้น เคยเห็นแต่ในรูป ไม่คิดเลยว่าตัวจริงจะหล่อลากไส้ขนาดนี้   

                หอมนวลเห็นเพื่อนวี้ดว้ายจึงละจากถุงใส่ของแล้วหันไปมอง พบว่าเขมราชยืนทำหน้าเรียบเฉยอยู่ข้างหลังเธอ  

                “คุณเขม มายืนทำอะไรตรงนี้คะ”

                ความงุนงงจากการทักทายของสาวประเภทสองยังไม่ทันหายไป ความงุนงงที่มากกว่าก็เข้ามาแทนที่เมื่อได้เห็นหญิงแปลกหน้าชัดเจน

                “หอมนวล” ชายหนุ่มตกตะลึง เพราะหอมนวลตรงหน้าเขาไม่ใช่หอมนวลคนเดิม แต่เป็นหญิงสาวรูปร่างดี ผิวหน้าขาวนวลเนียนรับกับเส้นผมดำขลับตรงสลวย ดวงตากลมโตสุกสกาวซึ่งบัดนี้ไม่มีแว่นมาปิดบัง จนเขาเผลอจับจ้องมองไม่วางตา “นี่เธอ...”

                “มารอหอมเหรอคะ”

                หอมนวลยิ้มกว้าง รอยยิ้มอ่อนหวานส่งให้ใบหน้าสวยยิ่งชวนมองขึ้นไปอีก

                “คุณเขม” เมื่อเห็นว่าคนตัวโตยังยืนนิ่ง หอมนวลจึงเรียกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นจนชายหนุ่มสะดุ้งตัวโยน

                อากัปกิริยาของเขาพลอยทำให้ปารณีย์กับสุชาติถึงกับหัวเราะออกมา อย่าว่าแต่เขมราชเลยที่ตกตะลึง แม้แต่พวกเธอยังไม่อยากเชื่อว่าหอมนวลจะสวยได้มากขนาดนี้

                “อะไร”

                เสียงที่ตอบกลับมาทั้งแข็งทั้งห้วน แต่คนฟังไม่ได้เอะใจเลยว่าอารมณ์ของเขมราชไม่ปกติ เธอยังถามกลับไปด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม

                “คุณเขมมายืนทำอะไรตรงนี้คะ”

                “นี่บ้านฉัน ฉันจะยืนตรงไหนก็ได้”

                คราวนี้น้ำเสียงชวนหาเรื่องชัดเจนจนหอมนวลจับความรู้สึกไม่พอใจได้ เธอพยายามสบตา แต่คนตัวโตกลับเมินหนี ไม่ยอมมองหน้าเธอแม้สักนิด เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากบุคคลที่สาม แต่เพื่อนสาวทั้งสองทำแค่เพียงยักไหล่ ออกตัวว่าไม่มีความเห็นใดๆ สุดท้ายจำต้องหันกลับมาหาคนต้นเหตุอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้

                “คุณเขมโมโหอะไรมาหรือเปล่าคะ”

                หอมนวลไม่เข้าใจท่าทีมึนตึงนั่น แต่ใครจะรู้ว่าอาการที่เห็น เป็นอาการของราชสีห์ที่ต้องการปกป้องตัวเองเมื่อเจอสิ่งที่ไม่แน่ใจว่าปลอดภัยหรือเป็นอันตราย

                “ทำไมกลับดึก”

                คำถามของสามีเพื่อนทำให้ทั้งปารณีย์กับสุชาติถึงบางอ้อ ที่แท้ก็โมโหหึงนี่เอง

            “คือ...” หอมนวลทำหน้าไม่ถูกเมื่อเจอคำถามที่คาดไม่ถึง เธอไม่คิดว่าเขมราชจะสนใจเธอถึงขั้นยอมเสียเวลาอันมีค่ามายืนรอเพื่อถามเหตุผลของการกลับบ้านช้าของเธอ “คือ หอมไปกับเพื่อนค่ะ นี่ไงคะเพื่อนหอม สุชาติกับปารณีย์ เรียกว่า ชาติกับปาก็ได้ค่ะ”

                “ช่าค่ะ ไม่ใช่ชาติ” สุชาติยิ้มกว้าง

                ขณะที่ปารณีย์ได้แต่ยกมือไหว้พร้อมรอยยิ้มแห้งๆ รับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตของชายตรงหน้าที่แผ่มาถึงเธอ เขาดูน่าเกรงขามสมกับเป็นพ่อเลี้ยงของฟาร์มแสงอรุณอันกว้างใหญ่ไพศาลจริงๆ

                “สวัสดีครับ” เขายกมือรับไหว้คนทั้งคู่ ก่อนหันมาถามภรรยาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แล้วเธอจะไม่แนะนำฉันให้เพื่อนเธอรู้จักหน่อยเหรอ”

                “เอ่อ เพื่อนหอมทราบดีอยู่แล้วนี่คะ ว่าคุณเขมคือคุณเขมราช เจ้าของฟาร์มแสงอรุณ หอมก็เลยไม่ได้แนะนำ”

                “แล้วทราบด้วยไหม ว่าฉันเป็นสามีของเธอ”

                คราวนี้ไม่ใช่แค่หัวใจเต้นผิดจังหวะ แต่หอมนวลรู้สึกเหมือนว่ามันหยุดเต้นไปเลยมากกว่า เหมือนโลกหยุดหมุน แม้แต่เพื่อนรักทั้งสองก็พลอยหยุดหายใจไปด้วย

                “เอ่อ คือ...คือว่า...”

                “พวกเราทราบอยู่แล้วค่ะ” เป็นสุชาติอีกเช่นเดิมที่ตอบแทนเพื่อนที่ไม่รู้ว่าตอนนี้สติเตลิดไปถึงไหน

                เขมราชกลอกตามองคนพูดแล้วพยักหน้าเป็นเชิงว่ารับรู้ จากนั้นจึงเดินมาดึงถุงเล็กใหญ่นับสิบถุงจากหอมนวลมาถือไว้ทั้งหมดด้วยมือข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างคว้าหมับที่แขนของเธอ ดวงตาคมเข้มยังจับจ้องเพื่อนรักของภรรยา

                “เชิญคุณทั้งสองเข้าไปนั่งพักในบ้านก่อนครับ”

                “ไม่เป็นไรค่ะ” คราวนี้ปารณีย์ชิงพูดก่อนเพื่อนกะเทยจอมพูดมาก “พวกเราแค่มาส่งหอม ว่าจะกลับเลย ขอตัวเลยนะคะ สวัสดีค่ะ”

                ปารณีย์รีบก้าวขึ้นรถทันที ส่วนสุชาติเมื่อเห็นปารณีย์ขึ้นไปนั่งเรียบร้อยอยู่บนรถแล้วจึงจำใจต้องกล่าวลาด้วยอีกคน แม้จะเสียดายที่ยังชื่นชมความหล่อของสามีเพื่อนไม่หนำใจก็ตาม

                เมื่อรถแล่นออกไปหอมนวลถึงดึงสติกลับมาได้ แต่กระนั้นร่างก็ยังแข็งเป็นหินอยู่ดี วันนี้คุณเขมของเธอถูกผีตัวไหนเข้าสิงกันนะ ถึงได้ทำตัวแปลกประหลาดชอบกล  

                “คุณเขม หอมเดินเองได้ค่ะ ไม่เห็นต้องลากกันขนาดนี้เลย” หอมนวลโวยวายเมื่อถูกคนตัวสูงลากเหมือนวัวเหมือนควาย   

                เขมราชไม่พูดอะไรจนกระทั่งพาร่างบางเดินมาถึงห้องนอน เขาก็ผลักเธอเบาๆ ให้เข้าไปในห้อง ปิดประตู วางถุงเสื้อผ้ากับรองเท้านับสิบถุงลงบนพื้นแล้วสาวเท้าเข้าไปหาซินเดอเรลลา ซึ่งบัดนี้กลายเป็นเจ้าหญิงแสนสวย

                หอมนวลก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติจนแผ่นหลังชิดกับผนังห้องหมดหนทางหนี...เขาจะทำอะไรกันแน่

                “ซินเดอเรลลาจะกลับคืนร่างเดิมเมื่อพ้นเวลาเที่ยงคืนหรือเปล่า”

                ขณะที่เขาพูดก็ประชิดตัวเธอเป็นที่เรียบร้อย เธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่ผิวหน้า ใกล้ชิดจนแทบไม่มีช่องว่างให้อากาศได้ผ่าน เวลานั้น...หญิงสาวไม่มีความสามารถพอที่จะตอบคำถามของเขาได้เลย เพราะความตื่นเต้นที่มีมากเกินขีดจำกัดจึงทำได้แต่นิ่งมองดวงตาสีสนิมที่จ้องเธอราวกับจะกลืนกินอยู่แบบนั้น  

                “เธอไปทำอะไรมา เสริมจมูก ฉีดคาง ฉีดผิว หรือทำตาโต”

                คำถามของเขาทำให้อารมณ์หวามไหวหายวับไปกับตา พร้อมกลับมีอารมณ์ฉุนเข้ามาแทนที่

                “คุณเขม เงินหนึ่งแสนกับเวลาหนึ่งวัน ถ้าจะมีหมอที่ทำได้ขนาดนั้นก็คงต้องเป็นหมอเทวดาแล้วละค่ะ”

                เขมราชไม่พูดอะไรต่อ แต่เอื้อมมือมาบีบจมูกพร้อมกับบิดไปมาจนเจ้าของจมูกถึงกับทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด

                “อย่านะ หอมเจ็บ”

                ใบหน้าหวานยู่ยี่เพราะความไม่พอใจทว่าก็ยังน่ามองอยู่ดี หอมนวลสวยจริงๆ สวยหวานกว่าผู้หญิงคนไหนที่เขมราชเคยพบ แม้แต่ผู้หญิงที่สวยจัดอย่างจันทร์นรีก็ยังมีตำหนิให้เห็นบ้าง แต่หอมนวลไม่มี ภายใต้แว่นอันโตที่เธอสวมอยู่ตลอดเวลานั้นบดบังความงามไว้ได้อย่างแนบเนียนจนไม่น่าเชื่อว่าไม่มีใครสังเกตเห็น

                เขมราชแน่ใจแล้วว่าคืนวันนั้นเป็นหอมนวลจริงๆ ไม่ใช่ผีสางนางไม้ที่ไหน

                ใบหน้าหล่อเหลายื่นเข้าไปใกล้จนจมูกชนกับผิวแก้มเนียน

            นี่คงไม่ใช่การพิสูจน์ศัลยกรรมของเขาหรอกนะ 

                หอมนวลรู้สึกว่าตัวเธอช่างใจง่ายเสียเหลือเกิน รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่เคยมีใจให้ แต่ทำไมถึงได้ยอมให้เขาทำอะไรได้ตามใจชอบ เธอควรร้องแรกแหกกระเชอต่อว่าเขาตั้งแต่เหตุการณ์ในคืนนั้นที่เธอตกเป็นของเขาแล้วไม่ใช่หรือ แต่นี่...เธอยังยืนอยู่ตรงนี้ ในอ้อมแขนของผู้ชายที่ไม่ได้รักเธอ และเขาก็กำลังจะจูบเธออีกด้วย

                จมูกโด่งฝังลงบนแก้มเนียนนุ่ม เขมราชได้กลิ่นเครื่องสำอางจางๆ ละมุนละไมจนไม่อยากถอนจมูกออกเลย ให้ตายเถอะ...เขารักจันทร์นรี และเชื่อว่ายังทำใจไม่ได้ง่ายๆ

                แล้วที่กำลังทำอยู่นี่คืออะไรกันล่ะ

                ริมฝีปากหยักยังจูบเรื่อยมาจนถึงกลีบปากอ่อนนุ่ม แผ่วเบาทว่าร้อนแรง ส่งผลให้เรือนกายสาวร้อนวูบวาบโดยไม่รู้สาเหตุและยากเกินกว่าจะควบคุมให้เป็นปกติได้ จูบของเขามีอิทธิพลเหนือการกระทำของเธอทุกอย่าง เขาต้องการให้เธออ่อนระทวยหรือเร่าร้อนก็ได้ตามใจปรารถนา เพียงแค่การสัมผัสง่ายๆ ด้วย...จุมพิตของเขา

                มือหนาคว้าเอวบางแล้วดึงร่างมาจนแนบชิดกับเรือนกายแข็งแกร่ง ยิ่งปล่อยให้เขาทำตามอารมณ์ยิ่งดูเหมือนว่าจะเลยเถิดไปกันใหญ่ หอมนวลได้สติจึงรีบดันตัวออกจากวงแขนแข็งแรง

                “คุณเขม ปล่อยค่ะ”

                “ปล่อยทำไม”

                เขมราชนึกขันคนในอ้อมแขนที่พยายามถอยหนีทั้งที่แผ่นหลังของเธอชิดกำแพงแล้ว คิดจะฝังร่างลงในฝาบ้านเลยหรือไงกัน ไม่รู้ทำไมเขาถึงมองว่าน่ารัก ยิ่งน่ารักก็ยิ่งน่าแกล้ง

                “ก็...ต้องปล่อยสิคะ นี่คุณเขมอยากให้หอมท้องหรือไงนะ”

            อีกแล้ว...ท้องอีกแล้ว เด็กบ้า เดี๋ยวพ่อก็ทำให้ท้องจริงๆ เสียเลย

                “แค่จูบ ไม่ท้องหรอกน่า”

                “ก็หอมเคยพูดแล้วนี่คะ ถ้าผู้ชายลองได้จูบผู้หญิงแล้วละก็...”

                “ร้อยทั้งร้อยต้องคิดเรื่องอย่างว่า” เขาต่อแทนให้เสร็จสรรพ “ฉันอาจไม่ใช่ผู้ชายหนึ่งในร้อยของเธอก็ได้ ต้องลอง”

                โดยไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากร้อนก็ประทับลงที่เรียวปากนุ่มอีกครั้ง สองมือเล็กดันแผงอกกำยำไว้ราวกับว่ามือเล็กๆ จะช่วยให้เธอรอดพ้นจากรสจูบร้อนแรงของเขาได้ ตรงกันข้าม...นอกจากไม่ช่วยอะไรแล้ว ยังสร้างความหวามไหวให้เขาจนแทบควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เกิดคิดถึง ‘เรื่องอย่างว่า’ ขึ้นมาจริงๆ

                มือสากโอบเอวบางให้แนบชิด จูบแล้วจูบเล่าจนเหมือนกับว่าริมฝีปากบางเป็นขนมหวานแสนอร่อยที่เขาปรารถนากลืนกินทั้งชิ้นถ้าทำได้ กระทั่งเมื่อร่างเล็กเริ่มหายใจติดขัด เขาจึงยอมถอนริมฝีปาก เพราะเกรงว่าเธออาจขาดใจตายเอาได้

                เมื่อเห็นอาการหายใจหอบถี่ของเธอ เขาก็เผลอหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้

                “ขำอะไรคะ”

                “เธอเคยจูบรึเปล่าฮะ กำหนดลมหายใจให้ถูกหน่อย เดี๋ยวก็ขาดใจตายกันพอดี”

                “ก็ไม่เคยน่ะสิคะ ถ้าไม่นับคืนนั้น” หอมนวลหน้างอ “ปล่อยได้แล้ว” คราวนี้หอมนวลแค่ออกแรงผลักเบาๆ ร่างยักษ์ที่พันธนาการเธอไว้ก็ผละออกง่ายดาย พร้อมกับรอยยิ้มที่จางหายไปแล้วแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอย่างรวดเร็ว

                “แว่นล่ะ”

                “ก็อยู่ในกระเป๋า”

                “ทำไมไม่ใส่ ฉันไม่อนุญาตให้เธอใส่คอนแทกต์เลนส์นะ”

                คำสั่งเด็ดขาดและท่าทีที่วางอำนาจของเขาทำให้หอมนวลงงหนัก “ทำไมคะ”

                “ใส่แว่นน่ะดีแล้ว ตาบอดขึ้นมาจะทำยังไง แล้วอย่าให้เห็นนะว่าเธอออกจากบ้านโดยไม่ใส่แว่นตา เจอที่ไหนฉันจะจับตีก้นตรงนั้นเลย”

                “นี่คุณเขม ตกลงว่าคุณเขมจะเป็น เอ่อ...เป็น” หอมนวลกระดากปากที่จะพูด แต่คนฉลาดอย่างเขมราชก็คาดเดาสิ่งที่เธอต้องการพูดได้ถูกเผง

                “เป็นผัวหรือพ่อกันแน่ใช่ไหม”

                “คุณเขม!” หอมนวลตกตะลึงกับวาจาที่โพล่งออกมาเหมือนคนไม่ได้คิดก่อนพูด แต่พอเห็นประกายตาวาววับ หอมนวลก็แน่ใจว่า เขาคิดไตร่ตรองแน่แล้วจึงพูดออกมาโดยไม่แคร์ว่าเธอจะอับอายหรือไม่

                “ฉันพูดผิดหรือไง เธอคิดจะพูดคำนี้ออกมา ฉันรู้”

                ‘พูดไม่ผิด แต่ไม่เห็นต้องพูดแทนแบบนี้เลย’ หอมนวลตอบในใจ เธอไม่อยากสนทนาเรื่องแบบนี้กับคนหน้าไม่อาย  

                “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ หอมจะทำตามคำสั่งของคุณเขมครึ่งหนึ่ง คือหอมจะไม่ใส่คอนแทกต์เลนส์ ส่วนเรื่องแว่นตาหอมคงไม่จำเป็นต้องใส่”

                “เฮอะ คนมีปัญหาเรื่องสายตา ไม่ใส่คอนแทกต์เลนส์ ไม่ใส่แว่น มีหวังเดินตกบันไดคอหักตายกันพอดี”

                ไม่รู้เพราะอะไร เขมราชไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นหอมนวลแบบที่เขาเห็น ไม่อยากให้เธอเป็นที่สนใจของใครทั้งนั้น ก่อนหน้านี้เขายอมรับว่าอายที่จะพูดกับใครๆ ว่าหอมนวลเป็นภรรยาของเขา แต่ถ้าต้องเลือก เขาขอให้เธอเป็นแบบเดิม แบบที่ไม่มีใครสนใจเลยจะดีกว่า ทว่าสิ่งที่เขาต้องการให้เป็นกลับไม่มีวันเป็นไปได้อีกแล้ว เมื่อได้รู้ความจริงบางอย่าง

                “คุณเขมพูดถูกค่ะ เพียงแต่หอมไม่ได้มีปัญหาเรื่องสายตา”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น